วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

The Evil Within



       


                                               บทสรุป - The Evil Within 

BY Decibel per – oxide





                                         Chapter 1: An Emergency Call








บ่ายแก่ๆของวันที่ฝนตกหนักวันนึงในเมือง Krimson Town ที่ดูเหมือนจะธรรมดาของเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ KCPD Oscar Connelly ได้รับหน้าที่ให้พาเจ้าหน้าที่นักสืบกลุ่มนึงให้มาช่วยตรวจสอบคดีการฆาตกรรมปริศนาที่หมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อว่า Lakeside Town เกี่ยวกับการพบศพมากมายที่ลอยมาเกลื่อนแม่น้ำ Elk River ที่ยังสาเหตุไม่ได้





จนวิทยุจากศูนย์วิทยุตำรวจแจ้งเหตุ การฆาตกรรมหมู่ ให้ทุกหน่วยที่อยู่ใกล้เคียงเข้าตรวจสอบพื้นที่ที่โรงพยาบาลจิตเวช Beacon Mental Hospital เจ้าหนาที่ Connelly กล่าวติดตลกถึงคดี คนไข้ที่ชอบหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของที่นี่จนทุกคนลือกันว่าเป็นผีหมอคนนึงที่มาจับตัวพวกคนไข้ไป เจ้าหน้าที่ Joseph Oda ที่เป็นฝ่ายข้อมูลกลับยิ่งสนใจเพราะดูจากการกล่าวอ้างมันดูเกินเลยไปสำหรับบรรทัดฐานของเขาไปหน่อย จุดนั้นเองที่หัวหน้าทีม Sebastian Castellanos ถึงกลับถามไปยัง Joseph ที่เป็นฝ่ายวิเคาห์ข้อมูลเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องกันกับคดีที่พวกเขากำลังมาทำ ทันทีที่คำตอบของ Joseph คือ มีความเป็นไปได้ เจ้าหน้าที่ Castellanos จึงต่อวิทยุเพื่อขอรายละเอียดในที่เกิดเหตุจากศูนย์ เหตุการณ์ไม่สู้ปกติก็เริ่มเกิดขึ้น เสียงแทรกประหลาดดังจากวิทยุจนแวบแก้วหูไปทั้งคันรถ เจ้าหน้าที่ Castellanos ขอความเห็นกับเจ้าหน้าที่นักสืบฝึกหัดหญิงฝีมือดีอีกคนในทีม Julie Kidman เธอกล่าวด้วยคำพูดที่สุขุมว่า “ตอนนี่ยัง แต่อาจจะได้อะไรอีกเยอะ ถ้าได้เข้าไปตรวจสอบ “ เพียงเท่านั้น เจ้าหน้าที่ Castellanos ก็ตัดสินใจเบี่ยงเบนเป้าหมายจากคดีที่เขากำลังไปทำเพื่อตรวจสอบคดีฆาตกรรมหมู่นี้ก่อนทันที โดยไม่รู้เลยว่ากำลังจะชักนำเขาไปสู่อะไรต่อจากนี้ ….



ทันทีที่ก้าวพ้นประตูหน้าเข้าไปในโรงพยาบาลก็พบศพที่ถูกฆ่าตายอย่างสยดสยองนอนตายเกลื่อนไปทั่ว Castellanos จึงสั่งลูกทีมให้แยกกันตรวจสอบพื้น อย่างระมัดระวัง ทันที เมื่อเข้าไปถึงห้องรักษาความปลอดภัยด้านในก็พบหมอคนนึงที่ยังรอดชีวิตอยู่ Castellanos จึงรีบเข้าไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดและก็ได้เห็นกับใครบางคนหรืออะไรบางอย่างที่ฆ่าคนที่นี่ด้วยการกระทบที่ผิดวิสัยมนุษย์ Castellanos ตกใจอยู่ไม่กี่อึดใจ เจ้านั่น หรือ สิ่งนั้นก็มาอยู่ข้างหลังของเขาแล้ว ก่อนที่มันจะพา Castellanos ไปยังสถานที่นึง ที่ที่โหดร้ายยิ่งกว่าเดิม






- ทันทีที่ Castellanos ฟื้นขึ้นมาในสภาพที่ตัวเองถูกแขวนห้อยหัวไม่ต่างอะไรกับอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ เขาเห็นชายร่างใหญ่ที่หยิบเอาชิ้นส่วนมนุษย์มาสับเป็นว่าเล่นอยู่ด้านใน ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นมีดสั้นที่ปักอยู่ที่ศพที่แขวนอยู่ข้าง ๆ เขาจึงพยายามแกว่งตัว ( โดยการโยกแกนอนาล็อกซ้าย LS ) เพื่อไปหยิบมันมาตัดเชือกที่แขวนเขาอยู่จนเป็นอิสระสำเร็จ และทันทีที่ Castellanos ตรวจสอบว่าปืนประจำตัวนั้นหายไปแล้ว เขาจึงไม่คิดจะเสี่ยงกับเจ้า Butcher ที่กำลังยืนเฉือนเนื้ออยู่ในห้อง แอบจนกว่า เจ้า Butcher มันจะเดินเข้าไปหลังห้องก็



เรียนรู้การย่อง (กด R1) เข้าไปที่โต๊ะวางศพแล้วหยิบกุญแจที่ห้อยอยู่มา แล้วเอาไปไขที่ประตูที่มุมห้องด้านนอก จะสามารถขึ้นมาชั้นบนได้แต่ เมื่อกำลังจะเข้าประตูเสียงสัญญาณก็ดังขึ้นทำให้ เจ้า Butcher รู้ตัวและเริ่มไล่ล่าเนื้อสดของมันทันที พยายามวิ่งหลบกับดักเข้าไปจนถึงทางลงใต้พื้นที่สุดทางเดิน Castellanos ก็จะหนีคมเลื่อยของ Butcher มาได้

- Castellanos ตกลงมายังท่อระบายน้ำที่เต็มไปด้วยเลือดแทนน้ำเสียและศพแทนขยะที่เน่าแถมยังได้แผลฉกรรจ์เพราะโดนเลื่อยไฟฟ้าเฉือนจนต้องเดินกระเผลก หลังจากหาทางปีนขึ้นมาถึงห้องทำงานชั้นบนได้



บันทึกของเจ้าหน้าที่ห้องไอน้ำจะระบุว่า เหตุการณ์ปรากฏตัวของชายลึกลับนั้นเริ่มตั้งแต่ 14.00 น.

จากนั้นเข้าไปตามทางจนถึงด้านใน Castellanos จะพบว่าเจ้า Butcher มันตามเข้ามาถึงในนี้แล้ว ประตูอีกด้านของห้องมันล็อก พื้นฐานการเอาตัวรอดสิ่งแรกที่ต้องเลียนรู้คือ การหลบซ่อน ตามตู้ ใต้เตียง หรือ ทุกที่ที่มีไอค่อนว่าสามารถเข้าได้ด้วยการกด R1




-  รอจนกว่า เจ้า Butcher มันหาไม่เจอแล้วพังประตูในออกไปก็ออกตามมันไปได้เลย ซึ่งก็จะพบว่า เจ้า Butcher มันกำลังควานหาอยู่ในห้องคนไข้ด้านใน สิ่งที่ต้องเรียนรู้ต่อไปก็คือการลักลอบหลบมัน โดยอาศัยการย่อง (R1) และการดูไอค่อนรูปดวงตาที่แสดงขึ้นมา ซึ่งถ้าเป็นรูปดวงตาเล็กๆแปลว่า ตอนนี้คุณอยู่ในสายตาศัตรูที่จะสามารถมองเห็นได้แล้ว แต่มันยังไม่เห็นคุณ แต่ถ้าไอค่อนรูปดวงตามันเบิกกว้างขึ้นนั่นให้รีบเผ่นได้เลยเพราะศัตรูมันรู้ตำแหน่งของคุณแล้ว เป้าหมายคือหลบ เจ้า Butcher เข้าไปที่ประตูด้านในห้องคนไข้ แต่เมื่อเข้ามาถึงทางเดินด้านใน เจ้า Butcher ก็ตามมาจนได้ พยายามวิ่งหลบวิ่งกัดขวางเข้าไปจนถึงลิฟต์ให้ทัน Castellanos จะลงมายังชั้น Lobby ที่ชั้น 1 ได้ ทันทีที่เสียงแรงสั่นสะเทือนรอบๆตัวได้เริ่มขึ้น Castellanos จึงรีบหนีออกทางประหน้าของโรงพยาบาลทันที ท่ามกลางความโล่งใจที่เขาพาชีวิตรอดมาจากโรงพยาบางบ้าสมชื่อนั่นได้ แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่ Castellanos จะได้พบเจอ อย่างน้อยๆตรงหน้าเขาก็ไม่ใช่โลกเดินที่เขารู้จัก ..




ภาพบ้านเมืองที่กำลังพังทลายอยู่ตรงหน้า Castellanos เสมือนเป็นเรื่องฝันร้ายซ้อนฝันร้ายที่เขาเพิ่งพบเจอมา โชคดีที่ เจ้าหน้าที่ Connelly กับ เจ้าหน้าที่ Kidman พร้อมทั้งผู้รอดชีวิตที่ช่วยได้คือ หมอและคนไข้ แต่ไม่มีวี่แววของ Joseph แม้แต่นิด แต่สถานการณ์นี้ไม่ใช่เวลาที่จะรอใคร เจ้าหน้าที่ Connelly จึงขับรถพาทุกคนหนีทันที เส้นทางที่ค่อยถล่มไล่หลังวุ่นวายจนทุกคนไม่เชื่อสายตา แต่ทำได้เพียงอย่างเดียวคือหนีให้พ้นเสียก่อน Connelly พยายามขับหลบหลีกจนสามารถผ่านมาที่อุโมงค์ทางออกเขตเมืองได้สำเร็จ แต่จู่ร่างกาย Connelly ก็เกิดผิดปกติ จู่ๆเขากลายเป็นซากศพที่เน่าเฟะ Castellanos ยิ่งตกใจกับสิ่งที่เขาเห็น ก่อนที่รถจะเสียการควบคุมขนชนขอบทางตกลงไปในหน้าผาทันที ….






                                                      ** Notice จากผู้เขียน **





โรงพยาบาลจิตเวช Beacon Mental Hospital นั้นเป็นสถานที่ที่สมมุติขึ้นแน่นอนตามที่ระบุไว้ก่อนเล่นเกมว่า “ ชื่อสถานที่และบุคคลต่างๆในเกมนี้นั้นถูกสมมุติขึ้นมาทั้งสิ้น “  แต่ก็บังเอิญดันไปมีชื่อใกล้เคียงกับสถาบันบำบัดและดูแลผู้สูงอายุที่ชื่อ Beacon Behavioral Hospital ที่อยู่ที่ นิวออร์ลีนส์ ใน L.A ด้วยเหมือนกัน ส่วนจะสยองเหมือนกันหรือไม่ใครใกล้แถวนั้นก็ลองแวะไปดูเอาแล้วกันครับ ^_^ 






                                                 Chapter 2: Remnants 


Castellanos ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสภาพมึนงงบนเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นเข้ามาตามทางใต้ตึกร้างโดยหมอและพยาบาลที่แสนจะเย็นชาจนถึงเตียงผ่าตัด ความหลอนตามราวีเขาอีกครั้งด้วยศพคนตายที่พยายามตะเกียดจะกรายขึ้นมาหาจนสุดท้าย Castellanos ก็ตื่นขึ้นมาในห้องคนไข้ วิกลจริต !




- ทันทีที่ลุกขึ้นมาได้ เข้าไปที่หน้าประตูไม่นานพยาบาลของที่นี่ก็จะมาเปิดประตูให้โดยไม่ได้สนใจว่า Castellanos ถามอะไรกลับไปด้วยซ้ำ ก่อนที่เธอจะเชิญออกจากห้องไปยังเค๊าท์เตอร์ด้านหน้าเพื่อลงทะเบียนผู้ป่วย ซึ่งสำหรับคุณผู้เล่นมันคือ จุดเซฟ เกม



จากนั้นพยาบาลจะนำทางไปยังที่สุดทาง ด้านในมีเก้าอี้น้ำเกลือตั้งอยู่กลางห้อง พยาบาลเชิญให้ Castellanos นั่งลงอย่างสุภาพ ก่อนที่เก้าอี้น้ำเกลือจะกลายเป็นเก้าอี้ไฟฟ้าล็อกตัว Castellanos เอาไว้จนแน่นพร้อมคำปลอบใจจากคุณนางพยาบาลว่า มันจะดีกับคุณ เพราะมันคือ การ upgrade Ability นั่นเอง


    

การ Upgrade Ability นั้นสิ่งสำคัญมีอยู่อย่างเดียวคือ ขวดใส่เมือกเขียว Green Gel ที่เก็บได้จากศัตรู ระหว่าง และทุกที่ที่สมควรจะมีมันซ่อนอยู่ในฉาก และทันทีที่ผ่ากระบวนหารแนะนำเสร็จ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหรืออย่างไรที่ทำให้ Castellanos กลับมาที่จุดเกิดเหตุหลังจากรถของเขาตกเหวอีกครั้ง พร้อมกับคำถามแรกเดิมคือ เขาอยู่ที่ไหน ? และไร้เงาของ Kidman และ Connelly



- สำรวจพื้นที่รอบๆจะพบไอเทมแรกนั่นคือ Syringe ซึ่งก็คือเข็มฉีดยาสำหรับเติมพลังชีวิต พร้อมทั้งเรียนรู้การเซ็ทไอเทมเข้าเมนูช็อตคัทโดย การกดแกนอนาล็อกขวาลงไปตรงๆเพื่อเปิดหน้าจอเมนูไอเทม เลือกไอเทมหรืออาวุธที่ต้องการทางหน้าต่างขวาไปใส่ยังปุ่มทิศทางต่างๆตามที่ต้องการ เวลายามใช้งานก็สามารถกดปุ่มทิศทางเพื่อเลือกใช้ไอเทมที่ต้องการได้ทันที
- จากนั้นเดินเข้าไปตามทางในป่า จนถึงริมเนินเข้าสุดทางจะเห็นตะเกียงตกอยู่ เก็บมาใช้ได้เลย ตะเกียงนั้นโชคดีที่มันไม่ต้องการน้ำมันในการเปิดมันจึงใช้งานได้ตลอดเวลา แต่ต้องดูสถานะการณ์ด้วยเพราะแสงที่ทำให้เห็นทางนั้นมันก็ทำให้ศัตรูเห็นคุณด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถกดแกนอนาล็อกซ้ายในการเปิด – ปิดตะเกียงได้ และทันทีที่จัดการเรื่องตะเกียงจบ Castellanos ก็เห็นเจ้าหน้าที่ Connelly เดินเข้าไปในกระท่อมด้านล่าง เขาจึงโดดตามลงไปทันที




- แต่ทันทีที่ Castellanos ตามเจ้าหน้าที่ Connelly เข้าไปในกระท่อม เขาก็พบว่า เจ้าหน้าที่ Connelly เปลี่ยนไปจากเดิมจากแสงฟ้าแลบ สภาพร่างกายที่เน่าเฟะของ Connelly ที่กำลังนั่งแทะกินศพของมนุษย์หน้าตาเฉย ทำให้ Castellanos ต้องค่อยย่องไปหยิบปืนของ Connelly ที่ตกอยู่มาเตรียมใช้งาน จากนั้นก็กด L2 + R2 ในการเล็งและยิงได้เลย ตอนนี้ Castellanos มีศัตรูแรกที่ต้องกลัวแล้วมันคือ ซอมบี้ ชาวบ้านที่เปลี่ยนสภาพเป็นศพเดินได้ที่พร้อมจะโจมตีทันทีที่มันเห็นเนื้อสดๆเข้ามาในสายตา ซึ่ง Castellanos นั้นก็สามารถสู้มันได้ 2 ทางคือ ซัดมันด้วยหมัดดิบๆแล้วหนี ยิงด้วยปืนถ้าไม่กลัวเปลืองกระสุน และ ลอบเข้าไปด้านหลังแล้วเสียบด้วยมีดในแบบลอบฆ่า แต่ในกรณีนี้ก็ยิงมันไปซะให้จบเรื่องไป



- จากนั้นผ่านกระท่อมไปตามทางจนถึงถ้ำจะเจอ Leslis withers คนไข้จิตไม่สมประกอบที่ Kidman ช่วยมาได้จากโรงพยาบาล เธอเตือน Castellanos ถึงกับดักระเบิดที่อยู่ตรงหน้า มันอันตรายถ้าคุณไม่เห็นกันแต่ถ้าสามารถเข้าไปปลดชนวนมันได้ (Disarming Trap) โดยการกด X ค้าง Castellanos ก็จะได้ Trap part Acquired เอาไว้ใช้สำหรับสร้างกระสุนต่างๆสำหรับหน้าไม้ได้
- ออกเดินทางต่อ เรียนรู้การวิ่งด้วยการกด L1 แต่มันก็ต้องอาศัยเกทความเหนื่อยสีเหลืองเล็กๆใต้พลังชีวิตในการวิ่งด้วย ซึ่งถ้าวิ่งจนเกทหมด Castellanos ก็จะได้แต่ยืนหอบไม่ยอมขยับไปไหนให้ซอมบี้เข้ามากัดฟรีๆทันที ฉะนั้นการบริหารเกทการเหนื่อยหับการวิ่งเอาตัวรอดนั้นต้องใช้งานให้ถูกจังหวะด้วย



 - ออกจากถ้ำเข้าไปในป่าจนพบศพมากมายที่นอนตายอยู่ ใกล้จะมี ไอเทมไม้ขีดตกอยู่ ซึ่งสามารถที่จะนำมันมาใช้ในการเผาร่างของมันกันมันลุกขึ้นมาก่อกวนได้ ด้วยการกด O แต่ก็ต้องตัดสินใจให้ดีว่าจะเผาหรือไม่เพราะศพมันก็ไม่ได้จลุกขึ้นมากัดได้ทุกตัว นั่นแปลว่าอาจจะเสียไม้ขีดฟรี ส่วนประโยชน์อีกอย่างคือการเผากองฟางที่ติดไฟได้เพื่อให้พวกซอมบี้ที่เข้ามาโดนไหม้ไปด้วย ซึ่งถ้าเป็นพวกซอมบี้กระจอกๆมันจะโดนเผาตายได้ในทันที




- เข้าไปตามทางในป่าต่อจนเจอห้องน้ำเก่า ด้านในจะเจอสมุดบันทึกข้อมูลส่วนตัวของ Castellanos ตกอยู่ และกระจกเก่าๆที่แขวนที่พนัง มันจะเป็นทางวาร์ปกลับไปยังโรงพยาบาลได้ เพื่อเซฟเกมและพักการเดินทางชั่วคราวให้หายเหนื่อยใจ

                       บันทึกของ Sebastian Castellanos ฉบับที่ 1 - พฤศจิกายน 2004 




“ ดีใจด้วยที่ได้เลื่อนตำแหน่ง นักสืบ Sebastian Castellanos “ ผมชอบฟังประโยคพวกนี้จากคนรอบๆตัวน๊ะ เพราะมันทำให้รู้สึกถึงเวลาที่เสียไปก่อนที่จะได้มันมา มีแต่คนชอบพูดว่าผมได้เลื่อนตำแหน่งเร็วเกินไป จนผมแทบจะทนแสดงฝีมือความเป็นนักสืบของผมให้พวกเขาเห็นไม่ไหว ผมจะทำดีได้แค่ไหนอันนี้ก็ไม่รู้ แต่อย่างน้อยผมก็ได้สลัดชุดตำรวจกระจอกๆออกไปได้ซะที …ตอนนี้ทาง KCPD ตำรวจท้องที่ขอความช่วยเหลือมา ผมคงได้มีโอกาศได้เจออาชญากรรมจริงๆซะที แถมเมือง Krimson City มันก็บ้านผม มันก็ถือเป็นหน้าที่ผมเหมือนกันที่จะปกป้องมัน 

** Notice จากผู้เขียน **  นิสัยทางจิตวิทยาที่เห็นได้ชัดของ Castellanos คือเป็นคนทะเยอทะยานสูง มั่นใจตัวเอง อยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในรูปแบบของ ชื่อเสียง จะโดยหรือจะด้วยวิธีอะไรก็ได้โดยไม่เลือกวิธี แต่ทั้งหมดถูกซ่อนไว้อย่างดีภายใต้ ความขยันและเอาจริงเอาจังในการทำงาน 

-เมื่อวาร์ปกลับมาที่โรงพยาบาล ตรงป้ายประชาสัมพันธ์ที่ห้องโถงด้านหน้าจะเริ่มมีใบประกาศคนหายแปะอยู่ ซึ่งใบแรกก็คือ Leslie withers คนไข้สาวจากโรงพยาบาล Beacon Mental Hospital ที่ Castellanos กำลังหาตัวอยู่นั่นแหละ
- แวะที่ห้องเก้าอี้ไฟฟ้าก็จะสามารถเข้าไปตรวจดูเมนูอัพเกรดได้แล้ว ซึ่งการอัพเกรดนั้นประกอบด้วย



Upgrade
Ability
- Life Gauge (เพิ่มเกทพลังชีวิต)
– Maximum Sprint time (เพิ่มเกทความเหนื่อย)
- Melee Damage (เพิ่มพลังโจมตีของอาวุธในแบบตี)
- Syringe Recovery (เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เข็มฉีดยาเติมพลังชีวิต)

Weapon 
- Damage (เพิ่มพลังโจมตีของอาวุธในแบบยิง)
– Fire Rate (เพิ่มระยะหวังผลในการยิง)
–Reload Time (รีโหลดกระสุนได้เร็วขึ้น)
– Clip Recovery (เพิ่มจำนวนกระสุน)
– Accuracy (เพิ่มความแม่นยำ) 
- Critical – (เพิ่มอัตราการเกิดการโจมตีแบบรุนแรง)

Stock 
- Ammunition (เพิ่มจำนวนการพกกระสุน)
- Grenades(เพิ่มจำนวนการพกระเบิด)
- Syringe (เพิ่มจำนวนการพกเข็มฉีดยาเติมพลัง)
- Matches (เพิ่มจำนวนการพกไม้ขีด)

- เมื่อวาร์ปกลับมาที่ป่าอีกครั้ง ผ่านห้องน้ำเข้าไปตามทางจนถึงบ้านข้างทางหน้าหมู่บ้านที่จะเริ่มพบชาวบ้านที่กลายเป็นซอมบี้มากขึ้น ซึ่งจะเห็น Leslie วิ่งหนีเข้าไปในบ้านโดยที่มีซอมบี้พยายามที่จะพังประตูเข้าไป เรียนรู้ระบบการลอบฆ่า Sneak Kill ลอบเข้าไปด้านหลังแล้วเสียบด้วยมีด อย่างไร้เสียงและไม่เปลืองกระสุน แต่ต้องเสี่ยงที่จะเจอตอนซอมบี้มันหันมาเจอพอดีด้วย ซึ่งต้องบอกว่า เป็นบ่อยมาก เมื่อเข้าไปในบ้านแล้วจะเห็น Leslie หนีออกทางหน้าต่างหลังบ้านเข้าไปในป่าต่อ




- เมื่อเข้ามาจนถึงบ้านของชาวประมง Castellanos จะรีบเข้าไปสอบถามว่าที่นี่มันคือที่ไหน ก่อนที่แสงไฟจากประภาคารจะสาดส่องเข้ามาเปลี่ยนชาวไร่ที่ไร้มารยาทกลายเป็นซอมบี้มนุษย์ลวดหนามทันที




** Lakeside Town Note ** 
บันทึกของชาวบ้านที่เมือง Lakeside Town ที่ได้รับแสงที่ส่องมาจากประภาคารที่ทะเลสาปจนทำให้เปลี่ยนแปลงไป ไร้ความนึกคิด ไร้ความทรงจำ และน่าสะพรึงกลัว เหตุการณ์ร้ายนี้เริ่มจากวันไหนนั้นไม่มีใครหลงเหลือไว้ให้บอกข้อมูล 

- เมื่อเข้ามายังหมู่บ้าน Lakeside Town ส่วนหน้าที่บ้านของพวกชาวประมง สิ่งที่ต้องทำก็คือลอบเข้าไปด้านใน ระหว่างทางก็ใช้การลอบฆ่า ขว้างสิ่งของให้ซอมบี้เปลี่ยนทิศทางการเดิน ซึ่งการส่งเสียงในการเดินทางของ Castellanos นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ควรระวัง ทั้งการวิ่ง การเปิดประตูด้วยการถีบ มันจะทำให้ศัตรูเข้ามาสนใจได้ทั้งนั้น  เพื่อเข้าไปหาไอเทมต่างในบ้านเสียก่อนเพราะ ทั้งกระสุน ขวดเจลสีเขียว นั้นสำคัญมากกว่าที่จะหวาดกลัวจนรีบผ่านมันไป เป้าหมายคือผ่านหมู่บ้านชาวประมงนี้เข้าไปที่ประตูไม้ใหญ่ซึ่งเป็นทางออกด้านหลังให้ได้



- เมื่อเข้ามาจนพบประตูแล้วก็รีบหมุนคันโยกประตูเปิดเข้าไปด้านในต่อ ที่ป่าด้านในนั้นไม่มีอะไรที่น่ากลัวไปกว่าฝูงชาวบ้านซอมบี้ที่กำลังแทะกินอาหารอยู่กลางพื้นที่ตรงทางเข้าไปยังประตูไม้ด้านใน พยายามหลบเลาะด้านขวามาแล้ววิ่งขึ้นไปบนเนินได้เลยเพราะยังไงพวกซอมบี้ก็ต้องเห็นอยู่แล้ว แต่เมื่อ Castellanos กัดฟันวิ่งอย่างสุดกำลังจนเข้ามาถึงประตูไม้ได้แต่ก็พบว่ามันถูกปิดตายอยู่ Castellanos จึงไม่มีทางเลือกที่ต้องปีนกำแพงแล้วโดดลงน้ำเสี่ยงตายเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ก่อนที่จะเป็นอาหารซอมบี้จำนวนมากที่กำลังไล่ตามหลังเขามา  






                                             Chapter 3: Claws of the Horde 








- Castellanos ที่โดดหนีตายลงมายังแม่น้ำด้านล่างยังครบ 32 หลังจากสลัดความมึนงงทิ้งไปได้ก็ขึ้นไปด้านบนจากท่าเรือไปที่ขอบสะพานอีกด้านของแม่น้ำได้ เข้าไปด้านในจนถึงประตูทางเข้าเมืองเล็กๆด้านในที่สุดแสนจะอึมครึม ที่นี่ภายในบ้านจะพบอุปสรรครูปแบบใหม่นั่นคือระเบิดเวลา




 ซึ่งต้องใช้ความเร็สและแม่นยำในการปลดชนวนด้วยการกดให้ตรงกับแถบสีน้ำเงินเท่านั้น ถ้ากดเลยไปโดดสีแดงก็ระเบิดเละ แต่ถ้าช้าจนระเบิดเริ่มทำงานก็เละ และถ้าพยายามจะวิ่งผ่านไปก็ยิ่งเละเข้าไปใหญ่  แต่ถ้าสำเร็จก็จะได้ Trap part เป็นรางวัลเช่นกัน สำรวจเก็บของตามบ้านต่างๆให้ทั่วๆ ซึ่งจะมีห้องน้ำที่มีกระจกวาร์ปอยู่ในบ้านหลังแรกทางด้านซ้าย

บันทึกของ Sebastian Castellanos ฉบับที่ 2 - ธันวาคม 2004
วันนี้ผมได้คู่หู เพื่อนร่วมงานคนใหม่ เธอชื่อ Myra Hanson เธออย่างกับระเบิดเวลา จอมทิฐิ และไม่ยอมเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทั้งปวง โอ้ เธอมันสเปคผมชัดๆ ก็อย่างว่าผมต้องคอยดูแลเธอในหน้าที่คู่หูทุกวัน ซึ่งก็ไม่น่าจะใช้เวลานานอะไรเพราะตอนนี้ก็เกือบที่เธอจะเปิดเผยความลับเฉพาะในตัวเธอเองให้ผมรู้แล้วล่ะ 




- จากนั้นเข้าไปถึงบ้านฝั่งซ้ายตรงหัวมุมทางเลี้ยวชั้นบนจะพบกับหมอ Marcelo ที่หนีมาพร้อมกันในตอนแรกอยู่ที่นี่ หมอบอกว่าเขากำลังตามหา Leslie คนไข้ของเขาซึ่งเขาเห็นวิ่งออกไปทางประตูด้านหลังหมู่บ้านไปแล้ว หมอจะให้ Castellanos ลองส่องกล้องดูที่ประตูไม้ใหญ่หลังหมู่บ้านที่ระหว่างทางจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่เป็นซอมบี้ทั้งเมือง หมอจึงคิดแผนที่จะให้ใครคนนึงเป็นคนล่อซอมบี้แล้วให้อีกคนรีบไปหาทางเปิดประตูไม้ใหญ่หลังหมู่บ้าน ซึ่งหมอเลือกที่จะเป็นคนล่อเป้าซอมบี้ให้
- ทันทีที่หมอออกไปล่อซอมบี้พวกมันก็จะเริ่มแตกตื่นไปด้วย มันจะออกค้นหาทุกซอกทุกมุมของทุกบ้านจนทั่ว พยายามหาทางซ่อนตัวไว้ได้เลย ในเมืองอาจดูกว้างและซับซ้อนแต่จริงๆมันมีแค่บ้านแค่ 2 ฝั่งถนน พยายามสำรวจบ้านทางฝั่งขวาจนถึงบ้านที่มีห้องโถงที่มีสวิตซ์กับดักสีแดงอยู่บนทางขึ้นและทางลงบันได







ห้องนี้จะมีอาวุธสำคัญที่ต้องเก็บคือ Shot Gun อยู่ในกล่องตรงทางเข้าชั้นล่าง และ หน้าไม้ Agony Crossbow วางอยู่ที่สุดทางเดินบนระเบียงด้านบน ซึ่งเจ้าหน้าไม้ Agony Crossbow นี่แหละที่จะทำให้ Trap Part ที่เสี่ยงตายไปเก็บมามีประโยชน์ขึ้นมาแล้วเพราะจะสามารถนำ Trap Part มาใช้สร้างกระสุนหัวต่างๆได้ด้วย




– จากนั้นลอบเข้าไปจนถึงประตูไม้เป้าหมายที่อยู่ด้านหลังหมู่บ้าน Castellanos ก็ต้องเปลี่ยนแผนใหม่เพราะไม่สามารถเปิดประตูได้เพราะมีโซ่ขนาดใหญ่ยึดอยู่ Castellanos จึงต้องคิดหาอะไรซักอย่างมาตัดมัน อะไรที่มันประเภท เลื่อยไฟฟ้า นั่นเอง ย้อนกลับไปที่โรงนาฝั่งซ้ายก่อนถึงประตูไม้ จะเริ่มได้ยินตัวอะไรบางอย่างคำรามออกมา เมื่อเข้ามาในโรงนาแล้วก็ต้องเตรียมการกันก่อน โดยจัดการปลดชนวนระเบิดเวลาที่ทางออกด้านหลังเอาไว้ แล้วปีนขึ้นไปปลดกับดักที่ชั้น 2 ออกแล้วเก็บไอเทมต่างๆมาให้หมด แล้วกลับลงมาชั้น 2 เข้าไปตรงที่แผ่นไม้ที่กั้นอยู่ที่ชั้นล่างด้านในจะเจอ Butcher พร้อมเลื่อยไฟฟ้าที่ต้องการถูกล่ามโซ่อยู่



- เปิดฉากยิง Butcher ตั้งแต่มันอยู่ในคอกไม้ได้เลยอย่างน้อยก็โดนจัง 3 ดอก จากนั้นถ้ามีกระสุน Agony Crossbow มากพอแล้วสามารถหาจังหวะวิ่งหลบให้ดีๆก็พอสู้ได้อยู่ แต่อาจลำบากตรงพวกซอมบี้ที่บุกเข้ามาด้วยมากกว่า แต่ถ้าจะสู้แบบเอาเปรียบก็ให้ปีนขึ้นชั้น 3 ของโรงนานี้ เพราะ Butcher มันจะปีนขึ้นตามไปแค่ชั้น 2 เท่านั้น ที่ห้องเล็กๆชั้น 3 สามารถยืนส่องยิงลงมาจากช่องบันไดมาที่ Butcher ที่มายืนตรงบันไดชั้น 2 ได้อย่างสบายๆแบบไม่ต้องเหนื่อยแรง



เมื่อจัดการมันได้ก็เข้าไปเก็บเลื่อยไฟฟ้าของมันมาแล้วเอาไปตัดโซ่ที่ประตูใหญ่ แล้วหมอ Marcelo ก็จะตามเพื่อเข้าประตูไปพร้อมกัน



                                                    Chapter 4: The Patient  





Castellanos และ หมอ Marcelo จะเข้ามาจนถึงเมืองด้านในได้สำเร็จ Marcelo ทำท่าทางเหมือนว่าเขาจะรู้จักคุ้นเคยกับคลีนิค Elk River ที่อยู่ในเมืองนี้เป็นอย่างดี



หมอ Marcelo – อ่า ..ที่คลีนิคแห่งนี้ Leslie เคยมารักษาตัวที่นี่เมื่อปีก่อน คงเพราะคิดว่าที่นี่มีญาติของเขาอยู่และเขาคงคิดว่ามันปลอดภัย 
Castellanos – หมอรู้หรอว่าเราอยู่ที่ไหนกัน ?
หมอ Marcelo – ตอนนั้นเราหนีกันเจ้าละหวั่น พี่ชายผมพาไปซ่อนในคลีนิคด้านใน 
Castellanos – ที่พูดมามันใช่คำตอบที่ผมถามไปหรอหมอ ?
หมอ Marcelo – อันที่จริงก็ไม่ค่อยแน่ใจมากกว่า ผมรู้สึกตอนนี้เหมือนความจำจะเสื่อม กลัวบอกไปจะผิดพลาดน่ะสิ แต่จำได้ว่าหมอ Valerio รุ่นพี่ผมทำงานอยู่ที่นี่ว่าจะลองเข้าไปถามดู ก็ด้วยเกรียติของหมอผมก็แค่อยากจะปกป้องคนไข้ของผมเหมือนกับที่คุณตำรวจที่รักษากฎหมายนั่นแหละ 
Castellanos – ก็อย่าให้รุ่นพี่หมอ เป็นบ้าไปอีกคนก็แล้วกัน 

- ตามหมอ Marcelo เข้าไปที่บ้านหลังทางซ้ายของทางเข้า แวะเข้าห้องน้ำจะมีกระจกให้วาร์ปกลับไปที่โรงพยาบาลอยู่ถ้าต้องการจะ Upgrade Ability หรือเจอรูปปั้นที่ทำลายแล้วได้กุญแจ นางพยาบาลก็จะให้ไปในห้องเก็บศพด้านในเค๊าท์เตอร์ของเธอเพื่อเอากุญแจที่ได้มาไปไขช่องเก็บศพลุ้นรับไอเทมต่างๆตามโชคที่มีได้ด้วย

บันทึกของ Sebastian Castellanos ฉบับที่ 3 – กุมภาพันธ์ 2005
เมื่อตอนบ่ายของวันนี้ Myra คู่หูคนโปรดผมโดนทำร้าย โชคดีที่เธอปลอดภัย เห็นเลือดเธอออกขนาดนั้นก็นึกว่าต้องเสียเธอไปซะแล้ว ผมเป็นห่วงเธอน๊ะ แต่ไม่อยากให้แสดงความรู้สึกแบบนี้ออกไปเธอรู้ ก็ต้องทำฝืนให้มันขัดแย้งกับความรู้สึกของตัวเองไปวันๆ ก็หวังแค่ว่าไอ้ความอึดอัดใจนี่มันคงไม่ผลเสียกับการทำงานของผมเท่านั้นก็พอ 

- จากนั้นลอบหลบเข้าไปในบ้านจนถึงชั้นล่างหมอ Marcelo ก็จะบอกว่าเป็นคลีนิคของหมอ Valerio ซึ่งก็ได้ยินเสียงพูดเบาๆจากเตียงตรวจคนไข้อยู่ หมอ Marcelo ไม่รอช้าที่จะพา Castellanos เข้าไปทำความรู้จักกับหมอ Valerio ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่และหมอเจ้าของไข้ Leslie ด้วย แต่ด้วยเสียงประหลาดๆด้านที่ดังออกมาทำให้ Castellanos รู้ทันทีว่ามันผิดปกติ



- ซึ่งก็เป็นไปตามคาดที่ หมอ Valerio แท้จะยังพยายามรักษาคนไข้ของเขาอยู่แต่ก็ไม่ใช่ในฐานะหมอแต่กำลังชำแหละศพคนไข้เล่นเอาสนุกมากกว่า ทันทีที่หมอ Valerio เปิดเผยใบหน้าที่น่าขยะแขยงออกมาพร้อมมีผ่าตัดในมือ ก็จัดการมันได้เลย จากนั้นสำรวจที่โต๊ะทำงานด้านในจะพบฟิมล์เอ็กซ์เรย์ที่เห็นกุญแจอยู่ในท้องศพ ก็จัดการผ่าเอากุญแจออกมาอีก 1 ดอก




- จากนั้นออกจากบ้านจะได้ยินเสียงร้องของ Leslie ด้านใน เดินตามเข้าไปจนถึงบ้านสุดทางจะเห็น Leslie วิ่งหนีเข้าไปในบ้าน ตามเข้าไปจนถึงคลีนิคที่ชั้นล่างจะพบเธอแอบอยู่ด้านใน Leslie พยายามสื่อสารบอกถึงสิ่งที่เธอหวดกลัวที่แอบอยู่ที่นี่ในขณะที่ Castellanos ก็ได้ยินเสียเปิดประตูกับเสียงเท้าเข้ามาแต่กลับไม่เห็นตัวอะไรเข้ามาเลย ตัวประหลาดที่ล่องหนได้ กำลังเข้ามาด้านในซึ่งเป็นอะไรที่มองยากและยิงโดนยากมาก ง่ายสุดคือยอมเปลืองกระสุนช็อตกันที่ยิงกระจายได้จัดการมัน



- เมื่อจัดการปีศาจล่องหนได้แล้วก็พา Leslie หนีออกไปด้านนอกแต่ระหว่างจะกลับขึ้นไปชั้นบนก็จะพบว่าบันไดทางขึ้นนั้นหายไปแล้ว พร้อมกับร่างของชายที่ใส่ฮู๊ดปรากฏออกมาที่ประตูสุดทาง หมอ Marcelo เหมือนจะรู้จักมันดี เขาเรียกมันว่า “ Ruvik “ ก่อนที่มันจะหายตัวไป



เมื่อตามมันเข้าประตูสุดทางไป Castellanos จะถูกพามาที่บ่อเก็บน้ำเสียที่เต็มไปด้วยเลือด Ruvik มันจะปิดทางออกแล้วส่งพวกซอมบี้มากมายเข้ามาโจมตี จัดการมันให้หมดแล้วถึงจะออกประตูด้านในได้ Castellanos จะพยายามตาม Ruvik ไปถึงห้องด้านใน แต่สิ่งที่เจอกลับไม่ใช่ Ruvik



แต่เป็น Re – Bone Laura ปีศาจ 4 มือสุดสยองแถมหายตัวได้อีกด้วย จากนี้ Castellanos ทำอะไรไม่ได้นอกจากหนีอย่างเดียว พยายามหนีไปตามทางจนถึงลิฟต์ลงมาถึงทางลงบันไดจะเจอ Ruvik มาดักหน้าก่อนที่มันจะทำลายบันไดทั้งหมดจนพังถล่มลงพร้อมกับร่างของ Castellanos ที่ตกลงไปชั้นล่าง



                                                Chapter 5: Inner Recesses 


Castellanos ตกลงมาจนถึงชั้นล่างของตึก เข้าไปสำรวจห้องตรงหน้าก็จะพบกับห้องกระจกวาร์ปแต่หัววัน เก็บธนูหัวระเบิดและบันทึกของ Castellanos มาด้วย

บันทึกของ Sebastian Castellanos ฉบับที่ 4 - มีนาคม 2005
จะว่าไปแล้วถึงผมจะชอบลุยเดียวแต่การที่ได้คนรุ่นใหม่ไฟแรงและมีฝีมืออย่าง Joseph Oda เข้ามาร่วมทีมก็ถือว่าไม่เลวร้ายนักหรอก ความฉลาดของเขาทำให้ทีมดูดีขึ้นเยอะ เมือง Krimson City กำลังต้องการคนแบบเขาเยอะๆ เพราะบางทีงานของเราก็เหมือนกำลังวิดน้ำออกจากเรือที่มีรูโบ๋ขนาดใหญ่ ทุกคดีที่เราปิดไปก็จะมีคดีใหม่ๆโผล่ขึ้นมาให้ทำอีกเสมอ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวก KCPD ที่ฝีมือไม่เอาไหน ผมว่ามันแย่ลงสมัยที่ผมเคยทำงานอยู่เยอะเลยน๊ะ 

- เข้าไปตามทางเดินด้านในเก็บไอเทมในห้องผู้ป่วยให้หมด ระหว่างทางที่ต้องระวังคือเจ้าตัวล่องหน เข้าไปจนถึงด้านในจะพบประตูที่ต้องใช้ Keycard เข้าไปตามช่องทางเดินทางขวาต่อจนถึงห้องทำงานสุดทางเข้าไปเก็บ Keycard จากศพแล้วย้อนมาใช้กับประตู Keycard เปิดเข้าไปต่อจนถึงบันไดลงชั้นล่างจะเข้ามาในห้องที่ไม่มีทางออก เมื่อสำรวจส่องที่รูที่พนังของแต่ละด้านทั้ง 3 ด้านก็จะปรากฏประตูออกมา 3 ประตู จากซ้ายไปขวา น้ำตาล น้ำเงิน และ ขาว เข้าไปในแต่ละห้องจะพบเตียงที่มีศพอยู่และปุ่มที่ต้องเลือกกด ถ้ากดถูศพก็จะโดนกับดักแทงจนเลือดไหลนองไปนอกห้อง แต่ถ้าผิด Sebastian ก็ตายด้วยกับดักนั่นแทน โดยให้เลือกกดตามภาพที่วาดอยู่ในแต่ละห้องคือ




 ประตูสีน้ำตาล กดปุ่ม ซ้าย 
ประตูสีน้ำเงิน กดปุ่ม ซ้าย
ประตูสีขาว กดปุ่ม ขวา

ถ้ากดถูกเลือดที่นองออกจากทั้ง 3 ก็จะมารวมกันเป็นประตูอีกบานออกมาให้เข้าไปด้านในต่อ

 

Underground facility Note 
เขาโกหก กับลูกเขา เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เขาฝ่าฝืนกฎของที่นี่ก็เพื่อจะได้ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ไง เสแสร้ง !  มือถือสากปากถือศิล ข้ารู้ทันหรอกน่า ข้ารู้จักเขาดี ดีกว่าที่มันรู้จักตัวมันเองอีก  เขาโกรธข้า โกรธมาตลอดเพราะข้ารู้ความลับของพวกเรา เขาเลยพยายามจะกำจัดข้า แล้วคิดว่าจะทำให้ข้าเป็นไอ้ตัวโง่งี่เง่าได้หรอ ข้ารู้ รู้ว่า ..Laura ยังไม่ตาย !!




- เข้าประตูสีเหลืองมาด้านในจะเห็น Joseph ถูกมัดอยู่ในอ่างอาบน้ำ Sebastian จึงพยายามช่วยออกมาได้สำเร็จ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เลยว่าอะไรเกิดขึ้นกับเขาก่อนหน้านี้ แถมยังรู้สึกว่าหัวกำลังปวดอย่างมากเพราะได้ยินเสียงประหลาดอยู่ตลอด หลังจากช่วยมาได้แล้ว Sebastian ก็ต้องเข้าไปช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาด้วยการกด X ค้างจนพลังชีวิตเขาเต็ม (ไม่ต้องห่วงเพราะไม่ได้กินไอเทมอะไรของ Sebastian)
– จากนั้นก็พากันลุยเข้าไปตามทางเดินในห้องคนไข้รวมที่เต็มไปด้วยคนไข้ที่ไม่ยอมตายมากมาย ลุยเข้าไปด้านในต่อจนพบประตูที่ถูกผิดติดไว้กับระเบิดมากมาย เมื่อ Joseph เปิดปลอดชนวนแล้วเปิดเข้าไปได้ เขาจะเกิดได้ยินเสียงประหลาดจนเข้ามาทำร้าย Sebastian แต่ก็โชคดีที่มันหยุดลงได้ก่อน เข้าไปขึ้นบันไดไปชั้นบนตรงประตูทางออกของส่วนนี้ทางขวาจะมีห้องน้ำที่มีกระจกวาร์ปให้กลับโรงพยาบาลอยู่ด้วย




- เมื่อเปิดประตูเข้ามาถึงระเบียงห้องโถงใหญ่ก็จะเห็น Kidman ถูกจับอยู่ในกับดักกล่องน้ำท่วมพร้อมคนไข้ตายซากมากมายด้านล่าง Sebastian กับ Joseph จึงต้องพยายามลงไปช่วยเธอ คนไข้ซอมบี้จะออกมาเป็นละลอกไม่มากมายแต่บางตัวมีระเบิดติดมาด้วย เมื่อจัดการพวกมันจนหมดแล้ว Joseph จะพยายามเข้าไปปลดล็อกกับดักออก แต่ทำไม่ได้เพราะมีตัวยึดระบบไฮโดริคอยู่ เขาจึงอยากให้ Sebastian รีบไปหาสวิตซ์เปิดระบบของมันซึ่งน่าจะอยู่ที่ไหนซักแห่งแถวนี้ จากนั้นเข้าช่องทางด้านหน้าไปจะมีประตูลูกกรงด้านในที่เปิดอยู่ ลุยไปตามห้องคนไข้จนถึงบันไดทางขึ้นสุดทาง ด้านบนจะพบสวิตซ์ควบคุมอยู่ Joseph จะบอกให้หมุนรหัสในการปิดคือ บน 22 – ล่าง 5 หมุนที่แท่นไปตามนั้นระบบก็จะเปิดออกแล้ว



– Joseph จะสามารถช่วย Kidman ออกมาจากกล่องนรกได้ แต่ทั้งคู่ก็ต้องตกไปด้านล่างเพราะพื้นถล่มอีก ลงมาแล้วโดดตามพวกเขาไปด้านใน ลุยเข้าไปจนถึงสุดทางก็จะพบทั้งคู่กำลังสู้กับพวกคนไข้ซอมบี้อยู่ จัดการพวกมันให้หมด แล้วทั้งหมดจะช่วยกันเปิดประตูเข้าไปด้านในต่อ แต่ระหว่างทางทุกคนก็โดนมือที่น่าขยะแขยง 4 มือดึงลงไปในกองเลือด พอ Sebastian รู้สึกตัวอีกทีก็ไม่พบ Joseph กับ Kidman แล้ว เข้าไปด้านในต่อก็จะพบห้องน้ำที่มีกระจกวาร์ปและการ์ดเชิญงานแต่งของ Sebastian ตกอยู่



Wedding invitation 
Sebastian Castellanos และ Myra Handson มีความยินดีที่จะเรียนเชิญทุกท่านไปน่วมงานฉลองวันแต่งงานในวันเสาร์ที่ 7 กันยายน 2005 ที่โรงแรม Veranda Krimson city 

- จากนั้นลุยเข้าไปตามทางเดินด้านในต่อจนสุดทางจะเจอห้องเครื่องที่มีไฟสีแดง ในขณะที่เข้าไปเก็บไอเทมดีๆด้านใน เสียงร้องที่น่าสยอดสยองก็ดังขึ้นพร้อมกับเลือดที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้น ใช่แล้วไม่ใช่ใครที่ไหนเธอคือ Re – Bone Laura นั่นเอง แปลว่าเตรียมตัวโกยได้เลย เมื่อหนีออกมาจากห้องที่มุมทางเดิน Laura มันจะตามมาแล้วถูกไฟครอกจนต้องหนีไป ซึ่งระบบของเกมพยายามจะบอกว่า Laura เธอแพ้ไฟนั่นเอง (ยิงก็ตายครับแต่ต้องเปลืองกระสุนมหาศาลและก็รู้ๆอยู่ว่าเราไม่ได้มีกระสุนมากขนาดนั้น) จากนั้นเข้าไปตามทางตรงประตูกรงที่มันพังหนีไปจนถึงห้องเผาขยะติดเชื้อของโรงพยาบาล



- เข้ามาจะพบว่าทั้งทางออกและทางเข้าที่เพิ่งเข้ามานั้นหายไปแล้วตอนนี้ก็เหลือแต่ Sebastian และ Laura 2 ต่อ 2 เท่านั้น นั่นแปลว่าต้องกำจัดเธอนั่นเอง ซึ่งอาวุธที่จะฆ่าเธอได้ในนี้ก็มี คบเพลิงที่ตกตามพื้น ถังน้ำมันสีแดงที่ยิงแล้วระเบิดและ ห้องเผาขยะที่สามารถล่อเธอไปตรงนั้นแล้วสับคันโยกเปิดพื้นให้ตกลงไปในกองไฟได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเธอจะตายในทีเดียวน๊ะ ทำได้ครั้งนึงก็อย่ามัวชื่นชมผลงานให้รีบหนีหาที่จะจัดการเธอต่อไปได้เลย




เมื่อจัดการมันได้แล้วประตูทางออกก็จะเปิดออก เข้าไปตามทางจะมาถึงที่ห้องทดลองประหลาดห้องนึงที่พกวคนไข้ถูกจับมัดไว้ในอ่างอาบน้ำ Sebastian จะเห็นภาพ Ruvik เข้ามาที่นี่พร้อมพร่ำว่า.. กลับบ้าน..กลับบ้าน .. พร้อมกับเสียงบันทึกการทดลองของชายคนนึงที่ดังก้องขึ้นมาในหัวของ Sebastian

“จากข้อมูลประวัติศาสตร์ของเมืองพบว่า มีการเจริญเติบโตและความก้าวหน้าที่ช้ามาก นั่นบ่งบอกถึงปัญหาในเรื่องการติดต่อสื่อสารและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด การรับรู้และอยู่ร่วมกันของคนในสังคม เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆซากๆ จากรายงานของ Synesthesia ทำให้นึกถึงการศึกษาเกี่ยวกับการสืบเชื้อสายของวงศ์ตระกูลที่เพิ่มขึ้นแต่ผู้คนกลับแตกแยกกันไปคนละทิศทางไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันเป็นเสมือนยากระตุ้นให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า การปรับตัวของมนุษย์ให้แตกแยกจากเดิม  …แล้วคุณรู้มั๊ยว่าที่ผมตามหาค้นคว้ามาทั้งปีนั้นคืออะไร ..แทบไม่น่าเชื่อ มันอยู่ใต้จมูกผมแท้ๆ บอกได้แบบไม่กลัวผิดพลาดเลยว่า มันคือ “การอยู่ร่วมกัน” ยังไงล่ะ “






- Sebastian จะเห็นภาพมันสมองก้อนใหญ่ที่ถูกมัดไว้ด้วยรวดหนามกับอุปกรณ์ต่างๆที่ถูกยัดไว้ในสมองเต็มไปหมด ก่อนที่พวกร่างทดลอง 3 ตัวในอ่างจะเริ่มลุกขึ้นมาโจมตีใส่ Sebastian จัดการมันให้หมดและทุกครั้งที่มันล้มลงนอนบนพื้นแล้วอย่าลืมดึงขั้วที่คอให้สายเชือกที่ผูกอยู่หลุดออกด้วยมันถึงจะตาย ไม่งั้นก็ลุกมาทั้งวัน เมื่อจัดการพวกมันจนหมดแล้ว เครื่องมือทดลองกลางห้องจะโดนทำลายแล้ว Sebastian ก็จะถูกวาร์ปกลับมาที่โรงพยาบาลทันที

                                           Chapter 6: Losing Grip on our Selves 

Sebastian ถูกทีมแพทย์สยองเข็นกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง พร้อมคำตำหนิของพยาบาลสาวว่า ให้ระวังตัวมากกว่านี้หน่อย เมื่อฟืนขึ้นมาแล้วสำรวจที่โต๊ะทำงานจะเห็นหนังสือพิมพ์เก่าและรูปภาพของโบสถ์แห่งนึง




หนังสือพิมพ์ Krimson Post ลงข่าวถึง เหตุการณ์พื้นถล่มในโบสถ์แห่งนึง แต่กลับไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเลย ทำให้ชาวบ้านและผู้เลื่อมใสกล่าวขานกันว่ามันคือ ปาฎิหาร และในรูปตรงพื้นที่เป็นโพรง Sebastian ก็เห็นถึงเงาของบางอย่างที่ค่อยๆโผล่ออกมา พร้อมๆกับแรงสั่นสะเทือนและไฟของโรงพยาบาลที่ดับลงจนรอบๆตัวมืดสนิท

- เปิดตะเกียงแล้วเดินมาที่ทางเดินของห้องตรงกระจกที่สุดทางเดินจะพบพยาบาลที่จะนำทางลงไปยังห้องนักโทษชั้นใต้ดิน ระหว่างทาง Sebastian ได้เห็นเงาทมึนร่างใหญ่ของชายที่มีหัวเป็นตู้เซฟพร้อมค้อนขนาดใหญ่มือ แต่มันหายไปเสียก่อน เมื่อเดินฝ่าความมืดเข้าไปจนสุดทางก็จะถึงห้องขังของคนไข้ที่เป็นเด็กผู้ชายคนนึง ทันทีที่



Sebastian เข้ามาในห้องเขาก็เหมือนจะรู้จักชื่อของ Sebastian เขากล่าวย้ำๆอยู่หลายครับ Sebastian หรอ ? นั่น Sebastian หรอ …ก่อนที่จะหันมาให้เห็นถึงหน้าที่เป็นกระจกของเขาที่สะท้อนเงาบางอย่างของ Sebastian ออกมาก่อนที่จะวาร์ปมาที่โบสถ์ใหญ่ตามที่เห็นในรูปทันที ..





– ขึ้นมาจากชั้นล่างของอาคารจนถึงทางเดินบนภูเขาจะเห็นโบสถ์ขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า โบสถ์ Cedar Hill ที่ Sebastian อาจเคยหลงลืมไปนาน ทันทีที่เข้ามาถึงหน้าทางเข้า Sebastian ก็จะได้ยินเสียงปืนทันที เปิดประตูเข้าไปจะเจอ Joseph นอนบาดเจ็บอยู่ เมื่อเข้าไปช่วยก็จะรู้ว่า Joseph กำลังพยายามจะเข้าไปด้านในแต่พบว่าลิฟต์มันไม่ทำงานยังไม่ทันได้แก้ไขก็โดนเล่นงานซะก่อน ยังไม่ทันเล่าจบพวกชาวบ้านซอมบี้มากมายก็บุกเข้ามาทำให้ทั้งคู่ต้องหลบไปที่ชั้นบนของอาคารก่อน และด้านใน Joseph ก็ต้องเจอประตูติดกับระเบิดอีกแล้ว จัดการต้านพวกชาวบ้านซอมบี้เอาไว้จนกว่า Joseph จะเปิดประตูทั้งชั้นบนและชั้นล่างให้เสร็จแล้วทั้งคู่ก็จะออกมาส่วนกลางหน้าทางเข้าหมู่บ้านรอบโบสถ์




 - เข้ามาแล้วจะเจอกระจกวาร์ปทันทีและปืน Sniper Rifle ให้เก็บ เข้าไปตามทางแยกซ้ายไปที่ตึกด้านใน จัดการซอมบี้ให้หมดแล้วเข้าไปสับคันโยกเครื่องปั่นไฟให้ทำงาน คัทเอ๊าท์ที่ประตูด้านในจะทำงาน จากนั้นขึ้นไปชั้นบนของบ้านจะพบว่าส่วนบนทั้งหมดนั้นโดนทำลายจนโล่งแจ้งไปหมดแล้ว แล้วคัทเอ๊าท์ที่เปิดเอาไว้พวกชาวบ้านซอมบี้ก็เปิดให้พวกมันออกมาเพิ่มด้วย เป้าหมายคือ ข้ามซากบ้านเรือนไปที่ประตูทางเข้าอีกฝั่ง แต่อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ต้องเจอก็คือ ป้อมปืนฉมวก 3 แท่นจากบนหอคอยที่ยิงลงมาจากด้านบนและพวกซอมบี้ที่เข้ามาตามทางเดินอีก ถึงเวลาใช้งาน ปืน Sniper Rifle ที่ได้มาใหม่พอดี จัดการยิงซอมบี้ที่ยิงปืนฉมวกด้านป้อมก่อนแล้วค่อยๆขยับลุกคืบไปเรื่อยๆ เจอจุดที่สามารถยิงป้อมปืนฉมวกตรงไหนก็จัดการมันได้เลย ซึ่งรวมแล้วก็ต้องจัดการซอมบี้ให้หมดและป้อมปืนให้หมดก่อนจะเข้าด้านในได้นั่นเอง




- เมื่อเข้ามาถึงประตูหน้าจะพบ Butcher กับเลื่อยไฟฟ้าทำลายประตูออกมาจากในป้อม จัดการมันซะโดยใช้ถังน้ำมันสีแดงเป็นตัวช่วย เมื่อจัดการมันได้แล้วก็จะเข้าไปด้านในป้อมได้ ลิฟต์ที่ชั้นล่างนั้นใช้การไม่ได้เพราะมันติดอยู่ชั้นบน ขึ้นบันไดไปชั้นบนต่อจนถึงลิฟต์ที่ติดอยู่เพราะศพของซอมบี้ เอาไม้ขัดจุดเผามันซะแล้วลิฟต์จะใช้งานได้  ก่อนขึ้นลิฟต์แวะเข้าห้องน้ำก่อนเพื่อเข้าไปใช้กระจกวาร์ปและเก็บบันทึกของ Sebastian

บันทึกของ Sebastian Castellanos ฉบับที่ 4 – พฤษภาคม 2006
8 เดือนแล้วหลังจากที่ผมแต่งงานกับ Myra ข่าวดีของผมก็คืออีกไม่เกิน 2 เดือนผมจะได้ลูกสาวสุดน่ารักที่จะคลอดในไม่ช้านี้แล้ว เราตั้งชื่อเธอว่า Lily ผมรอ 2 เดือนที่จะได้เจอกับเธอแทบจะไม่ไหว แต่อีกใจผมก็ยังนึกกลัว กลัวว่าจะเป็นพ่อที่ดีพอไม่ได้ เพราะงานที่แสนอันตรายที่ทำอยู่ทุกวันนี้ มันเสี่ยงจนแบไม่รู้ถึงอนาคตเลยจริง ผมก็ได้แต่สัญญาว่าจะปกป้องเธอให้ดีที่สุด และจะอยู่กับเธอไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้นแหละ 




- เมื่อขึ้นลิฟต์ต่อมาจนถึงชั้นบน ที่หน้าทางเข้าฝั่งตรงข้าม Joseph จะเห็นชาวบ้านกำลังถูกจับไปตัดคอจึงพยายามเข้าไปช่วย Sebastian ห้ามเอาไว้ไม่ทัน Joseph ก็โดนกับดักระเบิดจนสลบไปและกำลังโดนพวกมันเอาไปตัดหัวเล่นเป็นรายต่อไป Sebastian ต้องรีบใช้ Rifle ยิงพวกซอมบี้ 2 ตัวให้ตายก่อนที่มันจะลากเข้าไปตัดคอที่กิโยตินให้ทัน แล้ว Joseph จะยกแผ่นไม้มาเป็นสะพานให้ข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้
- ทันทีที่ข้ามมาได้ Joseph ก็เกิดสติแตกหมดกำลังใจที่จะสู้ต่อเพราะเขาคิดว่าไม่นานยังไงก็ต้องเป็นแบบพวกมัน จึงขอฆ่าตัวตายแทนดีกว่า เขาจึงพยายามแย่งปืนของ Sebastian มาได้ แต่ยังไม่คิดจะทำ Sebastian ก็แย่งปืนกลับมาได้เสียก่อน จากนั้นเข้าไปที่ประตูทางเข้า Joseph จะเป็นคนหมุนคันโยกส่วน Sebastian ก็ต้านพวกชาวบ้านซอมบี้ที่บุกเข้ามาจนกว่า Joseph จะเปิดประตูขึ้นจนสุด ทั้งคู่ก็จะหนีเข้าไปด้านในได้
– เข้าในเขตตลาดหน้าโบสถ์ ไล่เก็บไอเทมต่างๆให้หมด ที่นี่มา Flash Bolt ให้เก็บด้วย ก่อนเข้าไปที่ประตูด้านในที่เขตสุสานของโบสถ์


ทันทีที่เข้ามา Joseph ก็เริ่มบ่นตามตระกะของเขาว่าอายุของโบสถ์นั้นไม่ใช่ในยุคปัจจุบันแต่ทำไมมีทั้งลิฟต์มีทั้งไฟฟ้าใช้ แสดงว่า สถานที่ที่กำลังอยู่ไม่น่าจะใช่ของจริงแน่นอน ก่อนที่เขาจะเริ่มแสดงอาการผิดปกติขึ้นมาอีกครั้งจน Sebastian ต้องพยุงเข้าไปหลบพักที่บ้านข้างทางก่อน Sebastian เองก็อยากจะพักซักหน่อยด้วยขวดเหล้าประจำตัว แต่ดูเหมือนมันจะหมดไปเหลือไปแล้ว 




Joseph – เรื่องบ้าๆที่เรากำลังเจอกันอยู่ตอนนี้มันเหมือนกันมากนั้นหรอ หลังเกิดอุบัติเหตุนั่นน่ะครับ 
Sebastian – ก็ดี อย่างน้อยๆก็ไม่คิดที่จะเอาปืนเป่าขมองตัวเองแล้ว 
Joseph – แน่นอนล่ะ ก็เอาไปลงขวดเหล้าแทนนี่ครับ
Sebastian – โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกไอ้น้อง รับรองผมไม่ทำให้งานเสียหรอก  ไง เช็คประวัติผมมารึไง?
Joseph – คุณก็รู้ว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยรายงานอะไรคุณเลยก็เพราะผมเป็นห่วงเรื่องงานของคุณ 
Sebastian – อะไรอีกล่ะเนี้ย พวกมันมากันแล้ว ลุกขึ้นผมต้องการคูหูของผมคืน 
Joseph – ผมนับถือคุณมากน๊ะ อยากให้คุณรู้ไว้แค่นั้นแหละ Sebastian




- เมื่อทั้งคู่เข้าไปด้านในต่อ Joseph จะปีนขึ้นบนที่สูงเพื่อสังเกตการณ์เขาพบปืนที่พวกชาวบ้านซอมบี้ทำตกอยู่และยังเห็น Kidman กำลังพาคนไข้โรคจิตเข้าไปในโบสถ์ เขาจึงบอกให้ Sebastian ลุยเข้าไปได้เลยแล้วเขาจะยิงคุ้มกันให้ ขณะที่ลุยไปก็อย่าหวังอะไรกับ Joseph เพราะกว่าเขาจะยิงช่วย Sebastian ก็จะโดนยิงก่อนทุกที ฉะนั้นระวังตัว เอาตัวรอด และช่วยตัวเองเหมือนเดิมดีที่สุด เพราะระหว่างทางก็ต้องเจอกับเจ้าซอมบี้ร่างยักษ์ที่บุกเข้ามาอีก 2 ตัว จัดการมันด้วยของหนักสุดที่มีแล้ว Joseph จะบอกทางให้ไปต่อ ซึ่งก็คือเข้าไปตามทางจนถึงสุสานใหญ่ที่มีรูปม้าคู่อยู่ Joseph จะสังเกตเห็นว่ามีกลไกบางอย่างจึงเข้าไปกดดูทำให้ทางลับใต้สุสานเปิดออก จากนั้น Sebastian จะวาร์ปกลับมาที่โรงพยาบาลแบบอัตโนมัติให้แวะเซฟและอัพเกรดก่อนแล้วเมื่อวาร์ปกลับไปทั้งคู่ก็จะตกลงมายังชั้นใต้ดินของสุสานทันที
– ในห้องกับดักนั้นช่องทางเดินข้างหน้าจะมีเหล็กแหลมโผล่มาดักแทงอยู่ต้องทำการปิดระบบของกับดักเสียก่อน






Joseph จะสำรวจดูพนังจะพบตัวเลข 3 – 5 – 9 – 7 ที่มีเลข 7 เลขเดียวที่ไม่ถกขีดฆ่า จากนั้นสำรวจที่โต๊ะชำแหละศพจะเห็นมีรอยเลือดเขียนหมายเลข3 – 5 – 9 – 7 เอาไว้อยู่ ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคือสับคันโยกให้ศพลงมาวางที่โต๊ะ 3 – 5 – 9 แล้วให้ศพของโต๊ะเลข 7 แขวนอยู่เหมือนเดิม จากมุมมองหันหน้าเข้าไปที่ทางเดินกับดัก ให้สับคันโยกโต๊ะซ้ายล่าง ขวาบน และขวาล่างตามลำดับ กับดักที่ทางเดินด้านในกูจะถูกปิด เก็บไอเทมให้หมดแล้วเข้าไปด้านในต่อได้เลย
- เข้ามาตามทางจนถึงห้องทดลองใต้ดินที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตกลายพันธ์ประหลาดๆเยอะแยะไปหมด เก็บไอเทมและบันทึกในห้องทดลองมาให้หมด



บันทึกห้องทดลองใต้สุสาน ฉบับที่ 1 (Cemetery Lab Note)
มันเหมือนกับได้เป็นพระเจ้าที่ได้ร่างของ 2 เด็กกำพร้านี้มา ที่ต่างก็เป็นสาวกที่ดีแถมยังสกัดยาชั้นเยี่ยมออมด้วย Neun กับ Zehn น้องชายเขา มี DNA ที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองได้ มันเป็นความผิดปกติที่น่าศึกษายิ่ง แน่นอนพวกเขาเป็นฝาแฝด ทั้งคู่จึงให้หลักฐานในการทดลองที่สำคัญพอๆกัน 
12 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผลการจัดการเซรุม
Neun 122.1 cm 28.2 kg 
Zehn122.1 cm 28.2 kg
อุณหภูมิสูงขึ้น ..ความเจ็บปวดจะยิ่งลดต่ำลง 






- หลังจากผ่านห้องทดลองใต้สุสานที่น่าขยะแขยงมาได้ก็จะออกมาที่สวนหน้าโบสถ์พอดี แต่เจ้าหมานรกกลายพันธ์ Sentinel กลับตามออกมาด้วย ทั้งคู่จึงรีบหนีไปที่ประตูโบสถ์ทันที แต่  Sentinel มันตรงเข้าตระคลุบ Joseph จนทำให้แว่นเขาตกแต่ก็สามารถหนีเข้าไปที่ประตูรั้วด้านในได้ เหลือแต่ Sebastian ที่ต้องเอาตัวรอดอีกตามเคย การจัดการ Sentinel นั้นต้องย่องหลบตามพุ่มไม่ซึ่งจะทำให้ใกล้ยังไงมันก็ไม่เห็น แล้วค่อยลอบยิงก่อนเปลี่ยนที่ซ่อนตัวต่อไปเรื่อยๆก็จะจัดการมันได้ เมื่อจัดการมันได้แล้ว Sebastian ก็จะตามเข้าไปในรั้วได้สำเร็จ แต่ Joseph จะบอกว่า แว่นของเขาตกอยู่กลางลานทำให้ Sebastian ต้องย้อนกลับไปเก็บมาให้ ขณะที่เจ้าหมากลายพันธ์มันก็รักษาตัวเองกลับมาฟื้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องยิงให้เปลืองกระสุน แค่หลบลอบไปเก็บแว่นที่กลางลานแล้วกลับมาที่รั้วให้ได้ก็พอ  ..ทุกอย่างที่ทำไปเนี้ยก็เพื่อเก็บแว่นใช่มั๊ย Joseph? จากนั้นก็เข้าไปที่ประตูโบสถ์ด้านในได้เลย

                                            Chapter 7: The Keeper 

Sebastian และ Joseph เข้ามาถึงด้านในโบสถ์สำเร็จแต่กลับไม่เห็นเงาของ Kidman เพื่อนร่วมทีมอีกคนที่เห็นไวๆว่าเข้ามาที่นี่ ขณะที่กำลังเดินสำรวจกันอยู่ Joseph ก็เริ่มเกิดอาการไม่ดีขึ้นมาอีก ในขณะที่ Sebastian กำลังเข้าไปช่วยเพื่อให้เขาแข็งใจสู้ Ruvik ก็ปรากฏตัวขึ้นทันที มันใช้พลังจิตเปลี่ยนทิศทางของโบสถ์จนทำให้ Sebastian ตกลงไปชั้นล่างของโบสถ์




- เข้าไปด้านในตามทางที่เต็มไปด้วยตัวประหลาดจนถึงด้านในสุดจะพบประตูหินโบราณ Sebastian จะแกเอาหัวของรูปสลัก (Old Lithograph) ออกมาซึ่งจะทำให้ประตูเปิดออก เข้าไปด้านในต่อจนถึงห้องโถงที่มีแท่นหินโบราณตั้งอยู่ ซึ่งช่องให้ใส่รูปสลักอยู่ 3 ด้าน เอาภาพหัวของรูปสลัก(Old Lithograph) อันแรกที่ได้มาใส่ไปที่ช่องตรงกลางจะทำให้ประตูทางขวาและซ้ายเปิดออก ก่อนจะทำอะไรต่อแวะเข้าห้องด้านขวาด้านในจะมีกระจกวาร์ปให้กลับไปทำธุระที่โรงพยาบาลด้วย และจะมีสูติบัตรของ Lily ลูกสาว Sebastian ให้เก็บด้วย



Lily’s Birth Announcement (สูติบัตรของลิลี่)
ขอต้อนรับด้วยรักของพวกเรา Lily Lynh Castellanos 
เกิด 18 กรกฎาคม 2006 
เวลา 9 56 นาที หนัก 7 ปอนด์ 3 ออนด์ 
ด้วยรักจากใจจากใจพ่อและแม่ Sebastian และ Myra Castellanos






- จากนั้นสิ่งที่ต้องทำคือเข้าไปเอารูปภาพสลักหัวเทวรูปอีก 2 แผ่นจากเส้นทางประตูทั้ง 2 ด้านมา โดยเส้นทางของประตูทั้ง 2 ด้านจะเป็นทางตรงโดยไม่มีจุดทางแยกหรือปริศนาใดๆ แต่แตกต่างด้วยอุปสรรคที่มีแตกต่างกัน ประตูขวาจะเต็มไปด้วยพื้นกับดักหนามแหลม ส่วนประตูซ้ายจะเป็นกับดักประเภทแก๊สพิษ เมื่อได้รูปสลัก 2 อันจากทั้ง 2 ฝั่งมาแล้วก็เอามาใส่ที่แท่นหินให้ครบทางลงห้องใต้ดินก็จะเปิดออก เส้นทางเข้าจะเป็นกับดักแหลมและกับดักลวดหนามของผู้คุมแห่งคุกใต้ดินแห่งนี้ ไอ้หัวตู้เซฟ Boxman นั่นเอง หลังจากการเปิดตัวและพิษสงค์ของกับดักลวดหนามของมันแล้วก็รีบวิ่งหลบกับดักเพดานหนามเข้าไปด้านในให้ทันก็จะพบ Leslie ถูกขังอยู่ โดยไม่มีวี่แววของ Kidman แต่อย่างใด ทันทีที่ Sebastian ช่วย Leslie ออกมาแล้วพยายามหมุนคันโยกเพื่อเปิดประตูทางออก ยังไม่ทันประตูจะเปิดดีเลย Leslie ก็รีบวิ่งหนีอออกไปทันที แถมยังไปเหยียบกับดักสัญญาณเตือนภัยจนผู้คุมสุดโหด ไอ้หัวกล่องเหล็ก Boxman ออกมา



– Boss ไอ้หัวตู้เซฟ Boxman มือซ้ายถือค้อนเหล็ก มือขวาถือถุงใส่ของมีคมไว้ฟาด แถมการพุ่งโจมตีก็ไม่ได้ชักช้าเหมือนรูปร่างเสียด้วย แต่มันก็ไม่ได้อึดมากนักเพียงแต่ได้เปรียบที่สถานที่แคบและใช้กับดักที่ถูกทางเท่านั้น (กับดักลวดหนามของมันสามารถเก็บเป็นวัตถุดิบได้ด้วย ขึ้นอยู่กับว่ามีเวลาพอจะเก็บหรือเปล่าเท่านั้น) เลิกพูดเรื่องปืนสั้นกับช็อตกันกับมันเลย พยายามทิ้งระยะห่างแล้วใช้หน้าไม้หัวระเบิด หรือทุกหัวที่มีและ Rifle เป็นหลักจะเวิร์คสุด แล้วก็งานนี้ห้ามยิงหัวน๊ะครับเพราะยิงไม่เข้ายิงที่ตัวได้อย่างเดียว เมื่อจัดการมันได้ครั้งแรกแล้วประตูด้านในจะเปิดออกพร้อมกับดักแก็สพิษ ทันที



      







- ย้อนเข้าประตูที่เปิดออกเข้าไป ตรงโต๊ะหัวมุมจะมีไอเทมต่างๆและวาล์ววางอยู่ ตอนนี้ยังเก็บไม่ได้ให้จำไว้ก่อน เข้าในห้องท่อน้ำด้านในรีบหมุนวาล์วอันขวาเพื่อเปิดฝาประตูทางซ้ายออก เข้าไปด้านในหมุนวาล์วด้านในอีกอันแล้ว Boxman ก็จะเริ่มคืนชีพครั้งที่ 2 จัดการมันซะแล้วประตูจะเปิดออก เดินเรียบห้องท่อน้ำไปทางซ้ายจะเห็น Boxman กำลังทุบทำลายวาล์วด้านในทิ้ง จากนั้นก็ถึงเวลาวิ่งไปหยิบวาล์วบนโต๊ะมุมทางเดินที่ผ่านมาแล้ว จากนั้นก็นำมาใส่ที่วาลวที่พังแล้วหมุนให้ได้เพราะจากนี้ Boxman มันจะคืนชีพตลอดไม่ว่าจะฆ่ามันกี่หนก็ตาม และทั้งหมดที่บอกมาถ้าคุณเกิดทำ Sebastian ช่วงไหนต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นทันที !
– เมื่อหมุนวาล์วครบแล้วก็วิ่งเข้าไปด้านในของห้องท่อน้ำจะมีทางลงด้านล่างเข้าไปตามอุโมงค์จน Boxman ออกมาดักทาง Sebastian ก็จะใช้กับดักตรงนั้นทำให้เพดานเหล็กแหลมลงมาทับ Boxman จนตายคาที่หรืออย่างน้อยๆก็ตอนนี้ จากนั้น Sebastian จะออกมาที่ถ้ำน้ำตกใต้โบสถ์เข้าไปด้านในต่อก็จะพบทางลงสู่ถ้ำเหมืองใต้ดิน


                                    Chapter 8: A Planted seed will Grow 




- Sebastian จะลงมาถึงถ้ำใต้ดิน เส้นทางจากนี้จะไม่มีอะไรซับซ้อนแต่จะเต็มไปด้วยตัวประหลาดที่อยู่กันเต็มถ้ำ ลุยเข้าไปตามทางจนถึงเหมืองร้างยาวจนเข้าไปถึงประตูใส่แผ่นเหล็กที่พนังข้างๆเป็นกับดักเหล็กแหลม ดึงแผ่นเหล็ก Bloody Relief Plate ออกจากประตู






 แล้วหมุนเอารูปด้านที่หน้าหันไปทางขวาวางลงไปในช่อง ประตูก็จะเปิดออก เข้าไปด้านในถ้ำด้านในที่จู่ๆก็เริ่มเปลี่ยนโถงทางเดินในโรงพยาบาลอีกครั้ง เข้าไปด้านในจะพบกับหมอ Marcelo อยู่ในห้องทดลอง



Sebastian – ด๊อก ต้องลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
Marcelo – มันยังไม่ได้เวลาที่เหมาะหรอกน๊ะ ผมต้องคำนวณอะไรใหม่ ว่าจะทำยังไงถึงจะย้อนการทำงานของเจ้านี่ได้ ถ้าเราต้องการจะหยุดเขา 
Sebastian – ใคร ? เจ้า “Ruvik” อะไรนั่นน่ะหรอ แล้วตกลงไอ้บ้านั่นมันเป็นใครกันแน่ ?
Marcelo – เดี๋ยวน๊ะ ผมขอหาอะไรหน่อย กำลังยุ่งเลย
Sebastian – หมอ ! ผมช่วยอะไรไม่ได้หรอกน๊ะถ้าปล่อยให้ผมมืดแปดด้านแบบนี้ ถ้าคุณต้องการให้ผมช่วยคหมอต้องบอกอะไรผมมาบ้าง !
Marcelo – เขา ..เอ่อ.. เรา ทำงานด้วยแนวทางเดียวกัน ผมจะอธิบายทฤษฎีของเรายังไงดี มันเหมือนกับเชื่อมต่อสมองหลายๆสมองเอาไว้ด้วยกัน ให้แชร์ทุกอย่างในสมองผ่านระบบ Electro – Chemical Level ..ทุกอารมณ์ ความทรงจำ แนวความคิด ทุกๆอย่างแบบต่อสายตรงรวดเดียวจบ..มันเป็นอะไรที่ไม่เคยมีมากการในเชิงจิตวิทยา ในความตะหนักรู้ทางเภสัชกรรมด้วยตัวของมันเอง  





Sebastian – พูดเป็นเล่นหมอ ! นี่มันฝันร้ายชัดๆ
Marcelo – ก็น๊ะ ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันจะสมบูรณ์แบบตามที่พูดไปทั้งหมดหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง ความฝันแปรทางอารมณ์ของร่างทดลอง 
Sebastian – โอเค เยี่ยม ! สรุปคู่หูหมอมันก็ไอ้โรคจิตดีๆนี่เอง ใช่มั๊ย !
Marcelo – และพวกเราทั้งหมดกำลังอยู่ในหัวของเขา หรือไม่ก็พวกเราก็มีส่วนทำให้ระดับของเขาสูงขึ้น เขาคือคนเดียวที่รู้สึกนึกคิด คือคนควบคุมความคิดของพวกเรา  
Sebastian – แล้วหมอรู้มั๊ยว่ามันต้องการอะไรจากเรา ?
Marcelo – ต้องการให้เราตายกันหมดยังไงล่ะ ! 

เมื่อ Marcelo พูดจบทุกอย่างก็หายไปเหมือนกับภาพที่เลือนราง เข้าไปเก็บบันทึกที่ตกอยู่บนโต๊ะมา



บันทึกของ Sebastian Castellanos ฉบับที่ 5 – 16 มิถุนายน 2009 
พวกเราเพิ่งส่งลูกสาวของเราไปโรงเรียนในวันแรก เธอเข้มแข็งมากยัยหนูของเราไม่รู้หวาดกลัวอะไรซักนิด ทำให้ผมอดชื่นชม Myra ที่ต้องออกจากงานประจำเพื่อดูแลลูกของเราอย่างดีมาตลอด 3 ปี ตอนนี้ลูกเราก็โตจนเข้าโรงเรียนแล้ว ใจผมก็อยากให้เธอกลับไปทำงานเอกสารเบาๆอะไรใน KCPD บ้างโดยเฉพาะในหน่วย Mission person Bureau ที่เป็นสายงานคดีเกี่ยวกับสืบหาคนหาย ซึ่งต้องบอกเลยว่า Myra ของผมเก่งในงานเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ผมคงจะดีใจมากถ้าเธอกลับไปทำงานที่เธอชอบอีกครั้ง



Research facility Note  
บันทึกการทดลองของห้องทดลองทางสมองกล่าวถึง ผลการเชื่อมต่อของร่างทดลอง 18 – 22 เสียชีวิตทั้งหมด ส่วนร่างทดลองที่ 23 ความดัดเลือด อัตราการเต้นของหัวใจ และอุณหภูมิร่างกาย เพิ่มสูงขึ้น สภาพร่างกาย และ สติสัมปชัญญะ ค่อยๆฟื้นฟูกลับสู่สภาพปกติในเวลา ตี 4.25 นาที จนเวลาตี 4.37 นาที อัตราการทำงานทุกอย่างของร่างกายก็คงที่พร้อมการเริ่มทำงานของสัญญาณชีพ …ในที่สุด !! 

- หลังสำรวจทุกอย่างจนหมด ทันทีที่เข้าไปตามทางเดินด้านใน Sebastian ก็จะพบกับตัวประหลาดที่เกิดจากร่างของมนุษย์มากมายมาหลอมรวมกันวิ่งไล่โจมตี พยายามวิ่งหนีสุดแรงจนออกมาพ้นประตูให้ได้ Sebastian ก็จะกลับมาที่ห้องโถงที่โรงพยาบาลอีกครั้ง และทันทีที่หันกลับไปดูด้านหลังก็จะพบ Ruvik โผล่เข้ามาประชิดตัวทันที




Sebastian รู้สึกตัวอีกครั้งในไร่ทานตะวันภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น ก่อนที่จะมีชาวบ้านเข้ามาจุดไฟเผาเขาทั้งเป็น แต่โชคดีที่เขาไม่ได้เจ็บปวด แต่ถ้ามันเป็นความทรงจำของใครซักคนนึง มันคงจะแสนเจ็บปวดแน่นอน 




เมื่อความทรงจำที่แสนเจ็บทรมานของใครซักคนนึงจางลง Sebastian รู้สึกตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้ง พยาบาลสาวเรียกตัวให้ตามเธอไปที่ห้องโถงกลางเพื่อให้ดูรูปของครอบครัวนึงที่แหวนอยู่ รูปครอบครัวที่มีฐานะสูง พ่อ แม่ พี่สาว และ น้องชาย พยาบาลสาวกล่าวเป็นนัยๆไว้ว่า
 “ มันเป็นอะไรที่ง่ายมากเลยน๊ะ ที่ความทรงจำของเราจะถูกทำลายโดยคนอื่น เพราะอย่างงั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องรักและใส่ใจกันให้มากๆไงล่ะ “ 





และเมื่อ Sebastian เพ่งมองเข้าไปที่โพรงตรงใบหน้าของเด็กชายในรูป ความเจ็บปวดปนสยองมากมายก็แล่นเข้ามาในหัวทันที 

- จากนั้นเดินกลับเข้าไปในห้องนอน เสียงคนไข้ห้องตรงกันข้ามก็เริ่มดังขึ้น ดังขึ้นอีกครั้ง “ไม่ใช่ทางนั้น ! ไม่ใช่ทางนั้น ! “

ก่อนที่ภาพในห้องจะเปลี่ยนไปเป็นเส้นทางในทุ่งทานตะวันและมี Ruvik ปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้งและมันจึงทำให้ Sebastian ถูกพามาอยู่ที่หน้าคฤหาสน์แห่งนึง ที่เหมือนจะคุ้นแต่ก็ไม่น่าจะเคยมา สำหรับเขา เพราะมันคือ คฤหาสน์ของครอบครัว Victoriano ที่มีลูกชายคนเล็กชื่อ Ruben หรือ Ruvik นั่นเอง ..







                                       Chapter 9 – The Cruelest intention 

 เมื่อเข้ามาในตัวคฤหาสน์ Sebastian จะเห็นหมอ Marcelo กำลังพาตัวเด็กชายคนนึงเข้าไปในประตูใหญ่กลางโถงก่อนจะล็อกอย่างแน่นหนาด้วยกลไกหลอดเลือด 3 อัน ซึ่งถ้าอยากรู้ Sebastian ก็ต้องปลดล็อกกลไกของประตูนี้ให้ได้ก่อน แวะห้องกระจกทางด้านซ้ายถ้าต้องการแล้วเริ่มหาทางเปิดประตูกันได้เลย



- ที่ห้องโถงประตูกลไกนี้ เป้าหมายคือ ต้องทำให้เลือดไหลเข้ามาให้เต็มหลอดทั้ง 3 โดยทางแยก 3 ทางจากห้องโถง ซ้าย – ขวา และ ชั้นบนคือ เส้นทางที่ต้องไปไปแก้ปริศนาให้เลือดไหลมาตามท่อจนถึงประตูนั่นเอง เริ่มจากฝั่งซ้ายของชั้นล่าง เข้าไปตามทางจนถึงห้องทำงานด้านในสุดบนโต๊ะจะมีปริศนาผ่าสมองให้ทำ โดยต้องเจาะไปตรงส่วนของสมองที่ระบุเอาไว้ในข้อความเสียงที่เปิดออกมา โดยมีตำแหน่งให้ดูที่กระดาษทางซ้ายล่างของโต๊ะ
โดย Subject หมายเลข 58 นี้ให้เจาะลงไปที่ตำแหน่ง F7 ของสมอง จะอยู่บริเวณฝั่งซ้ายล่างของสมอง




- เมื่อทำสำเร็จเลือดก็จะเข้าไปในหลอดทดลองและไหลไปที่หลอดตรงประตูกลไกฝั่งซ้าย พร้อมกับภาพความทรงจำของ หมอ Marcelo และ เด็กชายคนนึงที่มีพลังพิเศษบางอย่างในสมองของเขา ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร Ruvik ในวัยเด็กนั่นเอง




Marcelo – ทำไมเธอถึงเรียกมันอย่างนั้นล่ะ “ที่หลบซ่อนที่อยู่ด้านในตัวเธอเอง “ ? มันเป็นห้องทดลองของครอบครัวเธอเองน๊ะ ผมละประทับใจจริงๆที่ได้ยินแบบนั้น 
เด็กชาย Ruvik – ทำไมคุณยังกลับมาอีกล่ะ ผมไม่ได้อณุญาติให้คุณทดลองแล้วน๊ะ 
Marcelo – ไม่เอาน่า เราทั้ง 2 คนคือนักวิทยาศาสตร์น๊ะ และนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องอุทิศตัวเองให้กับงานและทุกๆความรู้ที่เราค้นพบสิ ถ้าเธอโชว์ให้เห็นการทดลองของเธอ ผมก็จะให้ดูอะไรบางสิ่งของผม
 เด็กชาย Ruvik – คุณจะไม่เหมือนกับคนอื่นใช่มั๊ย  ไม่ได้ทำทุกอย่างเพราะเงินน๊ะ   
Marcelo – ในทางวิทยาศาสตร์กฎที่อยู่ก่อนข้อแรกก็คือ การโกหกตัวเองเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เธอก็รู้ ผมตัดสินใจทำก็เพราะคิดพิจารณาอย่างละเอียดแล้วว่า เราต้องทำได้แน่นอน และผมไม่ใช่พวกที่น่ารังเกียจแบบนั้นแน่นอน
  เด็กชาย Ruvik – คุณคิดว่าผมเป็นแค่ตัวประหลาดตัวนึงรึเปล่า ?
Marcelo – เธอกำลังกังวลกับรูปลักษณ์ตัวเองมากเกินไปหนูน้อย สติปัญญาของเธอต่างหากละที่สำคัญที่สุด 






- จากนั้นกลับมาที่ห้องโถงกลาง แล้วขึ้นไปชั้นบนต่อ เข้าห้องครอบครัวตรงกลางเก็บที่หมุนรหัสเซฟอันล่างมา แล้วเข้าห้องสมุดด้านซ้าย ขึ้นไปชั้นบนของชั้นหนังสือเก็บที่หมุนรหัสเซฟอันบนมา แล้วเข้าไปตามทางเดินด้านในต่อจนพบกับดักพื้นเลื่อน พยายามยิงไปที่ไฟสีแดงให้ทันก่อนจะโดนบี้แล้วเข้าไปในห้องด้านในต่อ มุดเข้าไปในช่องเตาผิงจนถึงห้องที่มีปริศนาผ่าสมอง




Subject หมายเลข 12 เป้าหมายคือ เจาะเข้าที่ส่วนหลังของสมองที่ส่วน A – 2 เมื่อทำสำเร็จเลือดก็จะเข้าไปในหลอดทดลองและไหลไปที่หลอดตรงประตูกลไกส่วนบน พร้อมกับภาพความทรงจำของ เด็กชาย Ruvik ในสภาพร่างกายพันด้วยผ้าพันแผลที่กำลังยืนคุยกับศพ Ernesto และ Beatriz Victoriano พ่อแม่ของเขา



เด็กชาย Ruvik – โอ้ คุณพ่อ ถ้าพ่ออยากรู้ว่าจะชดเชยมันยังไงก็จงดูสารรูปของผมสิ พ่อคิดว่า แค่ขังผมเอาไว้แล้วทุกอย่างมันจะจบแล้วหรอ ? คิดว่าผมตายแล้วทุกอย่างมันจะจบหรอ ? แค่ทำเป็นไม่เห็น ทำเป็นไม่สนใจแค่นั้นใช่มั๊ย พ่อพูดอย่างงั้นไม่ใช่หรอ ? แต่ผมไม่หยุดสนใจในตัวพ่อหรอก ผมคิดว่าพ่อคงภูมิใจในตัวเองน๊ะ 

- จากนั้นกลับไปยังห้องโถงแล้วเข้าประตูทางฝั่งขวาต่อ เข้าไปจนถึงห้องดนตรีจะมีรูปภาพที่พนังสำหรับใส่ที่หมุนเซฟทั้ง 2 อันที่ได้มา ใส่เข้าไปแล้วรูปภาพจะเปิดออกด้านในห้องจะมีห้องที่มีปริศนาผ่าสมอง




Subject หมายเลข 14 เป้าหมายคือ เจาะเข้าที่ส่วนซ้ายสุดของสมองที่ส่วน C – 4 เมื่อทำสำเร็จเลือดก็จะเข้าไปในหลอดทดลองและไหลไปที่หลอดตรงประตูกลไกส่วนขวา พร้อมกับภาพความทรงจำของ หมอ Marcelo และ Ruvik ในวัยหนุ่มที่ร่างกายยังคงเต็มไปด้วยผ้าพันแผลขณะที่กำลังเล่นเปียโนในห้องดนตรี



Marcelo – ทำไมปีนี้ที่โรงพยาบาลไม่ได้เงินบริจาคจากครอบครัวของเธอเลยล่ะ ?
 Ruvik – ก็แล้วทำไมถึงสมควรต้องได้ล่ะ ..สิ่งที่โรงพยาบาลทำอยู่ มันคุ้มค่ากับเงินบริจาคแล้วหรอ ?
Marcelo – แต่ครอบครัว Victoriano เคยเป็นผู้บริจาคที่ใจกว้างกับทางโรงพยาบาลมาตลอดน๊ะ
Ruvik – แล้วไหนพวกคนไข้ล่ะ หายไปไหนกันหมด 
Marcelo – ก็ต้องแต่คุณ ทำ..กับพวกเขา …
Ruvik – แล้วที่มาคุยกันเนี้ยต้องการอะไรหรอ หมอ ?
Marcelo – ที่ผมมาก็เพราะไม่เห็นคุณไปที่โรงพยาบาลนานแล้ว ตอนนี้เราต้องการการสนับสนุนเรื่อง เอ่อ วัตถุดิบ นิดหน่อย …ก็เพราะ การทดลองของคุณมันทำให้ทุกอย่างพังไปหมดน่ะสิ
Ruvik – กล้าดียังไง ที่มาที่บ้านผมแล้วยังมาขู่ผมอีก !! 




- จากนั้นกลับมาที่ห้องโถงกลางที่ประตูกลไก หลอดใส่เลือดก็จะเต็มหมดทั้ง 3 หลอดทำให้เข้าประตูไปได้แล้ว ระหว่างทางเดินเข้าไปด้านในก็จะพบ Ruvik ออกมาพาวาร์ปไปที่ห้องทำงานของมันในวัยเด็ก Sebastian เห็นร่างในวัยเด็กของ Ruvik กำลังขีดเขียนบางอย่างบนโต๊ะพร้อมๆกับบ่นพรึมพร่ำออกมา



“ไอ้ที่ผมทำเนี้ย มันไม่ใช่การรักษาหรอกน๊ะ แต่มันเป็นขั้นตอนเริ่มตนในการลอกผิวหนัง เพื่อให้ลึกเข้าไปถึงจิตใจ”




- หลังจากมันบ่นจบไม่นาน ร่างของ Ruvik ก็เริ่มสลายกลายเป็นละอองหยอดเลือดกระจายไปทั่วแล้วหนีเข้าไปในห้องด้านใน ตามเข้าไปด้านใน ละอองหยอดเลือดก็จะรวมกันเป็นรูปร่างของคนขึ้นมาแล้วเข้าโจมตี Sebastian ทันที ไม่ต้องไปยิงมันให้เปลืองกระสุน ให้หนีเข้าไปในทางเดินด้านในได้เลย หลบกับดักเพดานเหล็กแหลม และ กับดักสยองมากมาย เข้าไปด้านในให้ได้ เมื่อ Sebastian หนีออกมาพ้นก็จะถูกวาร์ปมาที่สถานที่ที่เคยเห็นตัวเองโดนเผาในตอนนั้น โรงนาข้างไร่ดอกทานตะวัน นั่นเอง





เมื่อเข้าไปด้านใน Sebastian จะเห็นภาพความทรงจำของ Ruvik ในวัยเด็กที่กำลังแอบมาเล่นกับ Laura พี่สาวของเขา ในขณะที่ด้านนอก พวกชาวไร่ก็กำลังรวมตัวกันเพราะโกรธแค้นตระกูล Victoriano ที่กว้านซื้อที่ไร่ของพวกเขาไปจนหมด ก่อนที่พวกชาวไร่จะเริ่มจุดไฟเผาโรงนาเพื่อเป็นการสั่งสอน โดยที่เขาอาจไม่รู้ว่ามีเด็ก 2 คนอยู่ด้านใน หรือ บางที่พวกเขาอาจไม่สนใจที่จะรับรู้ก็ได้ 





ขณะที่ไฟเริ่มไหม้ลุกลามไปทั่ว  Ruvik และ Laura ก็หมดทางที่จะหนีออกมาจนถูกไฟลุกไหม้กันทั้งคู่ Laura ฉวยโอกาศดันให้ Ruvik หนีออกทางหน้าต่างโรงนาสำเร็จ ในขณะที่เธอโดนไฟครอกไปทั่วตัว ในขณะที่ Sebastian กำลังเพลินกับการดูความทรงจำของ Ruvik ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองก็อยู่กลางกองไฟของโรงนาเหมือนกันจึงต้องรีบหนีทันที โดยเป้าหมายคือขึ้นไปให้ถึงหน้าต่างชั้นบนของโรงนา 




- ทางซ้ายของโรงนาจะมีคันโยกอยู่ 2 อัน หมุนอันทางขวาเพื่อให้ลูกกรงเหล็กเลื่อนลงมาแล้วขึ้นไปยืนในกรง จากนั้นหันมายิงใส่คันโยกอันทางซ้ายให้มันหลุดออกกรงก็จะขึ้นไปด้านบน แต่พอ Sebastian มาถึงหน้าต่าง เขาก็ถูกละอองเลือดของ Ruvik พุ่งเข้ามากระแทกจนตกลงมาด้านล่างอีกก่อนที่ ละอองเลือดมันจะก่อตัวเป็นรูปร่างแล้วบังคับร่างของชาวบ้านให้เป็นซอมบี้เข้าโจมตี Sebastian จัดการชาวบ้านด้วยการยิงแบบปกติแต่เมื่อมันลงไปนอนกองแล้วก็ต้องเผาซ้ำด้วยเพราะไม่งั้น ละอองเลือดของ Ruvik ในก็จะชุบชีวิตพวกมันขึ้นมาไม่รู้จบ

     

เมื่อจัดการทำลายพวกซอมบี้ชาวบ้านที่มันสร้างขึ้นมาจนหมดแล้ว Sebastian จะพบว่า ละอองเลือดของ Ruvik พยายามเข้ามาเพื่อช่วยเหลือ Laura ที่โดนเผาเป็นตอตะโก แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไปจน เสียงตะโกนก้องของ Ruvik ดังก้องไปทั่วโรงนาที่กำลังไฟไหม้



                             “ แกทำแบบนี้กับพวกเรา แกทำแบบนี้กับพวกเรา !!! “ 


ก่อนที่โรงนาจะโดนไฟไหม้จนถล่มลงมา ไม่รู้ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายเพราะถึง Sebastian จะไม่ได้เป็นอะไรแต่ถูกวาร์ปกลับมาที่ คฤหาสน์ของครอบครัว Victoriano เหมือนเดิม 

- เมื่อกลับมาที่ คฤหาสน์ เข้าไปตามทางเดินด้านในต่อจนถึงห้องทำงานแล้วเข้าไปที่ประตูลับที่เปิดออกมาทางตู้หนังสือได้เลย

……………………………………………………………………………

หนังสือพิมพ์ Krimson post ฉบับวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2012 ได้ลงข่าวเหตุเพลิงไหม้บ้าน ที่ทำให้หนูน้อย Lily Castellanos วัย 5 ขวบและพี่เลี้ยงเด็ก Juanita flores วัย 56 ปี เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจ ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็วจนหน่วยดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปช่วยไว้ได้ทัน ตำรวจระบุสาเหตุไหม้ว่า เกิดจากไฟฟ้ารัดวงจร 





ในข้อมูลส่วนตัวของ Sebastian Castellanos เป็นข่าวของหนังสือพิมพ์ Krimson post ที่ลงข่าว เพลิงไหม้ที่โรงนาในไร่ทานตะวันของตระกูล Victoriano ตำรวจระบุสาเหตุว่าเกิดจากการเล่นสนุกของเด็ก จนทำให้พี่สาววัย 17 ปีเสียชีวิตคาที่ ส่วนน้องชายหายสาปสูญ หลังเกิดเหตุการณ์ในสังคมชั้นสูงเชื่อว่า ตระกูล Victoriano มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้แต่อาจถูก Ernesto Victoriano พยายามปกปิดหลักฐานเพื่อกันเสื่อมเสียชื่อเสียง 

………………………………………………………………………………………………………….


                                Chapter 10: The Craftsman’s Tool 

หลังจากที่ Sebastian รับรู้ถึงโศกนาฎกรรมของตระกูล Victoriano ที่มี Ruben หรือ Ruvik ลูกชายคนเล็กเป็นฟันเฟืองแห่งความแค้น Sebastian เข้าไปด้านในส่วนล่างของคฤหาสน์ต่อ และทันทีที่ลงบันไดมาที่ห้องใต้ดินของตึกก็รู้สึกได้ถึงไอความทรงจำของ Ruvik ที่กำลังคุยกับหมอ Marcelo อีกครั้ง




Marcelo – รู้มั๊ยว่าตอนนี้แกฆ่าไปกี่คนแล้ว Ruben
Sebastian – Ruben ..เขาหมายถึง Ruvik หรอ ?
Ruvik – หมายเลขมันไม่สัมพันธ์กัน พวกเขาตอบรับด้วยตัวของพวกเขาเองค่อนข้างดี แต่ก็มีความต้องการเป็นของตัวเองสูงขึ้นด้วย ยังไงก็ถือว่าพวกเขาส่งเสริมการทดลองของผมอยู่มาก 
Marcelo – มันไม่ใช่แค่การทดลองแล้วมั้ง หนังสือพิมพ์ลงข่าวไปทั่วถึงเรื่อง คนที่น่าขยะแขยางพวกนั้นแล้วก็ไอ้กับดักบ้าๆนั่นด้วย พวกมันเป็น ไอ้พยาธิ..หรือ จุลินทรีย์อะไรกันแน่ 
Ruvik – พวกเขาเป็นของผม และจะทำทุกอย่างที่ผมร้องขอ ..ส่วนคุณต้องแก้ไขปรับปรุงมันให้ดีกว่านี้ ครั้งนี้จะไม่ใช่แค่การทดลอง ผมใกล้จะสมบูรณ์แบบแล้ว 
Marcelo – มันเป็นอะไรที่ น่ารังเกียจ ..
Ruvik – มันคือ ความปรารถนา ของผมต่างหาก !

…………………………………………………………………………………………………………




Mansion Basement notes (บันทึกห้องใต้ดิน)
บันทึกที่ Beatriz Victoriano แม่ของ Ruvik เขียนเอาไว้ว่า … ลูกๆของพวกเขาพรากลูกของชั้นไป มันเป็นชะตากรรมหรอ แล้วพวกเขาทำแบบนี้ทำไม ไฟนั่นทำให้ทุกอย่างมันพังพินาศหมด Ernesto เองก็เหมือนกันเขาสัญญาว่าจะปกป้องลูกๆของชั้นให้ปลอดภัย แล้วดันมาพูดง่ายๆว่า พวกเขา “หายไป” มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง คนเป็นแม่ย่อมรู้ดี ชั้นจำเสียงลูกชายชั้นได้ ชั้นยังได้ยินเขาหัวเราะดังออกมาจากห้องใต้ดินอยู่เลย มันเป็นไปไม่ได้ นี่ชั้นกำลังจะบ้าเพราะเสียลูกๆไปอย่างนั้นหรอ ?





ถ้ากลับไปอ่านหนังสือพิมพ์ที่โรงพยาบาลก็พบ Krimson Post ลงข่าวร้ายของครอบครัว Victoriano ที่เกิดอุบัติเหตุรถชนจนทำให้ Ernesto และ Beatriz Victoriano เสียชีวิต Ruben Victoriano ลูกชายจึงได้รับมรดกสืบทอดอนาคตของครอบครัวทั้งหมด .. 

และถ้าแวะวาร์ปกลับไปที่โรงพยาบาล ก็จะได้ยินเสียงเคาะประตูเหล็กของคนป่วยปริศนาห้องข้างๆที่พยายามตั้งคำถามให้ Sebastian ฟัง




เป็นไง คิดออกบ้างมั๊ยว่ามั๊ยว่า ทำไมโลกมันถึงเป็นแบบนี้ ?
ความเกลียดชัง ความเกลียดชังของ Ruvik ไงล่ะ ชายที่จะทำลายทุกอย่าง
เขาต้องการจะนำทุกอย่างที่โลกนี้พรากไปจากเขา ให้กลับคืนมา 
แต่ใช่ว่าเขาจะได้ตามที่เขาต้องการตามนั้นทุกอย่าง 
ก็อย่างว่า โลกอยู่มาก่อนเขานานมากนัก
แต่ใครจะรู้ เขาอาจกำลังทำสำเร็จแล้ว เพราะเหล่าบริวารของเขา และเมื่อเขาหลอมรวมอดีตเข้ากับปัจจุบันได้ ถ้าเขาทำลายปลายทางของทางออกทั้งหมดได้ แต่เหมือนเขากำลังรอ ใครคนนึง และถ้าใครคนนั้นเผลอหลุดเข้ามาในนี้ก็เป็นอันพบจุดจบเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ ไม่มีใครจะได้ออกไปจากที่นี่ !! 

…………………………………………………………………………………………………….




- จากนั้นเมื่อกลับมาที่ห้องใต้ดินอีกครั้ง เข้าไปด้านในตามทางก็จะเริ่มพบกับห้องกับดักใบมีด ซึ่งต้องใช้การลอบที่ค่อนข้างใจเย็นเพราะมีกับดักมากมาย ทั้งระเบิด และกับดักใบมีดใหญ่ซึ่งถ้าไปโดนเข้าจะทำให้ใบมีดใหญ่หมุนออกมาทั่วห้อง ทำให้ลำบากในการเข้าไปด้านในมากขึ้นไปอีก ซึ่งต้องใช้การก้มหลบสลับกับปีนข้ามกำแพงในการผ่านเข้าไป เป้าหมายคือเลาะเข้าไปที่ทางเข้าขวาแรกจะมีบันไดขึ้นชั้นบนเข้าไปเก็บ Battery pack บนโต๊ะในห้องมา แล้วจัดการซอมบี้ที่ยิงปืนบนทางเดินชั้น 2 ด้วยแล้ววค่อยลงมาชั้นล่าง ลอบเข้าไปที่ทางเข้ากลางขวาต่อ เข้าไปด้านในเอา Battery pack ใส่เข้าเครื่องประตูใหญ่ถัดไปจะเปิดออก






- เข้าไปที่ประตูใหญ่ที่เปิดออกจากถึงบันไดทางลงชั้นล่างต่อ ในห้องด้านล่างก็ยังคงเต็มไปด้วยกับดัก เข้าไปที่ห้องด้านในเก็บ Battery pack บนชั้นแล้วเข้าไปมุดเข้าห้องควบคุมด้านในเอา Battery pack ใส่ที่เครื่องจะทำให้คันโยกประตูรวมทั้งกลไกกับดักทั้งหมดทำงาน ระหว่างทางจะมีทั้งกับดักและซอมบี้โหดๆออกมาเพิ่มมากมาย เป้าหมายคือสับคันโยกเปิดทางเข้าไปด้านในจนถึงคันโยกเปิดประตูใหญ่เข้าไปด้านในต่อ Sebastian จะเห็นตัวประหลาดที่เกิดจากการรวมตัวของร่างทดลองออกมาแล้วส่งเสียงที่ทำให้เขาถูกพาไปอีกนึงต่อ

– ด้านในจะพบว่ากลับมาที่ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลอีกครั้ง เข้ามาจนถึงห้องกระจกเซฟ เก็บบันทึกของ Sebastian



บันทึกของ Sebastian Castellanos– 27 กุมภาพันธ์ 2012 
ที่ผ่านมาผมพบเจอกับการสูญเสียมากมายในฐานะตำรวจ ทั้งเหยื่อที่ถูกฆาตกรรมรวมทั้งบรรดาเพื่อนๆตำรวจที่ตายในหน้าที่มากมาย นั่นก็นับว่าทำใจยากแล้วแต่มันยิ่งยากไปกว่าเมื่อครั้งนี้มันเป็นลูกของตัวเอง  ผมได้แต่โทษตัวเอง ดื่มอย่างหนัก และแทบจะไม่ได้นอนเลยตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ที่ผมห่วงที่สุดคงจะเป็น Myra ผมรู้ว่ามันยากสำหรับเธอที่ต้องเสียลูกของเราไป และมันทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้ง ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากจะภาวนาว่า เราจะเข้มแข็งพอที่จะผ่านมันไปให้ได้เท่านั้นเอง ..

– เข้าไปด้านในต่อตามทาง Sebastian จะได้พบกับการไล่ล่าของ Laura อีกครั้ง แต่เธอก็แค่พยายามทำให้คุ้นเคยและหยอกล้อจนเมื่อหนีเข้ามาจนถึงห้องเผาขยะติดเชื้อ Laura ก็จะโผล่ออกมาไล่ล่าแบบเต็มรูปแบบทันที





การพบกับ Laura ครั้งนี้สมรภูมิคือ ห้องที่เต็มไปด้วยไฟกั้นเส้นทาง ที่ต้องทำคือ พยายามยับยั้ง Laura ที่กำลังไล่ตามเอาไว้ด้วยการยิงคันโยกที่ท่อปล่องปล่อยไฟให้มาเผาเธอ จากนั้นก็ต้องรีบไปสับคันโยกปิดระบบไฟที่กั้นทางเพื่อหนีเข้าไปด้านในเรื่อยๆ เมื่อเข้ามาถึงเตาเผา Sebastian จะโดนขังเอาไว้ ก่อนที่จะโดนไฟเผาให้รับยิงคันโยกที่ปล่องไฟอันแรกให้เร็วที่สุดเพื่อหนีออกด้านนอกต่อ ที่ปล่องไฟที่กั้นทางที่ด้านในนั้นต้องยิงคันโยกถึง 3 จุดไฟถึงจะหมด Sebastian ก็จะผ่านไปถึงลิฟต์ด้านในได้ แต่ Laura ก็พยายามจะตามมารัดคอเอาไว้แต่ Sebastian ก็สามารถกดลิฟต์ลงไปชั้นล่างจนลิฟต์ทับหัว Laura จนร่างเธอแหลกเหลวไปได้

   

แต่ขณะที่ลิฟต์กำลังลงไปชั้นล่างที่ Sebastian กำลังคิดว่าปลอดภัยแล้วเขาก็จะได้พบกับ Ruvik ที่โผล่ทะลุลิฟต์เข้ามาอีกครั้ง



Ruvik – แกคิดว่าแกเป็นใคร ..ข้ารู้ว่าเจ้าปรารถนาอะไร  ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวอะไร และข้ารู้ดีว่า เจ้าเป็นใคร ? เซป !เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถอยู่ได้ด้วยความรู้ที่มีอยู่ของเจ้าโดยที่ข้าไม่มีส่วนช่วยอะไรได้หรอ หรือ จะพูดอีกอย่าง เจ้าจะไม่ทำอะไรตามที่ข้าร้องขอได้ด้วยหรอ เซป !

- ก่อนที่ลิฟต์ที่ลงมาถึงที่หมายแต่มันดันพากลับมาที่ คฤหาสน์ของครอบครัว Victoriano อีกแล้ว เมื่อเข้าไปด้านในสุด Sebastian จะพบ Dr. Marcelo กำลังทดลองบางอย่างกับ Leslie อยู่




Sebastian – หมอ พอได้แล้ว คุณคิดว่ากำลังทำบ้าอะไรอยู่ ?
Marcelo – พยายามหาทางช่วยพวกเราให้รอดยังไงล่ะ ! Leslie น่ะเคยอยู่ที่นี่มากก่อน และที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเขาสามารถเชื่อมต่อกับ Ruvik ได้น่ะสิ เป็นคนไข้ที่มีกลไกทางสมองที่ลึกล้ำจนแทบจะเกินความรู้ของผมไปแล้ว 
Sebastian – เยี่ยม ! แล้วบอกได้มั๊ยว่าหมอกำลังทำอะไรอยู่ ? 
Marcelo – เขาเป็นทางออกเดียวของเราคุณนักสืบ ทางที่ทำให้เรากลับโลกปกติได้ ผมพยายามจะปรับจูนเครื่องรับเสียงของเขาให้เขากับที่นี่นิดหน่อย มันต้องได้ผลแน่ๆ !!




หมอ Marcelo พยายามปรับจูนคลื่นเสียงของ Leslie จนทำให้สภาพแวดล้อมที่แท้จริงๆรอบๆตัวเปิดเผยออกมา ซึ่งจะเห็นว่าตอนนี้ทุกคนอยู่ที่ห้องทดลองที่ดูทันสมัยแห่งนึง แต่นั่นก็ทำได้แค่ไม่กี่นาที่ก่อนที่คลื่นเสียงของ Ruvik จะเข้ามาก่อกวนพร้อมการปรากฎตัวของ Amalgam Alpha ตัวประหลาดที่เกิดจากการหลอมรวมของร่างทดลองออกมาตรงหน้า 


   

หมอ Marcelo – ผมรู้แล้ว ฮ่าๆ รู้ความปรารถนาของพวกมันแล้ว พวกมันอยากเป็นเหมือนพวกเรา พวกมันอยากออกไปข้างนอก ! 

ก่อนที่ หมอ Marcelo จะโดนกระทืบตายคาที Sebastian ไม่รอช้าเขารีบช่วย Leslie ออกมาจากเครื่องทดลองแต่แรงสั่นสะเทือนก็ทำให้ Sebastian และ Leslie กระเด็นผ่านฉากห้องทดลองนี้ไปทันที

- เข้าไปตามทางในชั้นล่างของโรงพยาบาลต่อ เส้นทางไม่มีอะไรมาก เก็บของตุนอาวุธหนักให้มากที่สุดจนลงไปถึงชั้นลานจอดรถใต้ดิน จะเจอกับสัตว์ประหลาดร่างทดลอง Amalgam Alpha ออกมาไล่ล่า



Amalgam Alpha จะโจมตีด้วยการวิ่งชนซื่อๆอย่างเดียว พยายามทิ้งระยะห่างแล้วโจมตีด้วยอาวุธหนักที่สุด โดยเฉพาะระเบิดมือและหน้าไม้หัวระเบิด สลับกับใช้ถังน้ำมันที่มีอยู่ในพื้นที่ระเบิดช่วยสร้างความเสียให้ให้กับมัน และเทคนิคการเข้าไปแอบซุ่มยิงในห้องทำงาน เมื่อมันเริ่มเห็นแล้วเข้ามาหาก็มีโอกาศกระหน่ำยิงต่อเนื่องได้อีกหลายดอกจากว่ามันจะถอยออกไป นั่นแปลว่ามันจะพุ่งเข้าทำลายห้องแล้ว ให้รีบหนีออกมาได้เลย ซึ่งห้องแบบนี้ในลานจอดรถจะมีถึง 2 ห้อง ใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่ด้วย เมื่อจัดการมันได้แล้ว ลิฟต์ตัวในจะทำงาน เก็บของให้หมดแล้วลงลิฟต์ต่อไปได้เลย



แต่ก็รู้ๆว่าชีวิตของ Sebastian ในโลกแห่งนี้มันคงไม่มีวันปกติสุข เพราะลิฟต์ที่กำลังลงมาชั้นล่างดีๆก็เกิดอาการสั่นสะเทือนจนตกลงมาด้านล่างอย่างแรง Sebastian พบว่ามันกำลังจะจมลงในน้ำเขาจึงงัดประตูลิฟต์แล้วว่ายน้ำออกมาด้านนอก ซึ่งภาพที่เห็นตรงหน้าก็พบว่าตอนนี้เขากลับมาที่เมือง Krimson City ของเขาอีกครั้ง แต่เป็น Krimson City ที่กำลังล่มสลายอย่างที่เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง


                                                         Chapter 11: Reunion

- เดินทางไปตามซากเมือง จนถึงทางเข้าซากตึก ด้านในพยายามค้นหาไอเทมดีๆที่นี่จะมีปืน Magnum ให้เก็บด้วย เข้ามาตามทางจนถึงเขตก่อสร้างในช่วงแรก





 จะพบกุญแจซึ่งเป็นจุดไอเทมสีฟ้าตกอยู่อีกด้านของทางเดินที่มีรั้วกัน ซึ่งจะเปิดประตูเข้าไปเอาไม่ได้ จนกว่าจะไปสำรวจประตูทางออกแล้วพวกซอมบี้คนงานก็จะพังประตูนั้นออกมาให้เอง ที่นี่จะมีศัตรูที่เป็นแค่ซอมบี้คนงานก็จริง แต่พวกมันมีจำนวนมากที่จะเข้ามารุมโจมตี ซึ่งทั้งเปลืองกระสุนและเสี่ยงในการรุมกินโต๊ะมากๆ ทางที่ดีคือต้องหาชัยภูมิที่ดีในการต่อสู้ที่ได้เปรียบเข้าไว้ อย่างเช่นปีนขึ้นไปบนตู้คอนเทรนเนอร์แล้วยิงพวกมันจากด้านบน จัดการมันให้หมดแล้วเข้าไปเก็บกุญแจมาเปิดประตูทางออกไปต่อ



– เข้าไปด้านต่อจนตกลงมาที่เขตน้ำท่วมด้านล่างเมือง สิ่งที่ต้องเจอก็คืออปุสรรคในน้ำตัวใหม่ ปลาปีศาจ ที่จะไล่งับแบบทีเดียวตายทันทีที่มันเห็นเหยื่อของมันลงมาในน้ำ ทางออกก็คือ ยิงศพที่ถูกแขวนอยู่ให้ตกลงน้ำเพื่อเป็นเหยื่อมันแล้วแล้วรีบว่ายน้ำไปที่จุดกมายที่ต้องการให้เร็วที่สุด เมื่อผ่านเข้ามาจนถึงถนนด้านในแล้ว ประตูจะถูกปิดเพราะ Ruvik มันออกมาขวางแล้วยังสร้างร่างจำลองที่แสนร่างกายพร้อมชาวบ้านซอมบี้เข้ามารุมด้วย ร่างจำลองของ Ruvik นั้นตายไม่ยาก แต่ทุกครั้งที่มันโดนยิงมันจะส่ง Laura มุดดินจากระยะไกลเข้ามากัดทันที ทางแก้ง่ายๆคือ ถ้ามีหน้าไม้หัวระเบิดไอเย็นยิงใส่มันก็จะสามารถจัดการมันได้โดยง่ายๆเลย
-  เมื่อจัดการได้แล้วผ่านประตูด้านในมา ก็จะเข้ามาถึงส่วนที่มีกระจกวาร์ปให้กลับมาที่โรงพยาบาล ซึ่งถ้าลองเก็บหนังสือพิมพ์ที่ชั้นวางมาอ่านก็จะพบว่า



หนังสือพิมพ์ Krimson Post ได้ลงข่าวการพบศพที่ถูกควักสมองมากมายในท่อระบายน้ำ เหตุการณ์เกิดต่อเนื่องกันเป็นเดือนๆทางตำรวจจึงเชื่อว่า เป็นฝีมือของ ฆาตกรต่อเนื่อง โดยขนานนามมันว่า Elk River Serial Killer 

- เข้ามาด้านในต่อจนถึงเขตก่อสร้างด้านใน ที่ไซโลใหญ่จะเห็นพวกซอมบี้สับคันโยกเปิดลิฟต์ให้พวกของมันลงมารุมยำมากมาย พวกมันจะออกมาทางประตูทางเข้าไซโลเป็นชุดๆ พยายามจัดการมันให้หมดที่ละชุด ศัตรูไม่ร้ายกาจแต่กระสุนน้อยและพื้นที่แคบมากที่จะวิ่งหลบให้ได้เปรียบ เมื่อตัวหัวหน้าที่เป็นตัวที่ใส่หน้ากากและใช้ปืนกลออกมาปิดท้าย เจ้านี่มันจะไม่เปิดออกมาถ้าไม่ยืนห่างจากประตู ถ้ามีระเบิดก็รอจังหวะที่มันเปิดประตูออกขว้างเข้าไปได้เลย หรือจะ Sniper สอยเอาก็สุดแล้วแต่




- เข้าประตูไปขึ้นไปต่อด้านบนเข้ามาจนถึงหน้าไซโล เข้าไปหมุนเครื่องปั่นไฟด้านในให้ลิฟต์ด้านบนทำงาน แล้วศัตรูจะบุกเข้ามา จัดการมันให้หมดแล้วขึ้นไปที่ลิฟต์ด้านบน ระหว่างที่ลิฟต์เลื่อนเข้าด้านในก็คุ้มครองตัวเองด้วยการจัดการพวกซอมบี้ที่รุมยิงมาจากสองฝั่งจนกว่าลิฟต์จะเลื่อนเข้าไปที่ทางเข้าซากตึกตรงข้าม
– เข้ามาด้านในซากตึกต่อจนถึงห้องกระจกเซฟ จะมีบันทึกของ Sebastian ให้เก็บ



บันทึกของ Sebastian Castellanos– 11 กรกฎาคม 2012
6 เดือนแล้วตั้งแต่ที่เราเสีย Lily ลูกสาวไปจากเหตุการณ์ไฟไหม้ ผมและ Myra พยายามที่จะลืมเรื่องราวในวันนั้น เราพยายามที่จะเข้มแข็งอีกครั้ง และมันจะง่ายมากเลยถ้าได้เหล้าเป็นตัวช่วย แต่มันก็อดห่วงกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่องานของผมไม่ได้ Myra พยายามที่จะชวนผมถกถึงเรื่องสาเหตุเรื่องไฟไหม้ในวันนั้นอยู่ตลอด แต่ผมก็พยายามบ่ายเบี่ยงที่จะไม่ถูกถึงมัน แต่เธอพยายามพุ่งประเด็นไปที่ ไฟไหม้ในครั้งนั้นมันไม่ใช่อุบัติเหตุ ผมเองก็ยังเชื่อมันในสัญชาติญาณนักสืบของ Myra น๊ะ แต่ พระเจ้า.. ถ้าสิ่งที่เธอคิดเป็นความจริง งั้นใครกันล่ะที่มันทำ !

- เมื่อออกมาด้านนอกตึกจะเห็น Kidman กำลังหนีพวกซอมบี้อยู่บนระเบียงของตึกอีกฝากที่ขวางด้วยแอ่งน้ำท่วมขนาดกว้างและปลาปีศาจที่คอยดักโจมตี ตอนนี้จะมีอุปสรรคเข้ามาเพิ่มคือประตูทางน้ำที่ปิดเปิดอัตโนมัติ โดยต้องรอจังหวะให้มันส่งเสียงเริ่มเปิดแล้วค่อยยิงศพลงมาให้ปลาปีศาจกินก่อน จากนั้นก็รีบว่ายน้ำไปเข้าประตูให้ทันก่อนมันจะปิด เข้าไปจนถึงบันไดจะขึ้นไปที่ตึกที่ Kidman อยู่ได้ จัดการฝูงซอมบี้ให้หมดแล้วช่วย Kidman ออกมาจากระเบียง




– จากนั้นลุยลงมาชั้นล่างเพื่อออกจากตึกนี้เพื่อไปที่ตึกอีกฝั่งถนน ระหว่างทางที่ห้องด้านบน Sebastian จะได้ยินเสียงประหลาดที่พยายามจะควบคุมร่างกายของเขาให้เข้าไปทำร้าย Kidman จนถูกเธอสอยให้ไป 1 นัด ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสภาพปกติ แต่ดูเหมือน Kidman เธอจะไม่เชื่อใจจนต้องขัง Sebastian เอาไว้ก่อน โชคดีที่ Leslie มาช่วยเปิดประตูทางออกให้ก่อนที่จะกลัวแล้วรีบหนีไปเหมือนเดิม ทันทีที่ Sebastian พยายามดันประตูออกมาได้ เขาก็พยายามตามไปทันทีจนมาถึงที่ห้องบ่มแก็สที่ชั้นล่าง




– ในห้องบ่มแก็สที่เต็มไปด้วยชิ้นส่วนตุ๊กตานั้นเต็มไปด้วยแก๊สรั่วอยู่เต็มห้อง จึงไม่สามารถใช้อาวุธอะไรก็ตามที่เป็นประกายไฟได้ ไม่งั้นก็ ตูม !! ระเบิดตายทันที เป้าหมายคือลอบหลบศัตรูเข้าไปที่บันไดด้านใน ปีนข้ามไปที่อีกด้านของโกดังจะเจอประตูที่ต้องใช้คีย์การ์ดเปิด ลอบเข้าไปด้านในต่อจนเจอฝูงซอมบี้กำลังแทะศพที่มี คีย์การ์ดอยู่ หลบพวกมันเข้าไปปิดวาล์วแก๊สด้านในก่อนแล้วที่นี้ก็จะจัดการมันยังไงก็ได้แล้ว จากนั้นก็เก็ยคีย์การ์ดกลับมาเปิดประตูเข้าไปด้านในต่อตามทางก็จะออกมาที่นอกตึกได้แล้ว
– ขณะกำลังเดินไปตามซากถนน Sebastian ก็เห็น Joseph กำลังหนีอยู่ที่ระเบียงชั้นบนของตึกตรงข้าม เขาจึงรีบตามไปทันที ( ระหว่างจะเจอห้องกระจกวาร์ปที่มีบันทึกของ Sebastian ด้วย แต่เป็นการพูดถึง Joseph ซะเป็นส่วนใหญ่จึงไม่น่าจะจดจำ ) เมื่อตามเข้าไปตามทางจนเจอกับ Joseph ใกล้ๆกับรถบัส ซึ่งดูเหมือนเขากำลังจะมีแผนที่จะใช้ในในการเดินทางต่อ


                                                  Chapter 12: The Ride 

ทันทีที่ Sebastian ได้เจอกับ Joseph หลังจากสอบถามสารทุกข์สุกดิบกันจบ Joseph ก็จะบอกว่า เขาพบจุดเชื่อมโยงบางอย่างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และตั้งใจที่จะใช้รถบัสคันนี้ขับเดินทางไปที่นั่นพอดี ก่อนที่ Kidman จะพรสดพราดเข้ามาแล้วพยายามจะขับรถหนีบางอย่างที่กำลังไล่ตามเธอมา ภาพในกระจกมองหลังคือปีศาจแมงมุมขนาดใหญ่ที่ใกล้เข้ามาทุกที และทันทีที่ Kidman ติดเครื่องรถสำเร็จเธอก็รีบขับรถหนีทันทีโดยแทบไม่สนใจ 2 หนุ่มที่ยืนงงกันอยู่ในรถแม้แต่นิดเดียว





- ทันที่ที่ปีศาจแมงมุมยักษ์เข้าโจมตี จนหลังคนรถเปิดออก ระหว่างทางจากนี้ก็ต้องยิงจัดการมันจนกว่ามันจะหลุดจากรถ ซึ่งนอกจากทรัพยากรกระสุนจากบทที่แล้วรวมกับที่มีให้ใหม่บนรถและจากการที่กระทืบตัวปราสิตเล็กๆที่ออกมาจากตัวมันแล้ว ไม่มีทางพอที่จะยิงมันจนตายได้ง่ายๆ แต่อย่าลืมว่ายังมี Joseph อยู่ แถมการยิงของเขาก็หวังผลที่สามารถทำให้ปีศาจแมงมุมตายได้โดยไม่ต้องเปลืองกระสุนเลยด้วย แต่อาจจะช้าและต้องคอยหลบมันให้ดีๆหน่อยเท่านั้น ระหว่างทางจะเจอทั้งปีศาจแมงมุมที่ไล่ล่าและฝูงซอมบี้ที่ดักยิงมาจากข้างทาง ซึ่งถ้าอยากสู้แบบไม่ลำบากและอึดอัดจากสภาวะกระสุนหมดมากนักงานนี้ต้องใช้ความแม่นและตัวช่วยถังน้ำมันกับระเบิดในมือศัตรูให้คุ้มที่สุดด้วย หลังจากยิงเจ้าปีศาจแมงมุมที่ไล่ล่าอยู่นานจนท้ายที่สุดก็สามารถอัดมันกับทางเข้าอุโมงค์จนตายได้ในที่สุด จากนั้นหลังจากหนีรอดแล้ว Joseph จะอธิบายแผนของเขาให้ Sebastian ฟัง



Joseph – จากที่เจอเรื่องราวมาทั้งหมดทำให้ผมค้นพบทฤษฎีบางอย่าง ที่ผ่านมาผมว่าเรากำลังวิ่งเข้าหาเรื่องที่น่ากลัวต่างๆตามที่ใครบางคนกำหนดมาให้น๊ะ และไม่ว่าเราจะถูกส่งไปตามสถานที่ไหนๆ ระยะห่างของประภาคารที่โรงพยาบาล Beacon Mental Hospital กลับอยู่ในระยะที่เท่าเดิมตลอด ผมว่าที่นั่นต้องมีอะไรอยู่แน่ แทนที่เราจะมัวตะเวณไปมากันอยู่น่าจะลองเข้าไปที่นั่นดูอาจจะเจออะไรที่เป็นประโยชน์บ้างก็ได้ ผมไม่ชัวร์น๊ะ แต่หลักการณ์ของผมมันตอบมาอย่างงั้น 
Sebastian – เยี่ยมมาก เจ้าหน้าที่ Joseph งั้นเราเบนเข็มกันไปที่ โรงพยาบาล Beacon Mental Hospital กันเลย






- แต่ระหว่างที่พูดจบ Joseph ก็ถูกศัตรูลอบยิงจนบาดเจ็บ ทำให้ Kidman ต้องจอดรถตรงที่ใกล้กับจุดที่จอดรถพยาบาลที่เธอสังเกตเห็น และ Sebastian ก็ต้องลุยเข้าไปเอายาที่รถพยาบาลนั่นเพื่อ Joseph อีกแล้ว ซึ่งก็ต้องบอกว่าลำบากทั้งขาไปและกลับ หลังจากลอบเข้าไปเก็บไอเทมถุงเลือดในรถพยาบาลที่จอดอยู่สุดถนนมาได้แล้ว ขากลับจะพบกับรถปืนกลหนักของศัตรูเข้ามาปิดล้อมพร้อมซอมบี้อีกจำนวนมาก พยายามหาทางลอบเข้าไปให้ใกล้รถที่สุดแล้วขึ้นไปจัดการตัวที่ยิงปืนก่อนเพื่อยึดปืนกลมายิงใส่พวกซอมบี้มากมายที่ขวางทางให้หมดแล้วค่อยรีบวิ่งเข้าไปที่รถของ Kidman ก็จะช่วย Joseph และเดินทางต่อได้

ในขณะที่กำลังขับรถไล่ทับซอมบี้ที่ขวางทางอย่างเมามันส์ Ruvik ก็ปรากฎตัวขึ้นเพื่อแล้วซัดด้วยคลื่นพลังของมันจนรถกระเด็นไปติดอยู่บนซากตึก ทำให้ Sebastian และ Joseph กระเด็นหลุดจากตัวรถทำให้ทั้งคู่แยกกับ Kidman ที่ติดไปกับรถบัสอีกครั้ง


                                                  Chapter 13: Casualties 

- Sebastian และ Joseph หลุดออกจากรถอยู่ที่ซากอาคารอีกด้าน สำรวจเก็บไอเทมทั่วๆห้องแล้วเข้าไปในห้องห้องกระจกวาร์ปซึ่งจะมีบันทึกของ Sebastian ให้เก็บ



บันทึกของ Sebastian Castellanos– 1 กันยายน 2012
Myra เธอหายตัวไปแล้ว ผมเพิ่งได้ข้อความจากเธอวันนี้เอง ไม่ใช่แค่นั้น ทั้งรถ เอกสารส่วนตัว รวมทั้งคอมพิวเตอร์ของเธอก็หายไปด้วย ทุกคนคิดว่าผมบ้า จนเธอทิ้งผมไป แต่ผมไม่คิดแบบนั้นผมมั่นใจว่าเธออาจถูกใครบางคนจับตัวไป อาจเพราะคดีการตายของ Lily ลูกสาวของเราที่เธอกำลังตามสืบซึ่งเธออาจกำลังค้นพบ ใครหรืออะไรบางอย่างจนต้องถูกปิดปาก ..แต่มันอะไรกันล่ะ ?

- ก่อนออกเดินทาง Sebastian บอกถึงเป้าหมายให้ Joseph ฟังว่าเขาต้องการข้ามไปที่ตึกอีกฝั่งของเหวด้วยซากรถไฟที่ทอดเป็นสะพานอยู่ แต่ทันทีที่ลงบันไดด้านล่างมาก็ทำให้ Sebastian ต้องแยกทางกับ Joseph อีกครั้ง เพราะลิฟต์ตัวที่ Sebastian ใช้โดดลงมานั้นตกลงไปด้านล่างเสียก่อน ระหว่างทางในซากตึกนั้นเต็มไปด้วยกับดักแบบใหม่นั่นคือกับดักสารเคมีที่ต้องปลดชนวนค่อนข้างนาน และกับดักลวดหนามของ Boxman ที่เดินไปมาอยู่ในซากตึกด้วย ระหว่างทางใครที่พลาดการเก็บปืน Magnum มาก็จะเจอมันในกล่องในซากตึกนี้ด้วย แต่ถ้าใครเก็บมาแล้วในกล่องก็จะกลายเป็นกระสุนปืน Magnum ที่แสนหายากแทน



- เดินทางต่อไปตามซากตึกจนลงมาถึงห้องครัวชั้นล่าง มันก็เป็นห้องครัวธรรมดาก่อนที่ Ruvik จะออกมาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นห้องครัวกับดักนรก ที่ระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยกับดักมากมายพร้อมตัวเลื่อยกลที่หมุนตามฟันขาอยู่ที่พื้นด้วย ใบเลื่อยหมุนนั้นถ้าขี้เกียจจะหลบก็สามารถใช้กระสุนหน้าไม้ Shock จัดการมันได้ เป้าหมายคือลอบเข้าไปปลดชนวนกับดักสารเคมีที่ประตูทางออกด้านในไปต่อ
 - เข้าไปด้านในต่อจนถึงห้องเย็น ซึ่งจะเห็น Joseph กำลังหนีการไล่ล่าของ Boxman ไปตามช่องทิ้งขยะ จากนั้นก็ต้องลอบหลบ Boxman ไปที่ช่องทิ้งขยะนั้นเพื่อโดดตามลงไป เข้าไปตามทางต่อก็จะออกมาถึงด้านนอกตึกได้

Sebastian เห็น Kidman กำลังพาตัว Leslie หนีไปทางสนามเด็กเล่นเขาเองก็เบาใจ แต่จู่ๆ Kidman ก็ชักปืนขึ้นมาและพยายามจะฆ่า Leslie ทำให้ Sebastian ไม่มีทางเลือกที่ต้องเข้าไปขัดขวาง




Kidman – มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก Leslie แต่ชั้นจำเป็นต้องฆ่าเธอตามคำสั่ง ขอโทษด้วยน๊ะ 
Sebastian – หยุดน๊ะ Kidman นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่น่ะ
Kidman – คุณไม่รู้หรอกว่า เขาเป็นอะไร และคุณก็ไม่มีวันเข้าใจว่าถ้า Ruvik ได้ตัวเขาไปแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น
Sebastian – งั้นก็บอกผมมาสิ !!
Kidman – อย่าขัดขวางชั้นเลย ชั้นได้รับคำสั่งมา ยังไงก็ไม่สามารถปล่อยให้ Ruvik ได้ตัวเด็กนี่ไปแน่ๆ Leslie เป็นคนเดียวที่เขาจะ

ในขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดกันอยู่ Joseph ที่แอบดูอยู่จึงใช้จังหวะที่ Kidman เผลอเข้าไปช่วย Leslie แต่ Leslie ก็ส่งพลังเสียงออกมาจนทุกคนปวดหูก่อนที่จะหนีไป Joseph พยายามใช้ปืนขู่เพื่อให้ Kidman หยุดที่จะตามไปแต่ก็โดนเธอยิงสวนเข้าขั้วหัวใจทันที ก่อนที่พื้นของถนนจะถล่มทำให้ Sebastian ตกลงไปด้านล่างอีกครั้ง  


                                     Chapter 14: Ulterior Motives




Sebastian รู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตัวเองตกลงมาที่สถานีรถไฟใต้ดิน ยังไม่ทันได้ก้าวขาไปไหน Sebastian ก็เริ่มห่วงและหวังในใจลึกๆว่า Joseph อาจจะยังรอดอยู่ก็ได้ จากนั้นก็เข้าไปตามทางของสถานีรถไฟต่อ เส้นทางค่อนข้างไกลแต่ไม่ซับซ้อน เมื่อเข้ามาจนถึงห้องน้ำของสถานีก็จะพบห้องกระจกวาร์ปและพบจดหมายของ Myra ด้วย

                  


Note from Myra 
ถึง Sebastian ที่รัก… เมื่อคุณได้อ่านจดหมายฉบับนี้นั้แปลว่าชั้นกำลังพบความจริงบางอย่างที่ทำให้ชั้นไม่มีโอกาศบอกกับคุณได้ด้วยตัวเองแล้วนั่นเอง ชั้นต้องขอโทษด้วยที่เก็บเป็นความลับกับคุณ ชั้นแค่อยากจะปกป้องคุณจากความลับที่ชั้นเจอรวมถึงความบ้าของชั้นในตอนนี้ด้วย ชั้น Copy ไพล์ของมูลของคดีทั้งหมดเอาไว้แล้ว คดีของลูกสาวเรา ที่พวกเขาไม่มีวันที่จะได้ไป ถ้าคุณต้องการทำน๊ะ ช่วยจบในสิ่งที่ชั้นเริ่มไว้ด้วย ทวงความยุติธรรมให้ลูกสาวเรา รวมถึงให้ชั้นด้วย … รักคุณหมดหัวใจ ที่รัก 

- จากนั้นก็เข้าไปตามซากรถไฟตามทางจนถึงด้านในเป้าหมายคือซากรถไฟที่จอดทอดเป็นสะพานไปที่ฝั่งตรงข้าม และเมื่อข้ามเข้ามาจนพ้นอีกฝั่งนึงของขวบนรถไฟแล้วที่ซากตึกตรงข้ามจะเริ่มพบเมือกบางอย่างเกาะอยู่เต็มไปหมดเสมือนกับเป็นรังอะไรซักอย่าง เข้ามาตามทางด้านใน ซอมบี้ที่นี่จะเป็นพวกร่างรวม 2 หัวทั้งหมดฉะนั้นหมดโอกาศที่จะเสียบมันจากด้านหลังแน่ๆ เข้ามาจนเจอห้องกระจกวาร์ป ด้านในจะมีบันทึกให้เก็บ



บันทึกของ Sebastian Castellanos– 20 ธันวาคม 2012
ผมตรวจสอบทุกรายละเอียดที่ได้จากไฟล์ของ Myra จนหมดแล้วแต่ดูเหมือนหลักฐานที่มีมันยังน้อยเกินไปที่จะบ่งชี้ว่าการตายของ Lily นั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ แถมเพื่อนรวมงานรอบๆตัวต่างก็ลงความเห็นว่าที่ Myra หายตัวไปนั้นไม่เกี่ยวกับคดีแต่เป็นเรื่องบาดหมางของครอบครัวเรากันเอง ทำให้ผมต้องลงมือสืบให้ลึกลงไปกว่านั้น ด้วยตัวของผมเองจะดีกว่า  




และเมื่อแวะกลับไปที่โรงพยาบาลก็จะพบประกาศคนหายที่ชื่อว่า นางพยาบาล Tatiana Gutierrez ซึ่งกว่าจะรู้ชื่อจริงของคุณนางพยาบาลคนสวยที่อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน เธอก็กลับหายตัวไปอีกคนนึงแล้ว 




- เข้าไปตามทางชั้นใต้ดินของสถานีรถไฟต่อจนพบแผงควบคุมเก็บ Junction box Fuse อันแรกมา จะทำให้กระแสไฟฟ้าที่กั้นอยู่หายไป เข้าไปหมุนวาล์วให้น้ำลดแล้วเข้าไปในท่อด้านในต่อ ยิ่งเข้าไปในอุโมงค์รถไฟเก่าลึกเท่าไหร์ก็จะพบเมือกประหลาดมากขึ้น เข้าไปตามทางจนถึงทางแยกด้านขวาจะมีทางไปแต่น้ำท่วมกั้นเอาไว้ วาล์วที่ใช้หมุนก็มีกระแสไฟฟ้ากั้นเอาไว้อีก เข้าไปจนสุดทางเดินเก็บ Junction box Fuse อันที่ 2 ที่แผงควบคุมมาจะทำให้ไฟฟ้าหายไป แต่ก็จะทำให้เมือกที่ถูกกั้นอยู่ขยายตัวเปิดทางให้พวกลายตัวประหลาดหลุดออกมาเยอะขึ้น จัดการพวกมันให้หมดแล้วเข้าไปหมุนวาล์วให้น้ำลดแล้วเข้าไปตามช่องทางด้านขวาต่อ จนถึงลิฟต์ข้างจะมีแผงฟิวส์ให้ใส่ โดยเอา Junction box Fuse ทั้ง 2 อันใส่เข้าไปให้ถูกต้อง

                   

- โดยเอาแผงฟิวส์ 3 ทางใส่จุดทางซ้ายให้ไฟแดงติด เอาฟิวส์ 2 ทางบนล่างใส่ช่องกลางให้ไฟสีน้ำเงินติด และเอาฟิวส์ 2 ทางขวาล่างใส่ช่องทางขวาเพื่อให้ไฟเขียวติด



- จากนั้นเข้าไปสับคันโยกเครื่องปั่นไฟ Sebastian จะโดนปีศาจปลาหมึกที่แฝงตัวอยู่นานเข้าโจมตีทันที เจ้าปีศาจปลาหมึกนั้นลำพังตัวมันเองก็แค่ปล่อยควันดำแล้วแอบซ่อนตัวที่ท่อด้านบนแล้วดักใช้หนวดทำร้ายเท่านั้น แต่ที่ร้ายคือบรรดาลูกๆของมันที่ปล่อยออกมาระเบิดใส่ที่โจมตีและมองเห็นค่อนข้างยากมากๆ พยายามหาตัวมันว่าแอบอยู่ที่ท่อไหนโดยท่อที่มันแอบจะมีน้ำเมือกไหลเยิ้มลงมาให้เห็น แล้วยิงให้มันร่วงมาซะ เมื่อจัดการมันได้ก็จะสามารถกลับไปหมุนเครื่องปั่นไฟเปิดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนต่อได้
- Sebastian จะขึ้นมาถึงซากรถไฟที่ทอดเป็นสะพานอยู่สำเร็จ แต่ทันทีที่พยายามเดินผ่านไปทีละตู้ Ruvik ก็ส่งคำเตือนมาให้อ่านตลอดทาง “ แล้วเจ้าจะเสียใจ “ แต่ Sebastian ก็สามารถวิ่งผ่านจนโดดเข้ามาที่ตึกตรงข้ามสำเร็จแต่ก็ทำให้ถูกวาร์ปกลับมาที่ห้องทดลองในโรงพยาบาลอีกครั้ง ด้านในจะเห็นความทรงจำของ Ruvik



Ruvik – แกออกให้ข่าวถึงผลงานของข้าด้วยชื่อของแกอีกแล้วน๊ะ คิดว่าข้าไม่รู้อะไรเรื่องโลกภายนอกรึไง
Dr. Marcelo – แต่ผมก็ทำให้ได้ชื่อเสียงและเงินช่วยเหลือเพิ่มขึ้นน๊ะ ก็คุณไม่มีทั้งประกาศนียบัตรรับรอง ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าสื่อไหนๆเลย 
Ruvik – ซักวันพวกมันก็จะได้เห็นเอง ข้าเก่งกว่าแกหลายเท่าชนิดที่แกก็รู้ และที่สำคัญ ข้ามีทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว จะเหลือก็แค่ดำเนินการเท่านั้น 
Dr. Marcelo – ก็จริง เพราะงั้นเราถึงได้มาที่นี่กันไงล่ะ 
Ruvik – เราหรอ ? แกเรียกคนของแกมาทำไม แกไม่กล้าหรอก ถ้าขาดข้าแกก็ไปไม่รอด 
Dr. Marcelo – แน่นอนที่สุด !! 

- จากนั้นก็จัดการกับร่างทดลองที่หลุดออกมาซะ จัดการเหมือนเดิมคือเมื่ออัดจนมันลงไปนอนแล้วก็เข้าไปดึงสลักที่ลำคอของมันให้ตายสนิทซะด้วย เมื่อจัดการพวกมันจนหมดเครื่องควบคุมก็จะระเบิดออกทันที

                                             Chapter 15: An Evil Within 

Sebastian ฝันเห็นภาพตัวเองนอนในเตียงทดลองโดยมีเงาของผู้หญิงที่คล้ายกับ Kidman คอยดูแลแล้วถูกตัวของเขาเองยิงเข้าแสกหน้าก่อนจะตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่ที่นี่ไม่มีใครอยู่ให้คุยด้วยแล้ว เข้าไปเก็บเอกสารบนโต๊ะ



Internal affairs interview Script (บทสัมภาษณ์กรณีคดีอื้อฉาวของฝ่ายกิจการภายใน ) 
เจ้าหน้าที่สอบสวน Phi - รู้มั๊ย ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่
Sebastian – เพราะคนของคุณมันทำงานไม่เป็นไงล่ะ !
เจ้าหน้าที่สอบสวน Phi – คุณกำลังใช้ทรัพย์สินของทางราชการในการสืบหาเรื่องส่วนตัว ยังไม่รวมเรื่องการใช้กำลังข่มขู่ คุกคามและใช้ความรุนแรงด้วย 
Sebastian – ถ้าคุณอยากพิสูจน์นักก็ควักปืนมาดวลกันเลยดีกว่ามั๊ย !!
เจ้าหน้าที่สอบสวน Phi – ระวังหน่อยคุณนักสืบ คุณกำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนน๊ะ 
Sebastian – ไม่ใช่แค่นายคนเดียวหรอก 
เจ้าหน้าที่สอบสวน Phi – คุณหมายความว่ายังไง 
Sebastian – ถ้าตามผมไปเรื่อยๆเดี๋ยวคุณก็รู้เองแหละ ผมมีงานต้องทำ เสร็จธุระของคุณรึยัง ?
เจ้าหน้าที่สอบสวน Phi – แค่ตอนนี้คุณนักสืบ แต่ถ้าเราได้รับรายงานอีก คุณเจอของหนักแน่ๆ ถึงเวลาที่ต้องจบเรื่องนี้ได้แล้ว 
Sebastian – ผมจะหยุดก็ต่อเมื่อเรื่องมันจบเท่านั้นแหละ !!   




- จากนั้นเข้าไปที่ทางเดินด้านในจะพบ Leslie อยู่ที่นี่และเขาจะนำทาง Sebastian ออกไปตามทางลัดจนมาออกที่หน้า Beacon Mental Hospital สถานที่ที่ Joseph เคยตั้งทฤษฎีเอาไว้ว่ามันจะเป็นที่ที่จบเรื่องราวทั้งหมด เข้าไปด้านในจะพบสถานที่ที่เป็นที่เกิดเหตุในตอนแรกอีกครั้ง เข้าไปทางห้องควบคุมกล้องวงจรปิด ไปตามทางจนถึงทางออกมาที่ประภาคารที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งจะพบ Leslie คอยนำทางเข้าไปต่อจนถึงชั้นบนตรงทางเดินห้องคนไข้จะพบกับ Ruvik ที่เข้ามาขัดขวางแต่ Sebastian ก็พยายามสู้โดยใช้ตะเกียงฟาดทำให้ไฟไหม้เสื้อคลุมของมันจนหมดเหลือไว้แค่ร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยบาดแผลไฟไหม้ และเมื่อผ่านเข้าไปในห้องด้านในก็จะพบห้องที่เต็มไปด้วยดวงตาขนาดใหญ่ที่แสนน่าเกลียด



- ในห้องนี้จะมีศัตรูออกมามากมายเป็นชุดๆ แต่ละชุดจะหนักขึ้นเรื่อยๆ และปิดท้ายด้วย Butcher กับบาซูก้าและเลื่อยไฟฟ้าของมัน พยายามอย่าอยู่นิ่งหาตำแหน่งที่สูงจะได้เปรียบแล้วใช้อาวุธที่สามารถจัดการได้เป็นกลุ่มให้เร็วที่สุด ที่นี่ศัตรูอาจจะออกมาเยอะแต่ชัยภูมิได้เปรียบมาก ถ้าหลบหลีกให้ถูกทาง เมื่อจัดการ Butcher ลงได้ประตูทางเข้าด้านในก็จะเปิดออก




- เมื่อผ่านเข้าไปห้องน้ำด้านในได้นรกก็ยังไม่หมดเพราะที่นี่ต้องเจอกับ Boxman 2 ตัวพร้อมกับดักภายในห้องที่ต้องจัดการอีก แถมเจ้า Boxman 2 ตัวนี้ก็แสนจะอึดมากกว่าตัวที่ผ่านมาด้วย มันอาจจะง่ายมากถ้าคุณเหลือกระสุนเข้ามาที่มากพอโดยเฉพาะ Magnum แต่ถ้าไม่ ก็ต้องใช้วิธีวิ่งวนคอยเก็บวัตถุดิบจากกับดักของมันมาทำกระสุนหน้าไม้เอา เมื่อจัดการตัวนึงลงได้น้ำจะเข้ามาท่วมให้หนีลำบากมากขึ้น เมื่อจัดการจนหมดแล้วประตูทางออกด้านในก็จะปรากฏออกมา
- สุดท้าย ถ้าสามารถหลบการตรวจจับของดวงตา Ruvik เข้าไปด้านในได้ ก็จะมาที่ห้องกำเนิด STEM ของจริงที่ Sebastian ก็สังเกตเห็นร่างของเขานอนเป็นสมองทดลองอยู่ในนี้ด้วย จากนั้น Sebastian จะได้ยินเสียงของ Leslie ร้องเรียกให้ช่วยเพราะโดน Kidman ตามมาฆ่าถึงที่นี่




Kidman – Sebastian อยู่ห่างๆเขาไว้  แล้วคุณก็หยุดได้แล้ว คุณเองก็ได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้เหมือนกับพวกเรา 
Sebastian – เอาล่ะ เข้าใจแล้ว คุณไม่ใช่ตำรวจนักสืบมือใหม่ ส่วนเจ้านี่ก็พิเศษกว่าเด็กปัญญาอ่อนทั่วไป คุณยิงผมแล้วฆ่า Joseph มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องเชื่อคุณอีกบอกมาสิ ?
 Kidman – คุณเป็นคนดีน๊ะ นั่นชั้นถึงได้….. ช่างเถอะ มันไม่สำคัญแล้วล่ะ ถ้าคุณรู้ว่าเด็กนั่นมันเป็นอะไร คุณก็จะรู้เองว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงต้องถูกกำจัด 
Sebastian – เลอะเทอะ Ruvik คนเดียวต่างหากที่ทำเรื่องบ้าๆนี่ 




และทันทีที่พูดถึง Ruvik มันก็โผล่มาทันที ก่อนที่มันจะเรียก Leslie เข้าไปหาแล้วหลอมสลายร่างเขาจนกลายเป็นของเหลวไหลเข้าไปสู่ระบบ STEM ทำให้ระบบสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นจนก่อให้เกิดร่างใหม่สุดอลังการของ Ruvik ขึ้นมาทันที  






การจัดการ Ruvik ร่างสมบูรณ์นั้น Sebastian ไม่ต้องพกกระสุนมาแม้แต่นัดเดียวเพราะเกมจะจัดให้ไว้พร้อม เพียงแค่หลบการโจมตีของมันจนวิ่งเข้าไปใกล้ตัวมันได้ จนถูกมันตบกระเด็นไปที่รถติดปืนกลที่บังเอิญลอยอยู่แถวนี้ ก็สามารถใช้ปืนกลกระหน่ำยิงเข้าไปที่จุดแดงซึ่งคือมือของมันที่กำลังเข้ามาตะบบให้ทัน แล้วเมื่อมันดิ้นเฮือกสุดท้ายจนตบ Sebastian กระเด็นไปถูกดหล็กเสียบกลางอกก็ยังมีปืนบาซูก้าของศัตรูที่บังเอิญหล่นมาใส่มืออีกกระบอกให้ยิงทำลาย Ruvik เป็นการปิดท้ายเท่านั้นเอง 





และเมื่อ Sebastian สามารถจัดการร่างแห่งมโนภาพของ Ruvik ได้ Sebastian ก็จะพบว่าตัวเองกำลังตื่นขึ้นบนเตียงในห้องทดลองรวมแกนสมองหลัก ที่มีสมองที่เหลืออยู่ของ Ruben Victoriano เป็นแกนกลางของระบบทั้งหมด ซึ่งคนที่สร้างมันขึ้นมาก็คือ Dr. Marcelo ที่จับตัว Ruben เอาไว้เพื่อแย่งผลลานวิจัยทั้งหมดมาเป็นของเขาและเปลี่ยน Ruben เป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมที่เขาขาดไม่ได้นั่นก็คือ สมองควบคุมระบบ STEM หลัก แต่เขาหารู้ไม่ว่าเขาไม่สามารถควบคุมสองอันทรงพลังของ Ruben ได้แม้แต่น้อย เมื่อ Ruben ควบคุมระบบได้ทั้งหมดจึงสร้างกายภาพใหม่ขึ้นมาในชื่อ Ruvik เพื่อล้างแค้นและสร้างโลกในอุดมคติของเขาต่อทันที  แต่ทุกอย่างกำลังจะลง  และไม่ว่า Ruvik จะข่มขู่ Sebastian ยังไงก็ช้าเกินกว่าบาทาที่กระทืบลงที่สมองอันน้อยนิดของ Ruben จนแหลกคาเท้า 


Sebastian สลึมสลือตื่นขึ้นอีกครั้งในเตียงทดลอง CB210 ในห้องทดลองที่ทันสมัยแห่งนึง ตาที่พร่าทัวของเขาสังเกตได้แค่ว่าเขาเห็น Kidman อยู่ที่เตียงของเขา เธอสั่งงานกับผู้หญิงผมดำที่เดินผ่านมาว่า (ซึ่งผมคิดว่าคือคุณนางพยาบาล Tatiana Gutierrez นั่นแหละ) 







   “ ปล่อยคนนี้ แล้วก็สองคนนั้นด้วย ยังไงพวกเขาก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีทั้งนั้น “




Sebastian ตื่นขึ้นอีกครั้งในห้องทดลองในห้องทดลองบนประภารของ Beacon Mental Hospital แสงสว่างที่ส่องเข้ามาดูสว่างจ้าเสมือนกับย้ำเตือนให้สมองของเขารับรู้ว่า ทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว รอบตัวมีศพของร่างทดลองที่นอนตายอยู่มากมายแต่ที่คุ้นตามีเพียง Dr. Marcelo และ เจ้าหนาที่ Connelly เท่านั้น ก่อนที่ Sebastian จะรีบออกจากตึกจนลืมสังเกตไปว่าร่างทดลองในเตียงนึงหายไป เตียงของ Winters Leslie นั่นเอง




ทันทีที่ลงมาถึงโถงโรงพยาบาลก็พบว่าเสมือนเรื่องราวมันเพิ่งเริ่มขึ้นและจบลงไม่นาน เพราะกลิ่นศพจะเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว เจ้าหน้าที่หน่วย Swat ก็เพิ่งบุกเข้ามาถึง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าหน้าที่นักสืบ Sebastian Castellanos ตื่นเต้นอีกแล้ว ตอนนี้ที่เขาต้องการคงเพียงแค่สูดอากาศบริสุทธ์ในแบบจริงๆซะที 





ทันทีที่ออกมาด้านนอกโรงพยาบาล Sebastian ก็เห็น Leslie เดินออกไปที่ถนนพร้อมเสียงที่เข้ามารบกวนโสตประสาทก่อนที่ร่างนั้นจะหายไป และตราบใดที่แสงไฟบนประภาคารแห่ง Beacon Mental Hospital ยังคงสาดส่องก็คงไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ Sebastian นั้นตื่นในโลกแห่งความจริงแล้วหรือยังหลับอยู่ในโลกแห่งแกนสมองที่จอมปลอมของคนกลุ่มนึงที่พยายามจะควบคุมทุกอย่างอยู่กันแน่ …







   ……………………………………. THE END ………………………………………..



                               จาก อรรพบท ถึง ฉากจบ Evil Within 

                   อ้างอิงจากสิ่งที่พบเห็น , ข้อความในเกม และความคิดเห็นส่วนตัว 

เริ่มต้นจากครอบครัว Victoriano ที่มีรากฐานมาจากตระกูลสูงศักดิ์ของอิตาลี ประกอบด้วย Ernesto หัวหน้าครอบครัว Beatriz ภรรยา และลูก 2 คน Laura และ Ruben ซึ่ง Ernesto นั้นเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลเหนืออื่นใดเหมือนคนรวยทั่วๆไป เขาค่อยข้างจะรัก Laura ลูกสาวที่เป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดจนสามารถเป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัวได้ดีมากกว่าลูกชายคนเล็กซึ่งก็คือ Ruben ที่ถึงแม้จะได้เชื้อความอัจฉริยะมาจากพี่สาวแต่เพราะนิสัยเก็บตัว สื่อสารกับคนอื่นได้ยาก Ruben จึงค่อนข้างถูก Ernesto เลือกที่รักมักที่ชังมาตลอดตั้งแต่เด็ก

สำหรับ Ruben ที่โลกนี้แทบจะไม่มีใครเลยที่พยายามจะเข้าใจเขา ก็มีแต่  Laura พี่สาวเท่านั้นที่เข้าใจเขาได้มากที่สุด และด้วยความที่ทั้งคู่ถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกจากผู้เป็นพ่อ โรงนากลางไร่ทานตะวัน ก็คือสถานที่เล่นสนุกที่ เป็นส่วนตัวที่สุดของสองพี่น้องคู่นี้  จนวันนึง เนื่องจาก Ernesto ได้ใช้เงินกว้านซื้อที่ดินไร่นาของชาวบ้านมาเป็นของตระกูลตัวเองจนหมด จึงมีชาวบ้านกลุ่มนึงโกรธแค้นจีงรวมตัววางแผนกันเผาโรงนาเพื่อสั่งสอนตระกูล Victoriano แต่วันเกิดเหตุ Laura และ Ruben กำลังเล่นอยู่ด้านในจึงโดนไฟครอกทั้งคู่ แต่ Laura พยายามช่วย Ruben ให้หนีออกมาได้ จนตัวเองต้องตายในกองไฟ จนเป็นข่าวของหนังสือพิมพ์ Krimson post ที่ลงข่าว เพลิงไหม้ที่โรงนาในไร่ทานตะวันของตระกูล Victoriano ตำรวจระบุสาเหตุว่าเกิดจากการเล่นสนุกของเด็ก จนทำให้พี่สาววัย 17 ปีเสียชีวิตคาที่ ส่วนน้องชายหายสาปสูญ หลังเกิดเหตุการณ์ในสังคมชั้นสูงเชื่อว่า ตระกูล Victoriano มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้แต่อาจถูก Ernesto Victoriano พยายามปกปิดหลักฐานเพื่อกันเสื่อมเสียชื่อเสียง

ความโกรธแค้นของ Ernesto ผู้เป็นพ่อที่โทษ Ruben ว่าทำให้ Laura ลูกสาวคนโปรดของเขาต้องเสียชีวิต และในสถาพร่างกายของ Ruben เป็นบาดแผลที่ถูกไฟไหม้ที่สุดแสนน่ารังเกียจนั้นดูไม่งามกับความเป็นตระกูลผู้สูงศักดิ์ Ernesto ก็จับ Ruben ขังลืมในห้องใต้ดินของคฤหาสน์เพื่อปิดข่าว ก่อนที่ Ruben จะหนีออกมาแล้วคิดแก้แค้นพ่อแม่ตัวเองที่ขังเขาเอาไว้เพียงเพื่ออยากรักษาหน้าตาของครอบครัว Ruben จึงฆ่าพ่อแม่ของเขาทิ้งในห้องนอน ดังที่เห็นในภาพความทรงจำของ Ruben ใน Ch9 และถูก Ruben จัดฉาก ให้ตายโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์ดังที่เห็นในหนังสือพิมพ์ Krimson Post จนทำให้มรดกและอำนาจเต็มในตระกูล Victoriano ตกเป็นของ Ruben แต่เพียงผู้เดียว

ประจวบเหมาะกับที่ Dr. Marcelo หัวหน้าแพทย์จากโรงพยาบาล Beacon Mental Hospital ที่เคยเข้ามาพยายามเกลี่ยกล่อมกับ Ruben ในวัยเด็กเพื่อจะใช้ความอัจฉริยะของเขาในการทดลองมาครั้งนึงแล้ว ก็สบโอกาศเข้ามาพบกับ Ruben ในขณะที่บาดเจ็บทั้งกายและใจ เพื่อไถ่ถามเรื่องเงินสนับสนุนของทางโรงพยาบาลที่เคยได้จากตระกูล Victoriano จน Dr. Marcelo สามารถกล่อมให้ Ruben ในสภาพจิตใจแตกสลายช่วยเขาในการทดลองได้สำเร็จ ทฤษฎีที่เกิดจากความเครียดแค้นพ่อที่เห็นแต่ชื่อเสียงของตระกูลจนกะจะขังลืมเขาให้ตายทั้งเป็น อ้างอิงจากเสียงที่ห้องเข้ามาในห้องของ Sebastian ที่ว่า

“ สืบเชื้อสายของวงศ์ตระกูลที่เพิ่มขึ้นแต่ผู้คนกลับแตกแยกกันไปคนละทิศทางไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันเป็นเสมือนยากระตุ้นให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า การปรับตัวของมนุษย์ให้แตกแยกจากเดิม  …แล้วคุณรู้มั๊ยว่าที่ผมตามหาค้นคว้ามาทั้งปีนั้นคืออะไร ..แทบไม่น่าเชื่อ มันอยู่ใต้จมูกผมแท้ๆ บอกได้แบบไม่กลัวผิดพลาดเลยว่า มันคือ “การอยู่ร่วมกัน” ยังไงล่ะ “

จึงก่อเกิดทฤษฎีของ Ruben ที่ว่าด้วยการเชื่อมต่อสมองหลายๆสมองเอาไว้ด้วยกัน ให้แชร์ทุกอย่างในสมองผ่านระบบ Electro – Chemical Level อารมณ์ ความทรงจำ แนวความคิด ทุกๆอย่างแบบต่อสายตรงรวดเดียวจบ พูดง่ายก็คือ Ruben อยากจะควบคุมความคิดของทุกคนบนโลกที่เขารู้จักให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ จึงเป็นต้นเหตุของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องแห่งลุ่มแม่น้ำ Elk ที่ Ruben เป็นฆาตกรฆ่าคนบริสุทธิ์มากมายเพื่อนำสมองมาใช้ในการทดลองร่วมกับ Dr. Marcelo

จนทำให้ทีมตำรวจนักสืบของ Sebastian Castellanos , Joseph และ Kidman ถูกส่งตัวเข้ามาตรวจสอบในคดีนี้ แต่ขณะเดินทางไปยัง หมู่บ้าน Lakeside ที่เกิดเหตุ ในขณะเดินทางเข้ามายังเมือง Krimson City กลับได้รับแจ้งข่าวคดีฆาตกรรมหมู่ที่น่าสยดสยองที่โรงพยาบาล Beacon Mental Hospital ทำให้ Sebastian และทีมของเขาต้องเข้าไปตรวจสอบจนมาเจอกับฝันร้ายที่น่าสยดสยองทันที ..

แต่อย่างเพิ่งหลงเชื่อ เพราะนั่นอาจคือทุกอย่างที่ Ruvik มันต้องการคุณๆรับรู้ผ่านโสตประสาทที่มันแอบฝังไว้ในสมองของคุณโดยที่คุณไม่เคยรู้ตัว  !!

STEM project ที่ Dr. Marcelo กับ Ruben Victoriano ร่วมกันพัฒนาขึ้นมานั้นจำเป็นต้องใช้แกนหลักคือ สมองของ Ruben ประกอบกับสมองของใครก็ตามที่สามารถ Link เชื่อมต่อกับสมองของ Ruben ได้ก็จะส่งผลให้ระบบมีประสิทธ์ภาพมากขึ้น การเชื่อมต่อที่ว่านั้นต้องอาศัยความเหมือนของความทรงจำบางอย่างเป็นตัวกระตุ้นซึ่งเป็นตัวแปรหลักที่สำคัญที่สุด สมองที่สามารถเข้ากับ Ruben ได้ที่เปิดเผยออกมาคือ คนแรก Sebastian นั่นเอง ซึ่งจากบันทึกต่างๆ ประวัติการสูญเสียลูกสาวในเหตุการณ์ไฟไหม้ของ Sebastian กับการเสีย Laura พี่สาวในกองไฟที่โรงนานั้นเป็นเชื่อมต่อที่ดีที่สุด

แล้ว Sebastian โดนจับ ไปตอนไหน ?  อ้างอิงจากประวัติครอบครัวที่ Lily ลูกสาวของเขาถูกไฟครอกตายในอุบัติเหตุ  แต่ Myra ภรรยาไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ ในบันทึกของ Sebastian Castellanos– 1 กันยายน 2012 และ Note from Myra  เธอพยายามสืบข้อมูลจนได้ความลับบางอย่างแต่ก็ทำให้เธอต้องหายสาปสูญไปอีกคน เธอสั่งเสียไว้ในจดหมายของเธอพร้อมก็อปปี้ข้อมูลทุกอย่างไว้ให้สามีอย่างเรียบร้อย และข้อมูลที่ Sebastian ได้จากคอมของภรรยา ทำให้ Sebastian เดินหน้าสืบเรื่องราวด้วยตัวเองจนเข้าไปใกล้ตัว Ruben จึงถูกจับมาทดลองในที่สุด

ส่วนสมองของคนที่ 2 ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Ruben ได้ก็คือคนไข้จิตไม่สมประกอบ Winters Leslie ซึ่ง Leslie นั้น Dr. Marcelo เป็นคนเลือกประวัติคนไข้มาจาก Dr. Valerio พี่ชายของเขา จากประวัติการถูกพ่อแม่ทิ้งและต้องใช้ชีวิตแบบเอาตัวรอดเป็นปัจจัยในการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดสำหรับ Leslie กับ Ruben

ทันทีที่ Dr. Marcelo ได้วัตถุดิบครบทุกอย่าง และด้วยความที่ Ruben นั้นเรื่องเยอะ หยิ่งยะโส ควบคุมยาก และออกนอกลู่นอกทางในการทดลองบ่อยจนเกิดการฆาตกรรมมากมายตามมา เขาจึงจัดการแย่งผลงานที่เป็นส่วนของ Ruben มาซะ โดยการจับตัวฆ่าทิ้งแล้วแยกเฉพาะสิ่งที่เขาต้องการออกมา นั่นคือ สมอง เพื่อใช้เป็นสมองควบคุมหลักของระบบเท่านั้น

แต่ ใครจะรู้เมื่อ Ruben เหลือแต่สมองเขากลับควบคุมระบบ STEM project ได้ดีและทรงพลังกว่าเดิม Ruben จึงสร้างกายสังเคราะห์ใหม่ที่ชื่อ Ruvik ขึ้นมา เพื่อเดินหมากครั้งใหม่เพื่อสร้าง โลกแห่งอุดมคติของเขา ให้สยดสยองกว่าเดิม จน Dr. Marcelo และทีมงานไม่สามารถที่จะควบคุมได้ ทั้ง Ruvik และทีมงานของ Dr. Marcelo จึงพยายามแย่งชิงความเป็นต่อในการควบคุมระบบ STEM ทั้งหมด ซึ่งก็คือ Leslie และทางเดียวที่จะไม่ให้ Ruvik ประสบความสำเร็จในแผนของมัน Leslie จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ Dr. Marcelo และทีมงานซึ่ง 1 ในนั้นก็คือ Julie Kidman ที่ปลอมตัวมานั่นเอง ถ้าสามารถจูนระบบสมองของ Leslie ให้เข้ากับ Ruvik ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไร แผนทุกอย่างในระบบ STEM project ของ Dr. Marcelo ก็จะดำเนินต่อได้ทันที

และนอกจาก Leslie ที่ควบคุมยากแล้วก็ยังมีตัวแปรอีกคนซึ่งก็คือตำรวจนักสืบ Sebastian Castellanos ที่ถ้าทำให้เขาโลดแล่นในโลกแห่ง STEM project นี้แล้ว สันดานตำรวจที่กัดไม่ปล่อยของเขาก็เอาเรื่องจนหยุดไม่อยู่เหมือนกัน จนสามารถกระทืบสมองของ Ruben แตกมาแล้ว ซึ่งในเวบบอร์ดต่างประเทศให้ข้อมูลไว้ว่า Before Sebastian can react ซึ่งแปลว่า สมองของ Sebastian นั้นเกิดปฎิกริยาทางเคมีที่ต่อต้านการควบคุมของ Ruvik เสียด้วย (ถึงได้เก่งกว่าไง)

แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดในโลกเสมือนจริงในระบบ STEM project ก็เท่ากับว่าที่ Sebastian ทำลงไปมันแทบจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นในโลกความจริงนอกจากศพคนตายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Dr. Marcelo ส่วนทีมงานที่เหลือของ Dr. Marcelo ที่ดูว่า Kidman เป็นตัวตั้งตัวตีและคนในองค์กรที่เหลือยังไม่ถึงเวลาโผล่ออกมา เราจึงไม่สามารถบอกได้ พวกเขาเป็นคนดีหรือไม่ แผนการพวกเขาต่อไปจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยเขาก็ปล่อยให้สมองทดลองหมายเลข CB210 Sebastian Castellanos ให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงชั่วคราว แถม Winters Leslie ตัวแปรอีกคนก็หนีไปได้

STEM project ในภาคนี้นั้นเสมือนเป็นแค่การทดลองขั้นแรกเท่านั้น ยังมีอะไรที่ไม่ได้ทิ้งคำตอบที่เราไม่รู้ในกมอีกเยอะแยะ การ ทิ้งเชื้อ เช่นนี้จึงสร้างแต่ความมันส์ในอารมณ์สำหรับภาคต่อไปที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อไปแน่นอน บางครั้งเล่นเกมที่มีเนื้อเรื่องลึกๆมันก็เหมือนดูหนังดีๆซักเรื่อง บางทีผู้กำกับมันก็ไม่ได้บอกอะไรออกมาให้คนดูอย่างตายตัว บางเรื่องก็ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรมมากนัก ทำให้เราต้องตีความเอาเองในบางเรื่องโดยอ้างอิงจากทุกข้อมูลที่เป็นภาพและตัวอักษร บวกกับจิตนการอีกนิดหน่อย ทำแล้วก็ไม่น่าเกลียด แถมสนุกดีซะอีกด้วยครับ