วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

NightCry

                     

                                       บทสรุป Project Scissors : NightCry


By Decibel per oxide



          ---------------------------------------- NOTICE --------------------------------------------------




สิ่งที่ต้องเรียนรู้ก่อนเล่น คือการเดินเรื่องไปสู่ฉากจบที่สมบูรณ์คือ ตัวแปร ที่มีทั้งการกระทำและการเก็บไอเทมตัวแปรต่างๆเพื่อสร้างผลต่างให้เกิดทางแยกในการเดินทางของเรื่องราว โดยสามารถดูได้ในเมนู Save จะแบ่งเป็น

1.เส้นทางสีน้ำเงิน – หมายถึงการเลือกทำหรือเลือกเก็บไอเทมที่เป็นตัวแปรได้ถูกต้อง ผลของเส้นทางสีน้ำเงินที่เริ่มตั้งแต่ บทแรกยันบทสุดท้ายหากทำมาอย่างถูกต้องก็จะได้มาซึ่ง ฉากจบที่สมบูรณ์ หรือ Good Ending – Two Survivor นั่นเอง
2. เส้นทางสีแดง – หมายถึงเส้นทางการเลือกทำที่ผิดและการลืมเก็บไอเทมที่เป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งจะนำมาซึ่งความตายและไม่ถึงจุดหมายคือฉากจบที่แท้จริง แต่การผิดพลาดต่างๆจากเส้นทางนี้ก็จะนำมาซึ่งการสะสม ฉากจบแบบ Bad Ending ที่มีทั้งหมด 7 ฉากจบด้วย โดยฉากจบแบบ Bad Ending – One Survivor นั่นเอง

และคุณสามารถย้อนไปแก้ไขได้ด้วยการโหลดไปยังเหตุการณ์ก่อนหน้าตามจุดต่างๆที่พลาดไปที่แสดงไว้ในแผนพังเรื่องราวบนหน้าจอเมนู Save ครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------


                                                      Chapter 1 


18 สิงหาคม 2016 เวลา 19.26 น. ..เรือสำราญ Oceanus กำลังเดินทางมาจากเมือง Venezia ประเทศ Italy หลังจากแวะรับนักท่องเที่ยวที่ปรเทศอังกฤษแล้วก็มุ่งหน้าเดินทางข้ามทะเลแอตแลนติกเพื่อมุ่งหน้าไปยังเกาะแห่งนึงในทะเลคาริเบียน 




กลุ่มนักศึกษาจากมหาลัยแห่งนึงในอเมริกาเหนือกำลังเฮฮากับงานปาร์ตี้บนเรือเพื่อเลี้ยงฉลองหลังจากฝึกงานที่เกาะแห่งนึงใน Aegean เสร็จสิ้น และ Monica Flores ก็คือหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาเหล่านั้น หลังจากที่สนุกอย่างเมามันในงานก็ต้องขอตัวออกมาหาอากาศบริสุทธิหายใจและตามหาเพื่อนชายคนสนิท Henry ที่หายตัวไปจากงานเลี้ยง

                                                   Scene 1

-หลังจากออกมาจากงานเลี้ยงแล้วเข้าไปคุยกับ Clerk เจ้าหน้าที่ของเรือที่เค๊าท์เตอร์ คุยกับเขา 2 ครั้งแล้วสำรวจตรงที่เขาเย็บเสื้อผ้าอยู่ Monicaจะฝากเสื้อคลุมเอาไว้ก่อนจะสอบถามถึง Henry ที่หายตัวไปซึ่ง Clerk ก็จะบอกให้ลองเดินเข้าไปดูด้านในต่อ



-เปิดประตูเข้ามาส่วนในต่อ เดินไปตามทางเดินจนถึง Bar เข้าไปคุยกับชายใส่สูทที่นั่งอยู่กลางบาร์เขาคือ Vigo Boradsov ซึ่งเป็นเจ้าของเรือ คุยกับเขา 2 ครั้งจนเขาบอกว่าต้องการไฟมาจุดแก้วที่มีดวงตาแช่น้ำอยู่ เข้าไปที่เค๊าท์เตอร์คุยกับบาร์เทนเดอร์แล้วหยิบไอเทม กล่องไม้ขีดกลางเค๊าท์เตอร์มา

      

จากนั้นเรียนรู้การใช้ไอ้เทมด้วยการคลิกไอค่อนรูปกล่องสมบัติทางมุมขวาบนแล้วเลือกไม้ขีดไฟออกมา ลากไอค่อนไม้ขีดไฟไปกดที่จุดสำรวจแก้วน้ำใส่ดวงตาที่โต๊ะของ Vogo ก็จะสามารถจุดไฟให้เขาได้ ไม่ได้อะไรนอกจากคำขอบคุณเพราะมันคือการเรียนรู้การใช้ไอเทมนั่นเอง

-จากนั้นเดินทางออกจากบาร์ไปตามทางเดินต่อจนถึงโถงลิฟต์ด้านในจะพบ Kelly และ Jessica ยืนคุยกันอยู่หน้าลิฟต์ คุยกับพวกเธอ 2 ครั้งจนรู้ว่า Henry นั้นรออยู่ที่ชั้นล่าง คุยจบกดลิฟต์ให้เปิดก็จะพบหญิงชราท่าทางประหลาดอยู่รออยู่ในลิฟต์ เข้าไปสำรวจกดลิฟต์ลงไปที่ชั้น B3 ระหว่างทาง หญิงชราจะเริ่มสวดคาถาประหลาดดังออกมา จนลิฟต์ลงไปถึงชั้นล่างสุด Monica ก็ไม่ทันรู้ตัวว่าบรรยากาศรอบๆตัวของเธอนั้นเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ...


- ที่ชั้น B3 หลังจากออกมาจากลิฟต์เดินไปตามทางเดินด้านซ้ายหรือขวาก็ได้จนถึงห้องพักผ่อนตรงกลาง Monica จะพบเด็กหญิงลึกลับคนนึงที่พยายามวิ่งนำทางเธอไป ในห้อง Monica จะพบ Henry ยืนเมาอยู่ด้านใน ดูเหมือน Henry จะกำลังเสียใจกับการที่ Monica ไม่มีใจที่จะยอมเห็นเขาให้เกินกว่าเพื่อน ซึ่ง Monica ก็พยายามจะเข้าไปปลอบใจ คุยกับ Henry 3 ครั้งจนกว่าจะตัดเข้าเหตุการณ์ เมื่อ Henry พยายามจะเข้าไปกดตู้น้ำอัดลมมาเลี้ยง Monica จนมือเขาเริ่มติดกับช่องของตู้ ก่อนที่มันจะตัดแขน Henry ขาดจนนอนตายจมกองเลือดไปต่อหน้าต่อตาจน Monica แทบไม่ทันได้ตั้งตัว



ไม่กี่นาทีต่อมาร่างของตัวประหลาดที่น่าสะอิสะเอียดก็โผล่ออกมาจากกองเลือดของศพ Henry หญิงชราในเสื้อคลุมขาดๆน่าสยดสยองๆกับกรรไกรขนาดใหญ่ในมือที่เรียกว่า Scissorwalker  ไม่ใช่อะไรที่น่าไว้วางใจ และสิ่งที่ Monica ทำได้ในตอนนี้ก็คือ หนีอย่างเดียว


Scissorwalker ศัตรูตัวร้ายที่จะเป็นอุปสรรค์ในการเดินทางเพราะมันจะตามไล่ล่าตลอดทั้งเกม ซึ่งคุณไม่สามารถฆ่ามันได้นอกจากหาทางหลบหนีและที่ซ่อนตัวที่สามารถหยุดยั้งการไล่ล่าของมันในแบบชั่วคราวเท่านั้น 



                                   ** เรียนรู้การหนีและการหลบซ่อนตัว ** 



   

ทันทีที่ Scissorwalker ปรากฏตัวขึ้นมาตัวของ Monica จะเริ่มเข้าสู่ Escape Mode หรือโหมดหนีทันที เพลงประกอบจะเริ่มสยองขึ้น การสำรวจสิ่งต่างๆที่เป็นคีย์ไอเทมจะทำไม่ได้ และในขณะที่วิ่งหนี Monica ก็จะเริ่มหมดแรงลงเรื่อยๆโดยสังเกตได้จากไอสีแดงที่อยู่รอบตัว ทางรอดที่สามารถทำได้คือ 
-หาจุดซ่อนตัวตามที่ต่างๆระหว่างทาง และเมื่อ Scissorwalker มันตามเข้ามาใกล้ก็ต้องกลั้นหายใจด้วยการกดคลิ๊กที่รูปไอค่อนหัวใจที่ขึ้นมาค้างไว้และลากตามไปตามจุดต่างๆของหน้าจอถ้าทำสำเร็จ Scissorwalker ก็จะเลิกค้นหาก็ถือว่ารอดชีวิต ซึ่งจุดซ่อนตัวนั้นแม้จะมีหลายจุดในพื้นที่ แต่ก็ใช่ว่าแต่ละจุดจำทำให้รอดตายเสมอไปและจุดซ่อนตัวต่างๆนั้นไม่สามารถซ่อนตัวซ้ำได้เพราะจะถูกจับได้ทันที จึงจำเป็นต้องใช้จุดซ่อนตัวที่มีอยู่ในพื้นที่ต่างๆหลายจุดให้คุ้มค่าที่สุดเพื่อความอยู่รอด
- ใช้ไอเทมตัวช่วยระหว่างที่มีจัดการ Scissorwalker ได้แก่พวกสเปรย์พริกไทยหรือถังดับเพลิง ซึ่งในขณะที่กำลังหนีอยู่เมื่อพบไอเทมตัวช่วยก็สามารถเข้าไปหยิบใช้มาจัดการ Scissorwalker ให้หนีไปได้เลย 
-ในขณะที่โดนจับสามารถกดเม๊าท์คลิ๊กรัวๆที่ไอค่อนการหนีที่ขึ้นมาเพื่อสลัดมันให้หลุดได้ คลิ๊กรัวจนสีแดงเป็นสีฟ้าก็จะทำให้ Scissorwalker มึนงงจนสามารถซื้อเวลาเพื่อหนีได้ แต่เจ้าตัวร้ายมันจะยังไม่ไปไหนเพราะหายมึนงงแล้วมันจะตามต่อทันที และการสลัดให้หลุดนี้จะทำได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น




**จุดหลบซ่อนในชั้น B3 **
-ในตู้เสื้อผ้าของห้อง 303
-ในตู้เสื้อผ้าของห้อง 308
-ใต้เค๊าท์เตอร์ในร้านขายของ
**จุดหลบซ่อนที่อันตราย **
-ในเครื่องซักผ้าในห้องซักรีด
** อุปกรณ์ตัวช่วย **
-สเปรย์พริกไทยในห้อง 306

                              ** เรียนรู้เกี่ยวกับภัยร้ายรอบๆตัว **

ระหว่างเดินทางนั้นแม้จะไม่ได้กำลังเข้าโหมดหนีจากการไล่ล่าของ Scissorwalker ก็ยังมีอันตรายจากวิญญาณร้ายที่จ้องเอาชีวิตอยู่ ที่ต้องพึงระวังนั่นก็คือ จุดที่มีความมืดนั้นเป็นจุดอันตราย ซึ่งการอยู่หรือเข้าไปในสถานที่ที่มืดๆโดยไม่เปิดไฟฉายนั่นแหละสำคัญ พึงเปิดไฟฉายเอาไว้ทันทีที่ต้องเข้าห้องที่มีความมืดด้วย 

- หลังจาก Scissorwalker เปิดฉากไล่ล่า ก็รีบวิ่งหนีออกไปที่ทางเดินฝั่งขวาของห้องทันที วิ่งไปตามทางจนถึงประตูที่มีไฟเขียวติดอยู่คือห้อง 303 ที่สามารถเข้าได้ เข้าไปแอบในตู้เสื้อผ้าทันทีที่ Scissorwalker ตามเข้ามาค้นหา



 สิ่งที่ต้องทำคือการกลั้นหายใจเพื่อไม่ให้มันเจอตัว ด้วยการกดคลิ๊กที่รูปไอค่อนหัวใจที่ขึ้นมาค้างไว้และลากตามไปตามจุดต่างๆของหน้าจอถ้าทำสำเร็จ Scissorwalker ก็จะเลิกค้นหาก็จะทำให้มันหยุดตามล่าไปอีกซักพัก แต่ถ้ากดไม่ทันจนทำให้มันเจอตัวก็ต้องหนีไปจุดหลบซ่อนต่อไป

-หลังจากที่หนีมันพ้นแล้ว สำรวจห้อง 303 จะพบที่ชาร์จแบตมือถือและกระเป๋าเดินทาง สำรวจรูปจะรู้ว่าเป็นห้องของ John Thompson จากนั้นออกจากห้องแล้วเดินไปที่โถงลิฟต์ทางทิศใต้ที่ขึ้นมาจะพบศพของ John Thompson ตายอยู่ในลิฟต์ สำรวจศพเขา 2 ครั้งจะได้สมาร์ทโฟนมาใช้แต่แบตยังหมดอยู่
-จากนั้นเดินตามทางเดินฝั่งซ้ายไปตามทางจนถึงทางเลี้ยวมุมก่อนถึงร้านค้าจะพบพนักงานของเรือเดินผ่านมา แต่รถเก็บอุปกรณ์จะแล่นมาชนทันที พยายามคลิ๊กให้ไอค่อนเป็นสีฟ้าเพื่อหลบมันให้ทัน รถขนของจะชนพนักงานจนตาย สำรวจศพเขาเก็บ Key card A มา เดินต่อเข้าไปยังร้านค้า สำรวจที่เค๊าท์เตอร์เก็บเงินด้านในจะได้ไอเทมเหรียญเงินมา ส่วนจุดอันตรายคือ ห้ามเปิดตู้ขายน้ำแข็งจะเจอ Scissorwalker ออกมาไล่ล่า


-เดินต่อจากร้านค้าไปจะพบลิฟต์ตัวเล็กทางด้านเหนือของพื้นที่ สำรวจแผงฟิวส์จะพบว่าฟิวส์มันเสีย และลิฟต์นี้จะต้องใช้ Key card ในการเปิดด้วย จากนั้นเดินวนกลับไปจนผ่านห้องที่ Henry ตายคาตู้กดน้ำอัดลม เอาเหรียญเงินที่ได้มาไปใส่ในตู้ขายของทางซ้ายจะมีมือที่สวมแหวนแต่งงานตกลงมาจะได้ไอเทม แหวนแต่งงาน (Wedding Ring) มา ซึ่งเป็นไอเทมที่จะเป็นตัวแปรจุดทางแยกในการเดินทางเพื่อแยกไปตามทางเส้นสีน้ำเงิน  
-จากนั้นกลับไปที่ห้อง 303 ซึ่งเป็นห้องของ John Thompson เจ้าของสมาร์ทโฟนนั่นเอง กดใช้ไอเทมสมาร์ทโฟนกับที่ชาร์ตแบตจนมันเต็ม ก็จะสามารถใช้งานมันได้แล้ว ซึ่งตอนนี้จะสามารถเปิดไฟฉายจากสมาร์ทโฟนได้แล้ว เมื่อสำรวจที่แผงฟิวส์ที่ลิฟต์เสียแล้วมาสำรวจกระเป๋าจะสามารถใส่รหัสเปิดมันได้ โดยสามารถเปิดดูรหัสได้ที่ SNS ในมือถือโดยเลือกโพสที่เพื่อนของ John โพสอวยพรวันเกิดให้เป็นรูปเค๊ก เมื่อดูวันที่โพสคือ 3 – 14 – 2016 ก็จะ ได้รหัส 0317 มาใส่ที่กระเป๋า เมื่อเปิดออกก็จะได้ไอเทม ฟิวส์สำรอง มา เมื่อได้สมาร์ทโฟนใช้งานได้แล้วก็อย่าลืมโพสข้อความขอความช่วยเหลือลงไปใน SNS ด้วย ซึ่งจะเป็นตัวแปรของจุดเปลี่ยนในการเดินทางไปในเส่นทางสีน้ำเงิน 
-ออกจากห้อง 303 เดินไปทางฝั่งขวาจนพบห้อง 308 และ 306 ที่เปิดอยู่ ห้อง 306 นั้นเป็นห้องของ Monica เองแต่ไฟมันดับจึงต้องมีไฟจากสมาร์ทโฟนก่อนจึงจะเข้าไปได้ เข้าไปสำรวจในห้องนอนจะได้ยินเสียงโทรศัพท์จาก Jessica โทรมาขอความช่วยเหลือ จากนั้นเดินไปที่ลิฟต์ตัวเล็กด้านเหนือ เลือกไอเทมฟิวส์สำรองใส่แทนฟิวส์ที่เสียแล้ว ใช้ Key card รูดที่แผงควบคุมทางขวาเพื่อเปิดลิฟต์ลงไปชั้น 1 ต่อได้เลย

                                                 Scene 2

**จุดหลบซ่อนในชั้น 1 **
-ใต้เค๊าท์เตอร์ในบาร์
-ใต้เค๊าท์เตอร์ของแผนกต้อนรับตรงทางเข้า
** อุปกรณ์ตัวช่วย **
-ถังดับเพลิงตรงมุมห้องของแผนกต้อนรับตรงทางเข้า

-เมื่อลงมาชั้น 1 แล้ว เดินย้อนมาตามทางเดินจนถึงบาร์ ในบาร์นั้นไม่มีอะไรสำคัญนอกจากจุดกองเลือดที่หากสำรวจแล้วจะพบศพของคุณ Vigo เจ้าของเรือถูกห้อยแขวนติดกับพัดลมเพดานก่อนที่ Scissorwalker จะออกมาไล่ล่า ฉะนั้นไม่ต้องสำรวจก็ได้ถ้าไม่อยากลำบาก
-เดินออกไปตามทางเดินซ้ายผ่านบาร์ไปจนถึงประตูห้องเก็บของก่อนถึงห้องแผนกต้อนรับ ดันกล่องที่กั้นประตูออกแล้วเข้าไปด้านในห้องเก็บของ สำรวจเก็บกุญแจ Café ที่แขวนอยู่ที่แผงกุญแจมาจุดหมายต่อไปก็ต้องหาว่า Café ที่กุญแจนี้ไขได้มันอยู่ที่ไหน จุดอันตรายคือในล็อกเกอร์อันขวาสุดจะพบศพของ Jessica ตามมาด้วยการไล่ล่าของ Scissorwalker ถ้าไม่อยากลำบากที่ต้องล่ำลาเพื่อนก็ไม่ต้องเปิดออกมาก็ได้ ** แต่การพบศพของ Jessica นั้นจะนำพาไปยังเส้นทางเนื้อเรื่องสายสีน้ำเงินได้ จึงจำเป็นต้องสำรวจพบศพเธอ ** 
-จากนั้นออกจากห้องเก็บของไปตามทางเดินทางต่อจนถึงห้องรับรองตรงหน้าทางที่เข้ามาตอนแรก ดูที่ชั้นวางหนังสือสำรวจหนังสือสีน้ำเงินจะเจอแผนที่ของเรือทำให้รู้ตำแหน่งของ Café ซึ่งจะอยู่บนชั้น 2 ของบาร์นั่นเอง


         

-กลับเข้าไปที่บาร์สำรวจที่กั้นทางขึ้นบันไดจะสามารถเปิดออกและขึ้นไปด้านบนชั้น 2 ของบาร์ได้ (ถ้ายังไม่สำรวจดูแผนที่จะขึ้นไปไม่ได้) ขึ้นมาแล้วจะพบประตูทางเข้า Café ที่ต้องใช้กุญแจห้อง Café เปิดเข้าไป ก่อนเข้าไปนั้นเปิดไฟฉายไว้ด้วยเพราะเป็นห้องมืดและสามารถถูกวิญญาณฆ่าตายได้ทันที


**ถึงตรงนี้จะมีจุดแยกตามเงื่อนไขว่า คุณได้พิมพ์ส่ง SNS ข้อความช่วยเหลือทางสมาร์ทโฟนหรือไม่**

1. ถ้าคุณไม่ได้ส่งข้อความ 

 เมื่อผ่านเข้าไปในห้องด้านในจะพบประตูขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าเรือ  Monica ก็จะพบพวกคนที่ใส่หน้ากากประหลาดกลุ่มนึงพยายามจะเข้าโจมตี แต่ในขณะที่เธอกำลังจะโดนรุมทำร้าย Monica ก็ไหวตัวแล้วโดดลงจากเรือไปในทะเลได้ทัน ท่ามกลางสายตาที่เครียดแค้นของ Scissorwalker ที่เฝ้ามองดูอยู่จากบนเรือ








                  ---------  Monica Ending [The Face Floating on Wave] --------


2.ถ้าคุณส่งข้อความข้อความช่วยเหลือทาง SNS 
Monica จะออกมาเจอกับพนักงานของเรือที่ชื่อ Eric ก่อนที่ทั้งคู่จะหาทางหนีต่อไปด้วยกันได้สำเร็จ
** หากคุณต้องการเก็บฉากจบของตัวละครก็สามารถเลือกไม่ส่งข้อความเพื่อให้พบฉากจบของ Monica ได้ จากนั้นค่อยโหลดเกมมาใหม่แล้ว ส่งข้อความขอความช่วยเหลือทาง SNS ของสมาร์ทโฟนไปแล้วค่อยขึ้นไปบนดาดฟ้าตามปกติก็จะทำให้แยกไปที่เส้นทางสีน้ำเงินได้ ** 





                                                CHAPTER 2 


                                                    Scene 1


18 สิงหาคม 2016 เวลา 21.44 น. ..เรือสำราญ Oceanus





ทางด้านกาบเรืออีกด้าน Leonard Cosgrove อาจารย์ด้านมนุษย์วิทยาที่สนใจศึกษาศาสตร์และเรื่องลึกลับในฐานะอาจารย์ผู้รับผิดชอบกลุ่มนักเรียนที่ออกเดินทางไปฝึกงานในการเดินทางครั้งนี้ กำลังกังวลอย่างมากกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือ อันตรายที่จะเกิดกับนักเรียนของเขา ทันทีที่โทรศัพท์ตรวจสอบความปลอดภัยของ Maria อาจารย์ที่ร่วมในคณะอีกคนนึงและ Rooney  ลูกศิษย์ของเขาเสร็จ Leonard ก็ไม่รอช้าที่จะหาทางทำอะไรซักอย่างเพื่อช่วยนักเรียนของเขาทันที 

-เดินเข้าไปคุยกับ Eric และ Cabie เจ้าหน้าที่ของเรือ 2 คนที่ยืนอยู่ที่กาบเรือ คุยหลายๆรอบจน Leonard สังเกตเห็นแสงไฟที่สว่างจ้าออกมาจากเกาะท่ามกลางความมืดในทะเล เขาจึงคิดว่าแสงไฟนั่นน่าจะเป็นของนักเรียนของเขาที่หนีไปที่เกาะนั่นแน่นอน Leonard จึงหาทางที่จะไปที่เกาะนั่นทันที เดินไปที่สุดทางสำรวจกล่องสีเหลืองจะพบเรือยางกู้ภัยอยู่ กลับมาคุยกับ Eric และ Cabie อีกครั้ง Leonard จึงขอร้องให้เจ้าหน้าที่ทั้งคู่เดินทางไปที่เกาะนั่นด้วยเรือยางกับเขาเพื่อหาทางช่วยนักเรียนของเขาก่อนจะได้รับอันตราย



- เมื่อทั้ง 3 คนพายเรือเข้ามาที่เกาะกลางทะเลได้แล้ว Leonard จะแยกตัวออกไปสำรวจเกาะเพื่อตามหานักเรียนของเขาและที่มาของแสงไฟที่เห็นจากบนเรือทันทีโดยให้ Eric และ Cabie รออยู่ที่ชายหาด
-เดินเข้าไปตามทางจะเห็นเรือยางหลายลำที่มาจอดเกยตื้นที่ชายหาดกับรอยเท้ามากมาย เดินไปสำรวจพุ่มไม้เพื่อมุดผ่านเข้าไปในป่าด้านในของเกาะต่อ ระหว่างทางจะเริ่มพบพวกคนที่สวมหน้ากากประหลาดอยู่ Leonard คาดเดาได้ว่าพวกนี้เป็นพวกคลั่งลัทธิบางอย่างที่เป็นอันตรายแน่นอน เมื่อเจอพวกมันยืนส่องไฟฉายอยู่ก็พยายามหาจังหวะวิ่งผ่านทางเพื่อหลบแสงไฟจากไฟฉายมันไปอีกฝั่ง (ถ้าถูกเห็นตัวก็จะโดนจับและตายทันที) 
-เมื่อผ่านศัตรูตัวแรกมาได้เดินเข้ามาตาทางจะพบกระท่อมไม้ที่ทางแยก เข้าไปด้านในสำรวจเก็บถุงมือกันความร้อน (Non-Slip Glove) บนเตา , ลูกเบสบอลในกล่อง และสำรวจแผ่นกระดาษที่ติดพนังทางซ้ายจะได้ข้อความของคลื่นวิทยุมา สำรวจวิทยุสื่อสารหมุนไปที่คลื่น CH16 จะสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือกับหน่วยกู้ภัยยามฝั่งได้



** การส่งวิทยุขอความช่วยเหลือสำเร็จจะทำให้การเดินทางในเกมไปตามเส้นทางสีน้ำเงินได้ ** 
**การส่งสัญญาณวิทยุนั้นสามารถส่งผิดได้ 3 ครั้งก็จะโดนวิญญาณร้ายฆ่าตายทันที ** 

-จากนั้นออกจากกระท่อมสื่อสาร ขึ้นไปตามเส้นทางขึ้นเนินเขาไปจนพบทางเข้าถ้ำ จะมีทางแยก 2 ทาง ไปทางขวาจะพบประตูทางเข้าห้องที่ด้านในมีหลุมลึกที่เต็มไปด้วยตัวประหลาดอยู่ ในห้องที่สำรวจเก็บไอเทม กาว (Super Glue) แล้วออกจากห้องไปตามทางแยกซ้ายต่อจะพบแท่นบูชาอยู่สุดทางฝั่งซ้าย ต้องหลับพวกคลั่งลัทธิไปทางซ้ายสำรวจที่ฆ้องที่วางอยู่บนแท่นและสำรวจมุมทางขวาจะพบไอเทม เศษหน้ากากแตก เก็บมาแล้วหลบศัตรูกลับมาฝั่งขวาอีกครั้ง จากนั้นเลือกไอเทมลูกบอลขว้างไปที่ฆ้องที่อยู่บนแท่นเพื่อปามันไปใส่จนเกิดเสียงดังจนพวกคลั่งลัทธิที่เฝ้าทางอยู่เดินมาดูก็จะสามารถผ่านทางไปด้านในได้
-เข้ามาตามทางจนเจอกระท่อมไม้ทางซ้าย เข้าไปสำรวจด้านในจะพบหน้ากากของพวกคลั่งลัทธิที่แตกอยู่หน้ากระจก เมื่อสำรวจดูจะพบตัวประหลาดในรูปแบบควันที่ออกมาให้เห็นในกระจก สำรวจขวดข้างๆกระจกมาทุกกระจกซะมันก็จะหายไป (ถ้าไม่ทุบกระจกแล้วเดินไปโดนมันจะตายทันที)
-จากนั้นใช้กาวกับหน้ากากที่แตกหน้ากระจกเพื่อซ่อมแซมมันจนได้หน้ากากของพวกคลั่งลัทธิมา ออกจากห้องเข้าไปตามทางจนถึงลานกว้างจะพบพวกคลั่งลัทธิมากมายที่อยู่รอบกองไฟที่พวกมันกำลังเผาคนทั้งเป็นอยู่ ซึ่งแสงไฟจากที่เห็นบนเรือที่ Leonard ตามหาเพราะนึกว่าลูกศิษย์ขอความช่วยเหลือมาก็คือไฟจากกองไฟของพวกมันนั่นเอง
-ตรงนี้ถ้าไม่มีหน้ากากใส่ถ้าเดินเข้าไปจะโดนจับและตายทันที ให้เอาหน้ากากของพวกคลั่งลัทธิมาใส่ (ลากไอเทมมาที่หน้าเลย) ก็จะสามารถเข้าไปด้านในได้ สำรวจที่กองไฟจะพบศพของผู้เคราะห์ร้ายโดนเผาตายอย่างสยดสยอง




                                                      Scene 2

-เมื่อผ่านลานกว้างที่พวกคลั่งลัทธิทำพิธีเผาคนทั้งเป็นมาได้ เดินเข้ามาด้านในจนถึงบ้านไม้หลังใหญ่สำรวจทั่วจะพบว่าประตูทางออกหลังบ้านนั้นมีพวกคลั่งลัทธิเฝ้าอยู่ออกไปไม่ได้ สำรวจเก็บ สมาร์ทโฟนบนโต๊ะกินอาหารเพื่อเมมเบอร์ของ Will Anderson เอาไว้ แล้วเข้าห้องด้านในต่อ เก็บไอเทม เชือก แล้วปีนบันไดไปชั้นบนจะพบว่าเป็นห้องทำงานที่เต็มไปด้วยสัตว์ที่ถูกสต๊าฟและดวงตาที่ถูกต้มในถ้วยบิกเกอร์ สำรวจอ่านบันทึกในชั้นวางหนังสือ สำรวจเก็บไอเทม Hand of Glory ซึ่งเป็นแท่นสัญลักษณ์ที่มีรูปดวงตาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพวกลัทธินี้มา


** ตรงนี้เมื่อ Leonard สัญลักษณ์ของพวกคลั่งลัทธินี้แล้ว ก็จะสามารถส่งข้อความทาง SNS ผ่านสมาร์ทโฟนเพื่อเตือนพวกลูกศิษย์ทุกคนให้ระวังและอยู่หาสัญลักษณ์ที่ว่านี้ และจะทำให้การเดินทางในเกมไปตามเส้นทางสีน้ำเงินได้ **

** สำรวจอ่านบันทึกบนชัันวางหนังสือชั้นบน Leonard จะอ่านบันทึกของพวกคลั่งลัทธิ จะทำให้การเดินทางในเกมไปตามเส้นทางสีน้ำเงินได้ **

-จากนั้นกดโทรศัพท์โทรหาเบอร์ของ Will Anderson ทำให้สมาร์ทโฟนบนกินอาหารสั่นจนทำให้พวกคลั่งลัทธิที่เฝ้าประตูหลังอยู่เข้ามาดู รีบใช้เชือกมัดกับเสาทางซ้ายของหน้าต่างแล้วปีนออกไปส่วนหลังบ้านได้เลย (ถ้าปีนลงไปโดยที่ไม่ใช้การโทรล่อให้พวกคลั่งลัทธิที่เฝ้าประตูเข้ามาก่อนจะถูกจับได้และตายทันที)
-เดินทางต่อจากหลังบ้านไปจนพบบ่อน้ำบาดาล กดใช้ไอเทมถุงมือกันความร้อนเพื่อจับเชือกปีนลงไปในบ่อน้ำจนสามารถลงไปที่อุโมงค์ลับใต้ดินได้


** ถ้าไม่ใช้ถุงมือในการจับเชือกปีนลงไปมือจะลื่นตกลงไปในท่อระบายน้ำด้านล่างจนถูกเจ้า Scissorwalker ตัดคนจนตาย และตัดเข้าสู่ ฉากจบของ Leonard - it all to late ทันที ซึ่งจะเป็นการรายงานข่าวถึงการหายไปของ เรือสำราญ Oceanus และผู้โดยสารทั้งหมดอย่างลึกลับ ** 

** ถ้าคุณอยากจะเก็บฉากจบก็ลงไปโดยไม่ใส่ถุงมือ เมื่อตกลงไปตายก็สามารถโหลดใหม่จากหลังบ้านเพือมาใส่ถุงมือปีนลงบ่อน้ำใหม่ก็ได้ ** 

-เข้าไปตามทางของอุโมงค์ ที่ทางแคบที่เต็มไปด้วยมือปีศาจ ใช้ Hand of Glory จุดไฟที่คบเพลิงทางซ้ายนำทางเข้าไปก็จะรอดตาย เข้าไปด้านในต่อจนพบห้องทำพิธี สำรวจโลงศพจะพบร่างของ Jerome ลูกศิษย์คนนึงที่ถูกจับมาทำพิธีจนร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลจากการถูกตีตราสัญลักษณ์บางอย่างเต็มไปหมดแต่โชคดีที่เขายังไม่ตาย สำรวจร่างของ Jerome หลายๆครั้งแล้วสำรวจที่พื้นใกล้ๆโลงศพจะพบสัญลักษณ์ที่พื้นที่ต้องดูจากที่สูง เดินขึ้นบนไดในห้องนี้ไปดูก็จะพบสัญลักษณ์ที่ชัดเจนขึ้น


จากความรู้ในเรื่องเร้นลับของอาจารย์ Leonard ภาพที่เขาเห็นทำให้รู้ว่า ตราสัญลักษณ์นี้เป็นพิธีการสาปแช่งด้วยมนต์ดำ และรอยขีดด้วยเส้นสีดำรอบๆโลงศพที่ใช้บูชายันต์ก็เป็นรูปเรือ Oceanus อาจารย์ Leonard ตีความได้ว่า เรื่องสยองที่เกิดขึ้นบนเรือนั้นเกิดจากการสาปแช่งด้วยมนต์ดำเพื่อเป็นแผนล่อให้ทุกคนหนีออกจากเรือเพื่อมาที่เกาะของพวกคลั่งลัทธิแห่งนั่นเอง เมื่อรู้ความจริงแล้วอาจารย์ Leonard จึงต้องรีบกลับไปเตือนทุกคนบนเรือทันที

-จากนั้นสำรวจที่ผ้าม่านด้านหลังห้องจะพบประตูลับซ่อนอยู่จะทำให้ Leonard ช่วยแบกร่างของ Jerome กลับมาหา Eric และ Cabie ที่ชายหาดได้ ก่อนที่ Leonard จะบอกให้ทุกคนรีบกลับไปที่เรือให้เร็วที่สุดเพื่อเตือนทุกคน



แต่ในขณะที่กำลังจะถึงเรือก็เกิดการระเบิดในเรือขึ้นซะก่อน ด้วยความตกใจและความเป็นห่วงนักเรียน Leonard รีบบอกให้รีบพายไปทีเรือโดยเร็วแต่หันกลับมาอีกทีพวกพนักงานบนเรือก็ใส่หน้ากากของพวกคลั่งลัทธิรออยู่แล้ว .....  




                                                        CHAPTER 3 

                                                            Scene 1


18 สิงหาคม 2016 เวลา 18.12 น. ..เรือสำราญ Oceanus




ในช่วงเวลาหลังจากที่ Monica เดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยงไม่นาน Rooney Simpson นักเรียนอีกคนในคณะเดินทางที่มีนิสัยไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับสังคมภายนอกกำลังอยู่ท่ามกลางผู้คนในงานเลี้ยง แต่เหมือนจะมีความกังวลใจกับพลังบางอย่างที่พยายามจะสื่อสารกับเธอ ....

-เข้าไปคุยกับเพื่อนทุกคนที่โต๊ะอาหารซึ่งตอนนี้ก็ยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่ทั้ง Monica , Jessica , Kelly , Angie , Jerome อาจารย์ Maria และศาสตราจารย์ Leonard จากนั้นออกไปทางประตูขวาที่กาบเรือ สำรวจที่แผงกั้น Rooney จะสัมผัสที่พลังบางอย่างที่พยายามจะสื่อสารกับเธอ เสียงของเด็กผู้หญิงกำลังบอกให้เธอโดดลงไปในทะเลที่สวยงามเพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน ในขณะที่ Rooney กำลังเอนตัวลงไปเพราะถูกครอบงำ โชคดีที่ Jerome เข้ามาจับตัวไว้ได้ทันเธอเลยคืนสติไม่ต้องตกลงไปตาย


-คุยกับ Jerome หลายครั้งจนเขาชวนไปดื่มต่อที่ห้อง จากนั้นเดินกลับเข้าไปที่งานเลี้ยง สำรวจประตูด้านหน้าจะเห็น Monica กำลังคุยกับพนักงานต้อนรับอยู่ด้านนอก (ซึ่งก็คือช่วงแรกในเกมที่ Monica ออกไปนั่นเอง) เสร็จแล้วไปเข้าประตูเล็กฝั่งซ้ายเพื่อเข้าไปที่ทางเดินของส่วนห้องพักได้เลย ซึ่งตอนนี้ก็จะกลับเข้ามาในงานเลี้ยงไม่ได้แล้ว
-เข้าไปตามทางเดินผ่านห้องเล่นบิลเลียดเข้าไปคุยกับ Saul ที่เป็นยามยืนอยู่ด้านในเขาจะช่วยสอนการเล่นบิลเลียดด้วยการส่งข้อความทาง SNS ถึงวิธีการเล่นให้ จากนั้นออกมาเดินเข้าด้านในต่อจนถึงห้อง 102 เปิดเข้าไปจะพบ Jerome นั่งหลับอยู่ ซึ่ง Rooney ไม่รู้เลยว่า Jerome กำลังฝันร้ายถึงปีศาจมือกรรไกรที่พยายามจะมาจับตัวเขา คุยกับเขาหลายๆครั้งจน Jerome ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ สำรวจประตูห้องนอน 2 ครั้งจนได้ยินเสียงน้ำไหลแรงๆในห้องน้ำ

** ก่อนจะเปิดเข้าไป สำรวจที่หน้าประตูห้องก่อนจะมีซองจดหมายเสียบอยู่ใต้ประตู เก็บไอเทม ซองจดหมาย (Envelope) มาซึ่งจะทำให้เส้นทางการเดินเรื่องไปสู่เส้นทางสีน้ำเงิน **

-จากนั้นค่อยเปิดเข้าไปในห้องน้ำแล้ว Scissorwalker ก็จะออกมาโจมตี แต่โชคดีอีกครั้งที่ Jerome เข้ามาช่วยเอาไว้ ทำให้ Rooney สามารถหาทางหนีได้ทัน


- เมื่อหนีออกจากห้อง 102 ได้ วิ่งไปตามทางเดินซ้ายออกประตูไปแล้วเข้าประตูทางออกทางซ้ายของทางเดินต่อทันที จะออกมาที่ส่วนของโรงหนัง ลงบันไดเลี้ยวซ้ายเปิดประตูเข้าไปในโซนร้านค้าเลี้ยวขวาไปตามทางจนเจอห้องแรกซ้ายมือที่เข้าได้คือห้องเลี้ยงเด็ก ที่นี่มีที่ซ่อนตัวหลังเครื่องเล่นอยู่

**สำรวจตุ๊กตาผีในเปล แล้วมันจะเข้าโจมตี จังหวะนั้นให้กดคลิ๊กไปที่ตู้หนังสือทางขวา จะทำให้เอาตู้หนังสือมาทับมันได้ จากนั้นไปสำรวจที่แปลจะได้ ลูกบิลเลียด B มา ซึ่งจะมีผลไปถึงฉากจบหากเก็บครบ 3 ลูก ** 

-รอจน Scissorwalker ไปแล้วออกมาจากห้องย้อนกลับมาที่โรงหนังแล้วกลับขึ้นไปที่ทางเดินหน้าห้อง 102 ของ Jerome อีกครั้ง ไปเข้าห้องเล่นบิลเลียด จะพบศพของ Saul นอนตายเพราะถูกลูกดอกปาหน้าอยู่ และตอนนี้ลูกดอกนั้นก็กำลังถูกปาใส่ Rooney โดยเจ้า Scissorwalker กดคลิ๊กเพื่อหลบให้ทันจากนั้นก็รีบหนีมันออกจากห้อง
-วิ่งหนีผ่านโรงหนังเข้าไปในโซนร้านค้าวิ่งผ่านห้องเด็กไปจนสุดทางจะมีห้องน้ำให้แอบ รอจน Scissorwalker ไปแล้วออกมาจากห้องย้อนกลับไปเข้าห้องเล่นบิลเลียดอีกครั้งสำรวจศพของ Saul จะได้ VIP Card Key มาจากนั้นกลับออกมาที่ทางเดินด้านหน้าเดินเลยประตูเข้าโรงหนังไปทางขวาเข้าประตูไปตามทางเดินห้องพักฝั่งซ้าย ระหว่างทางจะพบ บาร์ สำรวจเก็บไอเทม ลูกบิลเลียด C มา แล้วออกมาเดินไปสุดทางจะพบลิฟต์ที่ต้องใช้ VIP Card Key แต่ตอนนี้ถึงมี Card Key แล้วก็ยังไม่มีไฟฟ้าให้ลิฟต์ทำงานได้
-กลับลงไปชั้นโรงหนัง ลงไปเปิดประตูเข้าไปในส่วนของห้องฉายหนัง เข้าไปที่โรงที่ 3 สุดทาง สำรวจด้านในจะพบ Kelly สลบอยู่ เมื่อฟื้นแล้วเธอจะให้เบอร์มาแล้วบอกว่าเธอและเพื่อนๆมีที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยให้ใช้หลบภัยได้ จากนั้นออกมาจากโรงหนังเดินขึ้นบันได Kelly จะโทรมาบอกสถานที่ซ่อนตัวของเธอ ซึ่งก็คือโกดังเก็บของในโซนร้านค้า


-จากนั้นเข้าประตูซ้ายของโรงหนังไปที่โซนร้านค้า เลี้ยวซ้ายไปตามทางผ่านร้านเสื้อผ้าไปก็จะพบประตูเหล็กสีขาวของโกดังที่ว่า สำรวจประตูแล้วกดโทรหา Kelly ให้เธอมาเปิดให้ ด้านในจะพบคนมากมายหลบภัยอยู่ที่นี่ มี อาจารย์ Maria , Angie ,หนุ่มใส่แว่นนรินาม และ คุณ Vigo เจ้าของเรือ
คุยกับ Kelly ให้หมดจะได้เบอร์ของ Jessica และ Monica มา 
คุยกับ Angie ให้หมดจะได้เบอร์ของ John Simpson มา 
คุยกับคุณ Vigo ให้หมดจะได้กุญแจประตูทางออกฉุกเฉินของโรงหนังมา
- แล้วเดินทางเข้าไปยังด้านในโรงหนังที่ประตูทางออกที่สุดทางเดินใกล้โรงที่ 3 เอากุญแจที่ได้มาไขเข้าไปด้านในต่อ


                                                         Scene 2


-ลงมาตามบันไดฉุกเฉินเรื่อยๆจะพบกับ Jerome ยืนรออยู่ คุยให้จบให้หมดทุกประโยค

** ใช้ไอเทม ซองจดหมาย (Envelope) กับเขา เพื่อทำให้เส้นทางในเกมไปตามทางสีน้ำเงิน ** 


Jerome จะเล่าให้ฟ้งว่าตอนนี้คนในเรือส่วนนึงเป็นคนของลัทธิหน้ากาก Hoodlums ที่ตั้งใจจะทำร้ายคนบนเรือ และเอกสารในซองนี้เป็นรูปที่พวกคนกลุ่มนั้นอ้างว่าเป็นครอบครัวที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นคนของลัทธิหน้ากาก Hoodlums พวกมันเลยพยายามมาชิงตัวเขากลับไป 

-คุยจบเดินตามทางลงบันไดโดดลงไปชั้นล่างสุด ระหว่างทาง Jessica โทรมาเตือนเรื่องของ Eric ที่เป็นพนักงานในเรือว่าเป็นคนไม่ดีก่อนที่เธอจะร้องด้วยความหวาดกลัวแล้วเงียบหายไป เข้าประตูไปด้านในห้องเก็บตู้คอนเทรนเนอร์ เดินเข้าไปที่กลางห้องจะเจอตู้คอนเทรนเนอร์ตกลงมาจากด้านบน พยายามกดให้ทันเพื่อหลบมัน ก่อนที่เจ้า Scissorwalker จะออกมาจากตู้และเข้าทำร้าย พยายามดิ้นหลุดจากมันแล้วรีบสำรวจรางลำเลียงสินค้าเพื่อรีบคลานมุดเข้าไปอีกด้านพร้อมๆกับคลิ๊กเพื่อหลบการไล่ล่าของ Scissorwalker ให้ทันจนหนีเข้าไปด้านในได้


                                                   Scene 3

-เดินเข้าไปตามทางจนถึงห้องเก็บตู้คอนเทรนเนอร์ เข้าไปที่ตู้ที่เปิดอยู่ตรงทางเข้าจะพบสร้อยของโมนิก้าตกอยู่ สำรวจหลายๆครั้งจน Rooney มั่นใจว่า Monica ต้องแอบอยู่ในตู้ไหนซักแห่งแน่นอน จากนั้นเข้าไปสำรวจที่โต๊ะทำงานด้านในเก็บไอเทม Remote Control มา แล้วสำรวจตู้ที่อยู่ตรงข้ามรถโฟลค์ลิฟต์จะพบว่า Monica น่าจะอยู่ด้านในแต่ประตูจะล็อคอยู่ สำรวจขับรถโฟลค์ลิฟต์คันขวาสุดไปพุ่งชนประตูตู้คอนเทรนเนอร์จนหลุดออกแล้วเข้าไปก็จะพบ Monica ยังรอดชีวิตอยู่


-เข้าไปคุยกับ Monica เธอจะบอกให้ระวังชาย Vigo เจ้าของเรือเพราะมันชอบเอาดวงตาต้มในถ้วยบิกเบอร์ ซึ่งเป็นเหมือนที่อาจารย์ Leonard ส่งข้อความมาเตือนเอาไว้ คุยหลายๆครั้งจนจบ แล้วไปปีนขึ้นตู้คอนเทรนเนอร์ที่เจอสร้อยโมนิก้าจะสามารถกดรีโมทยกตัวเองขึ้นไปด้านบน – ขวาจะพบช่องที่สามารถมุดเข้าไปอีกด้านของประตูชัตเตอร์ขนาดใหญ่ได้
-เข้าไปสำรวจที่ห้องเก็บของทางขวาจะพบ Eric และ Cobie ที่บาดเจ็บอยู่ด้านใน ซึ่ง Eric ปฎิเสธเขาไม่ได้ทำอะไรอาจารย์ Leonard แต่เขานั่งเรือออกไปในทะเลแล้วหายตัวไป ก่อนที่ Rooney จะถามถึงการทำให้ลิฟต์ VIP กลับมาทำงานได้ ซึ่ง Eric ก็บอกว่าต้องปีนขึ้นไปจากด้านบนเพื่อไปที่ห้องสื่อสารเพื่อรีบู๊ทเครื่องใหม่ก่อนแต่ตอนนี้ท่อด้านบนยังปิดอยู่
-สำรวจที่ช่องระบายอากาศด้านบนแล้วกดโทรหา Kelly เพื่อให้เธอกดสวิตซ์เปิดช่องจากในฝั่งของโกดังให้ จากนั้นคุยกับ Eric อีกแล้วแล้วสำรวจช่องระบายอากาศก็จะสามารถปีนขึ้นไปด้านบนได้แล้ว

** ก่อนจะสำรวจท่อระบายอากาศเพื่อปีนเข้าไป หากเจอตัว Monica แล้ว Rooney จะขอยาจาก Eric เพื่อไปช่วยรักษาอาการาดเจ็บของ Monica ก็จะได้ไอเทมยา Eric’s Medication มา จากนั้นเอาย้อนกลับไปให้ Monica ในตู้ซะ ก็จะทำให้เส้นทางในเกมไปตามทางสีน้ำเงิน และไม่พบ bad Ending - Purgatory ที่ห้องพยาบาลด้วย ** 

-จากนั้นกลับมาที่ช่องระบายอากาศตรงที่ Eric อยู่แล้วมุดเข้ามาด้านใน อาจารย์ Maria จะโทรเข้ามาบอกว่าปีศาจกรรไกรบุกเข้ามาทำร้ายในโกดังที่ทุกคนซ่อนตัวอยู่แล้ว ที่นี่จะมีช่องระบายอากาศที่ 12 และ 13 ที่ต้องปีนต่อ ถ้าปีนช่อง 12 จะโดนน้ำซัดเข้ามาจนตาย เมื่อปีนขึ้นไปที่ช่อง 13 ทางซ้าย จะพบช่องระบายอากาศที่โกดังที่ Maria กำลังถูก Scissorwalker ฆ่าตาย ต้องพยายามกลั้นหายใจโดยคลิ๊กตามไอค่อนหัวใจให้สีฟ้าตลอดเพื่อให้รอดชีวิตจากตรงนี้ เมื่อรอดแล้วก็คลานเข้าไปลงที่ทางลงสุดทางจะเข้ามาที่ห้องพยาบาลได้


                                                          Scene 4


ที่ห้องพยาบาลถ้าไม่มีไอเทมยา Eric’s Medication ที่เอาไปให้ Monica เข้ามาจะถูกจิตใจของ Rooney จะถูกครอบงำจนหลอนไปเลย เป็น bad Ending – Purgatory ของ Monica 

- ถ้าเอายาให้ Monica แล้วก็เข้ามาด้านในได้เลย เข้าไปเปิดเตียงคนไข้ทางขวาจะพบกับอาจารย์ Leonard ที่ถูกจับมาทดลองจนร่างถูกเอาออกไปหมดเหลือแต่หัวอย่างน่าสยดสยอง แต่เขายังมีชีวิตอยู่และพยายามบอกกับ Rooney ให้ปิดสวิตซ์เครื่องช่วยชีวิตเพื่อฆ่าเขาซะจะได้ไม่ต้องทรมาน



** เข้าไปปิดสวิตซ์เครื่องช่วยชีวิตเพื่อช่วยให้อาจารย์ Leonard พ้นทุกข์ได้เลย ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้เนื้อเรื่องเดินทางไปตามเส้นทางสีน้ำเงิน **



แต่มันจะเป็นที่ถูกใจของยัยเด็กผีที่ตามรังควาญ Rooney เป็นอย่างมาก เพราะเธอต้องการให้ Rooney ฆ่าคนจนกลายเป็นคนวิกลจริตตามที่เธอต้องการ แต่ครั้งนี้ Rooney กลับเริ่มจำความจริงทั้งหมดที่จิตใจเธอกำลงปกปิดอยู่ได้ เธอนิ่งไปซักพักก่อนจะเรียกวิญญาณเด็กหญิงว่า Connie และบอกให้หยุดตามรังควาญและให้ยอมรับตัวเองในฐานะน้องสาวที่ตายในอดีตว่าความผิดทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของ Rooney แต่เป็นตัว Connie ที่พยายามโดดไปเก็บหมวกตัวเองจนทำให้ต้องเสียชีวิต  Rooney บอกให้Connie หยุดโทษเธอในเรื่องสาเหตุที่ตัวเองเสียชีวิต เธออยากให้น้องสาวของเธอยอมรับความจริงว่าเป็นความผิดของตัวเองและหยุดตามจองเวรกันเสียทีเพราะตอนนี้ Rooney เธออยากใช้ชีวิตในแบบของตัวเองซะที

-จากนั้นเปิดประตูเข้าไปด้านในต่อจนถึงเขตซากตึกในเขตที่พักอาศัย ซึ่งตอนนี้เหมือนจะโดนระเบิดจนทุกอย่างพังไปจนหมดแล้ว เข้าไปด้านในจนถึงหน้าโถงลิฟต์เข้าไปเก็บ Key Card A ที่ตกอยู่ในลิฟต์แล้วรีบกดคลิ๊กเอาตัวรอดให้ทันเพื่อหนีวิญญาณร้ายที่ออกมาโจมตี เข้าไปด้านในต่อจนถึงเขตน้ำท่วมขัง จะเห็นมีสายไฟฟ้าช็อตตกอยู่ แต่สามารถเดินลงไปในน้ำได้เลย ระหว่างทางจะเจอ Scissorwalker โผล่ออกมาจากน้ำเข้าโจมตี พยายามหันหลังกลับแล้วหนีมาสำรวจที่สายไฟฟ้าช็อตเพื่อใช้จัดการ Scissorwalker จนมันหนีไปได้ แล้วค่อยเดินข้ามน้ำไปจนสุดทางเดินเพื่อใช้  Key Card A กับลิฟต์ลงมาที่โซนร้านค้าตรงหน้าโรงหนังอีกครั้ง


                                                      Scene 5


-ลิฟต์จะพาขึ้นมายังโซนร้านค้าหน้าโรงหนัง เดินผ่านมายังร้านเสื้อผ้าเข้าไปสำรวจที่ห้องลองเสื้อจะพบ Angie แอบอยู่ในนี้ คุยให้หมดแล้ว เอาไอเทมแหวนแต่งงาน Wedding Ring ให้เธอ ซึ่งเป็นแหวนในมือของ John แฟนเธอที่ตายในลิฟต์ตอนที่ Monica เจอครั้งแรก Angie ก็ขอบคุณและตอบแทนด้วย ไอเทม ลูกบิลเลียด A ซึ่งเป็นลูกที่ 3 อันสุดท้ายมา
-จากนั้นออกไปเดินขึ้นบันไดที่โรงหนังไป Scissorwalker ก็จะโผล่ออกมาไล่ล่า รีบหนีไปที่ร้านขายเสื้อผ้าเข้าไปแอบที่ราวเสื้อผ้าไว้ทันทีที่ Scissorwalker เข้ามา Angie ที่ตอนนี้หมดสิ้นทุกอย่างก็พร้อมจะสู้ตาย และเธอก็ได้ตายสมใจเมื่อ Scissorwalker เข้าไปเสียบ Angie ตายคาห้องลองเสื้อก่อนจะเดินหายไป เมื่อรอดแล้วขึ้นไปชั้นบนเดินไปทางเดินฝั่งซ้ายเพื่อเข้าไปที่ทางเดินของส่วนซ้ายผ่านห้องบาร์จนถึงลิฟต์ที่จะขึ้นไปชั้น VIP ซึ่งตอนนี้ไฟฟ้าที่ Rooney ช็อตใส่เจ้า Scissorwalker ที่ซากอาคารด้านล่างก็ส่งผลให้ไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้ปกติแล้ว ใช้ Key Card VIP กดขึ้นไปชั้นบนได้เลย

-ขึ้นมาที่ชั้น VIP ของเรือซึ่งเป็นส่วนของที่พักของ Vigo Boradsov เจ้าของเรือ เข้ามาตามทางแวะเข้าห้องทำงานของ Vigo สำรวจให้ทั่ว

ที่โต๊ะทำงานจะพบไดอารี่ของ Vigo ที่เป็นภาษารัสเซียแล้วสำรวจคอมบนโต๊ะจะมีไฟล์ที่แปลด้วยระบบแปลภาษาเป็นอังกฤษแล้วอ่านให้หมด


** การอ่านไดอารี่ของ Vigo นั้นจะส่งผลให้เนื้อเรื่องเดินทางไปในเส้นทางสีน้ำเงินซึ่งจะทำให้ Rooney ไม่ตายตอนเข้าไปด้านในจนเจอฉากจบแบบ Bad Ending Pre- established Harmony **

ไดอารี่ของ Vigo นั้นกล่าวถึง Yolanda น้องสาวของเขาที่ให้กำเนิดลูกของเขาที่เกิดจากพิธีกรรมโบราณ และพลังที่นำมาซึ่งชีวิตนิรันดร ซึ่งตอนนี้ Rooney ไม่เข้าใจที่ Vigo เขียนไว้แม้แต่นิดเดียว 

-แล้วกลับออกจากห้อง เดินเข้าไปจนสุดทางจะพบประตูรหัส

** ตรงนี้ถ้าไม่เอาแหวนแต่งงานให้ Angie จะเจอ Vigo รออยู่แล้วจะโดนมันพ่นยาพิษใส่จนกลายเป็นปีศาจฆาตกรไป ** 

- รหัสที่ต้องใช้คือลูกบิลเลียดที่เก็บมาทั้ง 3 ลูกคือกดที่ตำแหน่งลูก 3 – 5 – 9 ที่แป้นประตูก็จะเปิดออก



เข้าไปด้านในจนถึงทำงานของ Vigo อีกห้อง สำรวจให้ทั่วๆเข้าไปเก็บไอเทมดวงตา Eye of Kassites ในตู้เซฟข้างโต๊ะทำงานมา

สำรวจที่ลิ้นชักในโต๊ะตรงทางเข้าจะพบรูปครอบครัวในอดีตของ Jerome ซึ่งก็มีพ่อซึ่งมองเห็นหน้าไม่ชัด แม่ที่กำลังตั้งท้อง และแม่นมที่เป็นหญิงชราอีกคนที่ยืนข้างๆ


**การสำรวจรูปครอบครัวของ Jerome ก็จะเป็นตัวแปรที่ทำให้เรื่องราวในเกมดำเนินไปตามเส้นทางสีน้ำเงินได้ ** 

จากนั้นสำรวจตู้หนังสือจัดการเรียงหนังสือตามรหัสที่ได้มาจากข้อความจาก Jerome ในโทรศัพท์




                      หยิบหนังสือสีเขียวชั้นล่างไปวางชั้นบนเรียงดังนี้


AMORE
PUDICIZIA
MORTE
FAMA
TEMPO
ETERNITIA 

ประตูลับก็จะเปิดออกให้เข้าไปด้านในต่อจนถึงห้องจัดการงานเลี้ยง  ด้านใน Rooney ต้องตกใจเกือบช็อคเมือเห็นทุกคนบนเรือถูกนำเอาศพมาทำเป็นหุ่นเชิดเป็นแขกในงานเลี้ยงที่น่าสยดสยองนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนเธอหลายคนก็กลายเป็นศพอยู่ที่นี่หมดแล้ว 



ก่อนที่ Vigo Boradsov ตัวแสบในฐานะเจ้าของเรือและเจ้าลัทธิ Mask of hoodlums ต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดจะออกมาพร้อมกับ Scissorwalker ที่เสมือนเป็นทาสรับใช้ ก่อนทีจะมีชายหน้ากากที่ใส่ชุดพนักงานในเรือจะออกมาช่วยจับตัว Rooney ไว้อีกแรงจนเธอดิ้นไม่หลุด 

ในขณะที่ Scissorwalker กำลังย่างสามขุมมาพร้อมกรรไกรขนาดหมายจะแยกชิ้นส่วนร่างกายของ Rooney เสียงที่คุ้นเคยเผยออกมาจากชายหน้ากากบอกว่า Rooney อยู่นิ่งๆเพราะพ่อกำลังจะทำให้ทุกคนทีชีวิตเป็นนิรันดร




 แต่ Monica ก็มาพร้อมไม้หน้าสามออกมาฟาดกระบาลชายหน้ากากจนนอนสลบไปจนเผยให้เห็นใบหน้าข้างในว่าไม่ใช่ใครมันคืน Jerome นั่นเอง  

ตอนนี้ทุกอย่างก็กระจ่างออกมาแล้วว่า Jerome ก็คือลูกชายแท้ๆของ Vigo นามว่า Otto Boradsov ที่เกิดจากแม่ที่เป็นลูกสาวของ Vigo เองที่ชื่อ Yolanda ตามตำราศาสตร์มืดของหมอผีรัสเซียเมื่อ 200 ปีก่อนเพื่อใช้ทำพิธีที่ทำให้กำเนิดเด็กที่มีสายเลือดสมบรูณ์ (IE incest) ก่อนจะพลัดพรากจากกันไปตั้งแต่เด็กจน Jerome ลืมเรื่องราวในอดีตไปจนหมด เวลาผ่านไปพลังของ Vigo จากการศึกษาศาสตร์มืดของรัสเซียโบราณก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น Vigo จึงใช้ศาสตร์มืดของมันครอบงำผู้คนจนกลายเป็นทาสรับใช้เพื่อแลกกับพลังแห่งความอมตะ กำเนิดใหม่กลายเป็นเผ่าพันธุ์ต้องคำสาปที่จงรักภัคดี ในฐานะ ผู้คลั่งลัทธิ Mask of hoodlums และ ได้ใช้ร่างของ Yolanda น้องสาวที่ฆ่าตัวตายเพราะเสียใจที่โดน Vigoข่มขื่นมาสร้างร่างใหม่ที่เกิดจากศาสตร์มืดนามว่า Scissorwalker และควบคุมมันด้วยดวงตาแห่ง Kassites เพื่อเป็นทาสรับใช้ของตัวเอง 

จนเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง Jerome ก็เดินทางมากับคณะนักเรียนในเรือสำราญ Oceanus ในฐานะญาติห่างๆของอาจารย์ Leonard ก็มาบรรจบพบเจอกับ Vigo ในฐานะเจ้าของเรือ ที่เริ่มเปิดฉากออกคำสั่งให้ Scissorwalker ไล่ล่าฆ่าทุกคนบนเรือทั้งหมดเพื่อเสริมพลังมือของตัวเอง ก่อนที่จะวางแผนสุดท้ายในการบูชายัญ Jerome ลูกชายตัวเองที่เป็นคนที่มี 2 วิญญาณเพราะเกิดจากพิธีกรรมของศาสตร์มืดกับ Scissorwalker ที่เป็นน้องสาว เพื่อสร้างพลังอำนาจแห่งชีวิตนิรันดรที่เขาหวังเอาไว้ 



Monica กับ Rooney พยายามจะหาทางหนีออกจากที่นี่โดย Monica ใช้ไม้หน้าสามทุกประตูอย่างสุดกำลังในขณะที่ Scissorwalker ก็กำลังเดินเข้ามาหมายปลิดชีวิตทั้งคู่ตามคำสั่งของ Vigo ด้วยคาถาตาปีศาจที่มันใส่อยู่ 

-ในขณะที่ Scissorwalker กำลังเดินเข้ามา Rooney มองซ้ายขวาแล้วรู้ดีว่าลำพังแรงของ Monica ไม่มีทางพังประตูออกไปได้ทันเวลาก่อนที่ Scissorwalker เดินเข้ามาเชือดแน่นอน เธอจึงตัดสินใจใช้คาถาดวงตาปีศาจด้วยการยอมควักดวงตาของตัวเองออกแล้วเอา Eye of Kassites ใส่เข้าไปแทน (เลือกไอเทม Eye of Kassites แล้วกดใช้ที่ส่วนหัวของ Rooney เลย) 




ดวงอำนาจแห่งคาถาตาปีศาจแห่ง Kassites ทำให้ Scissorwalker หยุดชะงักและยอมเชื่อฟังกับคำสั่งใหม่ที่ออกจากปาก Rooney ว่า ให้กลับจัดการฆ่าคนที่ทำให้เธอกลายเป็นปีศาจซะ Scissorwalker จึงเปลี่ยนเป้าหมายและเดินไปฆ่า Vigo ด้วยกรรไกรมรณะจนดับดิ้นตายขาเวที ไม่นานหลังจากผู้ใช้มนต์ดำหมดอำนาจ Scissorwalker แล้ววิญญาณที่ถูกครอบงำด้วยศาสตร์มืดทุกดวงก็สลายกลายเป็นไอสู่สุขคติในทันที 




หมอกหนาค่อยๆจางลงพร้อมแสงพระอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาด้วยพร้อมเฮลิคอปเตอร์จากหน่วยกู้ภัยมาที่กำลังมาถึง ในห้วงคำนึงของสองสาวผู้รอดชีวิตที่กอดคอรออยู่เหมือนจะรู้ว่าฝันร้ายที่ผ่านมากำลังจะจบลงตรงนี้ในไม่ช้าแล้วอย่างแน่นอน ..........


           --------------------------------------- THE END --------------------------------------------------


วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

The Heavy Rain and Beyond: Two Souls HD Collection

   



                                           บทสรุป   Heavy Rain : The Origami Killer


BY – Decibel per - oxide



                                               Chapter 1 : Ethan Mars


                                                               Prologue

เมื่อตื่นจากที่นอนแล้วเรียนรู้การบังคับโดยส่วนใหญ่จะใช้แกนอนาล็อคซ้ายในการสั่งการ กด R2 ค้าง + แกนอนาล็อคซ้ายในการเคลื่อนไหว และ สามารถกด L2 เพื่อดูความคิดของตัวละครว่าต้องการจะทำอะไรต่อไป เดินเข้าไปในห้องน้ำจัดการแปรงฟัน( สั่นจอยและดันแกนอนาล็อคขึ้นลง) และ โกนหนวด ให้เรียบร้อยก่อนเข้าไปอาบน้ำ เสร็จแล้วเดินไปใส่เสื้อผ้าที่ตู้เสื้อผ้าในห้อง ก่อนแล้วลงมาชั้นล่าง เปิดตู้เย็นกินนมและกาแฟแล้วสำรวจบ้านใหัทั่วๆซักพักจนเมียและลูกๆทั้ง 2 คนกลับมาถึงบ้าน กดปุ่มที่ขึ้นมาเพื่อช่วยเธอถือของเข้ามาในครัว พูดคถยในเรื่องๆต่างแล้วเธอจะให้ไปช่วยจัดโต๊ะกินข้าวโดยเดินมาที่ตู้ข้างๆโต๊ะกินข้าวที่มีกล่องของขวัญวางอยู่หยิบจานออกมาค่อยๆเรียงบนโต๊ะอย่าให้เมียด่า เสร็จแล้วเดินไปจูบเธอช่วยคุยในเรื่องต่างๆแล้วเดินออกไปเล่นกับลูกๆที่หลังบ้านจนเมียมาเรียกกินข้าวเมื่อมาถึงโต๊ะกินข้าวจะไม่เจอ Shaun อยู่เดินไปตามลูกที่ชั้นบนจะพบ Shaun ที่กำลังเสียใจที่นกตัวโปรดของเขาเพิ่งตาย

Ethan กับครอบครัวมาเที่ยวห้างกันเมียของเขาแวะเข้าไปซื้อของให้กับ Shaun ที่ร้านด้านในปล่อย Ethan ไว้กับ jason พยายามเดินตาม Jason ที่เดินเรื่อยไปจนถึงตัวตลกที่ขายลูกโป่งในขณะที่ Ethan กำลังจะควักเงินจ่ายอยู่ Jason ก็เดินหายไปท่ามกลางฝูงคน จนทำให้ Jason ต้องออกวิ่งตามหา เดินไปตามห้างแล้วกด X เรียกชื่อ Jason ตามจุดต่างๆแล้วลงบันไดไปชั้นล่าง ตามลูกโป่งแดงไปจนพบเด็กคนนึงที่เหมือนกับ Jason เมื่อ Ethan มองไปที่ประตูห้างจะพบ Jason กำลังเดินออกไปนอกห้างเมื่อ Ethan เดินออกไปริมถนนจะพบเจสันอยู่ฝั่งตรงข้ามและจะพยายามเดินข้ามกลับมาในขณะที่มีรถที่ขับมาด้วยความเร็วจนมาชน Jason จนเสียชีวิตซึ่ง Ethan ไม่สามารถช่วยชีวิตลูกของเขาเอาไว้ได้ทันเวลา


                                                           --- 2 ผ่านไป ----------


Ethan ยังคงซึมเศร้าและโทษตัวเองในการตายของลูกชายอยู่ Ethan มารับ Shaun ที่โรงเรียนเมื่อขับรถมาถึงบ้านแล้ว Shaun จะนอนดุ T.V ทันที เข้าไปพูดคุยถึงเรื่องต่างๆแล้วถามว่าจะกินขนมหรือเปล่า เดินไปหยิบขนมในตู้มาให้ Shaun แล้วปล่อยให้เขาดู T.V ซักพักแล้วสำรวจบ้านใหัทั่วๆก็จะพบตารางเวลาที่ต้องให้ Shaun ทำสิ่งต่างๆอยู่ แล้วเดินไปซักผ้าที่เครื่องด้านในห้องจะเจอตุ๊กตาสีเขียวอยู่ด้วย จากนั้นมาบอกให้ Shaun ไปทำการบ้าน รอจนเขาทำการบ้านเสร็จเข้าไปตรวจแล้ว Shaun จะกลับไปนอนดู T.V เหมือนเดิม รอเวลาจนถึง 2 ทุ่มก็เรียกให้ Shaun ไปนอนได้แล้ว พาขึ้นชั้นบนเข้าไปในห้อง Shaun ห่มผ้าให้เขา แล้ว Shaun จะร้องเอาตุ๊กตาตัวโปรดของเขา เดินลงไปเอาตุ๊กตาที่บนเครื่องซักผ้ามาให้เขาแล้วบอก Good Night จูบก่อนอนปิดหน้าต่างแล้วออกจากห้องเข้าห้องตัวเอง Ethan จะเกิดอาการหลอนบางอย่างและเขาจะมารู้สึกตัวอยู่กลางสายฝนบนถนนและในมือของเขามีตุ๊กตากระดาษพับอยู่



                                                Chapter 2 : Scott Shelby


Scott นักสืบเอกชนอดีตตำรวจมือดี ที่หน้าที่ของเขานอกจากสืบคดี Origami Killer แล้วยังมีหน้าที่เยียวยาครอบครัวเหยื่อของฆาตกร Scott เดินทางมาที่โรงแรม Coad Motel เข้ามาคุยที่เค๊าเตอร์เพื่อถามหา Lauren Winter จากนั้นขึ้นไปชั้นบนเคาะห้องฝั่งซ้ายริมสุดจะพบ Lauren ซึ่งเธอคิดว่า Scott เป็นลูกค้าจึงให้วางเงินไว้บนโต๊ะก่อนจะเริ่มงาน แต่ Scott เปิดเผยตัวว่าเป็นตำรวจและมาสอบถามเรื่องข้อมูลของ Johnny ลูกของเธอที่โดนฆ่าตาย แต่ก้ไม่ได้รับความร่วมมือมากนัก ก่อนออกจากห้องทิ้งนามบัตรเอาไว้ เมื่อออกจากห้องแล้ว Scott เริ่มมีอาการหอบหืดขึ้นมาเมื่อควักยามาเป่าแล้วจะมีชายคนนึงเข้าไปในห้องของ Lauren และจะพบว่าเธอร้องให้ช่วยเมื่อเคาะประตูแล้วถีบประตูเข้าไปจัดการกับชายที่เข้ามาทำร้ายเธอ จัดการมันให้ได้แล้ว Lauren จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลูกของเธอ


                                            Chapter 3 : Norman Jayden 

Jayden เจ้าหน้าที่ FBI ที่ติดยาบางอย่างอยู่พยายามควบคุมตัวเองเข้าไปสืบคดีในที่เกิดเหตุ ลงจากรถแล้วเข้าไปแสดงบัตร FBI เพื่อเข้าไปด้านใน Jayden จะใช้แว่นที่มีระบบ ARI ร่วมถุงมือที่สามารถสแกนหาหลักฐานที่ตามองไม่เห็นรวมถึงจัดเก็บข้อมูลได้อย่างละเอียด เดินเข้าไปในที่เกิดเหตุเข้าไปถามหา หมวด Blake ที่ยืนอยู่ด้านใน เดินคุยถึงข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้แล้ว Jayden จะเริ่มหาเบาะแสโดยใช้แว่นสแกนของเขา เข้าไปที่ศพของ Jerremy ค้นหาและเก็บข้อมูลจากศพมาให้หมด หมวด Blake จะให้ไปคุยต่อที่ออฟฟิต ให้เลือกอยู่ต่อ แล้วเริ่ม กด R1 ในการสแกนหาหลักฐานที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ทั้งรอยเลือดและรอยเท้าให้ทั่วๆแล้วจะพบรอยเท้าและรอยเลือดที่โยงไปที่รั้วที่อยู่ด้านขวา Jayden จะพยายามปีนขึ้นด้านบนเนินจนถึงทางด่วนด้านบนสแกนหารอยเท้าและรอยยางรถยนต์ของคนร้ายให้หมดแล้วกลับลงมาแล้วขับรถออกจากที่นี่



                                          Chapter 4 : Ethan Mars

Ethan จะเข้าทดสอบสภาพจิตใจกับจิตแพทย์เมื่อตอบคำถามต่างๆจนหมดแล้วก็กลับออกไปเพื่อไปรับ Shaun ที่โรงเรียนต่อ ชวน Shaun คุยที่ม้านั่งแล้วลุกขึ้นไปหยิบบูมเมอร์แรงในเป้ของ Shaun แล้วแสดงการขว้างให้ Shaun ดูก่อนที่จะสอนให้เขาขว้างจนทำให้ Shaun เริ่มแสดงความร่าเริงออกมาจนได้ จากนี้ก็ชวน Shaun เล่นของเล่นให้หมดในสนามเด็กเล่นให้หมดจนพอใจแล้วก็ชวน Shaun กลับบ้านแต่ Shaun จะอยากนั่งม้าหมุน เดินไปซื้อตั๋วมาแล้วในขณะที่ Shaun กำลังเล่นม้าหมุนอยู่ Ethan ก็เกิดอาการหลอนขึ้นมาอีกครั้ง เขามายืนอยู่กลางถนนเหมือนเดิมโดดหลบรถแล้ววิ่งไปตามหา Shaun ตามที่ต่างจนหมดแต่หายังไงก็ไม่เจอ Ethan ได้แต่ร้องตะโกนพร้อมทั้งกำตุ๊กตากระดาษพับไว้ในมือ… 


                                      C  hapter 5 : Norman Jayden

Jayden มานั่งรอสารวัตร Perry ที่สถานีตำรวจเพื่อร่วมกันตรวจสอบคดี Origami Killer เมื่อ สารวัตร Perry ออกมาจากห้องแล้วเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ช่วยเขาผูกเน็คไทแล้วเมื่อคุยจบแล้วเดินมาคุยกับเลขาของสารวัตรที่โต๊ะหน้าห้องเธอจะพาไปที่ออฟฟิตชั่วคราวที่ สารวัตร Perry จัดเตรียมไว้ให้ เปิดเข้าไปแล้วต้องตะลึงเพราะมันมีแต่ฝุ่นและโทรมสุดๆ แต่ไม่เป็นไรเมื่อจัดโต๊ะจนเสร็จแล้ว Jayden จะเปิดระบบ ARI ในแว่นและถุงมือซึ่งจะสามารถสร้างโฮโลแกรมสร้างบรรยากาศได้ด้วย จากนั้นก็ตรวจสอบแฟ้มข้อมูลที่มีให้หมดประกอบกับแผนที่จนหมดแล้ว จู่ๆ Jayden จะเกิดอาการอยากยาขึ้นมาจนตัวสั่น พยายามควบคุมตัวเองไปที่ประตูออกประตูไปอย่าไปกินยา พยายามบังคับตัวเองเข้าไปจนถึงห้องน้ำให้ได้….ในขณะนั้น Ethan ก็จะเข้ามาแจ้งความเกี่ยวกับ Shaun ลูกชายเขาที่หายไป เลือกตอบคำถามต่างๆที่ หมวด Blake ถามมาให้หมดแล้วพวกตำรวจจะเริ่มออกตามหา


                                           Chapter 6 : Scott Shelby

Scott เข้าไปหาข้อมูลของพ่อของเด็กที่โดนฆ่าที่เปิดร้านขายของอยู่ เมื่อเข้ามาแล้ว Scott จะพยายามสอบถามถึงข้อมูลของลูกชายของเจ้าของร้านแต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือเหมือนเดิม ในขณะที่ Scott กำลังเดินไปซื้อยาที่หลังร้าน โจรจะบุกเข้ามาและพยายามจะจี้เจ้าของร้าน ย่องจากด้านหลังร้านอ้อมมาด้านหลงโจรแล้วค่อยๆหยิบขวดเข้าไปใกล้ๆแล้วลงมือฝาดมันให้สลบ เจ้าของร้านจะขอบคุณและจะให้ข้อมูลและหลักฐานของลูกชายของเขาให้กับ Scott เพิ่มเติม



                                         Chapter 7 : Madison Paige 

Madison จะตื่นขึ้นมาในห้องของเธอ เดินสำรวจให้ทั่วแล้วเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ( เสียใจจริงๆ ที่อาบได้ครั้งเดียว) เมื่ออาบจนเสร็จแล้วออกมาด้านนอกจะพบตู้เย็นถูกเปิดเอาไว้ Madison เริ่มจะรู้แล้ว่ามีคนแอบเข้ามาในห้องของเธอ พยายามวิ่งไปหาโทรศัพท์และหาทางออกแต่ก็จะโดนพวกโจร 2 คนรุมเข้ามาทำร้ายพยายามเอาตัวรอดให้ได้แล้วหนีเข้าไปในห้องน้ำแต่ก็จะพบอีกคนแอบอยู่และเธอก็จะโดนเชือดในที่สุด แต่โขคดีที่เป็นแค่ฝันร้าย 


                                             Chapter 8 : Ethan Mars

Ethan จะนั้งอยู่ในบ้านในขณะที่มีฝูงนักข่าวอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมด แกะซองจดหมายบนโต๊ะ Ethan จะพบบัตร์ตู้ล็อคเกอร์อยู่ด้านในจากนั้นออกทางหลังบ้านอ้อมมาหน้าบ้านแล้วขับรถหนีนักข่าวออกไป Ethan จะขับรถมาที่สถานีLexington Stationในขณะที่เขากำลังจะเข้าไปที่ตู้ล็อคเกอร์ด้านใน Etahn จะเกิดอาการหลอนขึ้นมาอีกเขาเห็นภาพผู้คนหยุดนิ่งและเห็น Jason เรียกให้ตามไป เดินตามไปจนเขามารู้สึกตัวที่หน้าทางเข้าตู้ล็อคเกอร์ เข้าไปด้านในควักบัตร์ออกมาดูเลขตู้แถวที่ 18 ตู้ที่ 3 เดินเข้าไปหาจนพบเมื่อไขเปิดตู้ออกมาจะพบกล่องใบนึงซึ่ง Etahn จะเก็บแล้วออกจากที่นี่ แล้ว Ethan จะขับมาเปิดห้องในโรงแรมเพื่อเปิดกล่องดูข้างในจะพบโทรศัพท์ที่จะแสดงภาพที่ Shaun โดนขังอยู่ในท่อระบายน้ำ เก็บบัตรที่จอดรถและปืนก่อนขับรถออกจากโรงแรม


                                           Chapter 9 : Norman Jayden

หลังจากสรุปข้อมูลคดีให้พวกตำรวจท้องที่ฟังแล้ว Jayden จะเดินทางมาที่ห้องพักของ Nathaniel ผู้ต้องสงสัยคนนึงพร้อมกับ หมวด Blake ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกับ Jayden เท่าไหร เมื่อพังประตูเข้ามาแล้วสำรวจห้องให้ทั้วจะพบว่า Nathaniel จะคลั่งศาสนาเอาอย่างมากๆ เมื่อสำรวจซักพักแล้ว Nathaniel จะกลับเข้ามาในห้อง Jayden พยายามจะถามข้อมูลต่างๆแต่ หมวด Blake กลับข่มขู่อย่างรุนแรงจนทำให้มันควักปืนออกมา พยายามพูดคุยหว่านล้อมให้ Nathaniel ยอมวางปืนลงให้ได้แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมจะกด R1 เพื่อเหนี่ยวไกอยู่ด้วย เมื่อมันยอมวางปีนลงแล้วในขณะที่ หมวด Blake กำลังจะเข้าไปใส่กุญแจมือฉับพลันมันก็จะหันมา ไม่ต้องยิงมันเพราะมันจะแค่เอากางเขนออกมาสวดใส่ Blake เท่านั้น จากนั้นทั้งคู่ก็จะจับกุมตัวมันไป



                                           Chapter 10 : Scott Shelby

Scott เข้าไปหาข้อมูลของครอบครัวของเด็กที่โดนฆ่าอีกราย เมื่อเข้ามาในบ้านทางหลังบ้านจะเจอเด็กที่ร้องอยู่ในแปลสำรวจทั่วแล้วเข้าปในห้องน้ำพังประตูเข้าไปจะพบเจอคุณนาย Bowles ที่พยายามฆ่าตัวตายนอนอยู่ในอ่างน้ำ ช่วยยกเธอขึ้นมาบนเตียงแล้วเข้าไปเอายามาปฐมพยาบาลเธอจะเสร็จด้วยความที่ห่วงลูกเธอจึงพยายามจะลุกขึ้นไปดูลูกแต่ Scott จะอาสาดูให้ก่อน เดินออกไปหาเด็กที่นอนในแปล เธอชื่อ Emily ที่กำลังเลอะเทอะอยู่เมื่อจับแล้วเดินไปล้างมือที่อ้างล้างมือแล้วไปเอาตัว Emily ไปใส่ผ้าอ้อมบนโต๊ะแล้วเดินไปหยิบขวดนมที่อ่างล้างจานอุ่นแล้วเอาไปให้เด็กกินจนอิ่มแล้วจัดการกล่มจนหลับแล้วค่อยๆวางเด็กลงในแปลก่อนเข้าไปคุยกับ คุณนาย Bowles ในห้องคุยจบเธอจะให้ข้อมูลในโทรศัพท์ของเธอมา ก่อนออกจากบ้านเก็บโทรศัพท์ที่ตู้ใกล้ๆแปลเด็กแล้วออกจากบ้าน 

                                            Chapter 11 : Ethan Mars

Ethan จะเดินทางมาหาข้อมูลต่อที่โรงจอดรถ City Garage เข้าไปคุยกับช่างซ่อมรถเอาบตรจอดรถให้เขาแล้วจะได้กุญแจรถวางอยู่บนเค๊าทเตอร์ หยิบแล้วเดินขึ้นลิฟท์ไปชั้น 3 กด O รีโมทเพื่อหารรถเป้าหมายแล้วเข้าไปในรถค้นในรถดูจะพบเครื่องนำทาง GPS ติดตั้งแล้วขับไปตามเป้าหมายที่ขึ้นมาให้ไป เมื่อ Ethan ขับรถมาถึงกลางทางก็จะๆได้รับคำสั่งให้ขับรถสวนทางย้อนศรบนทางด้วยที่เต็มไปด้วยอัตรายพยายามขับไปจนถึงที่หมายให้ทันเวลาเพื่อช่วย Shaun



                                          Chapter 12 : Madison Paige

Madison จะขี่รถมาที่โรงแรม Cross Road เข้าไปคุยกับแคชเชียร์เพื่อเอากุญแจห้องพักห้อง 201 เดินขึ้นบันไดที่สุดทางขึ้นไปชั้น 2 แล้วระหว่างทางจะพบ Ethan ที่กำลังบาดเจ็บมา พยุงเขาเข้าไปในห้องพักห้อง 207 แล้วจัดการไปหายาในตู้ในห้องน้ำมาให้เขา โดยหยิบขวดบนคือน้ำยาล้างแผลมาล้างแผลเบาๆแล้วไปหยิบขวดที่วางชั้นกลางคือยาแก้ปวดมาให้เขาอีกครั้ง หลังจาก Ethan ดีขึ้นจนอาบน้ำเสร็จแล้ว Madison ก็จะแยกตัวออกไป หลังจาก Ethan ฟิ้นตัวแล้วหยิบกล่องใต้เตียงเพื่อดูคำสั่งในตุ๊กตากระดาษพับ Origami ชิ้นต่อไป 

                                    Chapter 13 : Norman Jayden

เจ้าหน้าที่ Jayden กับ หมวด Blake มาจอดรถดักรอจับผู้ต้องสงสัยอีกคนในคดี เมื่อคุยกันจบเป้าหมายจะออกมาแต่มันจะรู้ตัวและวิ่งหนีไป วิ่งตามมันให้ทันจนถึงห้องเย็นมันจะเข้าโจมตี Jayden ทันทีจัดการมันให้ได้แล้วคุมตัวไปโรงพัก



                                         Chapter 14 : Scott Shelby

Scott ซึ่งโหมงานหนักจนหลับคาโต๊ะทำงานเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วสำรวจบ้านให้ทั่วจน Lauren มากดกริ่งเรียกที่ประตู เมื่อเข้ามาคุยแล้วเธอจะให้ข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับพ่อของ Johnny ลูกของเธอเมื่อเธอให้ข้อมูลจนหมดแล้วเธอจะขอร่วมสืบคดีด้วยตอนแรก Scott จะไม่ยอมเพราะเป็นงานอัตรายแต่ก็ทนความแน่วแน่ของความเป็นแม่ที่รักลูกของ Lauren ไม่ไหวจนทั้งคู่ร่วมมือกันไปสืบคดีต่อ ทั้งคู่ขับรถมาที่บ้านของ Gordi Kramer ที่เป็นผู้ต้องสงสัยอีกคน เมื่อเข้ามาในบ้านจะพบว่ากำลังจัดปาร์ตี้อยู่สำรวจหา Gordi ให้ทั่วๆจนพบว่าเขาอยู่ที่ชั้น 2 ที่มีบอดี้การ์ดคมทางขึ้นอยู่ Scott ต้องยอมให้ Lauren ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของการ์ดแล้ว Scott จะรีบขึ้นไปชั้นบนต่อเข้าไปคุยกับ Gordi ซึ่งเมื่อโดนข่มขู่แล้ว Gordi ก็ได้สารภาพไปด้วยความระเริงว่า เขาเป็น ฆาตกร Origami Killer เองแต่ใครจะทำไมเพราะพ่อเค้าใหญ่ เมื่อ Scott จัดการกับพวกบอดี้การ์ดจนหมดแล้ว Gordi ก็ได้แต่ขู่ว่าเขาจะไปฟ้องพ่อในเรื่องที่ Scott ล้ำเส้น



                                      Chapter 15 : Ethan Mars

Ethan เดินทางมาถึงโรงไฟฟ้าตามคำบอกในกระดาษ Origami สำรวจประตูใหญ่จะเข้าไม่ได้เดินสำรวจกำแพงทางขวาจนสุดจะมีที่ปีนขึ้นด้านในแล้วเดินมุดลอดรั้วลวดหนามเข้าด้านในที่ประตูด้านข้างของโรงไฟฟ้า เข้ามาแล้วเปิดเตาเผาไฟเก็บไม้ขีดแล้วมุดคลานเข้าด้านใน ระหว่างทางที่คลานจะพบว่าที่พื้นเต็มไปด้วยเศษกระจกเต็มไปหมด พยายามค่อยๆคลานแบบเบาๆจะได้ไม่บาดเจ็บ ค่อยจุดไม้ขีดดูทางของลมที่นำทางไปที่ทางออก เมื่อออกมาแล้วมุดลงท่อไปต่อจนมาถึงโรงไฟฟ้าด้านในที่เต็มไปด้วยสายไฟฟ้าซึ่งต้องหาทางลอดเข้าไปจนถึงประตูอีกฝั่งนึงให้ได้ ช่องทางมุดเข้าจะมี 6 ช่องทางโดยให้เข้าในช่องทางที่ 4 จากซ้ายแล้วกดปุ่มแบบต่อเนื่องตามที่ขึ้นมาแล้วมุดไปตามทางดังนี้ ซ้าย – ซ้าย – บน – ขวา – บน – บน ก็จะถึงอีกฝั่งจนได้จะพบซิมโทรศัพท์ที่จะมีภาพของ Shaun ที่ยังโดนขังอยู่ยังมีชีวิตอยู่



                                 Chapter 16 : Madison Paige

Madison ยังอยู่ที่โรงแรม Cross Road ระหว่างนั้นก็ได้สังเกตุเห็นประตูห้องของ Ethan เปิดอยู่และพบว่าเขากำลังนนบาดเจ็บอยู่ เข้าไปช่วยแบบเขาขึ้นไปบนเตียงแล้วสำรวจดูบาดแผลก่อนเข้าไปเอายาในตู้ในห้องน้ำมาทั้งหมดแล้วให้ Ethan กินยา (Medicine ) เลือกยาแก้ไข้ และ ยาแก้ปวด ให้เขากินแล้วเลือก Disinfectant กับแขนของ Ethan และเลือก Ointment กับแผลไฟไหม้ที่หน้าอกแล้วตามด้วยใช้ Bandages ผ้าพักแผลพันจนเสร็จแล้วนั่งรอให้ Ethan ตื่นขึ้นมา Madison จะถามถึงเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นและจะให้ความช่วยเหลือแต่ Ethan ก็ได้แต่ปฎิเสธไปเพราะไม่อยากให้คนอื่นมาเดือดร้อนด้วย เมื่อ Madison ออกไปจากห้องแล้ว Ethan ก็เอากล่องมาเปิดดูข้อความในตุ๊กตากระดาษพัก Origami ชิ้นต่อไป

ที่โรงพักแม่ของ Shaun ก็เข้ามาพบ เจ้าหน้าที่ Jayden กับ หมวด Blake เธอพร้อมจะให้ข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับอาการทางประสาทที่เกิดขึ้นกับ Ethan ที่เธอสังเกตุเห็น Jayden กับ หมวด Blake จึงมุ่งหน้าไปออฟฟิตของจิตแพทย์ของ Ethan เพื่อสอบถามข้อมูลซึ่งแน่นอนหมอไม่ยอมให้ข้อมูลของคนไข้ แต่ หมวด Blake ก็พยายามใช้ความรุนแรงเพื่อหาข้อมูลเหมือนเดิม Jayden จึงต้องเข้าห้ามปรามแต่ก็จะได้ข้อมูลจากจิตแพทย์มาว่าเขาได้พบตุ๊กตากระดาษพับ Origami ที่ Ethan ทำตกเอาไว้ทำให้ตำรวจมุ่งประเด็นเป้าหมายไปที่ Ethan ว่าเป็นฆาตกร 


                                       Chapter 17 : Scott Shelby

Scott เข้าไปพบ Kramer พ่อของ Gordi ที่สนามไดฟ์กอล์ฟ เมื่อ Scott เข้าไปพูดคุยพร้อมทั้งแสดงฝีมือตีกอล์ฟไปด้วย Kramer จะพยายามติดสินบนกับ Scott เพื่อไม่ให้ไปยุ่งกับลูกชายของเขาแต่มีหรือที่ Scott จะยอม Scott ปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวลว่าเข้าไม่ชอบเล่นกอล์ฟแล้วและเดินจากไป


                                      Chapter 18 : Ethan Mars

Ethan จะเดินทางมาที่ตึกร้างในย่านไชน่าทาวน์ขึ้นไปแล้วสำรวจเก็บตุ๊กตาแก้วที่วางอยู่บนพื้นทุกให้แตกแล้วเอากุญแจมาไขเข้าห้องสุดท้าย นั่งลงที่โต๊ะแล้วสำรวจมอนิเตอร์มันจะออกคำสั่งให้ Ethan ตัดนิ้วตัวเองภายใน 5 นาที จัดการเอาเลื่อนที่พื้นมาตัดนิ้วตัวเองซะแล้วมุดใต้โต๊ะเก็บเอาซิมโทรศัพท์มาดูว่า Shaun ยังไม่ตายและได้รหัสเพิ่มเติมมา

                               Chapter 19 : Madison Paige

Madison ขี่รถตาม Ethan มาที่ตึกนี้เหมือนกันแต่เธอสังเกตุเห็นตำรวจมาสุ่มเตรียมเข้าจับกุมอยู่หน้าตึก เมื่อเข้าไปแล้วจะพบ Ethan เธอจะบอกให้เขารีบหนี สำรวจพนังดันเอาแผ่นไม้ให้พ้นทางจะพบหน้าต่างทางออกรีบพา Ethan หนีออกาจกตึกก่อนตำรวจจะบุกเข้ามาจับตัว เมื่อหนีออกไปที่ข้างๆตึกแล้วรีบพยุง Ethan หนีข้ามรถนนไปลงบันไดไปสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อลงมาแล้ว Ethan เห็นคนเยอะก็เกิดอาการขึ้นมาทันที รีบพาเขาเดินข้ามทางรถไฟไปเข้ารถไฟขบวนตรงข้ามให้เร็วที่สุดก่อนตำรวจจะตามมาจับทัน

                                    Chapter 20 : Ethan Mars

Ethan กำลังนั่งดูข่าวที่ออกมาบอกว่าเขาเป็น Origami Killer Madison จะเขามาคุยและบอกว่าอยากจะช่วยแต่ Ethan ก็ยังปฏิเสธอยู่ดีเมื่อ Madison ออกไปแล้วสำรวจกล่องเพื่อแกะดูตุ๊กตากระดาษจะเจอคำสั่งต่อไปซึ่งมันจะให้ไปฆ่าใครคนนึงพร้อมให้ที่อยู่มา Ethan จึงรีบออกจากห้องทันที 
ในขณะที่ Jayden เองก็ยังมืดแปดด้านเกี่ยวกับคดีนี้แต่เขาก็ยังเชื่อว่า Ethan ไม่ใช่ Origami Killer Jayden เริ่มค้นหาข้อมูลในระบบ ARI ต่อกับข้อมูลเกี่ยวกับรถของคนร้ายที่ได้มาใหม่ก็จะได้ข้อมูลเพิ่มมาว่ารถที่ว่าได้มาจากอู่ของ Jacky Neville แล้วจู่ๆอาการอยากยาของเขาก็เริ่มออกอาการอีกโดยยาจะวางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง ให้พยายามบังคับตัวเองไปจนถึงห้องน้ำแล้วเปิดน้ำฟักบัวใส่หัวอาการก็จะดีขึ้น

                                     Chapter 21 : Scott Shelby

Scott เข้ามาที่ร้านซ่อนนาฬิกาของ Manfred เพื่อนเก่าของเขาเพื่อจะให้ช่วยตรวจสอบอากรแสตมป์บนซองจดหมาย สำรวจร้านให้ทั่วแล้วเข้าไปคุยกับ Manfred เขาจะตรวจสอบให้ในขณะที่เขากำลังเดินไปเอา List รายชื่อที่หลังร้านมาให้ Manfred ก็จะโดนฆ่าตัดตอนซะก่อน Scott จึงสั่งให้ Lauren รีบออกจากที่นี่ส่วนเขาก็จะรีบจัดการเช้ดรอยนิ้วมือจากทุกจุดที่จับสิ่งของเอาไว้ให้หมดแล้วรีบออกจากที่นี่ ในขณะที่ขับรถอยู่ Scott จะไม่อยากให้ Lauren มาเสี่ยงอันตรายอีกแต่เธอนั้นยังยืนยันที่จะช่วย Scott ต่อไป


                                     Chapter 22 : Ethan Mars

Ethan จะเดินทางมาถึงบ้านเป้าหมายเมื่อมันออกมาก็ชักปืนเข้าใส่เลยหลังจากเข้าไปในบ้านแล้วจะเกิดการต่อสู้ขึ้นในที่สุด Ethan ก็เป็นฝ่ายชนะตรงนี้จะฆ่าเป้าหมายหรือเปล่าสุดแล้วแต่คุณ


                               Chapter 23 : Madison Paige

Madison จะมาสืบข้อมูลจากหมอที่ให้การรักษา Ethan เมื่อเข้าไปด้านในแล้วพยายามสอบถามต่างๆแล้วในขณะที่หมอเข้าไปเอาของด้านในก็ให้รีบเข้าไปในห้องนอนค้นในตู้เก็บตั๋วเข้าบาร์ Blue lagoon มาแล้วรีบออกจากบ้านทันทีก่อนที่หมอมันจะออกมาทำร้าย


                                    Chapter 24 : Norman Jayden

Jayden จะเข้ามาที่อู่ของ Jacky Neville เข้ามาด้านในอู่แล้วใช้แว่นสแกนหาหลักฐานต่างๆให้หมดจนพบว่ามีรถคนร้ายอยู่จริงแล้วกลับออกมาสำรวจอ่างสีตรงทางเข้าจะพบกระโหลกคนอยู่ในขณะนั้น Jacky จะเข้ามาทำร้ายทันที พยายามจัดการมันให้ได้โดยจะได้ข้อมูลจากมันมาคือ บาร์ Blue Lagoon แต่จู่ๆอาการอยากยาของ Jayden ก็เริ่มเกิดขึ้นมาอีกจนทพฃำให้เขาโดนต่อยสลบและจับมัดเข้าไปในรถเตรียมจะเอาเข้าเครื่องทำลาย เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพยายามดิ้นจนออกมานอกรถให้ได้ แล้ว Jacky จะเข้ามาสู้ทันทีสู้กับมันจนชนะและ Mad Jack ก็จะโดนรถแทรกเตอร์ทับตาย


                                   Chapter 25 : Scott Shelby
  
Scott กับ Lauren จะกลับมาที่ออฟฟิตของ Scott ในขณะที่ Lauren เข้าไปอาบน้ำ Scott ก็ต้องเข้าครัวเข้าไปทำไข่กวนมาให้เธอ ทั้งคู่จะช่วยกันหาข้อมูลจากรายชื่อที่ได้มาทำให้ไข้อมูลเชื่อมโยงไปยังเด็กที่ตายไปแล้วชื่อ John Shepperd จากนั้นทั้งคู่จะเดินทางมาที่สุสานโดยเริ่มออกหาหลุมศพของ John Shepperd เมื่อเจอแล้วจะพบว่ามีคนเอสดอกไม้มาไหว้ซึ่งยังดุสดอยู่และยังพบตุ๊กตากระดาษพับ Origami อยู่ด้วย จากนั้นสัปเหร่อจะเข้ามาเล่าเรื่องของ John เด็กที่ตายให้ฟัง จากนั้นต้องบังคับเป็นเด็กคนนึงที่เป็นเพื่อนกับ John วิ่งเล่นไปตามสถานที่ก่อสร้างจนทั้งคู่เล่นซ่อนหากันเป็นเหตุให้ John ตกลงไปในท่อน้ำไม่สามารถช่วยขึ้นมาได้ แต่สัปเหร่อก็จำได้เท่านี้โดยเขาก็ไม่รู้ว่าเด็กอีกคนที่เป็น้พื่อนกับ John หายตัวไปไหน จากนั้นเดินกลับออกมาที่รถจะพบ Kramer เข้ามาเอาดอกไม้มาไหว้หลุมศพของ ชื่อ John Shepperd ด้วย

                                   Chapter 26 : Madison Paige

Madison จะเข้ามาที่บาร์ Blue Lagoon เพื่อเข้าไปพบ Paco Mendes เข้ามาถามหา Paco กับบอดี้การ์ดแต่เขาจะไม่ให้เข้าไป เมื่อมองดูแล้วท่าทาง Paco จะขี้หลีชอบสาวแน่ๆ Madison จึงเข้าไปที่ห้องน้ำเพื่อแปลงโฉมเป็นสาวเซ็กซี่แล้วออกมาขึ้นไปเต้นบนฟอร์ใกล้ๆกับที่นั่งของ Paco วาดลวดลายจนทำให้ Paco สนใจและเรียกเข้าไปหา เมื่อคุยกันแล้วก็ชวน Paco ขึ้นห้องทันทีเดินตามเขาขึ้นไปที่ชั้น 2 Paco ไม่รอช้ารีบสั่งให้ Madison ถอดเสื้อผ้าทันที ในขณะที่ถอดแบบกล้าๆกลัวก็หาจังหวะเอาแจกันฟาดหัวมันจนสลบแล้วรีดความลับมาจากมันว่าใครเป็นคนเช่าตึกเก่าแถวไชน่าทาวน์ Paco จะบอกว่า John Shepperd เป็นคนเช่าเอาไว้ เมื่อได้ข้อมูลจนครบแล้วก็เดินออกจากบาร์ได้เลย


ในขณะที่ Jayden ก็เดินทางมาถึงที่บาร์ Blue Lagoon เหมือนกันขึ้นไปหา Jaco ที่ห้องด้านบนแต่ไม่ทันแล้ว Paco โดนฆ่าตัดตอนไปแล้วโดยชายลึกลับ เมื่อ Jayden เข้ามาในห้องเพื่อเตรียมตรวจสอบหาหลักฐานแต่ชายลึกลับที่แอบอยู่จะลอบเข้าโจมตี หลังจากสู้กันเสร็จชายลึกลับมันจะหนีไปได้ กลับเข้ามาสำรวจในห้องเก็บข้อมูลหลักฐานต่างๆให้หมดโดยที่ Jayden จะพบรอยนิ้วมือของ Madison ด้วยจากนั้นกลับออกไปรีดข้อมูลจากบอดี้การ์ดหน้าห้องจะพบว่าชายลึกลับที่ออกไปคือ John Shepperd เพื่อนของ Paco จากนั้นก็กลับออกจากที่นี่



                                          Chapter 27 : Ethan Mars

Ethan กับ Madison จะกลับมาที่โรงแรมหลังจากดูใจกันมานาน บรรยากาศทำให้ทั้งคู่เริ่มจะจูบกัน ใครยังไงไม่รู้แต่ผมจูบแน่นอน และแล้วก็ถึงเวลาเลิฟซีนกันซะที หลังจากบังคับทั้งคู่นัวเนียกันเสร็จแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาค่อยๆลุกจากเตียงแล้วไปสำรวจกล่องบนโต๊ะแกะตุ๊กตากระดาษพับอันสุดท้ายเมื่อได้คำสั่งแล้วในขณะที่กำลังออกจากห้อง Ethan จะพบสมุดบันทึกในกระเป๋าของ Madison ซึ่งจะพบว่าเธอเข้ามาตีสนิทกับ Ethan ก็เพื่อจะหาข้อมูลไปเขียนหนังสือเกี่ยวกับฆาตกร Origami Killer แต่เมื่อคุยกันเรียบร้อยแล้ว Madison จะออกไปนอกห้องเพื่อหาของกินเมื่อเดินไปหน้าโรงแรมจะพบตำรวจบุกเข้ามาล้อมจับ Ethan เต็มไปหมด รีบเข้าไปที่เค๊าท์เตอร์เพื่อใช้โทรศัพท์โทรไปห้อง 207 เพื่อเตือนให้ Ethan รีบหนีออกมาจากห้อง เมื่อ Ethan หนีออกมาแล้วกดปุ่มตามไปเรื่อยๆจนหนีออกมาถึงถนนด้านนอก Ethan จะขโมยรถแท็กซี่หนีไปได้ในที่สุด



                                          Chapter 28 : Scott Shelby

Scott กลับมาถึงบ้านจะแปลกใจที่พบ Lauren อยู่ที่นี่แต่ปรากฎว่าเธอโดนพวกของ Kramer บังคับให้พามาที่บ้านของ Scott Kramer เองไม่ยอมให้ใครมาวุ่นวายขุดคุ้ยเกี่ยวกับเรื่อง Gordi ลูกตัวเองจึงจัดการจะเก็บ Scott ซะ Scott โดนฟาดจนสลบและทั้ง 2 คนจะโดนจับไปถ่วงน้ำ เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วจะพบว่าโดนมัดติดอยู่กับรถ พยายามหนีออกมาจากรถให้ได้โดยต้องปลุก Lauren ด้วยการตบหน้าหลายๆทีแล้วแก้มันให้เธอก่อนจะถีบกระจกรถจนแตกแล้วจะสามารถพา Lauren หนีออกมาจากรถที่กำลังจะจมน้ำได้


เมื่อรอดมาได้แล้วก็ถึงเวลาจะเอาคืนแล้ว Scott ขับรถมุ่งหน้าไปที่บ้านของ Kramer แล้วบุกลุยเข้าไปในบ้านจัดการยิงพวกลูกน้องของมันที่ออกมาให้หมดขึ้นไปจนถึงห้องที่ชั้นบนจะพบ Kramer พยายามเค้นความลับจากเขาซึ่ง Kramer จะบอกว่าจริงๆแล้ว Gordi ไม่ใช้ฆาตกรแต่เค้าทำไปเพราะอยากจะเลียนแบบ Origami Killer ตัวจริงและเขาเองก็เพียงต้องการปกป้องลูกเท่านั้น Scott ถามถึงแฝดอีกคนของ John Shepperd ซึ่ง Kramer บอกให้ไปถามกับแม่ของ John ที่ชื่อ Ann Shepperd
  


                                        Chapter 29 : Madison Paige

Madison ตามเบาะแสจนมาถึงโรงพยาบาลแห่งนึงเข้าไปด้านในสอบถามพยาบาลถึงคนไข้ที่ชื่อ Ann Shepperd แล้วเดินเข้าไปด้านในจนถึงห้องที่ 19 เข้าไปจะพบ Ann Shepperd แม่ของ John ที่นอนป่วยอยู่พยายามสอบถามเธอถึงเรื่องลูกอีกคนของเธอว่าชื่ออะไร ด้วยความที่ Ann นั้นมีอาการความจำเลอะเลือนอยู่เลยบอกอะไรไม่ได้ปะติดปะต่อมากนัก พยายามสำรวจให้ทั่วจะเจอรูปลูกในลิ้นชักโต๊ะ สำรวจหนังสื่อสอนพับตุ๊กตา Origami ที่โต๊ะข้างๆหยิบกระดาษมาแล้วเปิดหน้าสอนพับที่เป็นรูปหมา พับเสร็จแล้วยื่นให้เธอๆจะพอใจและเริ่มเราว่า John นั้นรักหมามากๆแล้วมีหมาตัวโปรดของเขาที่ชื่อ MAX ซึ่งจริงๆแล้วหมากี่ตัวต่อกี่ตัวของ John นั้นก็ชื่อ MAX ทุกตัวนั่นแหละ จากนั้นออกจากห้องสอบถามกับพยาบาลหน้าห้องแล้วไปหยิบดอกกล้วยไม้ที่หน้าห้องคนอื่นมาแล้วนำกลับไปใส่แจกันให้ Ann เธอจะเริ่มเล่าเรื่องลูกชายของเธออีกคนนึงขึ้นมาเพราะเขาคนนั้นชอบดอกกล้วยไม้มากๆ Madison พยายามถามถึงชื่อของลูกชายแฝดอีกคนนึงของเธอ Ann นิ่งไปแล้วเรียก Madison เข้าไปใกล้พร้อมทั้งกระซิบชื่อนั้นที่หูจนทำให้ Madison ถึงกับต้องอึ้งไปเลยเมื่อได้ยิน….


                                      Chapter 30 : Ethan Mars

Ethan เข้าไปในห้องโถงสีขาวเพื่อทอสอบครั้งสุดท้าย บนโต๊ะกลางห้องจะมียาพิษว่าอยู่คำสั่งสุดท้ายมีอยู่ว่า ให้ดื่มยาพิษให้หมดขวดและจะได้ที่อยู่ซ่อนของ Shaun และเมื่อเข้าไปถึงตัว Shaun ได้แล้วส่วนเวลาที่เหลือคือเวลาที่ใช้ในการกล่าวคำอำลากับลูกชายตัวเอง !! เป็นคำสั่งที่สุดเจ็บปวด …เมื่อตัดสินใจดื่มจนหมดขวดแล้วเวลาจะเริ่มนับถอยหลัง Ethan จะขับรถออกตามหาโดยคำใบ้ที่อยู่ที่ได้มานั้นก็กว้างจนเกินไปมีจุดที่ต้องไปมากในแผนที่ ตรงนี้ต้องเลือกจุดที่ต้องไป


**** ถ้านึกให้ดีๆ ตอนที่ Jayden กำลังตรวจสอบข้อมูลของเขาในฐานข้อมูลนั้นมีหลักฐานนึงที่เขาเก็บได้นั่นก็คือ ตุ๊กตา Origami รูปหมา และ แฝดอีกคนนึงของ John Shepperd ที่น่าจะเป็นผู้ที่น่าสงสัยที่สุดว่าจะเป็น Origami Killer นั้นชอบหมาเอามากๆอย่างที่แม่ของ John เคยเล่าให้ฟัง ฉะนั้นจุดที่ Jayden เคยวิเคราะห์จากจุดที่เก็บ ตุ๊กตา Origami รูปหมาได้นั่นก็คือจุดทางขวาบนของแผนที่ ****


จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่จุดทางขวาบนของแผนที่ได้เลย


                                        Chapter 31 : Norman Jayden

Jayden กำลังหงุดหงิดกับเวลาที่เร่งเข้ามาเพราะทางฝ่ายตำรวจทั้งหมดนั้นกำลังมุ่งเป้าไปที่ Ethan โดยที่ หมวด Blake ก็เตรียมสั่งตำรวจออกตามจับ Ethan เพื่อปิดคดีนี้พร้อมทั้งยังให้ Jayden นั้นกลับสำนักงานใหญ่ได้เลย งานจบแล้ว …Jayden จึงต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดในการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้เพื่อหาจุดที่ Shaun โดนจับไปให้ได้ เมื่อเปิดระบบ ARI แล้วระบบจะเตือนว่า Jayden ใช้งานระบบนี้มากจนเกินไปแล้วซึ่งหากใช้นานๆอาจจะสงผลต่อสมองได้ ซึ่งก็แปลว่าเรานั้นมีเวลาไม่มากในการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อโยงไปให้ถึงที่ซ่อนตัวของ Shaun ให้ได้
  
- เปิด File ข้อมูลของ Origami Killer ทีมีเก็บไว้ทำให้รู้ว่าคนร้ายมีอายุประมาณ 30 – 40 กว่าและผิวขาว 
- เปิดดูวีดีโอที่บันทึกไว้ตอนที่สู้กับคนร้ายที่บาร์ Blue Lagoon Play ภาพไปจนมองเห็นนาฬิกาข้อมือ ทำการวิเคราะห์ (Analysis ) จะพบว่านั่นคือ นาฬิกาข้อมือสีทองที่เคยมีวางฝากขายที่โต๊ะเลขาของสารวัตร Perry ซึ่งทำให้รู้ว่า คนร้ายน่าจะเป็นตำรวจ 
- วิเคราะห์ (Analysis ) ปืนของคนร้ายที่ทำตกตอนสู้กันที่ บาร์ Blue Lagoon พบว่าเป็นปืนของกลางของตำรวจที่หายไปจากห้องเก็บหลักฐานของตำรวจเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งทำให้รู้ว่า คนร้ายเคยเป็นตำรวจมาก่อน … 
- วิเคราะห์ (Analysis ) บิลเงินสดจากปั๊มน้ำมันซึ่งถ้าดึงเอาแผนที่ปั๊มน้ำมันทั้งหมดที่อยู่ในเมือง ปั๊มไหนบางที่มีบ้านของตำรวจหรืออดีตตำรวจตั้งอยู่ใกล้ๆ ฐานข้อมูลบอกว่าอยู่ในโซนขวาบน และ จุดไหนที่สามารถซ่อนสิ่งต่างๆได้ดีในโวนขวาบน มีจุดเดียวที่เด่นชัด นั่นก็คือ โกดังเก่าที่ท่าเรือที่จุดขวาบน ซึ่งก็เป็นจุดเดียวกันกับที่ Ethan มุ่งไปนั่นแหละ … 
เมื่อวิเคราะห์จนรู้ข้อเท็จจริงแล้วก็มุ่งหน้าไปได้เลย


ย้อนไปถึงโศกนาฎกรรมของ John Shepperd แฝดคนน้องของ John พยายามจะช่วยพี่ชายของเขาขึ้นมาจากท่อระบายน้ำ เขาไม่มีแรงพอจึงรีบวิ่งไปหาคนมาช่วยคนที่ใกล้ที่สุดก็คือพ่อขี้เมาที่นั่งอยู่ที่รถบ้านด้านบน เขาพยายามจะบอกให้พ่อรีบมาช่วย John ที่กำลังจะจมน้ำตาย แต่พ่อขี้เมานั้นไม่ยอมมาช่วยลูกตัวเอง แฝดคนน้องรีบกลับไปดู John พี่ชายของเขาที่ท่อระบายน้ำ John เริ่มหมดแรงที่จะเกาะแล้วจึงค่อยจมน้ำลงแล้วบอกกับน้องชายของเขาเบาๆว่า อย่าลืมชั้นน๊ะ ….Scotty ……..!! 
ในขณะที่… Scott Shelby … กำลังเผาทุกอย่างที่จะเชื่อมโยงถึงตัวเขาให้หมดก่อนออกจากห้อง.. 
Scott Shelby = อายุ 48 ปี = อดีตตำรวจ = Origami Killer 


                                   Chapter 32 : Madison Paige

Madison นั้นเธอตามมาที่ห้องพักของ Scott เทื่องัดเข้ามาแล้วสำรวจให้ทั่วๆแล้วเปิดดูตู้เสื้อผ้าข้างๆโต๊ะทำงานจะพบทางเข้าห้องลับด้านหลังตู้ได้ เข้าไปจะพบว่ามีดอกกล้วไม้เต็มไปหมด สำรวจที่จอมอนิเตอร์จะพบ Shaun ที่โดนขังอยู่กำลังจะจมน้ำ สำรวจโน๊ตบุ๊คที่ต้องใส่ Password ซึ่งก็คือ MAX หมาของ John 2 พี่น้อง Shepperd
  
เมื่อได้ทุกแย่างครบแล้วกลับออกมาจะพบ Scott ที่เข้ามาพบเข้าจึงขัง Madison เอาไว้แล้วจุดไฟเผาบ้านเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด ไฟเริ่มไหม้แล้วรีบสำรวจเอากล่องเหล็กตรงโต๊ะทำงานเอามาทุบกำแพงตรงประตูทางเข้าแล้วมุดทะลุมาที่ห้องน้ำในห้องนอน เปิดฝักบัวเอาน้ำชุบตัวก่อนแล้วเปิดประตูออกมาจะพบว่าไฟไหม้เข้ามาแล้วและกำลังจะระเบิดเพราะถังแก็ซที่ Scott ที่ไว้ให้ระเบิด รีบลุยไฟไปที่ตรงทำงานแล้วอ้อมดันตู้ออกโดดข้ามไฟจนมาในห้องครัวเปิดตู้เย็นแล้วเข้าไปแอบด้านใน มุขเดียวกับ Indiana Jones เลย เมื่อเกิดระเบิดขึ้นแล้ว Madison จะออกมาอย่างปลดภัย เธอจะตัดสินใจจะโทรหา Ethan หรือ เจ้าหน้าที่ Jayden เพื่อบอกที่ซ่อนตัวของ Shaun ถ้าโทรบอก Jayden เขาจะบอกว่าเขารู้แล้วกำลังจะมุ่งหน้าไปแล้ว แต่ถ้าโทรหา Ethan นั้นจะโทรไม่ติด .

                                                Epilogue

ทุกคนกำลังจะมุ่งหน้ามาที่เดียวกันคือ โกดังเก่าในเขตท่าเรือ Ethan มาถึงก่อนเขารีบเข้าไปด้านในร้องเรียกหา Shaun จนเจอลูกเขาถูกขังในท่อระบายน้ำ Scott ออกมาพร้อมยินดีด้วยกับความสำเร็จ 
Scott – ยินดีด้วยน๊ะที่ช่วยลูกนายได้สำเร็จ… 
Ethan – จะบ้าหรอ ..พ่อที่ไหนเขาก็ช่วยลูกกันทั้งนั้นแหละ !! 
Scott –พ่อที่ไหนเขาก็ช่วยลูกกันทั้งนั้น อย่างั้นหรอออ !! นั่นแหละที่ชั้นอยากจะพิสูจน์กับนายไง ชั้นอยากจะรู้จริงๆว่าพ่อจะช่วยลูกจริงๆหรือเปล่า ชั้นจำนายได้ตอนที่ลูกนายโดนรถชนตายหน้าห้าง

** ปมของเรื่องทั้งหมดก็คือ Scott นั้นโกรธแค้นพ่อตัวเองมากที่ไม่ยอมที่มาช่วย John ลูกชายของเขาเองจึงเกิดอาการทางประสาทที่จะประชดสังคมว่า “ พ่อจะช่วยหรือยอมตายแทนลูกได้หรือเปล่า “ ( ซึ่งก็เหมือนกับ Joker ในเรื่อง Batman the Dark night ที่มันต้อนคนลงเรือโดยลำนึงเป็นคนทั่วไปและอีกลำเป็นพวกคนคุกแล้ววางระเบิดไว้บนเรือทั้ง 2 ลำแล้วเอารีโมทให้กับคนในเรือทั้ง 2 ลำแล้วบอกว่า ใครกดรีโมทก่อนกลุ่มนั้นก็จะรอด Joker เองก็พยายามประชดสังคมเหมือนกันว่า ทุกคนมันก็เลวเหมือนๆกันหมดนั่นแหละ !!)

ในขณะที่ Ethan หันหลังไปช่วยลูกของเขา Scott กำลังจะลั่นไก Jayden ก็พุ่งเข้ามาขัดขวางซะก่อนแล้วทั้งคู่ก็วิ่งหนีเข้าไปด้านในโกดัง Ethan ต้องพยายามช่วยลูกออกมาจากท่อและพยายามผายปอดเพื่อให้ลูกเขารอดกลับมาให้ได้ Jayden สู้กับ Scott รางสายพานอย่างดุเดือด ในขณะที่ Madison ที่เพิ่มมาถึงก็พยายามจะเข้าไปบอก หมวด Blake ว่า Ethan นั้นไม่ใช่ฆาตกร ซึ่งตำรวจนั้นไม่เชื่อจึงพยายามจะจับตัวเธอ พยายามดิ้นหนีแล้ววิ่งไปขับมอเตอร์ไซด์หนีเข้าไปด้านในเพื่อเตือน Ethan ทางด้าน Jayden นั้นการต่อสู้จบลงด้วยความตายของ Scott อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ Ethan กับ Madison ค่อยๆอุ้ม Shaun ออกมาหาตำรวจและเล่าเรื่องราวให้ตำรวจฟัง และ คดี Origami Killer ก็ปิดฉากลง……..


                                     ENDING - All Characters Alive


------------------------------------------ THE END ----------------------------------------------------- 


                 



                                                       บทสรุป Beyond: Two Souls 


BY – Decibel per – oxide



ในทางปรัชญาว่ากันว่า วิญญาณ หมายถึงสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นสารัตถะของชีวิตมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มันไม่มีวันเน่าเปื่อย และจะคงอยู่เป็นอมตะ ในบางความเชื่อว่ากันว่ามนุษย์เท่านั้นที่มี วิญญาณ แต่บางความเชื่อก็ว่า ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนมีวิญญาณ และวิญญาณก็มีหลากหลายชื่อให้เรียกในหลายภาษา แต่สำหรับ โจดี้ โฮมส์ เธอเรียกสิ่งนั้นว่า “ ไอเดน “


ฉันเติบโตมากับ ไอเดน ของขวัญสุดพิเศษ

พลัง ที่มนุษย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ไอเดน มีความเป็นตัวตนของมันเองสูง บ้างก็เรียบร้อย ขี้เล่น บ้างก็ก้าวร้าวและน่ากลัว และ ไอเดน ก็พร้อมที่จะปกป้องฉันจากอันตรายด้วยทุกวิธีไม่ว่าฉันจะต้องการหรือไม่ก็ตาม ….



*** Notice **************************************************************

มีสิ่งหนึ่งที่คุณผู้เล่นต้องเรียนรู้ก่อนเล่นก็คือ Beyond: Two Souls นั้นใช้ระบบการเล่นที่เรียกว่า Interactive Adventure ที่ให้ผู้เล่นมีทางเลือกที่สามารถเลือกกระทำต่างๆนานากับตัวละครนำของเรื่องได้อยากอิสระ ทั้งดีและเลว เหมาะหรือไม่เหมาะนั้นผู้เล่นต้องเป็นคนตัดสินใจโดยเกมจะดำเนินไปเรื่อยๆตามสิ่งที่ผู้เล่นเลือกทำไปจนจบเกมโดยไม่มีคำว่าเกมโอเวอร์ผ่านทาง Interactive Movie ที่คุณกำลังเล่นเกมอยู่ ซึ่งการตัดสินใจบางอย่างก็แค่ทำให้สถานะการณ์ในเกมเปลี่ยน แต่การตัดสินใจบางสถานะการ์ณก็สำคัญมากจนส่งผลไปถึงฉากจบของเกมได้เลย ซึ่งทฤษฎีนี้เรียกกันว่า ทฤษฎีเด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว หรือ Butterfly Effect แต่ผู้เล่นก็สามารถเลือกเล่น Chapter ต่างซ้ำได้เพื่อเก็บรายละเอียดต่างๆ ด้วยการออกไปเลือกเล่นในฉากเลือก Chapter ในเมนูหลัก โดยจะสามารถเลือกที่จะไม่เซฟเกมเพื่อลองเปลี่ยนการตัดสินใจในทิศทางต่างๆเพื่อไม่ให้ส่งผลในความเปลี่ยนแปลงของเนื้อเรื่องได้ด้วย

*************************************************************************



                                                   Broken

เด็กสาวคนนึงในสภาพอิดโรยกำลังนั่งในห้องสอบสวนของตำรวจท้องที่ของเมือง Berker Town นายอำเภอ Sherman พยายามสอบถามถึงทุกอย่างที่เธอน่าจะมีและเกี่ยวข้อง ทั้งชื่อ เพื่อน หรือ ครอบครัว รวมถึงเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่ทำให้เธอมีสภาพเหมือนถูกทำร้ายมา แต่คำถามมากมายจากนายอำเภอก็ไม่ได้ถูกตอบกลับจากเด็กสาวแต่อย่างใด นายอำเภอ Sherman เริ่มสังเกตุเห็นรอบแผลผ่าตีดด้านหลังของศีรษะของเด็กสาวจึงพยายามเข้าไปตรวจสอบ เหตุการ์ณประหลาดก็เริ่มเกิดขึ้นไปทั่วห้อง ถ้วยกาแฟถูกอัดกระแทกไปที่พนังจนแตกกระจากเหมือนมีบางสิ่งกำลังเริ่ม ไม่พอใจ …


ในขณะที่ Nathan เจ้าหน้าที่ของรัฐกำลังขับรถออกติดตาม เด็กสาวอย่างเร่งรีบด้วยความกระวนกระวาย 

“ฉันรู้แล้ว พวกเขากำลังจะมา “ เด็กสาวที่อยู่ในห้องสอบสวนของนายอำเภอกำลังพูดกับบางสิ่งที่อยู่รอบตัวเธอ บางสิ่งที่ไม่มีใครเห็น แต่กลับรับรู้ได้ถึงพลังของมัน ในขณะที่หน่วย S.W.A.T. เริ่มบุกเข้ามาในสถานีตำรวจเต็มอัตราศึก Clieford หัวหน้าหน่วยเข้าไปสอบถามกับ Sherman ถึงเด็กผู้หญิงที่เขากำลังตามจับตัวในฐานะผู้ร้ายที่ขโมยข้อมูลความมั่นคง “ Jodie Holmes “Sherman สองจิตสองใจก่อนจะพา Clieford เข้าไปยังห้องสอบสวนที่มีเด็กสาวที่เขาควบคุมตัวมาด้วยรูปพรรณที่ตรงกัน Sherman ค่อยเปิดประตูห้องสอบสวนออก โดยไม่รู้มาก่อนว่ากำลังจะนำสิ่งที่เลวร้ายสุดขั่วมาสู่ที่ทำงานของเขา …

..ไม่กี่อึดใจ Nathan ก็ขับรถสถานีตำรวจ ในที่เกิดเหตุนอกจากสถานีตำรวจที่ถูกทำลายย่อยยับพร้อมๆกับร่างของหน่วย S.W.A.T. มากมายที่นอนบาดเจ็บกันเกลื่อน และ นายอำเภอ Sherman ที่กำลังยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เขาก็พบ Jodie ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ...” Jodie นี่เธอทำอะไรลงไป “Nathan กล่าวอย่างกังวลใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา กับสภาพความเสียหายย่อยยับเหนือคณานับที่อยู่ตรงหน้าเขา ..



                                             The Experiment


ช่วงเวลาที่ Jodie อายุ 9 ขวบเธอกำลังเล่นของเล่นอยู่ในห้อง ในสถานวิจัยของ DPA  (Department of Paranormal Activity) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับทาง CIA (Central Intelligence Agency) โดยมี Nathan Dawkins เป็นหัวหน้าทีมวิจัย Cole Freeman 1 ในทีมนักวิจัยถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของ Jodie เข้ามาตาม Jodie ที่ห้องเพื่อพาไปห้องทดสอบ Jodie เดินตามไปที่ห้องทดสอบอย่างเชื่อยชาทำให้รู้ได้ว่าเธอถูกทดสอบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนจนเป็นกิจวัฒน์ประจำวันของเธอ Cole ใส่เครื่องบันทึกคลื่นสมองกับ Jodie ก่อนจะอธิบายการทำสอบให้ฟัง โดยเขาต้องการให้ Jodie เดาใจผู้หญิงที่กำลังหยิบการ์ดที่อยู่ในห้องอีกด้าน แล้วให้ Jodie หยิบการ์ดให้ตรงกัน เมื่อเริ่มทำการทดสอบ ผู้หญิงที่อยู่ในห้องอีกด้านจะเริ่มหยิบการ์ดตรงหน้าเธอมาหนึ่งใบ ส่วน Jodie ก็เริ่มบังคับและสั่งการ Aiden ได้เลย


                                  การบังคับและการใช้งาน Aiden


สามเหลี่ยม – สำหรับสลับตัวไปมาระหว่าง Jodie และ Aiden

แกนอนาล็อกซ้าย – บังคับทิศทางการเคลื่อนไหว

แกนอนาล็อกขวา – บังคับมุมกล้อง

R1 - ลอยตัวสูงขึ้น

R2 - ลอยตัวต่ำลง

L1 – ล็อกเป้าหมาย (เป้าหมายที่ Aiden สามารถกระทำต่อมันได้จะมีจุดสีฟ้าแสดงให้เห็น)

L2 – กลับหลังหัน

แกนอนาล็อกซ้าย – แกนอนาล็อกขวา สำหรับใช้ในการใช้พลังพิเศษของ Aiden

การใช้พลังพิเศษของ Aiden จะมีหลากหลายสิ่งที่ทำได้โดยการดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านไปในทิศทางต่างๆ ซึ่งเบื้องต้นที่ Aiden ทำได้ตอนนี้คือ

- Blast Power กด L1 แล้วดันแกนอนาล็อกลงล่างจากจุดฟ้าแล้วปล่อยเพื่อ กระแทก ดันเข้าหาจุดฟ้า

- Possess Power กด L1 แล้วดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านออกไปทางซ้ายและขวาค้างเอาไว้ ใช้ในการสิงสู่ เป้าหมายที่มีแสงออร่าสีส้มที่ร่างกาย

- Choke Power  กด L1 แล้วดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านดันเข้าหาจุดฟ้าเพื่อรบกวนเป้าหมาย

- Shield power ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านค้างให้จุดสีม่วงเข้ามาใกล้กัน เพื่อสร้างเกราะป้องกัน

- Heal Power ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านค้างให้จุดสีเขียวเข้ามาใกล้กันในบริเวณที่เป็นสีเขียวตรงจุดที่บาดเจ็บ

- Channel power ความสามารถในการสื่อสาร โดยการเข้าไปสำรวจที่ที่มีออร่าสีเขียว ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านให้จุดทั้ง 2 จุดอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ลำแสงออร่าสีเขียวหักเหแล้วไหลผ่านจากสิ่งนั้นๆเข้ามาที่หัวของ Jodie ให้ได้


ในมุมมองของ Aiden เมื่อคุณบังคับมันนั้น มันจะมองคนตามแสงออร่าที่เปล่งออกมาจากร่างกาย แบ่งออกเป็น

ออร่าสีฟ้า คือ มนุษย์ที่ไม่มีอันตรายและไม่สามารถกระทำอะไรได้

ออร่าสีส้ม คือ มนุษย์ที่สามารถสิงเพื่อบังคับร่างกายได้

ออร่าสีแดง คือ มนุษย์ที่สามารถฆ่าหรือบังคับให้ฆ่าผู้อื่นได้

ออร่าสีเขียว คือ ศพที่สามารถสื่อสารได้ (Channeled)

(การใช้ความสามารถของ Aiden ก็คือการกด L1 ล็อกเป้ากับจุดสีฟ้าที่มีแล้วดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านไปในทิศทางที่ต้องการใช้งานตามวัตถุประสงค์ เมื่อฝึกหัดจนชำนาญแล้ว ฉะนั้นจากนี้ไปเพื่อเป็นเข้าใจที่ตรงกันจะเรียกสั้นๆแค่ว่า “ให้ Aiden ใช้พลัง” )


จากนั้นบังคับ Aiden ลอยทะลุกำแพงไปดูการ์ดในมือของผู้หญิงที่อยู่อีกห้อง แล้วสลับเป็น Jodie เพื่อให้เธอเลือกการ์ดขึ้นมาให้มีรูปตรงกัน เมื่อทำหยิบการ์ดตามคั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะที่ Aiden กำลังสนุกจนเริ่มทำการป่วนทุกอย่างในห้องเพื่อให้ผู้หญิงในห้องนั้นหวาดกลัว ทางด้าน Jodie ก็เริ่มทนไม่ไหวเพราะทุกครั้งที่เธอใช้พลังสั่งการ Aiden ร่างกายเธอก็จะค่อยๆหมดพลังไปเรื่อยๆด้วย และไม่ว่าเธอจะอยู่กับ Aiden มานานแค่ไหน ในวัย 9 ขวบของเธอก็ยังยากที่จะควบคุม Aiden ให้ได้ดังใจ

- กด L1 ล็อกเป้าหมายกับทุกเป้าหมายที่มีจุดฟ้าในห้องเพื่อให้ Aiden ใช้พลังป่วนจนพอใจแล้วสลับมาเป็น Jodie เพื่อกด X หยุดการกระทำ

Nathan จะรีบพังประตูเข้ามาดูอาการและปลอบ Jodie อย่างเร่งด่วน “ ไม่เป็นไรน๊ะ ไม่ต้องกลัวทุกอย่างมันจบแล้ว “Nathan พยายามเข้าไปสวมกอดและบอกกับ Jodie แต่ Jodie ก็ตอบสวนไปเบาๆกับใบหน้าที่เย็นชาว่า

                              “ สำหรับหนู ทุกอย่างมันไม่มีวันจบหรอก “ …



                                                 The Embassy

ช่วงชีวิตในวัย 21 ของ Jodie ที่กำลังออกปฏิบัติงานครั้งแรกในฐานะ CIA กับ Ryan Clayton เจ้าหน้าที่ CIA ที่เป็นทั้งครูและเพื่อนของเธอ  ทั้งคู่กำลังแฝงตัวเข้ามาในงานเลี้ยงหรูที่นึงเพื่อเป้าหมายในการล้วงข้อมูลสำคัญ ในขณะที่ Jodie กำลังกังวลกับหลายๆอย่างในตัวเธอเท่าที่คุณจะให้เธอกังวลแล้ว ชีค อาเม็ท เจ้าของงานจะเข้ามา


    ทักทาย Ryan ในขณะที่ทั้งคู่คุยกัน Ryan จะส่งสัญญาณให้ Jodie เริ่มปฏิบัติการ์ณได้เลย


** Notice *****************************************************************

[ การสั่งการให้ Aiden ทำงานนั้นจะสามารถเลือกวิธีได้อย่างอิสระ ซึ่งจะมีหลายทางที่จะทำให้ได้ข้อมูลลับมาแต่ก็จะทำให้ผลลัพท์ที่ออกมาไม่เหมือนกันด้วย ผู้เล่นแต่ละท่านสามารถหาหนทางต่างๆให้ Aiden ทำได้อย่างอิสระ แต่บทสรุปนี้จะพยายามนำเสนอในเส้นทางเฉพาะที่เหมาะสมและส่งผลดีให้กับตัว Jodie  ]

***************************************************************************

- ช่วงแรก Jodie จะบอกว่าเธอต้องการที่ที่ลับตาคนหน่อย ซึ่งก็คือต้องเดินเข้าไปในห้องน้ำหญิง แล้ว Jodie จะเข้าไปในห้องน้ำ เธอเตรียมสมุดจดโน๊ตด้วยความลุกลี้ลุกรน ก่อนที่จะสั่งให้ Aiden ออกไปทำการล้วงความลับทันที

- ขณะที่บังคับ Aiden ออกไปก็ต้องรู้ไว้ด้วยว่าระหว่างนั้น Jodie กำลังทรมานด้วยความเจ็บปวดอยู่ ซึ่งแปลว่าให้รีบทำให้เร็วที่สุดด้วย บังคับ Aiden บินออกมาจากห้องน้ำ (ไม่ต้องแวะทะลุเข้าห้องน้ำหญิงอีก 2 ห้องหรอกน๊ะเพราะมันไม่มีคนอยู่หรอก (^_^) ) จากนั้นบังคับ Aiden ขึ้นไปชั้นบน จะเห็นยามที่ยืนเฝ้าหน้าห้องคนที่มีออร่าสีส้มอยู่ คือคนที่สามารถให้ Aiden สิงได้ แต่อย่าเพิ่งเข้าสิง ให้ทะลุผ่านพนังทางฝั่งขวาของห้องก่อน สุดทางจะเป็นห้องควบคุมกล้องวงจรปิด ให้ Aiden ใช้พลังกับ TV เล็กเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเจ้าหน้าที่ก่อน แล้วจึงใช้พลังกับกล้องในห้องเป้าหมาย

- แล้วออกไปสิงยามที่มีออร่าสีส้มตรงทางเดิน บังคับมันให้เข้ามาในห้องใหญ่ตรงกลาง สำหรับลิ้นชักทางขวาของโต๊ะทำงานจะพบสวิตซ์อยู่ กดเปิดช่องเซฟลับที่รูปภาพใกล้ๆ แล้วใช้ทหารให้สแกนมือ แล้วบังคับทหารออกจากห้องเพื่อเอา Aiden ออกจากร่าง แล้วบังคับ Aiden กลับมาในห้องเพื่อใข้พลังในการกดที่จุดสแกนนิ้วมือก็จะทำให้ตู้เซฟลับเปิดออกได้ ใช้พลังกระแทกหนังสือให้ Jodie ที่อยู่ในห้องน้ำจดเอาไว้ให้หมด (กดปุ่มต่างๆที่ขึ้นมาค้างเอาไว้ให้ต่อเนื่องกัน)

ในขณะที่ยามด้านนอกกำลังจะเข้ามาตรวจเพราะ Jodie เข้าห้องน้ำนานไป แต่ก็ได้สาวอาหรับที่เป็นสายของ CIA มาช่วยไล่ทหารออกไป ก่อนที่เธอจะเอาข้อมูลที่ Jodie ได้มาไปแล้วบอกให้ Jodie หาทางหนีเอาเอง จากนั้นพยายามทรงตัวออกจากห้องน้ำ เพื่อเดินไปหา Ryan ที่นั่งรออยู่ด้านนอก แล้วทั้งคู่ก็รีบออกจากงานทันที ในขณะที่ ชีค อาเม็ท ก็แอบเฝ้ามองอยู่อย่างสงสัย ….



                                                     The Party

กล่าวถึง Jodie ในช่วงอายุ 15 กับการอยู่ในการดูแลของ Nathan เป็นวันที่ Nathan อณุญาติให้ Jodie ออกมาใช้ชีวิตด้านนอกฐานบ้าง โดยเป็นงานวันเกิดของ Kristen ลูกสาวของเจ้าหน้าที่ในสถานวิจัยนั่นเอง ถึงแม้ Nathan จะพยายามยัดเยียดให้ Jodie ออกมาสนุกกับงานปาร์ตี้ในแบบวันรุ่นที่ควรจะเป็น แต่สำหรับ Jodie กับกำลังกังวลว่าเธอจะทำตัวยังไงดีกับการเข้าสังคมภายนอกหลังจากถูกเก็บตัวมาตั้งแต่ 9 ขวบมากกว่า Nathan ไม่รอช้า เขารีบยืนของขวัญที่เอาหนังสือที่ดีที่สุดในฐานให้ Jodie เอาไว้เป็นของขวัญให้ Kristen อย่างเสร็จสรรพ ก่อนที่ให้ Jodie เข้าไปเคาะประตูบ้านงานได้ทันที


Kristen ออกมาต้อนรับ Jodie ก่อนจะพาเข้าไปทำความรู้จักกับเพื่อนๆของเธอว่า Jodie คือ เด็กในศูนย์วิจัย Unit 14 ของ DPA ที่แม่ของเธอทำงานอยู่ ก่อนที่ Kristen จะแจกจ่ายงานให้ทุกคนทำเพื่อที่จะเริ่มปาร์ตี้วันเกิดของเธอ

- เดินเข้าไปที่เครื่องเสียงเพื่อเลือกเปิดเพลงสไตล์ต่างๆ (เลือกได้ตามสะดวกเพราะไม่ว่าจะเลือกแนวไหน ยัยแว่น ที่ยืนอยู่ข้างมันก็จะไม่พอใจจนมาเลือกเองอยู่แล้ว) จากนั้นงานปาร์ตี้ก็จะเริ่มขึ้น บรรยากาศก็สนุกเรียบง่ายในแบบวัยรุ่นทั่วๆไปแต่ไม่น่าจะใช่สำหรับ Jodie

- หลังจากเดินไปมาซักพักก็เข้าไปนั่งที่เก้าอี้กลางห้องได้เลย ไม่นานเจ้า Matt ก็จะเข้ามาหลีทันที ก็ตอบคำถาม Matt ไปตามอารมณ์ที่คุณผู้เล่นต้องการได้เลย จนเพลงช้าเริ่มเปิดเจ้า Matt จะชวนเต้นรำทันที [ส่วน Jodie จะยอมหรือไม่ยังไงและจะจบลงด้วยการเสียจูบแรกหรือเปล่าอันนี้ก็แล้วแต่คุณตัดสินใจ ]


- จากนั้นทุกคนจะเริ่มให้ Jodie แสดงพลังพิเศษให้ดูเพราะรู้จากคำบอกเล่าของ Kristen [ส่วน Jodie จะยอมหรือไม่อันนี้ก็แล้วแต่คุณตัดสินใจ ] เมื่อทุกคนเริ่มเห็น Jodie เป็นตัวประหลาดทุกคนเลยช่วยกันจับ Jodie ไปแกล้งขังเอาไว้ในห้องเก็บของเสียเลย หลังจาก Jodie พยายามดิ้นอยู่นานเธอก็จำเป็นต้องให้ Aiden ช่วยกระแทกประตูออกไปจนหนีออกมาได้


*** Notice  ****************************************************************

 หลังจบเหตุการ์ณจะให้ Jodie ใช้ Aiden แก่แค้นพวกวันรุ่นหรือเปล่าอันนี้ก็แล้วแต่คุณ  แต่แนะนำว่าอย่าไปแก้แค้นมันเลย ให้ Jodie หนีออกจากบ้านอยากเดียวก็น่าจะพอแล้ว เพราะนอกจากจะไม่ต้องทำบาปแล้วยังจะได้ Trophy - Cold Blood  แถมมาอีกด้วย

*************************************************************************



                                                First interview

กล่าวถึง Jodie ในช่วงอายุ 8 ขวบ เธอถูกแม่พามาที่สถาบัน DPA  (Department of Paranormal Activity) เพื่อขอคำปรึกษากับ Nathan หัวหน้าทีมวิจัยถึงอาการแปลกของ Jodie

- เดินตามเข้าไปในห้องเพื่อให้ Nathan สัมภาษณ์ โดยเลือกตอบคำถามที่อยากตอบได้ตามใจ [** เลือกตอบตามความจริงไปจะดีที่สุด **] Jodie ตัดสินใจบอกเรื่องราวของ Aiden แบบคร่าวกับ Nathan ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่อยู่กับเธอมาตั้งแต่จำความได้ ตัวมันเองก็มีทั้งอารมณ์หลากหลายทั้ง ขี้เล่น เกรี้ยวกราด โมโหร้าย บางครั้งเธอก็สั่งมันได้แต่บางครั้งก็ไม่  แต่สิ่งที่มันทำมาตลอดก็คือการปกป้องตัวเธอในทุกกรณีไม่ว่าเธอจะต้องการหรือไม่ก็ตาม Nathan บอกให้ Jodie ลองแสดงพลังของ Aiden ให้ดู โดยให้ Aiden ใช้พลังอัดกระแทกของที่มีจุดฟ้าขึ้นมา ทำให้ Nathan ถึงกับอึ้งในสิ่งที่เห็นมาก Nathan จะสังเกตเห็นรอยแผลมากมายบนแขน Jodie เขาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า Aiden จะทำร้าย Jodie แต่ Jodie บอกว่ารอยแผลต่างๆที่เห็นนั้นเกิดจาก สัตว์ประหลาด ที่เข้าก่อกวนเธอแทบทุกคืนต่างหาก เป็นเรื่องยากสำหรับเด็กอย่าง Jodie ที่จะพูดเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่เชื่อ นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ Jodie เป็นเด็กที่เก็บกด และที่พึ่งเดียวที่ Jodie จะพึ่งพาได้ก็มีอย่างเดียวคือ Aiden เพื่อนที่ไร้ตัวตนของเธอนั่นเอง…



                                               Welcome to the CIA

กล่าวถึง Jodie ในช่วงอายุ 17 ปี เธอถูกส่งตัวโอนจาก DPA เข้ามายังสายลับของ CIA โดยตรงและกำลังเริ่มฝึกหนักใน Camp Peary แค้มป์ฝึกของ CIA โดยการดูแลของเจ้าหน้าที่ Ryan Clayton ซึ่งคอสสำหรับฝึกสายลับของ CIA นั้นกินเวลานานต่อเนื่องถึง 3 ปีที่ Jodie ต้องฝึกหนักทั้งกายและใจ


- เรียนรู้การต่อสู้ด้วยมือเปล่า โดยการต่อสู้ของ Jodie นั้นจะใช้ระบบ Quick time Event โดยใช้แกนอนาล็อกขวา (RS) ในการโยกไปตามทิศทางต่างๆในทิศทางที่ศัตรูโจมตีเข้ามาโดยไม่มีทิศทางแสดงขึ้นมาให้เห็น โดยที่ผู้เล่นต้องสังเกตการเคลื่อนไหวและทิศทางการโจมตีของศัตรูและการแสดงออกด้วยท่าทางของ Jodie เอาเองว่าสมควรจะตั้งรับ โจมตีกลับ หรือหลบหลีก  

- เรียนรู้การใช้ปืน โดยการกด R1 ในการยิง แล้วเข้ากำบังด้วยการกด X ค้าง

- เรียนรู้พลังการรักษาของ Aiden ด้วยการ ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านค้างให้จุดสีเขียวเข้ามาใกล้กันในบริเวณที่เป็นสีเขียวตรงจุดที่บาดเจ็บ

- เรียนรู้การลอบเร้นจัดการศัตรูโดยต้องผสานกับการใช้ความสามารถของ Aiden ในการหลอกล่อศัตรู โดยมีเป้าหมายคือลอบจัดการศัตรูเข้าไปถึงที่จุดหมายตรงธงได้ให้ได้โดยไม่โดนจับให้ได้



*** Notice  ***************************************************************

การฝึกลักลอบชิงธงนั้นจะพลาดก็ได้ แต่พยายามทำให้ไม่พลาดแบบไม่ถูกจับได้เลยจะดีที่สุด เพราะนอกจากจะแสดงถึงทักษะที่ดีของผู้เล่นแล้วยังจะได้ Trophy - Stealth Apprentice แถมมาอีกด้วย

***************************************************************************


แต่หลังจาก Jodie ลอบเข้าไปจนถึงจุดหมายได้แล้วแต่ Ryan ที่ดักซุ่มอยู่ก็ออกมาเอาปืนจ่อเพื่อจะบอกถึงความอ่อนหัดของ Jodie แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียวเพราะ Jodie ก็ใช้ Aiden สิงร่างของทหารของ CIA มาจ่อยิง Ryan จากด้านหลังด้วยเช่นกัน ทำให้ Ryan ถึงกับยอมรับในความพ่ายแพ้ก่อนจะอนุมัติให้ Jodie สอบผ่านเป็นสายลับ CIA อย่างเต็มตัว …


                                                      Hunted

Jodie ในช่วงอายุ 21 ปีขณะที่หนีการไล่ล่าของ CIA เธอหลับอย่างเหนื่อยล้าบนขบวนรถไฟสายหนึ่งที่ยังไม่รู้จุดหมายปลายทาง ขณะที่ Aiden ก็ป่วนคนในรถไฟจนวุ่นวายไปหมด จนรถถึงชานชลา Aiden จะพบว่ามีตำรวจตั้งด่านคอยตรวจค้นอยู่เต็มไปหมด Aiden จึงต้องหาทางเตือนให้ Jodie ที่กำลังหลับอยู่รู้ตัวก่อนจะโดนจับ

- บังคับ Aiden กระแทกขวดน้ำตรงที่นั่งของ Jodie เพื่อปลุกเธอให้ตื่น ก่อนที่ Jodie จะหงุดหงิดใส่ Aiden เธอก็เห็นตำรวจที่กำลังขึ้นมาตรวจค้นรถเสียก่อน ทำให้เธอต้องรีบหนี ไม่ต้องห่วงไม่ว่าจะรีบลุกยังไงตำรวจมันก็จะเห็นอยู่แล้ว จากนั้นก็ต้องรีบหนีไปตามโบกี้รถไฟ



*** Notice  **************************************************************

โดยจะมีทางออกหลายทางแล้วแต่สถานะการ์ณ จะให้ Aiden ทุกกระจกหน้าต่างแล้วปีนขึ้นหลังคา หรือ ถ้าทำไม่ทันก็ต้องวิ่งไปจนสุดโบกี้แล้วเข้าไปในห้องน้ำก็จะเปิดช่องระบายอากาศได้เหมือนกันซึ่งทั้ง 2 ทางไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเรื่อง และถ้าหนีตำรวจในรถไฟโดยไม่พลาดให้ถูกจับเลยก็จะได้ Trophy - Catch me if you Canแถมมาอีกด้วย

************************************************************************


- บนหลังคา Jodie ต้องใช้ความสามารถในการต่อสู้จัดการพวกตำรวจที่ปีนตามขึ้นมาให้หมดจนสุดท้าย Jodie ก็ตัดสินใจกระโดดลงจากหลังคารถไฟโดยให้ Aiden สร้างเกราะป้องกันตัวกันกระแทกให้ (ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านค้างให้จุดสีม่วงเข้ามาใกล้กัน) Jodie โดดลงมาที่ป่าข้างทางก่อนที่จะพยายามหนีต่อก่อนที่พวกตำรวจจะตามมา

- ไม่กี่อึดใจทั้งเฮลิคอปเตอร์และตำรวจพร้อมสุนัขตำรวจก็เริ่มออกไล่ล่า Jodie พยายามวิ่งหลบกิ่งไม้เข้าไปในป่าจนถึงหน้าผา พยายามกดปุ่มที่ขึ้นมาตามให้ถูกและทันเวลาเพื่อให้ Jodie ปีนขึ้นไปแอบบนสันเขาได้ จากนั้น Jodie จะลอบเข้าไปที่ด่านตำรวจที่ถนนเธอจะเห็นรถมอเตอร์ไซด์ตำรวจจอดอยู่เหมาะในการใช้หนีเป็นอย่างมาก จากนั้นให้ Aiden เข้าสิงตำรวจให้ยิงปืนขึ้นฟ้าทำให้ตำรวจคนอื่นต้องหลบกันหมด ทำให้ Jodie มีเวลาที่จะฉวยโอกาสขโมยรถมอเตอร์ไซด์ตำรวจหนีได้



*** Notice  ***************************************************************

ในกรณีตอนที่หนีในป่าแล้วเกิดชักช้า กดปุ่มปีนเขาผิดบ่อยๆก็จะโดนตำรวจจับได้ และ Jodie ก็จะถูกคุมตัวไว่ในรถตำรวจที่ด่านตรวจกลางถนน แต่ก็สามารถให้ Aiden ช่วยจัดการตำรวจในรถจนหนีออกมาได้ จากนั้นค่อยให้ Aiden กระแทกรถตำรวจเบี่ยงเบนความสนใจตำรวจทั้งหมด แล้วเธอก็จะขโมย รถมอเตอร์ไซด์ตำรวจหนีได้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 ทางไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเรื่องแต่อย่างใด

**************************************************************************

- ขี่มอเตอร์ไซด์ด้วย R2 ในการเร่งความเร็วไปตามถนนเพื่อหนีการไล่ล่าของตำรวจจนถึงสะพานจะพบหน่วยสวาทเข้ามาปิดสะพานดักเอาไว้ก่อนแล้ว Jodie จึงให้ Aiden สร้างเกราะป้องกันตัวกันกระแทกให้ (ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านค้างให้จุดสีม่วงเข้ามาใกล้กัน) จนเธอสามารถพุ่งฝ่าดงกระสุนผ่านด่านของหน่วยสวาทไปได้

- เมื่อผ่านเข้ามาจนถึงเมือง Berker Town ก็จะพบหน่วยสวาทอีกกลุ่มที่ดักรออยู่ รถของ Jodie ถูกยิงจนล้ม Jodie ที่กำลังบาดเจ็บต้องหาที่กำบังแต่เธอก็กำลังถูกหน่วยสวาทเข้าปิดล้อมจากทุกด้าน Jodie จึงสั่ง Aiden ให้ช่วยเหลือเธอโดยการจัดการพวกหน่วยสวาทที่กำลังจะบีบเธอมาจากทุกด้าน ซึ่งในพื้นที่มีจุดฟ้ามากมายที่ให้ Aiden กระแทกทำให้พวกตำรวจปั่นป่วนเพื่อไม่ให้มันเข้ามาใกล้ Jodie ได้



*** Notice  ***************************************************************

หลักในการจัดการกับหน่วยสวาทก็คือ ไม่ต้องสนใจอะไรนอกจากบังคับ Aiden ไปที่ปั๊มน้ำมัน กระแทกปลดหัวปล่อยน้ำมันออกมาให้หมดแล้วสิงหน่วยสวาทที่มีออร่าสีส้มให้ยิงทำลายปั๊มน้ำมันจนเกิดการระเบิด จากนั้นเข้าไปสิงหน่วยสวาทที่ขับรถตู้อยู่ให้มันขับชนร้านค้า แล้วกระแทกรถให้ไปโดนพวกหน่วยสวาทให้หมด แต่พยายามหลีกเลี่ยงการสิงหน่วยสวาทที่มีออร่าแดงให้ฆ่าพวกเดียวกัน จากนั้น Jodie ก็จะพยายามหนีเข้าไปในตึก บังคับ Aiden ช่วยเธอกระแทกประตูเข้าไป แล้วออกมาสิงคนขับเฮลิคอปเตอร์ให้มันทำให้เฮลิคอปเตอร์ตกจนทำให้หน่วยสวาทบาดเจ็บกันหมด Jodie ก็จะรอดจากการไล่ล่าแล้ว

**************************************************************************


หลังเหตุการ์ณสงบลง Jodie จะออกมาจากที่ซ่อน เธอเดินเข้าไปหา Clieford หัวหน้าหน่วยสวาทที่กำลังนอนบาดเจ็บอยู่กับพื้นเพื่อบอกว่า “ ถ้าพวกแกไม่หยุดไล่ล่าพวกเราคราวหน้าฉันจะฆ่าพวกแกให้เกลี้ยง 


                                           My imaginary friend

กล่าวถึง Jodie ในช่วงอายุ 9 ขวบ ที่ต้องทนกับสิ่งที่เธอเรียกว่า สัตว์ประหลาด ที่มันมักจะบุกเข้ามาทำร้ายเธอแทบทุกคืนโดยเธอไม่เคยเห็นตัวมันเลย เรื่องที่บอกใครไปก็ไม่มีใครเชื่อทำให้ Jodie เป็นเด็กเก็บกดและไม่มีเพื่อนเลย

- ระหว่างที่นั่งรอแม่ทำอาหารมือเย็น สามารถเดินสำรวจไปมาในบ้านได้อย่างอิสระจนแม่ใช้ให้ไปเอาของในห้องเก็บของ ก็เดินเข้าไปในห้องเก็บของที่แสนจะมืด ถึงแม้ Jodie จะชินกับความแปลกประหลาดของ Aiden มาตลอดแต่สิ่งที่มาทำร้ายเธอนั้นมันน่ากลัวจนทำให้เธอสยองทุกครั้งแม้กระทั้งความมืดในห้องเก็บของ เดินเข้าไปเอาน้ำมันออกมาให้แม่ แล้วเธอจะบอกให้ Jodie ไปเล่นพลางๆไปก่อนจนกว่าแม่จะทำกับข้าวเสร็จ เดินไปหยิบชุดกันหน้าที่หน้าบ้านแล้วเปิดประตูออกหลังบ้านได้เลย

- เดินเล่นในสวนหลังบ้านที่ในวันหิมะตกจนเริ่มเซ็ง Jodie ก็เห็นกลุ่มเด็กผู้ชายกำลังเล่นปาหิมะกันอยู่ท่าทางสนุก เธอจึงให้ Aiden กระแทกรั้วให้เป็นรูจนสามารถมุดออกไปด้านนอกได้ เพื่อเล่นปาหิมะกับพวกเด็กผู้ชาย

ในขณะที่กำลังเล่นปาหิมะกำลังสนุก เจ้าพวกเด็กผู้ชายก็เพิ่งสังเกตเห็นที่มี Jodie มาเล่นด้วย ซึ่ง Jodie ในสายตาของเด็กละแวกบ้านก็ไม่ต่างอะไรกับตัวประหลาดตามที่ทุกคนร่ำลือกันตลอด พวกเด็กผู้ชายเลยเข้ามาแกล้ง Jodie จนทำให้ Aiden โกรธและเข้าไปจัดการกับพวกกลุ่มเด็กผู้ชายจนพวกมันเห็นในสิ่งที่ Jodie ทำได้มันจึงรุมด่าว่าเธอเป็นแม่มด จนพ่อเลี้ยงของ Jodie ออกมาแล้วรีบพาตัวเธอเข้าบ้านทันที ก่อนที่พ่อจะพยายามจะดุด่า Jodie จน Aiden แสดงพลังออกมาเพื่อปกป้องเธอ ทำให้ Philip และ Susan พ่อแม่บุญธรรมของ Jodie กำลังเครียดหนักถึงสิ่งแปลกประหลาดที่อยู่กับ Jodie จึงปรึกษากันว่าจะลองไปปรึกษาหน่วยงานของรัฐดูถึงเรื่องนี้

- ในคืนนั้น Jodie ก็ยังกลับไม่ได้เหมือนทุกคืน ในขณะที่ Aiden ก็ป่วนห้องไปตามประสาเพื่อนชวน Jodie เล่น แต่ขณะนั้นเอง สัตว์ประหลาดที่มองไม่เห็นตัวที่ Jodie หวาดกลัวก็เข้ามาทำร้ายเธอเหมือนทุกครั้ง จนเธอต้องร้องลั่นด้วยความกลัว จนพ่อกับแม่ต้องขึ้นมาดู แต่นั่นกลับทำให้ทั้ง Philip และ Susan หนักใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Jodie ซึ่งมันเกินกว่าจะรับมือได้แล้ว

  

                                                The Condenser

กล่าวถึง Jodie ในช่วงอายุ 17 ปีขณะที่อยู่ในการดูแลของ Nathan เธอถูกปลุกโดย Nathan ว่ามีเรื่องด่วนที่ต้องการให้เธอช่วยเหลือจึงรีบพา Jodie ขึ้นรถไปทันที Nathan ใช้เวลาในรถเพื่อเล่าเรื่องราวในสิ่งที่ต้องการให้ Jodie ช่วยเหลือว่า ตอนนี้ทาง DPA ได้เริ่มทำการทดลองลับที่เขาไม่เคยจะเห็นด้วยเลย ซึ่งพวกนักวิจัยของ DPA ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนของ CIA ทดลองที่จะเปิดประตูเข้าสู่ “Infraworld” ที่เป็นโลกในอีกมิตินึงซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่าเป็นโลกของ Aiden โดยการสร้างประตูมิติขึ้นมาโดยใช้ห้อง Condenser ขนาดใหญ่ในการสร้างมันขึ้นมา แต่ตอนนี้สิ่งมีชีวิตต่างมิติที่พวกเขาตั้งชื่อกันว่า Evil Entities ก็มีพลังมากจนเกิดควบคุม มันจึงหลั่งไหลกันออกมาจากมิติอีกด้านจนสร้างความเสียหายกับห้องทดลองของ DPA อย่างย่อยยับ และทางเดียวที่จะช่วยได้ก่อนที่ Evil Entities ที่ไม่สามารถมองได้ดวยตาเปล่าจะหลุดออกมาสร้างความวุ่นวายในโลกภายนอกมากไปกว่านี้ ซึ่งก็คงไม่พ้น Jodie และเพื่อนสุดพิเศษของเธอ Aiden เท่านั้นที่จะทำได้ แต่ Nathan ก็ไม่อยากให้ Jodie ทำเพราะกลัวว่าจะได้รับอันตราย แต่ Jodie ก็ตกลงที่จะเข้าไปจัดการเคลียร์ปัญหานี้ให้

- เข้ามาด้านในตึกส่วนหน้าที่ลิฟต์ให้ Aiden ลงไปในช่องลิฟต์แล้วกระแทกของที่กั้นลิฟต์อยู่เพื่อให้ลิฟต์ขึ้นมาชั้นบน แล้วให้ลง Jodie ลิฟต์ไปชั้นล่างต่อ ห้องวิจัยชั้นล่างนั้นเต็มไปด้วยศพมากมาย ซึ่งถ้าให้ Aiden มองแล้วจะเห็นเป็นกลุ่มควันสีเขียว ให้ Jodie เดินเข้าไปสำรวจเธอจะทำการสื่อสารกับวิญญาณเพื่อดูอดีตที่เคยเกิดขึ้นได้

[Channel power ความสามารถในการสื่อสารกับศพ โดยการเข้าไปสำรวจศพที่มีออร่าสีเขียว ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านให้จุดทั้ง 2 จุดอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ลำแสงออร่าสีเขียวไหลผ่านจากศพเข้ามาที่หัวของ Jodie ให้ได้]

Jodie จะเห็นถึงสาเหตุการเสียชีวิตของแต่ละคนอย่างชัดเจนว่าถูกโจมตีโดยพวก สิ่งมีชีวิตต่างมิติ (Entities) ที่มีสภาพเหมือนกับ Aiden

- ลงลิฟต์ต่อมายังชั้น 4 ด้านในจะเจอประตูที่ล็อกอยู่ ให้ Aiden ทะลุเข้าไปกดสวิตซ์ประตูให้เปิดได้ พยายามสำรวจศพทุกศพที่สามารถสื่อสารได้ให้หมดแล้วใช้ Aiden ผลักตู้และกระแทกช่องระบายอากาศด้านบนแล้ว Jodie จะปีนขึ้นไปห้องอีกด้านนึงได้

- Jodie เข้ามาถึงส่วนที่มีไฟไหม้ สำรวจศพนักดับเพลิงเพื่อดูอดีตก่อนตายจะรู้ว่าเขาทำถังดับเพลิงตกอยู่ด้านในกองเพลิง ให้ Aiden ข้ามไฟไปผลักถังดับเพลิงออกมาแล้ว Jodie จะใช้มันดับไฟเข้าไปด้านในต่อได้ เข้ามาจนถึงห้อง Lab 2 จะพบกับนักวิจัยที่ยังรอดชีวิตแอบอยู่ เมื่อ Jodie เข้าไปคุยมันก็โดนพวก Evil Entities เข้าสิงจนเข้ามาทำร้าย Jodie พยายามเอาตัวรอดด้วยทักษะอนาล็อกจนฆ่ามันได้

- จากนั้นผ่านห้อง Lab 2 เข้าด้านในจนถึงห้อง Lab 3 ที่เป็นช่องทางก่อนเข้าไปในห้องควบคุม ที่นี่เต็มไปด้วยศพของนักวิจัยและไอเย็นที่แผ่ออกมา สำรวจประตูจะพบว่ามันต้องใช้ key Card ในการเปิด ลองสำรวจตามศพต่างๆก็จะพบ Key Card อยู่กับศพในห้องทางขวา ขณะที่กำลังจะออกมาที่ประตู พวก Evil Entities ก็เข้าสิงศพนักวิจัยทุกศพแล้วเข้ามาโจมตี Jodie จากนั้นพยายามวิ่งหลบพวกมันออกมาที่ประตู เธอจะให้ Aiden ใช้พลังกระแทกต้านพวกมันเอาไว้จนกว่าเธอจะเปิดประตูเข้าไปด้านในได้

- เข้ามาจนถึงห้องควบคุมหลัก Jodie จะเห็นประตูมิติที่ถูก DPA สร้างขึ้นมาแต่ไม่สามารถควบคุมพลังมันได้จนพวก Entities ที่ชั่วร้ายออกมาจากอีกมิติมากมาย เมื่อกดสวิตซ์ควบคุมเพื่อปิดพลังงานหลักของประตูมิติแล้วแต่เครื่องควบคุมจะใช้การไม่ได้ แต่ Jodie จะเห็นเครื่องควบคุมอีกอันซึ่งอยู่ด้านบนของห้อง ไม่มีทางเลือกที่เธอจะต้องวิ่งผ่าพวก Entities ที่ชั่วร้ายที่อยู่เต็มห้องไปที่นั่นให้ได้ โดยจะให้ Aiden คอยคุ้มกันเธอ จากนั้นก็วิ่งเข้าไปด้านในปีนขึ้นไปตาทางจนถึงชั้นบน ระหว่าง Jodie กำลังวิ่งไปก็ต้องบังคับ Aiden ใช้พลังจัดการพวก Entities ที่ชั่วร้ายที่เข้ามาขัดขวาง Jodie ด้วย เมื่อขึ้นไปจนถึงห้องควบคุมชั้นบนได้แล้ว Jodie ก็จะทำการปิดพลังงานจนทำให้ประตูมิติดูดพวก Entities ทั้งหมดกลับไปในมิติของมันและประตูมิติก็สลายไปในที่สุด Jodie รีบตะโกนเรียก Aiden อย่างสุดเสียงเพราะกลัวว่าจะถูกดูดไปด้วย แต่ก็โชคดีที่ Aiden ยังอยู่เหมือนเดิม

*** Notice  ***************************************************************

ภายในห้องทดลองของ DPA นั้นพยายามสื่อสารกับศพทุกศพเพื่อดูสาเหตุการตายให้หมดทุกศพก็จะทำให้ได้ Trophy – Channeling Master แถมมาด้วย

**************************************************************************


Nathan เห็น Jodie เดินออกมาจากตึกอย่างปลอดภัยในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก Jodie เองก็รู้สึกเสียใจเพราะทุกเรื่องไม่ว่าจะ Entities, ประตูมิติ และ “Infraworld” ก็ล้วนแต่มีที่มามาจากเธอทั้งสิ้น เธอจึงขอร้องกับ Nathan ว่า ถ้าเป็นไปได้อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก เพราะถ้ามีการพยายามสร้างประตูมิติไปสู่  “Infraworld” จนเกิดความผิดพลาดอีก โลกของเราคงไม่มีอะไรเหลือแน่นอน …



                                                     Homeless

กล่าวถึงในช่วงเวลา หลายวันหลังจากเหตุการ์ณที่ Jodie ทำลายหน่วยสวาทที่พยายามจะจับตัวเธอจนย่อยยับ Jodie ในสภาพหมดหวัง ท้อแท้และเสียใจที่ถูก Ryan คนที่เธอรักและ CIA หลอกใช้ จนหมดอาลัยตายอยากและเหนื่อล้าจากการที่ต้องหลบหนีอยู่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เธออาศัยกินนอนอยู่ข้างถนนไม่ต่างอะไรกับพวกจรจัด พี่บ้างที่พยายามโทรหา Nathan เพื่อบอกกับคนที่เธอนับถือว่า ตอนนี้เธอเหนื่อยกับทุกอย่างเหลือเกิน สุดท้าย Jodie ก็หมดแรงล้มลงเพราะความหิวอยู่ข้างถนนท่ามกลางหิมะที่กำลังตกหนัก


- Aiden พยายามหาทางไปเรียกคนมาช่วย โดยแถวนี้จะมีแต่คนจรจัดที่กำลังคุ้นขยะอยู่ในซอย ให้ Aiden กระแทกของต่างๆรอบตัวชายจรจัดจนเขาหันมาสังเกตเห็น Jodie ที่นอนสลบอยู่

- Jodie รู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งก็พบว่าอยู่ที่ที่พักของพวกคนจรจัด โชคดีที่ชายจรจัดคนที่ Aiden ไปส่งสัญญาณให้เขามาช่วยเอาไว้ ชายจรจัดแนะนำตัวว่าเขาชื่อ Stan และอย่างน้อยที่นอนเก่าๆและกาแฟรสชาติห่วยๆของ Stan ก็ทำให้ Jodie รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย Stan อดไม่ได้ที่จะถาม Jodie ว่าเร่รอนอย่างนี้มานานหรือยัง Jodie ตอบ 3 อาทิตย์ แต่สำหรับ Stan นั้น 3 ปีเข้าไปแล้วสำหรับชีวิตคนจรอย่างเขา

- ลองเดินสำรวจดูให้รอบๆที่พักจะพบคนจรจัดที่อยู่ร่วมอยู่ที่นี่ด้วยอีก 3 คน Walter หนุ่มใหญ่ผิวสีอดีตครูโรงเรียนประถม , Jimmy หนุ่มขี้ยาที่กำลังจะลงแดงเพราะต้องการเริ่มชีวิตใหม่ และ Tuesday สาววัยรุ่นใจแตกท้องไม่มีพ่อ จากนั้นสำรวจรูปภรรยาของ Stan ตรงที่นั่ง Jodie จึงใช้พลังของ Aiden ดูอดีตการตายของเธอ จากนั้นคุยกับ Stan ในทุกหัวข้อที่ขึ้นมาเขาก็จะเล่าถึง Nancy ภรรยาที่เสียชีวิตไปเมื่อ 4 ปีก่อนซึ่งทำให้ Stan หมดอาลัยตายอยากในชีวิตจากคนทำงานบริษัทใหญ่โตจนต้องมาเป็นคนเร่ร่อนไปวันๆ ซึ่งถึงแม้ Jodie จะสื่อสารบางอย่างได้จากวิญญาณของ Nancy แต่เธอก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรออกไปจะดีกว่า

- ความสิ้นหวังยังคงรุมเร้า Jodie อยู่ไม่หายจนทำให้เธอพยายามจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาในทุกวิธีที่เธอจะนึกได้ ทั้งเอามีดเก่าๆมาพยายามเชือดมือตัวเอง จนถึงพยายามโดดลงจากสะพานเพื่อให้รถทับ แต่ก็โชคดีที่ผมไม่ยอมให้เธอทำ ซึ่งถึงแม้จะทำ Aiden มันก็ไม่ยอมอยู่ดี ..จน Stan เข้ามาชวน Jodie ให้ออกไปหาเงินมาซื้อของกินกัน Jodie จึงเก็บความเศร้าเอาไว้แล้วตาม Stan ไปทำงานก่อน

- งานของ Stan จะมีอะไรถ้าไม่ใช้นั่งขอทาน ซึ่งถ้าโชคดีก็คงพอได้เงินมายาใส้ จะต้องใช้เวลา 1 นาที 1 วันหรือ 1 อาทิตย์ถึงจะได้เงิน อันนี้ยังไม่รู้ Jodie นั่งอยู่นานเธอจึงตัดสินใจไปช่วยหาเงินทางอื่นมาสมทบด้วย


*** Notice  **************************************************************

การหาเงินนั้น Jodie มีทางเลือกอยู่หลายทางซึ่งก็มีทั้งถูกและผิดคือ
– สามารถเดินไปนั่งขอทานอีกจุด แต่ก็ไม่ได้เงิน
- เดินเข้าไปขอของกินตามร้านดิ้นเลยก็ถูกไล่ออกมาตามระเบียบ

– จะใช้ Aiden กระแทกตู้ ATM กับตู้ขายหนังสือพิมพ์ เธอก็ไม่ยอมทำ เพราะเธอไม่ใช่โจร

- หรือจะไปคุยกับชายที่อยู่อีกฝั่งของถนน ที่เขายินดีจะให้เงินถ้า Jodie ยอม Suck My Cock ให้เขา ไม่ดี ไม่เอา

- ทางที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็น เดินข้ามถนนไปอีกฝั่งที่สุดถนนจะมีศิลปินเปิดหมวกอยู่ ซึ่ง Jodie สามารถยืมกีตาร์ของเขามาร้องบรรเลงเพลงที่ออกมาจากจิตใจที่เศร้าสร้อยของเธอได้อย่าไม่มีที่ติ จนมีคนเอาเงินมาให้อย่างล้นหลาม

- จากนั้นก็เอาเงินมาให้ Stan ได้เลย และจะได้ Trophy – Money to Eat มาด้วย

************************************************************************

เมื่อเอาเงินมาให้ Stan เขาจะตกใจทันทีที่ Jodie ได้เงินมากมายและหลังจากสอบถามให้แน่ว่าไม่ได้ไปปล้นใครมา Stan ก็จะพาไปซื้อหาของมากินกัน ขณะที่ Jodie รอให้ Stan ไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่ Stan กลับกำลังถูกพวกวัยรุ่นรุมทำร้าย จน Jodie ต้องเข้าไปช่วยจัดการกับพวกมันด้วยการต่อสู้ที่ฝึกหนักมาจากค่าย CIA

จนพวกวัยรุ่น 4 คนกระเจิงไปกันหมด จากนั้นทั้งคู่จะเอาอาหารมากินแบบพร้อมหน้าพร้อมตากับเพื่อนคนจรจัดในที่พัก ซึ่งหลายคนลืมไปแล้วว่าอาหารดีๆนั้นรสชาติเป็นยังไง

- ในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งพูดคุยกันหลังกินอาหารเสร็จ Jodie ก็ตัดสินใจที่จะใช้พลังของ Aiden ในการช่วยเยียวยาร่างกายและจิตใจของเพื่อนๆคนจรจัดของเธอ Jodie จะช่วยสื่อสารให้ Tuesday รับรู้ว่าลูกในท้องของเธอนั้นแข็งแรงดี , ช่วยเยียวยาอาการเสี้ยนยาของ Jimmy จนหายดี และสุดท้าย ช่วยสื่อสารให้วิญญาณของ Nancy ภรรยาของ Stan เพื่อบอกให้เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ หางานการหางานดีๆทำ และหาคนรักและครอบครัวใหม่ได้ โดยเธอจะอยู่ข้างๆกาย Stan เสมอ ทำเอา ทุกคนดีใจกันมากโดยเฉพาะกับ Stan ที่ถึงกับหลั่งน้ำตาแล้วเข้าไปกอด Jodie เพื่อบอกเธอว่า Jodie เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของเขาโดยแท้เลย ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ Jodie ถูกชมให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากกว่าเป็นปีศาจร้ายเหมือนทุกครั้ง


- ในขณะที่ Jodie กำลังหลับอยู่ จู่ ๆ Tuesday ก็เริ่มเจ็บท้องเตรียมจะคลอดลูกทำเอาทุกคนตกใจกันยกใหญ่ โดยเฉพาะ Stan ที่จะไม่ยอมให้ทารกที่เกิดมาต้องมาเกิดข้างถนน จึงให้ทุกคนหาทางช่วย Tuesday คลอดลูกในที่ที่ดีกว่านี้ให้ได้ เขาจะให้ Jimmy ไปหาตึกเหมาะๆซักตึกส่วนเขากับ Jodie จะไปหาของเตรียมทำคลอด Jodie และ Stan เข้ามาที่หน้าซุปเปอร์มาเก็ตแต่มันปิดไปแล้ว Jodie จึงไม่มีทางเลือกที่จะใช้ Aiden ช่วย บังคับ Aiden เข้าไปในซุปเปอร์มาเก็ตแล้วทำลายกล้องวงจรปิดให้หมด แล้วกดสวิตซ์เปิดประตูให้ Stan เข้าไปเอาของจำเป็นออกมา จากนั้น Jimmy จะมาตามไปที่ตึกที่เขาหาทำเลดีๆได้แล้ว

*** Notice  ***************************************************************

ก่อนเข้าซุปเปอร์มาเก็ตให้ Aiden ทำลายกล้องวงจรปิดให้หมดก็จะทำให้ได้ Trophy – Smart Thief แถมมาด้วย

************************************************************************

- เข้ามาที่ตึกร้างที่ Jimmy หามาได้ ขึ้นไปชั้นบนจนถึงห้องที่ Tuesday นอนอยู่ ขณะที่ทุกคนก็ยังไม่รู้จะทำคลอดยังไงด้วยซ้ำ Tuesday ก็ไล่ทุกคนออกจากห้องและจะให้ Jodie เท่านั้นที่เป็นคนทำคลอดให้เธอ หลังจากทุกคนออกไปหมดแล้ว Jodie ก็เริ่มทำคลอดให้ Tuesday ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกคำพูดให้กำลังใจอะไรก็ได้ จากนั้นก็กดปุ่มตามที่ขึ้นมาก็จะสามารถทำคลอดให้ Tuesday ได้แล้ว หลังจากนั้นทุกคนจะเข้ามาแสดงความยินดีกับ Tuesdayผู้เป็นแม่ และ Jodie ในฐานะหมอตำแยมือใหม่ที่ทำผลงานออกมาได้ดีเยี่ยม สุดท้าย Tuesday ตั้งชื่อลูกของเธอว่า Zoey ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนกับค่ำคืนที่แสนเหนื่อยล้า

- ในขณะที่ทุกคนแยกย้ายไปนอนกันตามห้องต่างๆ Jodie ก็รู้สึกถึงกลุ่มควันและความร้อนที่ใกล้เข้ามาจนตื่นมาพบกับไฟที่กำลังไหม้ตึก เธอจึงรีบไปปลุก Stan ในห้องข้างๆก่อน แล้วรีบลงมาชั้นล่างใช้ Aiden กระแทกประตูช่วย Walter ออกมา จากนั้นขึ้นไปชั้นบนเพื่อช่วย Jimmy ที่ติดอยู่หลังกองไฟในห้อง ในขณะที่ Jimmy กำลังหวาดกลัว Jodie ก็เลยต้องใช้ Aiden เข้าไปสิงร่างเขาให้ยอมโดดข้ามกองไฟออกมาได้ จากนั้นปีนหน้าต่างห้อง Jimmy มาเข้าห้องของ Tuesday ที่อยู่ข้างแล้วเข้าไปช่วยเธอและลูกออกมา หลังจากส่ง Tuesday และลูกออกจากตึกได้แล้ว แต่ Jodie จะโดนไฟกั้นเอาไว้จนต้องหนีขึ้นชั้นบน วิ่งหลบตึกที่กำลังจะพังจนถึงที่หน้าต่าง แล้วให้ Aiden สร้างเกราะป้องกันให้ลองรับแรงกระแทกก่อนที่ Jodie จะตัดสินใจโดดหนีจากตึกจากชั้น 3 ลงมาอย่างปลอดภัย

- ท่ามกลางความงงของทุกคนที่ Jodie สามารถช่วยทุกคนออกมาได้อย่างด้วยพลังแปลกๆ ในขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยว่าใครเป็นคนลอบวางเพลิง พวกกลุ่มวัยรุ่นที่ถูก Jodie อัดกระเจิงไปก็เข้ามาแก้แค้น พวกมันเข้ามาฟาดหัว Jodie อย่างแรงโดยที่เธอยังไม่ทันระวังตัว ก่อนที่พวกมันจะหนีไปแล้วทิ้ง Jodie ให้นอนจมกองเลือดทามกลางความตกใจของเพื่อจรจัดของเธอ


ระหว่างความฝันและความทรงจำ Jodie เห็นภาพผู้หญิงคนนึงกำลังคลอดเด็กออกมาแต่เด็กถูกพาตัวหนีไป ทำให้แม่เสียใจและตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ..ก่อนที่ Jodie จะตื่นขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งนึงกับรอยแผลที่หลังหัวที่ถูกเย็บแผลแล้ว เธอพยายามลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปดูนอกห้องก็พบพวก CIA กำลังเข้ามาสอบถามกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบบาล เธอจึงตัดสินใจโดดหนีออกจากโรงพยาบาลทางหน้าต่างทันที

Jodie กำลังเดินอย่างเหนื่อยล้าบนถนน ในขณะที่รถของนายอำเภอ Sherman ก็แล่นผ่านมา Sherman จึงลงมาสอบถามและพาตัวไปที่สถานีตำรวจ โดยไม่รู้เลยว่าเขากำลังพาโศกนาฎกรรมที่เลวร้ายที่สุดไปสู่ที่ทำงานของเขาแล้ว… 


                                                     First Night

หลังจากเหตุการ์ณประหลาดที่เกิดขึ้นรอบๆตัว Jodie ได้สร้างความสยองจนเป็นขี้ปากชาวบ้านไม่ซ้ำแต่ละวัน Philip และ Susan พ่อแม่บุญธรรมของ Jodie ก็ตัดสินใจพา Jodie วัย 9 ขวบเข้าไปปรึกษากับ Nathan ในสถานวิจัย DPA ของ CIA เพื่อตรวจสอบ โดยต้องให้พักค้างคืนที่ห้องวิจัย ซึ่งก็นับเป็นคืนแรกที่ Jodie ต้องนอนในสถานที่ที่ไม่ใช่ห้องนอนในบ้าน ห้องที่ Jodie ไม่คุ้นเคยและเธอไม่รู้เลยว่าห้องนี้จะเป็นห้องของเธอไปอีกนานแสนนาน

- คืนแรกของ Jodie ในสถานวิจัยนั้นไม่ได้น่ากังวลอะไรมากไปกว่าตัวประหลาดที่ชอบมาทำร้ายเธออยู่ทุกค่ำคืนแน่นอนและเธอก็หวังว่าที่มันคงไม่ตามมาด้วย เดินไปหยิบตุ๊กตาในกระเป๋าแล้วกลับมานอน เสียงของ Cole บอกว่ากำลังจะปิดไฟห้องแล้ว Jodie ขอร้องให้เปิดไฟห้องข้างเอาไว้เผื่อมันจะหายกลัวได้บ้าง  แต่ความกังวัลของ Jodie ก็ไม่ได้ลดลงเลยเธอยังคงนอนพลิกไปมาแทบหลับไม่ลง จน Aiden ต้องพยายามช่วย โดยเปลี่ยนไปบังคับ Aiden ควบคุมไฟฉายแล้วชี้ไปที่เพดานห้อง Aiden ก็จะเล่านิทานในรูปแบบเงาต่างๆให้ Jodie ดูจนเธอเริ่มเพลินและหลับไปได้ในที่สุด แต่หลังจาก Jodie น้อยหลับไปได้ไม่นาน ความน่าสะพรึงกลัวก็เกิดอีกเหมือนเดิม พวก Entities สัตว์ประหลาดจากต่างมิติตามเข้ามาโจมตี Jodie ถึงในห้องนอนของสถานวิจัยไม่ต่างอะไรกับที่บ้านเลย บัง Aiden ให้ออกไปตาม Cole มาช่วยโดยการเตือนให้เขาดูจอมอนิเตอร์ จากนั้นกลับมาช่วย Jodie จัดการพวก Entities ในห้องให้หมดแล้ว Nathan กับ Cole จะพังประตูมาช่วยได้ทัน

..สภาพของ Jodie เต็มไปด้วยรอยแผลและคราบน้ำตา สัตว์ร้ายที่ทองไม่เห็นศัตรูที่หนูน้อยวัย 9 ขวบต้องเผชิญมาตลอดหลายปี ทั้งหมดที่ Nathan เห็นเขารู้ทันทีการจะช่วยเหลือ Jodie เป็นเรื่องไม่ง่ายแน่นอน 


                                              Like Other Girl

กล่าวถึงในช่วงเวลาในวัย 16 ปีของ Jodie เธอเองก็อยากเป็นตัวของตัวเองและต้องการความเป็นอิสระเหมือนวัยรุ่นทั่วไป Jodie พยายามขอร้องกับ Nathan เพื่อขอให้อณุญาติให้เธอออกไปงานเลี้ยงกับเพื่อนที่บาร์ที่เพื่อนๆนัดกันเอาไว้ แต่ Nathan ไม่ยอมให้ไปด้วยความเป็นห่วงและเกรงว่าจะเกิดอันตรายจากตัวเธอเองและจากคนอื่นเพราะเธอไม่เหมือนคนปกติ Jodie พยายามเถียงด้วยทุกทางก็ไม่สามารถทำให้ Nathan ใจอ่อนได้ เธอจึงกลับเข้าห้องด้วยความหงุดหงิด

- Jodie เดินหงุดหงิดอยู่ในห้องไปมา จะใช้ Aiden กระแทกสิ่งของระบายอารมณ์ก็ได้ จากนั้นใช้ Aiden ออกไปหา Cole ที่คุมอยู่หน้าห้องแล้วเข้าสิง Cole ให้มาเปิดประตูให้ Jodie แล้วให้นำทางเธอออกจากตึก ที่หน้าทางออกจะพบยามที่คอยดูแลอยู่ พยายามตอบคำถามไปให้เนียนๆเข้าไว้ แต่เพราะเขาเห็นมี Cole อยู่ด้วยถึงแม้จะดูแปลกไปหน่อยแต่ยามก็ยอมให้ทั้งคู่ออกไปจากตึก Cole จะขึ้นไปขับรถให้ แล้วให้ Jodie ไปเปิดท้ายรถเพื่อเข้าไปซ่อนในนั้นเพื่อตบตายามที่อยู่หน้าทางออกด้านหน้าด้วย ซึ่งจะทำให้ Aiden สามารถบังคับ Cole ขับรถผ่านออกไปได้อย่างไม่มีใครสงสัย

- เมื่อขับรถมาถึงกลางทาง Jodie จะให้ Aiden บังคับ Cole ไปซ่อนในป่าก่อนแล้วค่อยตามมากับเธอเพื่อเข้าไปที่บาร์ต่อ เข้าไปที่บาร์ Red House แต่ด้านในกลับไม่มีเพื่อนของ Jodie มาเลยซักคน มีแต่พวกขี้เมาอยู่เต็มไปหมด แต่ Jodie ก็ตัดสินใจดีสู้เสือ รอซักพักก่อน ก่อนที่เจ้าของบาร์จะมาถามอายุก่อนจะรับออร์เดอร์ที่ Jodie สั่งน้ำมะนาวไป (แต่ตอนมันมาเสิร์ฟให้ก็ไม่ต้องไปยกขึ้นดื่มแล้วกันเพราะดูไม่น่าไว้วางใจจริงๆ) ลองเดินเข้าห้องน้ำซักพัก Jodie จะเริ่มกังวลกลัวว่า Nathan จะด่าขึ้นมาแล้ว ลองบังคับ Aiden ออกไปฟังพวกขี้เมามันคุยกันจะได้ยินมันคุยกันถึงเรื่อง Jodie แบบลามกในแบบผู้ชายทั่วไป เมื่อ Jodie ออกมาจากห้องน้ำแล้วเข้าไปสำรวจโต๊ะสนุ๊กเล่นแก้เซ็ง เจ้าพวกขี้เมาเตรียมเข้ามาหลีเพื่อขอเล่นด้วยทันที ไม่ว่าจะปฏิเสธหรือยินดี พวกมันก็ยังจะหน้าด้านมาเล่นด้วยอยู่ดี และซักพักก็จะเริ่มเข้าลวนลาม Jodie จนถึงกับจะปล้ำบนโต๊ะสนุ๊กกันเลย Aiden ที่รอเวลาอยู่ก็เข้าช่วยทันที พยายามบังคับ Aiden กระแทกทุกอย่างที่ทำได้จนพวกขี้เมาเริ่มกลัวแล้วพยายามจะหนีออกจากที่นี่


*** Notic **************************************************************

ตอนนี้ถ้ายังไม่หายแค้นจะใช้ Aiden สิงเจ้าของบาร์หยิบปืนมายิงเจ้าขี้เมาอีก 2 คนให้ตายไปเลยก็ได้ แต่อย่าไปทำมันเลยรอให้มันพยายามพังประตูกันซักพักเดี๋ยวมันก็หนีไปเอง แค่นี้ก็ขี้หดตดหายกันไปอีกนานแล้ว

***************************************************************************


ไม่นาน Nathan, Cole และเจ้าหน้าที่ของศูนย์ก็จะตามเข้ามาช่วยทัน Jodie ที่เคยเก่งก่อนหน้านี้ร้องไห้หมดสภาพด้วยความกลัวในสิ่งที่เธอได้เจอในโลกภายนอก ซึ่ง Nathan และ Cole ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเลยแม้แต่น้อยและทั้งหมดก็เป็นการบอกได้ดีว่า ทำไมผู้ปกครองทุกคนถึงห่วงลูกห่วงหลานมากนักเวลาออกไปนอกบ้านดึกๆ และ มันก็จะทำให้ Jodie จำไปอีกนานแสนนาน ซึ่งมันก็ทำให้ Aiden เอาเหตุการ์ณนี้ไว้เป็นมาตฐานของผู้ชายทุกคนรอบๆตัว Jodie ด้วยเหมือนกัน


Alone
Jodie ในวัย 9 ขวบหลังจากเหตุการ์ณสุดระทึกในคืนแรกที่เธอมานอนค้างคืนที่ DPA เพื่อตรวจสอบ Nathan ก็ตกลงใจจะช่วยเหลือเพื่อหาคำตอบกับอะไรก็ตามที่อยู่รอบตัวหนูน้อย Jodie ซึ่งนั่นแปลว่า Jodie ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน

- Philip และ Susan พ่อแม่บุญธรรมของ Jodie เอาของใช้ส่วนตัวของเธอมาให้และเพื่อมาร่ำลาครั้งสุดท้าย ในขณะที่ในใจของ Jodie ตอนนี้มันเย็นชาไร้ความรู้สึกเกินกว่าที่จะเสียใจแล้ว ขณะที่ Susan ยังคงมีเยื้อใยที่เลี้ยง Jodie มาตั้งแต่เด็ก แต่ทางด้าน Philip กลับหวาดกลัวและพยายามกำจัด Jodie ไปให้พ้นๆตัวก็พอ สังเกตได้จากที่เขาพยายามเร่งให้ Susan ร่ำลากันเร็วๆอยู่ตลอด ก่อนที่ทั้งคู่จะออกจากห้อง


*** Notice ****************************************************************

ตอนที่ที่ทั้งคู่จะออกจากห้องสามารถเลือกได้ว่าจะให้ Aiden จัดการ Philip พ่อบุญธรรมเฮงซวยด้วยหรือเปล่า ซึ่งมันไม่ได้ส่งผลต่อเนื้อเรื่องแต่จะส่งผลต่อความรู้สึกของ Jodie และ Trophy ที่คุณจะได้รับ  

- โดยถ้าเลือกให้ Aiden เข้าไปรัดคอ Philip จนเกือบตาย Philip ก็จะด่าว่า Jodie เป็นปีศาจต่างๆนานา ซึ่งก็จะทำให้ Jodie ร้องไห้น้ำตานองหน้า แต่ก็จะได้ Trophy Not My Father มาด้วย

- แต่ถ้ายอมปล่อยให้ Philip เดินออกไปโดยไม่ทำอะไรเลยก็จะไม่โดนด่าให้เสียความรู้สึก และจะได้ Trophy Sorry มาด้วย

*************************************************************************


                                                        Navajo

กล่าวถึงในช่วงเวลาในวัย 17 ปีของ Jodie หลังจัดการถล่มทีมสวาทที่ริอาจมาไล่ล่าเธอจนราบคาบ Jodie ก็เดินทางต่ออย่างไร้จุดหมายไปตามเส้นทางที่แสนทุรกันดารในแถบเท็กซัส เดินโบกรถไปเรื่อยๆก็ไม่ใครสนใจจะจอดรับจน Jodie เริ่มจะหมดแรงเพราะความร้อน Aiden จึงพยายามบอกให้ Jodie เห็นโรงนาของฟาร์มแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งน่าจะพอที่จะใช้เป็นที่พักสำหรับคืนนี้ได้ ถ้าเจ้าของบ้านเขายอมอ่ะน๊ะ 

- Jodie ตรงเข้าไปเคาะประตูบ้านในฟาร์มทันที ชายหนุ่มชนเผ่าพื้นเมืองออกมาดู แต่ไม่ยินยอมให้ Jodie เข้ามาพักถึงแม้เธอจะพยายามขอร้องไปแล้วก็ตาม จนชายแก่ที่เป็นพ่อออกมาดูและตกลงที่จะให้ Jodie พักที่นี่ได้ ซึ่ง Jodie ก็บอกว่าจะรีบไปทันทีเมื่อถึงเช้า หลังจากร่วมกินข้าวเย็นกันแล้ว Jodie ก็ได้มีโอกาสทำความรู้จักครอบครัวชาวอินเดียนแดงเผ่า นาวาโฮ่ คือ Paul เป็นหัวหน้าครอบครัวและพ่อของ Jay พี่ชายคนโตสุดหล่อและ Cory น้อยชายคนเล็กที่กำลังป้อนข้าวย่า Shimasani ที่ไม่ยอมพูดเลยมาหลายปีแล้ว หลังพูดคุยทำความรู้จักกันเสร็จก็เกิดพายุทรายที่พัดเข้ามาพร้อมกับเสียงโหยหวนที่สุดจะน่ากลัว ทำให้ทุกคนลุกขึ้นปิดหน้าต่างและแยกย้ายกันไปนอนทันที โดย Paul จะกำชับกับ Jodie ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็อย่าออกมาจากห้องเด็ดขาด

- ถึงแม้ Jodie จะเข้าห้องเตรียมนอนแล้ว แต่สิ่งที่ Paul พูดก็เหมือนยิ่งห้ามก็ยิ่งยุ ว่าเสียงน่ากลัวที่อยู่นอกบ้านตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ จนสุดท้าย Jodie ก็เผลอหลับไป จนตื่นมาอีกครั้งด้วยฝันร้ายที่เห็นนิมิตรไม่ดีเกี่ยวกับพื้นที่นี้ สำรวจประตูมันจะเปิดไม่ได้ ให้ Aiden กระแทกเปิดออกไป และเมื่อ Jodie พยายามเปิดประตูหน้าบ้านออกไปเธอก็จะพบกับวิญญาณชนเผ่าเข้ามาขวาง จนทำให้ตกใจมากแต่ก็โชคดีที่ทุกคนออกมาช่วยเอาไว้

- ตอนเช้า ไม่มีใครยอมพูดอะไรถึงเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแม้แต่นิดเดียว Jodie แต่งตัวเสร็จเดินออกมาคุยกับ Paul และดื่มกาแฟก่อนออกเดินทางต่อ แต่ไม่รู้โชคชะตาหรืออะไรดลใจ Paul ก็ตัดสินใจชวนให้ Jodie ทำงานกับเขาต่อก่อนถ้าเธอต้องการ ซึ่งแน่นอนว่า Jodie ไม่ปฏิเสธแน่นอน หลังจาก Paul ให้ Jodie ไปเปลี่ยนชุดเป็น Cow Girl เรียบร้อยแล้ว Paul ก็ใช้งาน Jodie ทันที เริ่มจักไปโยกน้ำบาดาลแล้วยกไปให้แกในคอก , เข้าไปที่โรงนาเพื่อยกฟางลงมา (ให้ Aiden กระแทกให้ตกลงมา) ที่นี่ Jodie ก็เห็นวิญญาณของชนเผ่าอีกครั้ง (ถ้าลองสำรวจที่โต๊ะจะมีบันทึกโบราณอยู่ซึ่งจะมีรูปของพวกชนเผ่าโบราณเหมือนกับที่ Jodie เห็นอยู่ด้วย)หลังจากเอาฟางไปให้แพะในคอกแล้ว Paul ก็จะให้ Jodie ไปพักกินข้าวกับลูกๆของเขา

- Jodie เข้าไปนั่งกินอาหารกลางวันพร้อมกับ Jay และ Cory ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ก็เริ่มคุยดีกับ Jodie แล้ว แต่ยังไงพวกเขาก็ยังเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงเหตุการ์ณแปลกๆตอนกลางคืนทุกครั้งที่ Jodie พยายามถามอยู่ดี หลังกินข้าวเสร็จก็เดินไปช่วยงาน Jay ที่คอกม้า เขาพยายามจะเอาม้าเข้าคอกแต่มันกับพยศจน jay เริ่มหมดทางสู้ Jodie เลยขอลองดูบ้าง เธอจะค่อยๆเข้าไปลุกหัวมันแล้วให้ Aiden เข้าไปสิงม้าแล้วบังคับม้าให้เดินเข้าคอกได้เลย ทำเอา jay ถึงกับตกใจที่ Jodie สามารถทำได้อย่างง่ายดาย หลังจากช่วยงานทุกคนเสร็จ Paul ก็จะให้ Jodie ไปอาบน้ำได้ เมื่อ Jodie เดินเข้าไปเตรียมตัวอาบน้ำเธอก็ได้พบกับวิญญาณชนเผ่าอีกครั้งและมันพยายามจะบอกใบ้บางอย่างกับ Jodie ด้วยตัวอักษรที่พนังห้องน้ำ แต่มันเลือนรางเกินกว่าที่เธอจะอ่านเข้าใจ

- หลังมือเย็นในคืนที่ 2 ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานหลังมือค่ำ เสียงหัวเราะของทุกคนก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อพายุที่พัดมาพร้อมกับเสียงประหลาดที่น่ากลัวก็เข้ามาอีกครั้ง ทุกคนในบ้านก็ทำเหมือนปกติ ปิดหน้าต่างแล้วเข้าห้องขังตัวเองในห้องนอน เป็นอีกครั้งที่ Jodie พยายามจะถามในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ Paul ก็ยังยืนยันคำเดิมที่จะให้ Jodie ไปเข้าห้องนอนเงียบๆ หลังจากทุกคนเข้าห้องหมดแล้ว Jodie ไม่รอที่จะสงสัยอีกแล้วเธอตัดสินใจเปิดออกไปนอกบ้านทันที เธอแอบดูที่ต้นไม้จะเห็นพายุที่กำลังพัดมาพร้อมกับเงาของวิญญาณร้ายขนาดใหญ่เหนือหลังคาบ้าน และไม่ว่าคนที่นี่จะเรียกมันว่าอะไรแต่ Jodie เธอรู้จักมันดีในนาม Entities วิญญาณร้ายจากต่างมิตินั่นเอง และ Jodie ก็เริ่มเห็นวิญญาณบรรพบุรุษทั้ง 5 ตนออกมาปกป้องบ้าเอาไว้ ซึ่งเป็นวิญญาณตัวเดียวกับที่พยายามสื่อสานกับเธอมาตลอด จากนั้นมันจะเริ่มเข้ามาโจมตี Jodie พยายามวิ่งหลบไปมาให้มันจนสุดท้าย Jodie ก็โดนมันจับได้ แต่ Aiden ก็จะใช้พลังบาเรียปกป้อง Jodie เอาไว้ได้จนวิญญาณร้ายหนีไป 

- หลังจากทุกคนในบ้านออกมาดูช่วย Jodie Paul ก็จำเป็นต้องยอมรับว่าสิ่งที่เห็นคือวิญญาณร้ายที่พวกเขาเรียกว่า “Yelitsoh “ เป็นคำสาปโบราณที่กินวิญญาณของผู้คนมาช้านาน และไม่มีใครที่จะต่อกรกับวิญญาณได้ พวกเขาจึงเลือกที่จะหลบซ่อน แต่สำหรับ Jodie เธอรู้ดีว่าสิ่งนี้ไม่ใช้ภูติผี และเธอก็รู้ดีอีกว่าเธอจัดการมันได้แน่นอน 

- เช้าอีกวัน Jodie ออกไปที่คอกม้าจะสามารถขี่ม้าที่เธอฝึกมันได้แล้ว และ Jay ก็จะชวน Jodie ขี่ม้าไปเลี้ยงแกะด้วยกัน จากนั้นก็ขี่ม้าตาม Jay ไปตามทางจนถึงฝูงแกะ ทั้งคูเลยมีเวลาคุยกันเป็นส่วนตัวกัน 2 คนเป็นครั้งแรก Jodie พยายามจะถามถึง “Yelitsoh “ กับ Jay ซึ่งเขาก็ตอบเหมือนกับพ่อของเขาว่ามันเป็นคำสาปโบราณและพ่อเขาเชื่อว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ 5 ตนที่คอยคุ้มกันบ้านอยู่ด้วย จากนั้น Jay จะถาม Jodie เป็นการแลกเปลี่ยนบ้างว่า ที่เธอเดินทางมาจนถึงที่ที่แสนทุระกันดารแบบนี้เพราะอะไร แต่ Jodie ก็ตอบได้แค่เธอพยายามที่จะ หนีตัวเองให้พ้น เท่านั้นเอง จากนั้น Paul จะวิทยุมาให้ jay ไปซ่อมปั๊มน้ำ ซึ่ง Jodie ก็จะขอรับอาสาไปทำเอง จากนั้นขี่ม้าต่อไปอีกไม่ไกลก็จะถึงกังหันลม ให้ Aiden ขึ้นไปกระแทกสิ่งที่ติดอยู่บนใบพัดออกกังหันของปั๊มน้ำก็จะใช้ได้เหมือนเดิม แต่ขณะที่เธอกำลังจะขึ้นมากลับก็เหลือบไปเห็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยืนบอกใบ้บางอย่างที่กระท่อมร้าง เธอจึงรีบตอบไปดู เมื่อเข้าไปในกระทำสำรวจแล้วออกมา Jodie จะอยู่ในหมู่บ้านอินเดียนแดงโบราณ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จะออกมาเขียนบางอย่างบนพื้น และเมื่อกลับมาในที่เดิม Jodie ก็เห็นที่พื้นทรายเขียนเอาไว้ว่า “ CROWN “ พร้อมกับลูกศรชี้บอกทางให้ไปต่อ

- Jodie ขี่ม้าไปตามทางต่อ ลอดอุโมงค์ข้ามไปอีกฝั่งของพื้นที่ เข้ามาถึงบริเวณซากป้อมโบราณ ให้ Aiden มองดูจะพบจุดที่มีควันสีเขียวมากมายซึ่งก็คือหลุ่มศพและสิ่งของๆทหารโบราณนั่นเอง จากนั้นให้ Aiden ทำการสื่อสารกับศพเพื่อดูอดีตการตาย [Channel power ความสามารถในการสื่อสาร โดยการเข้าไปสำรวจที่ที่มีออร่าสีเขียว ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านให้จุดทั้ง 2 จุดอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ลำแสงออร่าสีเขียวหักเหแล้วไหลผ่านจากสิ่งนั้นๆเข้ามาที่หัวของ Jodie] สื่อสารกับศพทหารโบราณให้หมดทุกจุดก็จะพบว่าพวกเขาโดน Entities เข้ามาโจมตีจนตายกันหมด จากนั้นขี่ม้าต่อไปยังจุดทำพิธีของเผ่านาวาโฮ่ ให้ Aiden มองดูจะพบจุดที่มีควันสีเขียวขึ้นอยู่ 4 จุดของวงเวทย์โบราณ หลังจากที่ Jodie ทำการสื่อสารกับจุดทำพิธีบนวงเวทย์โบราณจนครบแล้วเธอก็จะขุดได้ชิ้นส่วนของเครื่องรางมา 4 ชิ้นจาก 5 จุด ทำให้ Jodie สงสัยว่าทำไมเครื่องรางหายไป 1 อัน จากนั้นทำการสื่อสารดูอดีตจากเครื่องราง Jodie จะเห็นภาพนิมิตรที่ หมอผีของชนเผ่าทั้ง 5 คนกำลังทำพิธีจนไปเปิดประตูมิติขึ้นมาโดยบังเอิญจนพวก Entities หลุดออกมาฆ่าทุกคนจนหมด จนหมอผีที่เหลือสั่งให้เอาตัวทารกไปที่เป็นผู้สืบทอดหนีออกจากที่นี่

- หลังจากรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว Jodie จึงตัดสินใจที่จะไปถามความจริงกับ Paul อีกครั้ง แต่ขณะที่กำลังขี่ม้ากลับฟาร์มก็พบว่าพายุใหญ่กำลังจะพัดมาซึ่งพายุที่ว่ามันก็คือฝูง Entities นั่นเอง Jodie รีบขี่ม้ากลับมาที่ฟาร์มแต่จะพบว่า Paul ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในขณะที่พายุพัดเข้ามาถึงพอดี Jay พยายามบอกให้ Jodie หนีไปหลบในบ้านเหมือนทุกครั้ง แต่ Jodie กำลังจะหาทางหยุดยั้งมันต่างหาก Jodie เข้าไปคุยกับย่า Shimasani ก็สังเกตเห็นผ้าที่อยู่บนตักย่าเหมือนกับผ้าที่ห่อเด็กทารกที่เป็นผู้สืบทอด เธอจึงใช้ Aiden สื่อสารกับย่าจนเธอยอมพูดออกมาว่าเธอคือทารกผู้สืบทอดคนนั้น และให้เครื่องรางชิ้นที่ 5 กับ Jodie จากนั้นเธอจะให้ Aiden สื่อสารกับเครื่องรางทั้ง 5 ก็จะเห็นภาพนิมิตรของพิธีกรรมเปิดประตูมิติอย่างชัดเจน ซึ่ง Jodie ก็มีแผนที่จะทำพิธีอีกครั้งเพื่อเปิดประตูมิติเพื่อดูด Entities ที่ชั่วร้ายกลับไปที่ของมัน

- Jodie ออกมาด้านนอกท่ามกลางพายุ เตรียมเอาขอบไม้มาวาง เอาน้ำมันมาราดและจุดไฟเตรียมเอาไว้ จากนั้นเอาท่อนเหล็กที่วางข้างบ้านมาวาดวงเวทย์โบราณตามที่เธอเห็นในภาพนิมิตร (เลือกกด X ) จากนั้น Jodie จะให้ทุกคนเข้ามายืนประจำจุดในวงเวทย์พร้อมถือเครื่องรางเอาไว้ ซึ่งมันจะไม่ครบ 5 คนเพราะ Paul บาดเจ็บอยู่ Jodie จึงคิดได้ที่จะให้ Aiden เป็นคนถือเครื่องรางจุดที่ 5 จากนั้น คุณย่า Shimasani ก็จะออกมาท่องคาถา จนสามารถเปิดประตูมิติได้อีกครั้ง Entities ที่ชั่วร้ายถูกดูดเข้ามาอย่างแรง มันก็พยายามดิ้นอย่างสุดฤทธิ์ Jodie พยายามหลบอย่างเต็มที่ ก่อนที่ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 5 ก็จะออกมาช่วย สุดท้าย Jodie จะให้ Aiden อัดกระแทก Entities จนกระเด็นเข้าไปในประตูมิติอีกครั้งได้สำเร็จ พายุร้ายก็หายไปในทันที แต่ทุกคนก็ต้องสุญเสีย Paul และ คุณย่า Shimasani ไปด้วยเช่นกัน

- หลังจบเหตุการ์ณที่เลวร้ายแล้ว Jay และ Cory ก็จะพา Jodie ไปฝังศพ Paul กับ คุณย่า Shimasani ที่สุสานโบราณของเผ่า หลังจากทุกคนไปแล้ว Jodie จะเห็นวิญญาณศักดิ์สิทธ์บอกใบ้อีกครั้งบนเนินพิธี Jodie จึงตัดสินใจปีนขึ้นไปบนเนิน ในถ้ำด้านบนจะเต็มไปด้วยภาพวาดโบราณ และที่ Jodie ต้องตะลึงก็คือเธอเห็นภาพวาดโบราณถึงคนที่มีสายใยเชื่อมต่อกับวิญาณเหมือนกับเธอด้วยเช่นกัน …

- ที่ฟาร์ม Cory เอารถมอเตอร์ไซด์เก่าๆที่พอขี่ได้ให้กับ Jodie ในการเดินทางต่อ ไม่ได้เลิศหรูแต่ก็ดีกว่าเดิน Jodie ร่ำลากับ Jay และ Cory เป็นครั้งสุดท้าย (ถ้ารักถ้าชอบ Jay ก็เลือกจูบไปได้เลย) เป็นอีกครั้งที่ Jodie ต้องตัดใจลาจากสิ่งที่ดีๆรอบตัวเธอเพื่อเดินทางเผชิญชะตากรรมที่ดำมืดและค้นหาตัวตนของเธอต่อไป ….


                                                                Separation

หลังจาก Jodie ได้ช่วยหยุดหายะนะจากประตูมิติของ Condenser ที่ทาง DPA สร้างเอาไว้ได้สำเร็จ Nathan ก็พยายามส่งเสริมให้ Jodie พัฒนาพลังของ Aiden ให้เพิ่มขึ้นอีกโดยเฉพาะ Channel power พลังในการสื่อสารกับสิ่งของเพื่อดูอดีต โดยจะให้ Jodie ทดสอบกับสิ่งของหลาย 3 อย่าง ให้เลือกเอากล่องดนตรีอันด้านซ้ายสุด แล้ว ใช้พลัง Channel power [โดยการเข้าไปสำรวจที่ที่มีออร่าสีเขียว ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านให้จุดทั้ง 2 จุดอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ลำแสงออร่าสีเขียวหักเหแล้วไหลผ่านจากสิ่งนั้นๆเข้ามาที่หัวของ Jodie] ทำให้ Jodie เห็นภาพว่าเป็นของ Laura ลูกสาวของ Nathan ที่ตายไป ก็ยิ่งทำให้ เมื่อ Jodie บอกกับ Nathan ใครเลยจะรู้ว่าวันทำให้ Nathan สนใจในพลังที่ทำให้สื่อสารกับวิญญาณของคนตายของ Jodie มากขึ้นไปอีก จากนั้น Cole จะแจ้งว่ามีคนของ CIA มาขอพบ Nathan ออกไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ Ryan Clayton จาก CIA ที่มาขอรับตัว Jodie เนื่องจากเห็นถึงพลังของ Aiden ในเหตุวิกฤต Condenser ของ DPA Nathan เองก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะ DPA นั้นขึ้นตรงกับ CIA จึงเรียก Jodie ออกไปคุยด้วย ทันที่เธอรับรู้ว่า Nathan จะส่งต่อเธอให้กับ CIA Jodie จะเริ่มออกอาการทันที (ไม่ว่าจะเลือกตอบให้เธอโกรธ โมโห หรือ ออดอ้อนแค่ไหน ยังไงก็ไม่ได้ผล) แต่หลังจากที่เธอพยายามพูดจนถึงที่สุดแล้ว เธอก็จำเป็นต้องยอมไปด้วยความเสียใจ)

- Jodie จะเข้าไปเก็บของในห้อง (สามารถให้ Aiden อัดกระแทกสิ่งของต่างๆเพื่อระบายอารมณ์ให้ Jodie ได้ด้วยถ้าคุณอยากทำ) จากนั้นจะเอากระเป๋าไปเก็บของในตู้เสื้อผ้าและในห้องน้ำให้หมด ส่วนของอื่นๆจะเอาไปหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ มี รูปที่ถ่ายคู่กับ Nathan กับ Cole บนโต๊ะ , รูปพ่อแม่บุญธรรมบนโต๊ะ (สมควรฉีกทิ้งก็ดีน๊ะ) , ตุ๊กตาตัวโปรดบนเตียง และ รูป Aiden ที่เธอวาดตอนเด็ก จากนั้นก็ขนกระเป๋าออกจากห้องได้เลย


                                           The Dinner

กล่าวถึง Jodie ในวัย 22 หลังจากผ่านงานแรกในการล้วงข้อมูลลับร่วมกับ Ryan ที่งานเลี้ยงในฐานะสายลับ CIA จากวันนั้นอีกหลายเดือนที่ Jodie ที่เริ่มเติบโตขึ้น มีห้องของตัวเองเป็นครั้งแรก รวมถึงความสัมพันธ์กับ Ryan ที่เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเพื่อนร่วมงานปกติอีกด้วย

- Jodie ขณะนั่งดู TV อย่างเซ็งๆในห้องของเธอ ทันทีที่สายเรียกจากโทรศัพท์เขาบอกว่าเป็นของ Ryan เธอก็เริ่มเปลี่ยนท่าที่เป็นดีใจทันที Ryan โทรมาทวงถามถึงนัดกินดินเนอร์ที่เขาส่งเมลมานัดเมื่อ 3 วันก่อน ทำเอา Jodie ถึงกับตกใจแล้วมองไปที่คอมของเธอที่ปิดอยู่ Jodie จึงรีบขอโทษที่ไม่ได้ดูเมลในคอมเลยเธอจึงขอนัด Ryan มากินมื้อเย็นที่ห้องเธอคืนนี้แทน ซึ่ง Ryan ก็ตกลงทันทีโดยเขาจะเข้ามาตอน 2 ทุ่มตรง จากนั้น Jodie จะเริ่มบ่นกับ Aiden ทันทีที่พยายามขัดขวางโดยการลบเมลของเธอ Aiden พยายามสื่อสารมาว่าเขากลัวจะเกิดเหตุร้ายเหมือนในบาร์เมื่อตอน Jodie เป็นวัยรุ่นอีก ซึ่ง Jodie ก็พยายามบอกว่า Ryan เป็นคนดีและแตกต่างจากคนอื่น และที่สำคัญ Jodie เองก็ชอบเขาอยู่เหมือนกัน ไม่มีเวลาที่จะเถียงแล้วเพราะ Ryan จะมาในอีก 1 ช.ม เธอจะต้องรีบไปเตรียมตัวเพื่อต้อนรับ Ryan ให้ทันเวลา ..


*** Notice  ***************************************************************

สิ่งที่คุณต้องพา Jodie ทำให้เหมาะสมและทันเวลานัดก็คือ

- เก็บหนังสือเข้าตู้หนังสือ

- เก็บเสื้อผ้าบนโซฟาดู TV ไปเก็บในตะกร้าผ้าในห้องน้ำ

- เก็บถุงขนมต่างๆบนโซฟาดู TV ไปทิ้งในถังขยะในครัว

- เปิดเพลงที่สเตริโอด้วยเพลงโรแมนติก

** ระหว่างนี้ถ้ามีเสียงกดกริ่งประตูดังขึ้นก่อนเวลานั้น ไปเปิดประตูดูแต่ไม่ต้องออกไปนอกห้องเพราะนั่นเป็น Aiden ที่พยายามจะแกล้ง Jodie ให้เสียเวลาเท่านั้นเอง **

- ทำอาหารโดยเลือกเมนู Asian Beef อาหารโปรดของ Ryan (เพราะเขาเคยอยู่ที่อินเดียมาก่อน)

- เอาจานและแก้วในตู้ตรงโต๊ะอาหารมาวาง พร้อมจุดเทียน

- อาบน้ำ แต่งตัว โดยเลือกชุดแบบ Elegant

- จากนั้นก็นั่งรอเวลาให้ถึงเวลานัด 2 ทุ่มตรง

 ** ถ้าทำทั้งหมดตามนี้นอกจากจะทำให้ Ryan พอใจแล้วก็จะได้ Trophy – Perfect Love มาด้วย **

*************************************************************************


- จากนั้นเมื่อ 2 ทุ่มตรง Ryan ก็จะมากดกริ่งตามนัด ทั้งคู่นั่งดื่มไวน์กันที่โซฟาก่อนทานอาหารเพื่อคุยถึงเรื่องต่างๆนานาของทั้งคู่ จนไปกินอาหารร่วมกันบนโต๊ะ โดยระหว่างนั้น Aiden จะมีโอกาสก่อกวนอยู่ด้วย แต่ถ้าคุณอยากให้ Jodie เธอมีความสุขเล็กๆน้อยๆบ้างก็ไม่ต้องบังคับ Aiden ให้ป่วนอะไร รอดูเฉยๆไปจนกว่า ทั้งคู่จะกินข้าวเสร็จ Ryan ก็จะปลอบ Jodie ว่าตัวเธอไม่ใช่สิ่งประหลาดแต่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ก่อนที่บรรยากาศและอารมณ์จะพาไป ก็เลือก Kiss ได้เลย แล้ว Ryan ก็จะเริ่มบรรเลงบทรักกับ Jodie แต่ในขณะที่กำลังเข้าได้เข้าเข็ม Jodie ก็เกิดอาการไม่อยากทำขึ้นมาเพราะเธอกำลังคิดถึงเรื่องในอดีตอยู่ ซึ่ง Ryan ก็เข้าใจและยอมที่จะขอตัวกลับเพื่อให้ Jodie อยู่คนเดียวไปก่อน (ซึ่งก็จะทำให้ Ryan และผู้เล่นเซ็งไปตามๆกัน)


                                                     Night Session

กล่าวถึง Jodie ในวัย 9 ขวบในการดูแลของ DPA ของ Nathan เธอนั่งดู TV รอ Nathan ทำงานดึกจนเริ่มง่วง Jodie เดินไปบอก Nathan ให้ช่วยพาเข้านอน จน Nathan รู้สึกตัวว่าทำงานจนเพลินเขาเลยให้ Jodie ไปเอาหนังสือนิทานในห้องเก็บของเพื่อที่เขาจะอ่านนิทานให้ฟังเป็นการตอบแทนที่ให้ Jodie นั่งรอจนดึก

- Jodie เดินเข้าไปในห้องเก็บของเพื่อหาหนังสือนิทาน ไฟห้องที่เริ่มติดๆดับๆทำให้เธอคิดไปถึงพวก Entities จะทำร้ายเธออีก แต่เธอกลับเจออะไรที่หลอนกว่านั้น Jodie เห็นวิญญาณ 2 แม่ลูกปรากฏขึ้นจะๆตรงหน้า เธอเองก็พยายามกลั้นใจจนหยิบหนังสือนิทานออกมาได้ แต่พอเอาหนังสือไปยื่นให้ Nathan ก็ดันเห็นวิญญาณ 2 แม่ลูกมายืนอยู่หลัง Nathan อีก ทำเอา Jodie ตาค้างจน Nathan นึกว่า Jodie ง่วงนอนจนตาค้างไปแล้ว แต่เมื่อ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมข่าวร้ายของ Nathan ที่ลูกเมียของเขาถูกรถบรรทุกที่เมาแล้วขับชนตายเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ทำให้ Jodie รู้แบบไม่ต้องสงสัยว่าวิญญาณ 2 แม่ลูกที่เธอเห็นก็คือ วิญญาณเมียและลูกของ Nathan นั่นเอง แต่ Jodie ก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรแล้ว Cole จะรีบพา Jodie ไปนอนก่อนที่เธอจะรับรู้เรื่องที่เด็กไม่ควรรับรู้


                                          The Mission

หลังจาก Dinner สุดสวีทของ Jodie ไม่กี่วัน เธอก็ต้องออกปฏิบัติงานให้ CIA อีกครั้ง โดยในช่วงเตรียมงาน Ryan จะอธิบายภาระกิจให้ Jodie ฟัง ซึ่งสิ่งที่เธอต้องทำก็คือ ลอบเข้าไปสังหารเป้าหมาย Sheik Chariff หัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย ซึ่งจากการเฝ้าติดตามข่าวมันจะอยู่ในโรงแรม Zenakhi โดยงานนี้ Jodie ต้องลุยเดี่ยวแบบไม่มีกองหนุน หลังจากฟังการอธิบายงานจบแล้ว Ryan จะให้กำลังใจกับ Jodie ด้วยความเป็นห่วง แต่งานก็คืองานที่ Jodie ต้องทำ Jodie ก็ให้จูบเป็นการบอกกับ Ryan ว่าไม่ต้องห่วงเธอทำได้แน่นอน

- หลังจากเฮลิคอปเตอร์ส่ง Jodie เข้าพื้นที่แล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือเข้าไปที่โรงแรมเป้าหมายซึ่งการจะลอบเข้าไปก็ต้องใช้การประสานงานกันของ Jodie และ Aiden โดยให้ Aiden เป็นตัวล่อพวกผู้ก่อนการร้ายแล้ว Jodie เป็นคนเข้าไปจัดการมันอย่างเงียบๆ เริ่มจากลอบจัดการศัตรูในซากตึกที่ชายหาดเพื่อข้ามไปพื้นที่ด้านในต่อ ใช้ Aiden มองหาเป้าหมายคือโรงแรม Zenakhi แล้วมุ่งหน้าไปที่นั่น ลอบเข้าไปจนเข้าไปชั้น 2 ของโรงแรมให้ได้โดยอย่าให้ศัตรูรู้ตัวด้วย จากนั้นก็ให้ Aiden ใช้พลัง Channel power สื่อสารกับศพและสิ่งของ ตามจุดต่างๆให้หมด (ใช้ Aiden มองก็จะเห็นเป็นควันสีเขียว ) Jodie ก็จะเห็นภาพว่าเป้าหมายของเธอออกจากที่นี่ไปที่โบสถ์แล้ว


*** Notice  ***************************************************************

ในช่วงที่ต้องลอบเข้าไปให้ถึงโบสถ์ ถ้าลอบเข้าไปโดยที่ศัตรูไม่เห็นก็จะได้ Trophy – Stealth Master มาด้วย

************************************************************************


- เมื่อลอบเข้ามาถึงโบสถ์แล้วสำรวจให้ทั่วแล้วให้ Aiden ใช้พลัง Channel power สื่อสารกับศพและสิ่งของ ตามจุดต่างๆให้หมด (ใช้ Aiden มองก็จะเห็นเป็นควันสีเขียว ) Jodie ก็จะเห็นภาพว่าเป้าหมายออกจากที่นี่ไปยังฐานของมันที่อาคารที่มีหอคอยใหญ่ต่อ เธอจึงออกเดินทางต่อทันที ระหว่างทาง Jodie จะเจอกับเด็กคนนึงที่พวกผู้ก่อการร้ายจับมาเป็นทหารบาดเจ็บอยู่ เธอจะให้ Aiden ช่วยรักษาแผลให้ (Heal Power ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านค้างให้จุดสีเขียวเข้ามาใกล้กันในบริเวณที่เป็นสีเขียวตรงจุดที่บาดเจ็บ ) หลังจากเด็กหายดีแล้วเขาจะแนะนำตัวว่าชื่อ Salim แต่รถปืนกลของพวกผู้ก่อการร้ายก็บุกเข้ามาโจมตี ซึ่ง Jodie กับ Aiden ต้องประสานงานกันจัดการมันให้หมด โดย 2 คนแรกสามารถให้ Aiden กระแทกที่กำบังของมันได้โดยไม่ต้องฆ่า ส่วนคนด้านซ้ายนั้นใช้ Aiden ฆ่าได้เลย จากนั้นก็สามารถขยับตัวไปจนใกล้กับรถปืนกลจนสามารถให้ Aiden สิงให้มันยิงกันตายจนหมดได้เลย แต่คนที่ยังเหลือที่แอบอยู่ก็เข้าโจมตี Jodie ด้วยมีดทันที พยายามดูจังหวะหลบและสวนกลับให้ดีๆ จนสามารถจัดการมันได้
  (ถ้าพลาดยังไง Aiden ก็จะเข้าไปช่วยเอง) จากนั้น Jodie จะบอกกับ Salim ว่าเธอต้องการไปที่อาคารที่มีหอคอยด้านใน ซึ่ง salim จะแสดงท่าทางว่าเขารู้จักดีและอาสานำทางไปเอง)


- จากนั้น Salim จะนำทาง Jodie เข้าไปด้านในต่อ ลอบเข้าไปจนเจอรถปืนกลดักอยู่ในซอย ให้ Aiden ใช้พลังบาเรียป้องกันตัว Shield power (ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านค้างให้จุดสีม่วงเข้ามาใกล้กัน) แล้ววิ่งผ่านไปปีนขึ้นหลังคาต่อจนเจอศัตรูอีกกลุ่มที่อยู่ในรถ ให้ Aiden สิงคนนึงในนั้นแล้วบังคับให้ยิงอีก 2 คนทิ้ง แล้วมันจะเข้าไปรอในรถ Jodie พา Salim ขึ้นท้ายรถแล้วให้ Aiden บังคับทหารศัตรูให้ขับรถไปจะผ่านด่านตรวจเข้าไปส่วนในได้  

ระหว่างทางก็กดปุ่มต่างๆที่ขึ้นมาค้างเอาไว้เพื่อหลบทหารศัตรูข้างทางจนถึงด่านใหญ่ที่ต้องหยุดให้ตรวจ จะให้ Aiden เหยียบคันเร่งหนีไปเลยหรือจะรอให้ Jodie สั่งก็ได้ ระหว่างที่รถถูกไล่ล่าจะมีพวกผู้ก่อการร้ายบุกขึ้นมาบนรถ พยายามจัดการมันให้ได้ แต่สุดท้ายรถก็จะถูกจรวด RPG ที่ยิงมาใส่จนรถระเบิดแต่ Jodie ก็หนีออกมาได้ทัน

- มาถึงหน้าตึกหอคอยที่เป็นฐานหลักของผู้ก่อการร้ายที่เต็มไปด้วยทหารศัตรูมากมาย Jodie จะแอบอยู่ที่ซากตึกด้านหน้าแล้วส่งให้ Aiden เข้าไปด้านใน เมื่อสำรวจดูจะพบ Sheik Chariff หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายเป้าหมายของ Jodie อยู่ด้านในห้องประชุมของชั้นล่าง จากนั้นออกมาสิงทหารหน้าประตูบ้านเพื่อบังคับเดินเข้าด้านใน เข้าไปห้องอาวุธห้องทางซ้ายของห้องประชุม แล้วเอามาจ่อยิง Sheik Chariff และทหารทั้งหมดในห้องประชุม จากนั้นกระแทกประตูให้ Jodie ตามเข้ามาในห้องเพื่อตรวจสอบเป้าหมายและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่เธอก็พบ Salim ตามเข้ามาเห็นศพของพ่อของเขาที่เป็นทหารคนสนิทของ Sheik Chariff ที่โดนฆ่าตายอยู่ในห้องขณะที่ Jodie เห็น Salim ร้องไห้อย่างหนักเธอก็เริ่มรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป Salim เสียใจมากที่เห็น Jodie ฆ่าพ่อของเขาจึงยิงใส่ทันที ทำให้ Jodie ต้องให้ Aiden ทำบาเรียประกันตัวแล้วรีบหนีออกไปจากตึกทันที

- ด้านนอก Jodie จะพบกับพวกชาวบ้านมากมายที่เข้ามารุมทำลายจนเธอถูกยิงจนบาดเจ็บ พยายามวิ่งต่อไปจนถึงบ้านฝั่งตรงข้าม ทุกอย่างกำลังคับขันเพราะชาวบ้านมากมายเข้ามารุมล้อมรอบ้านในขณะที่ Jodie กำลังบาดเจ็บ และ ติดต่อฐานให้มารับไม่ได้ด้วย จากนั้นใช้ Aiden รักษาบาดแผลให้ก่อนแล้วอย่าเพิ่งคิดสั้นเอาปืนยิงตัวเองตาย ให้ Aiden ไปกระแทกทางออกบนหลังคาให้เปิดออกแล้ว Jodie จะหนีขึ้นไปบนหลังคาต่อ พวกทหารและชาวบ้านบุกตามเข้ามามากมาย แต่ Jodie ก็โชคดีที่ Ryan นำเฮลิคอปเตอร์เข้ามาช่วยรับตัวเอาไว้ได้ทันเวลา 


- หลังจากภาระกิจ Ryan และ Jodie จะอยู่ในเครื่องบินของ CIA ในขณะที่ Ryan กำลังชื่นชมการทำงานของ Jodie แต่ดูเหมือน Jodie จะไม่รู้สึกยินดีอะไรเลย เธอยังคงคิดคิดถึงความผิดปกติในภาระกิจที่เธอทำลงไปและเรื่องที่ไปฆ่าพ่อของ Salim อีกทำให้เธอไม่มีอารมณ์ที่จะยินดีกับภาระกิจที่ลุล่วงครั้งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว จากนั้นก็กดเลือกให้เธอกินยาแก้ปวด และกดรีโมทดู TV แก้เซ็ง บังเอิญที่เธอได้เห็นข่าวการบุกเข้าไปฆ่าประธานาธิบดี Sheik Chariff ที่เป็นผู้นำกลุ่มต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่ ทันทีที่ Jodie ดูข่าวนี้จบ เธอก็ร็ทันทีว่าโดน Ryan และ CIA หลอกใช้ เธอเข้าไปด่ากับ Ryan ถึงเรื่องที่หลอกเธอ แต่ Ryan ก็บอกให้ Jodie ทำใจเพราะนี่เป็นงานของ CIA ที่เราต้องทำตามคำสั่งที่ได้รับมาอย่างเดียว ทำให้ Jodie โกรธมากที่ CIA หลอกใช้เธอ เลยโดดหนีจากเครื่องบินไปทันที และนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ Jodie ออกจาก CIA จนโดน CIA ไล่ล่าในที่สุด


                                            Old Friend

กล่าวถึงหลายเดือนหลังจาก Jodie ช่วยครอบครัวของ JAY และ Cory กำจัดวิญญาณร้ายปัญหาเก่าแก่ของเผ่านาวาโฮ่ Jodie จะนัดพบกับ Cole เจ้าหน้าที่ของ DPA ที่เธอนับถือและเชื่อใจมากที่สุดไม่ต่างอะไรกับ Nathan เธอฝากให้ Cole ตามหาข้อมูลของพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอให้ ซึ่ง Cole ก็ทำให้ตามนั้นโดยข้อมูลที่เขาหามาได้นั้น พ่อที่แท้จริงของ Jodie นั้นชื่อ Jonathan Nicolas เสียชีวิตไปนานแล้ว ส่วนแม่นั้นชื่อ Norah Gray ตอนนี้มีอาการทางจิตและถูกควบคุมอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช Saint john ในการดูแลของ CIA หลังจากได้ข้อมูลแล้ว Jodie ตัดสินใจที่จะเข้าไปหาแม่เธอทันที Cole พยายามห้ามเพราะตอนนี้เธอถูกทางการตามล่าตัวอยู่ แต่ Jodie จะบอกว่าไม่มีใครหยุดไม่ให้เธอไปหาแม่ได้แน่นอน และด้วยความเป็นห่วง Cole ก็จะตามไปช่วยด้วยอีกแรง


                                                Norah

- Jodie และ Cole เดินทางมาถึง โรงพยาบาลจิตเวช Saint john ในขณะที่ Jodie ต้องการแค่ให้ Cole มาส่งแต่ Cole จะไม่ยอมรออยู่ในรถแน่นอน เข้าไปด้านในจะพบเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เพื่อขอเข้าเยี่ยม Norah Gray แต่เจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้พบเพราะคนไข้อยู่ในการควบคุมพิเศษ Jodie จะให้ Aiden เข้าสิงเจ้าหน้าที่ให้ค้นหาเลขห้องและเปิดลิฟต์ให้ขึ้นไปชั้นบนได้

- เมื่อขึ้นมาชั้นบนแล้วจะพบเจ้าหน้าที่อยู่หน้าประตูด้านในด้วย Jodie จะให้ Aiden กระแทกแผงไฟในด้านหลังเพื่อเบี่ยงเบนเจ้าหน้าที่ให้หันหลังไปก่อนแล้วกระแทกปุ่มเปิดประตูด้านในแล้วเข้าไปต่อ แต่ก็ต้องเจอประตูอีกชั้น ให้ Aiden ผ่านเข้าไปด้านในแล้วทำลายกล้องวงจรปิดตามทางเดินให้หมดแล้วกระแทกโต๊ะ เก้าอี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่หลับอยู่ด้านในเปิดประตูออกมา ก็จะให้ Aiden จัดการสิงมันแล้วให้มาเปิดประตูให้ด้วย Key Card ของมันก็จะเข้าไปด้านในห้องคนไข้ได้ พยายามให้ Aiden ทำลายกล้องวงจรปิดตามทางเดินด้านในให้หมดด้วย จากนั้นหาห้อง 43 ให้เจอแล้ว Jodie จะเข้าไปด้านในก็จะพบแม่ของเธอนั่งไม่มีสติอยู่ ไม่ว่า Jodie  จะพยายามสื่อสารยังไงเธอก็ไม่ตอบสนอง จากนั้นใช้ Aiden สื่อสารกับจิตของแม่เพื่อดูอดีต

 [Channel power ความสามารถในการสื่อสาร โดยการเข้าไปสำรวจที่ที่มีออร่าสีเขียว ดันแกนอนาล็อกทั้ง 2 ด้านให้จุดทั้ง 2 จุดอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ลำแสงออร่าสีเขียวหักเหแล้วไหลผ่านจากสิ่งนั้นๆเข้ามาที่หัวของ Jodie] 

ภาพนิมิตรจะแสดงให้เห็นว่า Norah แม่ของ Jodie นั้นเป็นคนที่มีพลังจิตที่อยู่ในการศึกษาของ CIA มาก่อน และหลังที่เธอคลอดลูก (ซึ่งก็คือ Jodie ) เสร็จแล้ว ลูกเธอก็ถูกเจ้าหน้าที่พาตัวไปให้พ่อแม่บุญธรรมเลี้ยง แล้วจัดการฉีดยาทำให้ Norah อยู่ในสภาพโคม่าเพื่อปิดปาก จากนั้นให้ Aiden สื่อสารเข้าไปยังจิตใจของ Norah และทำการทำลายความมืดที่เกาะกินตัว Norah อยู่ให้จิตเธอกลับมาเป็นปกติจนสามารถพูดคุยกับ Jodie ทางจิตได้

- Jodie ได้คุยกับแม่ของเธอครั้งแรกหลังจากที่ถูกพรากจากกันตั้งแต่เกิด ถึงแม้จะเป็นการคุยทางจิตที่ไม่สามารรถเข้าไปสวมกอดแม่ได้เธอก็ดีใจมากแล้ว ได้ฟัง Norah บอกว่ารัก Jodie มากและอย่าได้พยายามช่วยเธอเพราะยาทำให้เธอไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีกแล้ว แต่อยากให้ช่วยปลดปล่อยเธอเป็นครั้งสุดท้ายให้หลุดพ้นจากความทรมานเป็นสิ่งที่ Norah อยากให้ Jodie ลูกสาวที่รักทำให้เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากออกจากจิตของแม่แล้ว Jodie ต้องจำใจทำตามเจตนารมณ์ที่แม่ข้อร้องคือให้ Aiden เข้าไปบีบหัวใจของแม่ให้หยุดเต้นเพื่อให้แม่หยุดทรมานเสียที Jodie ยืนร้องไห้อยู่นานที่เวลาที่ได้เจอกับแม่ที่แท้จริงครั้งแรกก็เป็นวันที่ต้องจากลากันตลอดกาลเช่นกัน  แต่เมื่อเธอออกมาจากห้องก็พบเจ้าหน้าที่ของ CIA ตามมาและอัดเธอจนสลบและจับตัวเธอไปทันที



                                                   Briefing

- Jodie ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องทำงานของ Nathan ใน DPA เธอสำรวจดูจนทั่วจะพบว่าที่นี่เปลี่ยนไปมาก มันดูใหญ่และไฮเทคกว่าเดิมสมัยเธอเป็นเด็กมาก และเธอก็ยังเห็นประตูมิติที่ดูเหมือน DPA จะพยายามพัฒนาขึ้นมาอีกครั้งแล้ว จากนั้น Nathan จะเข้ามาคุยด้วย Jodie ไม่รีรอที่จะเข้าไปต่อว่า Nathan ที่พยายามปกปิดเรื่องแม่ของเธอมาตลอด ซึ่ง Nathan ก็พยายามบอกว่าเขาต้องการศึกษาเพื่อช่วยเหลือ Jodie และในตอนนั้นแม่ของ Jodie ก็จิตไม่ปกติพยายามจะทำร้ายตัวเองและ Jodie มาตลอด ซึ่งแน่นอนว่า Jodie ไม่มีวันจะเชื่อเรื่องนี้แน่นอน Nathan พยายามพูดให้ Jodie รู้ถึงความสำคัญของที่ผู้ที่เชื่อมต่อกับวิญญาณได้อย่าง Jodie เพราะในทางวิทยาศาสตร์นั้นการได้ติดต่อกับโลก Infraworld นั้นเป็นสิ่งที่มีไม่ควรมองข้าม Nathan จึงพยายามพูดให้ Jodie ทำงานร่วมกับเขาอีกครั้ง เพื่อหาทางใช้โลก Infraworld ให้เป็นประโยชน์ให้ได้

- Jodie และ Nathan ได้เข้าร่วมประชุมกับทางแพนทาก้อน โดยนายพล Magrath ได้มีหลักฐานอยูว่าตอนนี้มีประเทศคาซัคสถานได้ร่วมกับประเทศจีนได้สร้าง Condenser ของตัวเองขึ้นมาและกำลังพัฒนาประตูมิติเพื่อศึกษาโลก Infraworld อย่างลับๆ และถ้าปล่อยเอาไว้ ถ้ามันทำสำเร็จฐานอำนาจทั้งหมดก็จะถูกสั่นคลอนแต่นั่นไม่สำคัญเท่าถ้ามันทำผิดพลาดเหล่า Entities ที่ชั่วร้ายก็จะหลุดออกมาสร้างความเสียหายมากมายเข้าไปอีก ด้วยเหตุผลทั้งหมด ก็ทำให้ Jodie ต้องยอมที่จะทำงานร่วมกับ Nathan อีกครั้ง แต่เมื่อเห็นทีมงานที่ทางกองทัพจัดหามาให้เป็นทีมของ Ryan และเพื่อนของเขาจาก CIA นั่นยิ่งเพิ่มความหงุดหงิดในการปฏิบัติการครั้งนี้สำหรับ Jodie เข้าไปอีก 



                                         Dragon’s Hideout

Jodie และทีมของ Ryan เดินทางออกปฏิบัติการ์ณ มาจนถึงหมู่บ้านชาวบประมงท่ามกลางพายุหิมะที่โถมกระหน่ำอย่างหนัก Ryan จะให้ Jodie หาบ้านที่พอจะใช้หลบหิมะได้ ใช้ Aiden ลอยออกไปหาบ้านที่พอจะเข้าไปหลบหิมะได้ (อยู่ทางซ้ายบนของแผนที่) เมื่อเจอบ้านแล้วทุกคนจะเข้าไปหลบพักรอจนหิมะสงบ จากนั้น Jodie จะขอตัวออกไปฉี่ด้านนอก ทำให้เธอเจอกับรถทหารของศัตรูที่ผ่านเข้ามาพอดี จึงรีบไปตามทุกคนให้ตามเข้าไปต่อจนพบโกดังขนาดใหญ่ที่อยู่ริมทะเล 

- ใช้ Aiden ลอยเข้าไปด้านในโกดังเพื่อสำรวจดูจะพบว่าเป็นที่ท่าจอดเรือดำน้ำของทหารจีน เข้าไปสิงทหารจีนเข้าที่มีออร่าสีส้มแล้วบังคับมันไปยิงทหารอีก 2 คนจนหมดแล้วบังคับมันไปกดสวิตซ์ประตูในห้องควบคุมแล้วทีมของ Jodie จะเข้ามาได้ หลังจากสำรวจดูแล้ว Ryan ก็จะประเมินว่า Condenser ของทหารจีนต้องอยู่ใต้น้ำแน่นอน Jodie จะมีแผนที่จะปลอมตัวแล้วนั่งเรือดำน้ำลงไปที่ Condenser ที่อยู่ใต้น้ำ โดย Ryan จะตัดสินใจลงไปด้วยโดยให้ทีมที่เหลือรอสนับสนุนอยู่ที่นี่ จากนั้นขับเรือดำน้ำลงไปใต้น้ำไปตามทางจนถึงฐานใต้น้ำของทหารจีน

- เมื่อ Jodie และ Ryan เอาเรือดำน้ำเข้าจอดในฐานของศัตรู เป้าหมายที่ต้องทำก็คือเข้าไปให้ถึง Condenser ของศัตรูแล้วระเบิดทำลายมันซะ แต่พอสำรวจดูจะเห็นมีทหารศัตรูตรวจตราอยู่หน้าทางเข้าเต็มไปหมด แต่จะมีทหารผู้บังคับบัญชาอยู่ที่นี่พอดี ใช้ Aiden มองดูจะพบว่ามันมีออร่าสีส้มให้สิงได้ ก็เข้าไปสิงมันเพื่อบังคับให้พาตัว Jodie และ Ryan ผ่านประตูเข้าไปด้านในได้ แต่ระหว่างทางด้านในจะมีบาเรียที่ทหารจีนสร้างเอาไว้ป้องกัน Entities ที่จะหลุดออกมา ซึ่งมันก็ทำให้ Aiden โดนบาเรียกั้นด้วยจนหลุดออกจากร่างของนายทหารจีน จนทำให้มันรู้ตัวและสั่งลูกน้องให้มาจับกุมตัว Jodie และ Ryan เอาไว้ได้ และ Aiden ก็ตามไปช่วย Jodie ด้วยเส้นทางนี้ไม่ได้เสียด้วย

- Jodie และ Ryan ถูกจับเข้าไปทรมานเพื่อสอบสวนในห้อง Ryan ถูกทรมานอย่างหนักเพื่อให้ Jodie ยอมบอกว่าเป็นคนจากหน่วยงานไหนและมีเป้าหมายอะไรถึงลอบเข้ามาที่นี่



*** Notice  ****************************************************************

ในช่วงที่โดนสอบสวนถ้า Jodie มันยอมปริปากพูดออกมาเลย สุดท้าย Ryan ก็จะโดนทรมานจนถูกเจาะควักลูกตาจนบอดแต่คุณก็จะได้ Trophy – Eye to an eyes มาด้วย

*************************************************************************


- ทางด้าน Aiden ที่ต้องพยายามตามไปช่วย Jodie ให้ได้ โดยย้อนกลับออกมาจากช่องทางเดินที่มีบาเรียก่อนแล้วเลี้ยวไปทางฝั่งซ้าย ผ่านห้องเก็บอาวุธ (จะแวะเข้าไปฆ่าทหารที่อยู่ด้านในก่อนก็ได้) จากนั้นเข้าไปยังห้องควบคุมจะพบทหารที่มีออร่าสีส้มที่ใช้สิงได้ เมื่อเข้าสิงมันแล้วเพื่อมันจะช่วยกันปลุกจน Aiden หลุดออกมาอีก แต่ซักพักมันจะเดินออกจากห้องนี้ แล้วค่อยตามไปสิงมันอีกรอบก็จะสำเร็จ จากนั้นเข้าไปในห้องอาวุธเพื่อเอาปืนมาใช้ (ถ้าที่ผ่านมายังไม่ได้ฆ่าทหารก็เข้าไปหยิบประแจมาฟาดหัวทหารก่อน) จากนั้นเอาปืนไปยิงทำลายห้องควบคุมจนทำให้บาเรียทั้งหมดของฐานนี้หายไปหมด ทำให้ Aiden ผ่านเข้าไปในช่องทางด้านในได้แล้ว แต่พวก Entities ก็จะหลุดออกมาทำร้ายทุกคนในฐานด้วย จากนั้นก็เข้าไปด้านในตามสายใยของ Jodie ไปจนถึงห้องที่เธอถูกขังอยู่ เข้าไปรักษาอาการบาดเจ็บของเธอก่อนแล้วพังประตูให้เธอออกไป จากนั้นพังประตูเข้าไปช่วย Ryan ในห้องฝั่งตรงข้าม รักษาเขาให้เรียบร้อยแล้วพากันหนีออกไปด้านนอก

- Jodie จะบอกให้ Ryan ไปเตรียมเรือดำน้ำเอาไว้เพื่อใช้หนีส่วนเธอจะเข้าไปทำลาย Condenser ตามแผนก่อนถึงค่อยหนี จากนั้นเข้าไปยังห้องเก็บอาวุธใกล้ๆเพื่อเอาระเบิด C4 มา แล้วเข้าไปด้านในต่อจนถึงทางลงใต้น้ำ ใส่ชุดดำน้ำแล้วลงไปใต้น้ำได้เลย เดินเข้าไปจนถึงด้านในสุดของบ่อน้ำก็จะพบ Condenser จัดการวางระเบิดตามแท่นเสาให้หมดทุกอันแล้วรีบหนีออกมา แต่ระหว่างนั้น Entities ขนาดใหญ่ก็หลุดออกมาไล่โจมตี Jodie พยายามหลบให้พ้นไปเรื่อยๆแล้วหนีขึ้นมาด้านบนให้ได้ แต่นายทหารจีนก็เข้าลอบทำร้ายอีก พยายามหลบสลับกับโต้กลับไปเรื่อยๆจนมันโดน Entities แทงจนตาย จากนั้นรีบหนีต่อมาจนถึงห้องจอดเรือดำน้ำ รอซักพัก Ryan จะเอาเรือดำน้ำมารับพาหนีออกจากฐานที่กำลังระเบิดได้สำเร็จ

- ระหว่างที่ขับเรือดำน้ำหนีออกมาแรงระเบิดจะทำให้เรือเกิดขัดข้องไปต่อไม่ได้ ทำให้ Jodie จะบอกให้ Ryan หนีออกจากเรือแล้วเสี่ยงว่ายน้ำขึ้นไปจนถึงฝั่งจนสำเร็จ ทั้งคู่ปีนขึ้นฝั่งด้วยความมุลักทุเล อากาศที่เย็นยะเยือกกับตัวที่เปียกน้ำกำลังสร้างปัญหาใหญ่กับทั้งคู่ให้แข็งตาย Ryan ถือโอกาสขอโทษในทุกเรื่องที่เขาทำตัวงี่เง่าไป และบอกรัก Jodie ออกมาเป็นครั้งแรก Jodie ก็ได้หัวเราะเบาๆว่า ช่างเป็นการบอกรักที่เหมาะสมกับสถานะการ์ณจริงๆ ก่อนที่รถของพวก CIA จะเข้ามาช่วยทั้งคู่เอาไว้ได้ทัน 



                                                  Haunting

กล่าวถึงช่วงเวลาที่ Jodie วัย 9 ขวบที่เพิ่งผ่านการเสียชีวิตของลูกเมียของ Nathan ได้ไม่นาน Jodie ก็ไม่เห็นหน้า Nathan อีกเลย มีแต่ Cole เท่านั้นที่มาช่วยดูแลเธอ ระหว่างที่ Cole พา Jodie เข้านอนเธอก็อดถามถึง Nathan ไม่ได้ว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง Cole ตอบได้แค่ว่าตั้งแต่วันที่ลูกเมียของเขาตายเขาก็ยังไม่ออกมาจากห้องทำงานมา 3 วันแล้ว

- ขณะที่ Jodie กำลังจะหลับเธอก็เห็นวิญญาณของลูกสาวของ Nathan มาตามเธอให้เดินตามไปจนถึงห้องทำงานของ Nathan Jodie ให้ Aiden ใช้พลังที่เธอก็ไม่รู้ว่าเธอสามารถทำได้มาก่อนคือ สื่อสารกับวิญญาณ Jodie สื่อสารกับวิญญาณลูกเมียของ Nathan ให้พูดผ่านตัวเธอ ทำให้ Nathan ได้สื่อสารและรับรู้ในสิ่งที่ลูกเมียของเขาอยากจะบอกได้เป็นครั้งสุดท้ายว่า ตอนนั้งคู่อยู่ใกล้ๆกับ Nathan เสมอและไม่ต้องโทษตัวเองในเรื่องที่เกิดขึ้นเด็ดขาด …และใครจะรู้ว่าสิ่งที่ Jodie ทำลงไปด้วยความหวังดีจะทำให้ Nathan ได้เกิดความคิดและแผนการใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล…



                                                      Black Sun

ในการประชุมกับทางแพนทาก้อนหลังปฏิบัติการณ์ทำลาย Condenser ของทหารจีนได้สำเร็จ ทางฝ่ายรัฐบาลสหรัฐพอใจกับผลงานของทีม Jodie มาก โดยนายพล Magrath ได้กล่าวชื่อชมและบอกถึงแผนงานก้าวต่อไปที่จะมุ่งในการศึกษาและวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์จาก Infraworld ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ Jodie ตั้งใจเลยแม้แต่น้อย Jodie แต่เธอตัดสินใจเลือกที่จะเดินออกจากห้องประชุมและขอที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป

- Jodie เดินออกจากห้องประชุมด้วยความเบื่อหน่ายในความบ้าอำนาจของนายพล Magrath แต่โชคดีที่เจอ Ryan นั่งอยู่หน้าห้องให้ได้ระบายบ้าง คุยถามตอบอะไรกับเขาได้ตามสะดวก Ryan รู้ดีว่างานนี้ Jodie หนีไปยาวแน่ๆ เขาจึงถือโอกาศในการขอโทษกับทุกอย่างที่ทำผิดไปแล้วอยากจะขอคืนดีกันใหม่อีกครั้ง

(ซึ่งก็แล้วแต่คุณผู้เล่นจะเลือกว่าจะยอมคบกับ Ryan อีกหรือไม่ แต่ไม่ต้องวลใจไปเพราะคุณมีสิทธิ์เลือกได้อีกครั้งในช่วงหลังของเกม แต่ถ้าไม่อยากเป็นผู้หญิงเรื่องเยอะและก็เห็นกับ Trophy ที่คุณได้มาแลกกับตาของ Ryan ก็เลือกตกลงคบกันใหม่ไปเลยจ้า)

- หลังคุยกันจบ Cole จะมาตาม Jodie ให้เข้าไปพบกับ Nathan ที่ห้องทำงาน เดินขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนตามทางจนถึงห้องทำงาน ก่อนเข้าไปในห้อง Cole ก็แอบกระซิบเบาๆว่าจะตกลงอะไรกับ Nathan ล่ะก็คิดให้ดีๆด้วย เมื่อเข้าไปพบ Nathan ด้านในเขารีบเข้ามากอด Jodie ด้วยความดีใจ แต่ Jodie กลับรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้เหมือนเดิมแต่ที่ทำไปเพียงเพราะเกรงใจที่มีบุญคุณเท่านั้น จากนั้น Nathan ก็มอบพาสปอร์ตอันใหม่พร้อมเงินก้อนโตแถมมาให้เพื่อให้ Jodie ไปเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง และหวังว่าจะได้กลับมาร่วมงานกันใหม่อีกครั้ง (ซึ่งก็แล้วแต่คุณผู้เล่นจะเลือกว่าจะเลือกที่จะรับหรือไม่ แต่ดูจากรูปการณ์แล้ว ไม่รับจะสะใจ กว่าครับ) Jodie ตัดสินใจปฏิเสธที่จะยุ่งกับทาง DPA อีกเพราะตอนนี้เธอก็ถือว่ามีชีวิตใหม่อยู่แล้ว แต่ก่อนที่ Jodie จะเดินไปจากห้อง Nathan มีบางอย่างจะบอกกับJodie


ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรับรู้เลยว่าวิญญาณของลูกเมียของเขาอยู่ใกล้ๆเขาตลอดแต่เขาไม่เคยได้เห็นหรือรับรู้ได้จนเมื่อมาพบกับ Jodie เขาจึงรับรู้ได้ว่าเรื่องพวกนี้มันสำคัญมาก จึงหมกหมุ่นที่จะพยายามทดลองหาทางสื่อสารกับวิญญาณใน Infraworld ให้ได้เหมือนกับที่ Jodie ทำได้ จากนั้นเขาพาเธอเข้าไปในห้องด้านในจะเห็นเครื่องมือที่เขาเรียกว่า Condenser ขนาดเล็กที่เขาพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กักขังวิญญาณจากโลก Infraworld ก่อนที่จะเปิดเครื่องให้เห็นวิญญาณของภรรยาและลูกของที่ถูกกักขังเอาไว้ในนี้ เพื่อที่จะได้เจอได้เห็นกันทุกวัน ตลอดไป เมื่อ Jodie เห็นก็ถึงกับตลึงและรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติของ Nathan ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ส่วนนึงก็เป็นเพราะเธอเอง … Nathan ขอร้องให้ Jodie ช่วยสื่อสารให้เขาได้พูดคุยกับภรรยาและลูกของเขาอีกครั้งเพื่อจะบอกว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่เพื่อทั้ง 2 คน


(ตรงนี้ไม่ว่าคุณจะเลือกที่จะช่วยหรือปฏิเสธอะไรไปสุดท้าย Nathan ก็จะบีบน้ำตาขอร้องจนได้อยู่ดี )


Jodie ไม่มีทางเลือกที่จะสื่อสารวิญญาณภรรยาและลูกของ Nathan ให้ได้พูดคุยกับเขา แต่สิ่งที่ Nathan ได้ยินคือ เสียงของเมียและลูกของเขาที่พยายามจะบอกให้ Nathan ปลดปล่อยพวกเธอเพราะตอนนี้พวกเธอทรมานมาก แต่ Nathan กลับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินและหาว่า Jodie แกล้งเขา แต่นั่นไม่ใช่กงการอะไรของ Jodie เพราะเธอได้ทำตามที่เขาขอร้องแล้ว ที่เหลือก็สุดแล้วแต่ Nathan ว่าเลือกที่จะเชื่อยังไง แล้วเธอก็ตัดสินใจเดินออกจากห้องไปทันที ..แต่ดูเหมือนความคิดของ Nathan ที่บ้าคลั่งด้วยความยึดติดไม่ได้ยอมหยุดแค่นั้น .. ในขณะที่ Jodie กำลังจะเดินเข้าไปในลิฟต์ ทหารกลุ่มนึงก็ออกมาและอัดเธอจนสลบก่อนจะจับตัวเธอไป …..


- ที่ห้องคุมขังของ Jodie ไม่เแปลกใจเลยที่ นายพล Magrath ไม่ยอมปล่อย Jodie กับความสามารถของเธอได้เดินไปจากโครงการนี้ง่ายๆแน่นอน นายพล Magrath เตรียมมาตราการสุดท้าย ในการปิดปาก Jodie ให้อยู่ในสภาพโคม่าเหมือนกับที่เคยทำกับแม่ของเธอ หลังจากที่กลุ่มของ Magrath ไปแล้ว Nathan ก็จะตามเข้ามา Jodie พยายามขอร้องให้เขาช่วย แต่ดูเหมือน Nathan จะไม่ได้มาช่วย แต่มาเพื่อบอกแผนการใหม่ที่เขาเพิ่งจะคิดออก เขาคิดที่จะเปิดประตูมิติขนาดใหญ่ที่ทาง DPA สร้างขึ้นในชื่อว่า Black Sun ให้โลก Infraworld ให้เข้ามาอยู่ใน Dimension เดียวกับโลกมนุษย์เสียเลย Jodie รู้ดีว่าถ้าทำแบบนั้นจะทำให้ Entities ที่ชั่วร้ายต่างๆตมออกมาด้วย และรู้ดีว่า Nathan เองตอนนี้ไม่ได้สนใจอะไรนอกไปจากการได้เจอลูกเมียตัวเองอีกครั้งเท่านั้น หลังจาก Nathan ออกไปแล้ว Aiden ก็พยายามจะทำลายอุปกรณ์ที่มัดตัว Jodie อยู่แต่ไม่สามารถทำได้เพราะมีบาเรียป้องกับวิญญาณอยู่ Aiden จึงต้องไปตามคนมาช่วย ซึ่งคนที่ไว้ใจตอนนี้มีแค่ 2 คนคือ Cole และ Ryan นั่นเอง

- จากนั้นบังคับ Aiden ลอยขึ้นไปชั้นบนแล้วเข้าไปที่ห้องทำงานของ Cole ที่อยู่ในสุดจะพบ Ryan นั่งคุยอยู่ที่นั่นด้วย จากนั้นก็จัดการกระแทกสิ่งของต่างๆจนกว่าทั้งคู่จะรู้ว่าเป็น Aiden และนึกต่อได้ว่า Jodie กำลังตกอยู่ในอันตรายแน่นอน จากนั้น Aiden ต้องกระแทกสิ่งของต่างๆเพื่อนำทางให้ทั้งคู่ตามไปที่ลิฟต์ กระแทกสวิตซ์ลิฟต์ลงไปชั้นล่าง แล้วทำให้หลลอดไฟกระพริบเพื่อนำทางทั้งคู่เข้าไปด้านใน Sector 4 แต่ที่หน้าทางเขาจะมีทหารคุมอยู่ และมันจะไม่ยอมให้ใครที่ไม่มีรายชื่อเข้าไป ใช้ Aiden ทำให้โทรศัพท์ดังขึ้นเบี่ยงเบนความสนใจของทหารแล้ว แฮกทำให้มีรายชื่อ Cole กับ Ryan เพิ่มเข้าไปในรายชื่อผู้ที่ได้รับอณุญาติ ทั้งคู่ก็จะเข้าไปด้านในได้แล้ว จากนั้นทำให้ไฟกระพริบนำทางทั้งคู่ไปจนถึงห้องขังของ Jodie ทั้งคู่ก็จะเข้าไปช่วยเธอออกมา Jodie รีบบอกแผนการร้ายของ Nathan ให้ Cole และ Ryan รับรู้เพื่อไปยับยั้งความบ้าของ Nathan แต่ยังไม่ทันขาดคำของ Jodie แรงสั่นสะเทือนและเสียงกรีดร้องจากด้านนอกทำให้รู้ทันทีว่า Nathan ได้เปิดประตูมิติ Black Sun ไปแล้ว

- ออกมาตามทางเดินที่เต็มไปด้วย Entities ที่ชั่วร้าย ออกมาเต็มไปหมด วิ่งตาม Cole ไปที่ห้องควบคุม ระหว่างทางท่ามกลางความวุ่นวายนายพล Magrath รีบมาขอให้ Jodie รีบไปหยุดยั้ง Nathan ที่ตอนนี้บ้าไปแล้ว Jodie ไม่สน แต่ Ryan ซัดหน้าผู้บังคับบัญชาไปหนึ่งหมัดโทษฐานทำให้แฟนเขาเจ็บ วิ่งเข้าไปต่อจนถึงห้องควบคุม Cole จะพยายามเปิดระบบของบาเรียอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ Jodie ตัดสินใจจะเข้าไปที่ Condenser ด้านในเพื่อปิดระบบโดยตรงเลย หลังจากที่ทั้ง 3 ผ่านประตูใหญ่เข้าไปด้านใน Cole พยายามเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่า เข้าไปแล้วอาจไม่ได้ออกมา ซึ่ง Jodie ยืนยันที่จะทำ และเมื่อ Ryan พยายามจะบอกให้หนีแล้วไม่เชื่อ เขาก็จำต้องยอมไปด้วย ทั้ง 3 สวมเข็มขัดบาเรียเพื่อป้องกันตัวก่อนจะเข้าไปด้านในเขต Condenser ทันที

- ในเขต Condenser จะเต็มไปด้วย Entities ที่ชั่วร้ายเต็มไปหมด พยายามหลบให้แน่ใจว่ามันไม่เห็นแล้วหลบลอบเข้าไปที่ประตูใหญ่ด้านในที่ละนิด แต่สุดท้ายระหว่างทั้ง 3 พยายามวิ่งเอาตัวรอดเข้าไปที่ประตู Cole ก็ถูก Entities โจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ทั้ง 3 ผ่านเข้ามาในเขตด้านในของ Condenser สำเร็จ แต่ Cole ก็บาดเจ็บจนไปต่อไม่ได้แล้ว Jodie จะให้ Aiden รักษาแผลของ Cole แล้วจำใจต้องทิ้งเขาไว้ตรงนี้เพื่อเข้าไปด้านในต่อ เมื่อผ่านประตูเข้าไปจะเห็น Black Sun ประตูมิติขนาดใหญ่ที่กำลังถูกเปิดจนวิญญาณเร่ร่อนมากมายเริ่มเข้ามามากมาย พยายามเดินเข้าไปด้านในต่อจนพบวิญญาณของ Norah แม่ของ Jodie กำลังเดินหาลูกของเธอ Jodie ตอบไปว่าไม่เห็นเธอก็จะหายตัวไป แต่ก็ทำให้เธอพลัดหลงกับ Ryan จนได้ เดินเข้าด้านในต่อจนพบกับ Nathan ที่กำลังตามหาวิญญาณลูกเมียของเขาอยู่


*** Notice  ***********************************************************

ตรงนี้การเลือกคำพูดในการสนาทนากับ Nathan นั้นสำคัญมาก เพราะอาจจะทำให้สถานะการณ์ต่างๆเปลี่ยนแปลงจนเลวร้ายขึ้นได้ โดยทางที่ดีที่สุดให้เลือก Reason (ใช้เหตุผลพูดกับเขา) ทั้ง 2 ครั้ง หรือเลือก Reason 1 ใน 2 ครั้ง ก็ได้ ส่วนที่เหลือจะด่าจะว่ายังไงก็ได้เลย 
************************************************************************

Jodie พยายามจะบอกกับ Nathan ว่าวิญญาณหลงทางเหล่านี้ไม่ได้มีความทรงจำเหมือนตอนมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ถึงเจอลูกกับเมียอีกครั้งก็ไม่สามารถสื่อสารกันได้แล้ว และไม่ว่าจะยังไงเธอก็จะยืนยันที่จะเข้าไปปิดระบบ Black Sun และอยากจะขอให้ปล่อยเธอไป Nathan ได้ฟังซักพักก็ลดปืนลงปล่อยให้ Jodie เดินผ่านไปแต่โดยดี แต่ซักพักก็ใช้ปืนยิงหัวตัวเองตายทันที วิญญาณที่ออกจากร่างก็ได้พบกับวิญญาณลูกและเมียของเขาอีกครั้งอย่างมีความสุข

 “ เธอเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ ทำเผื่อชั้นด้วย Jodie “

 Nathan บอกกับ Jodie ก่อนที่จะสลายไปพร้อมกับครอบครัวของเขา Jodie รู้ดีว่ามันเป็นการสูญเสียที่น่าเศร้าแต่อย่างน้อยเธอก็รู้ว่ามันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับ Nathan ก็เป็นได้ จากนั้น Jodie ตัดสินใจเข้าไปด้านในต่อพร้อมกับ Ryan ที่เพิ่งตามมาทัน ระหว่างทางทั้งคู่จะเจอ Entities ขนาดใหญ่เข้าโจมตี ต้องหลบไปมาจนผ่านเข้าไปด้านในได้ แต่เข็มขัดบาเรียของ Jodie ก็เกิดขัดข้อง Ryan ไม่มีทางเลือกที่จะถอดเข็มขัดเขาให้แทนเพื่อให้ Jodie เข้าไปทำหน้าที่สุดท้ายให้สำเร็จ หลังจากช่างใจอยู่นาน Jodie ก็ยอมที่จะใช้เข็มขัดของ Nathan และปล่อยให้เขารออยู่ที่นี่ เส้นทางสุดท้ายจนถึงแผงควบคุมพลังงานของ Condenser จะมีวิญญาณมากมายที่พยายามฉุดกระชากตัว Jodie เอาไว้ พยายามกดปุ่มต่างๆที่ขึ้นมาให้ทันเพื่อช่วยเธอให้เข้าไปถึงแผงควบคุมจนสำเร็จ และสัมผัสแรกก็ทำให้เธอเห็นภาพนิมิตรบางอย่างขึ้นมา …..


ภาพของแม่ของเธอในขณะที่ที่ถูกทำคลอดเพื่อเอาตัว Jodie ออกมาแต่อีกคนยังคงอยู่ในท้องแม่และตายจากไปหลังจากนั้น…. พี่ชายของเธอ Aiden นั่นเอง


หลังจากภาพนิมิตรจบลง เวลาของ Jodie ก็หยุดนิ่ง เธอก้าวข้ามไปในจุดที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยผ่านเข้ามา ห้วงเวลากึ่งกลางระหว่างความเป็นและความตาย และถ้าเกิดเธอเลือกที่จะไปได้..


Beyond….. Infraworld  โลกของวิญญาณที่สวยงามที่มีแม่ และ Aiden พี่ชายของเธอ กับคนที่เธอรักต่างๆที่ตายไปรออยู่ และจะได้อยู่ร่วมกับคนที่รักตลอดไป


LIFE……..โลกแห่งความจริง ชีวิตจริงที่มี Ryan คนที่เธอรักรออยู่ กับสถานะการ์ณสุดเลวร้ายที่เธออาจต้องเผชิญในอนาคตอย่างไม่จบสิ้น 



    ******************* คุณจะเลือกไปสู่โลกไหน ? *******************



                                          Reality World Ending



หลังจาก Jodie เลือกที่จะกลับมาสู่โลกแห่งความจริง

 ชีวิตหลังจากที่ไม่มี Aiden

ฉันได้ชีวิตปกติกลับคืนมา

แต่มันกลับเป็นช่วงชีวิตที่มืดมนที่สุด

มันเหมือนขาดส่วนนึงของร่างกายไป
ฉันร้องไห้ทั้งวัน และรู้ว่ามัน งี่เง่า 
แต่ บ้าเอ๊ย ..ฉันคิดถึงนายเหลือเกิน Aiden


Jodie หนีจากทุกอย่างมาใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมเล็กๆในป่าคนเดียว ทุกอย่างที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ชีวิตของเธอมันสงบเงียบเกินไปแล้ว หลายในผ่านไป Jodie ก็คิดขึ้นได้ว่า เธอไม่ได้ต้องการชีวิตแบบนี้ แต่เธอก็ไม่รู้จะเลือกเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครหรือยังไง ? ….ซึ่งคุณผู้เล่นต้องเป็นคนเลือกให้เธอ ชีวิตใหม่ที่เธอเลือกได้ก็คือ


ใช้ชีวิตอยู่กับ Ryan หนุ่ม CIA แฟนเก่า

ใช้ชีวิตอยู่กับ Jay อินเดียนแดงหนุ่มใช้ชีวิตสงบสุขในฟาร์มของเผ่านาวาโฮ่

ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของ Stan ร่วมกับ Walter , Jimmy , Tuesday และน้อง Zoey อดีตเพื่อนคนจรจัดที่ตอนนี้มีอันจะกินแล้ว

หรือเลือกที่จะอยู่….คนเดียว ใช้ชีวิตธรรมดาที่ไม่ธรรมดาของเธอต่อไป


ผม เลือกที่จะให้ Jodie อยู่กับ Ryan เพราะทุกอย่างที่ทั่งคู่ผ่านกันมานั้นมันเลวร้ายจนอยากให้ทั้งคู่ได้พบเจออนาคตทีดีร่วมกันบ้าง …


Jodie ไปดักรอ Ryan ที่หน้าบ้าน ทั้งคู่ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง และ Ryan เองก็ดีใจที่ Jodie หลุดพ้นจากกรอบที่ตัวเองสร้างไว้ได้แล้ว ทั้งคู่ใช้ชีวิตพักผ่นกันอย่างมีความสุขกับการเดินเรือไปพักแรมตามเกาะต่างๆ แต่เสี้ยวนึงที่เข้ามาในความคิดของ Jodie ที่ยังอดนึงถึง Aiden ไม่ได้และคงจะดีไม่น้อยที่จะมีพี่ชายอยู่ใกล้ จู่ๆลูกมะพร้าวก็ถูกเขี่ยเข้ามาหา Jodie และเธอหันไปดูแล้วว้า Ryan ที่กำลังก่อไฟอยู่ไม่ได้เป็นคนทำ ถ้างั้นใครทำ ?


พื้นทรายถูกเขียนด้วยพลังบางอย่างว่า “ฉันยังคงอยู่ทีนี่”


มันเกิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากของ Jodie ท่ามกลางบรรยากาศพระอาทิตย์อัสดงที่สวยงามที่สุดในชีวิตเธอ


ที่หน้าบ้านของ Cole Freeman ที่รอดชีวิตและใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข หลังจากออกมาดูตู้จดหมายเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่วันนี้เขาเจอจดหมายเล็กๆที่แนบมากับภาพวาดด้วยสีเทียนของเด็กน้อยคนนึงที่เขาไม่มีวันลืม และบัดนี้เธอคงเติบโตกับชีวิตให้ที่สวยงามแล้ว Cole มองขึ้นบนฟ้าด้วยรอยยิ้ม


การเดินทางของฉันช่างยาวไกลเหลือเกิน

แต่มันก็สอนให้ฉันรู้จักคำว่า รัก อีกครั้ง

เพราะถ้าวันใดที่คุณมีคนที่ทำให้คุณเชื่อมันในตัวเขา

 คุณก็จะมีความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อเขา

และไม่ว่าวันข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนแปลงและเลวร้ายเหมือนภาพนิมิตรที่ย้ำเตือนฉันมาตลอดหรือไม่

ฉันก็จะเดินไปข้างหน้าและแก้ไขมันด้วยวิธีของฉันเอง ….



                                  Another Side World Ending  

                          
หลังจาก Jodie เลือกที่จะอยู่ใน Infraworld โลกหลังความตาย

Ryan ต้องคร่ำครวญกับร่างที่ไร้ลมหายใจของ Jodie ในโลกแห่งความจริง

ในโลกหลังความตายที่มีทุกอย่างครบครัน ทั้งป่าเขา แม่น้ำ ทะเลสาปเหมือนโลกปกติ

ทุกอย่างอยู่รอบตัวเรา เพียงแค่คุณฟังเสียงของมันอย่างตั้งใจ

ที่นี่ไม่ใช่ทั้งสวรรค์และนรก ไม่มีทั้งพระเจ้าและปีศาจ

เหมือนเป็นที่นึงที่เราแค่อาศัยอยู่หลังจากที่เราตายไปแล้วเท่านั้นเอง

วิญญาณของฉันเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆแบบไม่มีวันจบสิ้น เหมือนกับฉันเป็นแค่เศษส่วนเล็ก

ฉันสามารถไปที่ไหนก็ได้ตามที่ใจปรารถนา สามารถสลายหายไปและเกิดใหม่ได้ทุกเวลา

และสามารถรวมเข้ากับสิ่งอื่นได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ยังรู้สึกโดดเดี่ยวเฉกเช่นตอนเป็นมนุษย์

แต่อย่างน้อยฉันก็สามารถมองเห็นความเป็นในโลกคนเป็น ได้เฝ้าดูผู้คนที่ฉันรัก เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าฉันอยู่ใกล้ๆเท่านั้นเอง 


แต่ฉันก็ โอเค ที่ได้โอบกอดพวกเขาได้ตลอดเวลา เพียงแต่พวกคุณไม่สามารถเห็นฉันก็เท่านั้นเอง


ฉันรู้ดีถึงความรับผิดชอบที่มีกับความชั่วร้ายที่กำลังจะมาถึงจากภาพนิมิตรที่คอยตอกย้ำฉันมากตลอด แต่ก็โชคดีที่ฉันยังอยู่ และอยู่ได้นานเกินพอ .. เพื่อส่งต่อความรู้ทั้งหมดให้กับ “ตัวแทน” เพื่อที่จะ ปกป้องทุกคน และคนๆนั้นก็คือ “ Zoey “


และไม่ว่าจะเลือกทางไหน เลือกอยู่กับใคร อนาคตที่ Jodie ไม่มีวันหลีกเลี่ยง อนาคตที่เลวร้ายของโลกใบนี้ก็ต้องมาถึงในซักวัน เพราะเมื่อความมืดถูกเปิดออกอีกครั้งมันจะไม่มีวันปกลงได้อีกแล้ว และมันจะไม่ใช่แค่ฝันร้ายอีกต่อไป แต่มันจะเป็นความเลวร้ายที่มนุษย์ชาติต้องเผชิญแบบชั่วกัปชั่วกัลย์  ใครจะรู้ว่าคนที่จะช่วยกู้โลกเอาไว้ในอนาคตจะเป็นแค่เด็กสาวคนนึง และอาจไม่ได้ลูกขึ้นสู้แค่เพียง ลำพัง …


            ************************** THE END  ***************************