By Decibel per oxide
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เนื้อหาบทสรุปก่อนหน้านี้
[PAGE 1]
http://decibelperoxide.blogspot.com/2019/11/death-stranding.html
[PAGE 2]
http://decibelperoxide.blogspot.com/2020/01/death-stranding-page-2.html
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Episode 7: CLIFFORD
Deadman – Sam ! … Sam !!
SAM – Deadman
Deadman – ขอบคุณพระเจ้า ติดต่อได้ซักที
SAM – คุณอยู่ที่ไหน?
Deadman – ไม่รู้เหมือนกัน ผมเห็นรถถังกับพวกทหารเต็มไปหมดเลย ดูจากชุดแล้วน่าจะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คิดว่านะ เอ่อ คุณเห็นผู้ชายคนที่เป็นหัวทหารพวกนั้นมั๊ย?
SAM – ยัง
Deadman – ผมคิดว่าเป็นคนเดียวกับที่คุณเคยเล่าให้เราฟังนั่นแหละ
SAM – ไอ้ตัวที่เกิดๆตายๆ นักรบห่วยแตกที่พยายามจะแย่งตัว BB อ่ะนะ?
Deadman – เขาน่าจะเป็นตั๋วกลับบ้านของเราใช่มั๊ย?
SAM – ไม่ต้องมาถามผมเลย ผมแค่เพิ่งเคยมาที่นี่แค่ 2 ครั้งเอง และถ้ายิ่งตอนนี้ไม่มี BB ด้วย ก็คงหาตัวมันยากแน่ๆ
Deadman – งั้นก็โชคดีแล้วเพราะผมเอา BB ติดมาด้วย ผมรอคุณอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน หรือว่าเราเจอกันที่ไหนดี
SAM – รอบๆตัวคุณตอนนี้มีอะไรที่ผิดปกติหรืออะไรที่มันสังเกตง่ายๆบ้างรึเปล่า?
Deadman – ผมอยู่ในท่อระบายน้ำ แต่ เดี๋ยวนะ เอ่อ ผมมองผ่านลูกกรงออกไปเห็นตึก เห็นตึกขนาดใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้ามอ่ะ น่าจะเป็น โบสถ์หรืออะไรซักอย่างนี่แหละ
SAM – เอาล่ะ เดี๋ยวผมลองหาดู ว่ามีทางลงท่อระบายน้ำได้ตรงไหนบ้าง คุณรอตรงนั้นก่อนได้มั๊ย?
Deadman – ยินดีเลย รับรองว่าจะไม่กระดิกแม้แต่นิดเดียวเลยล่ะ
SAM – ถ้าผมไปช้า คุณพอจะรับมือมันไหวมั๊ย?
Deadman – ห๊ะ?
SAM – ก็ไอ้ทหารนั่นมันไม่ได้ตามล่าผม มันตามล่า BB
Deadman – โอ้ ชิบหายแล้ว
SAM – ใช่ ถ้ามันกำลังตามหาใครซักคน นั่นแหละคุณ
Deadman – งั้นรีบมาให้ด่วนเลยแซม
SAM – ผมจะรีบไป ดูแล BB ดีๆล่ะ อ่อ แล้วก็อย่าเชื่อมต่อกับ BB เด็ดขาดเลยนะ เพราะมันจะรู้ตำแหน่งคุณ
Deadman – ตายแล้วววว ผมเชื่อมต่อก็เพราะกลัวตายอ่ะ !!
SAM – งั้นก็หยุดเชื่อมต่อซะ !! เดี๋ยวนี้ !!! แล้วอย่าให้มันเอาตัว BB ไปได้ล่ะ
Deadman – ยังไง พวกเขาเป็นทหารนะจะให้ผมทำยังไง ต่อสู้กับพวกเขาเนี่ยนะ ? ถ้าให้ต้องเลือกระหว่าง BB กับชีวิตของตัวเองล่ะก็ .....
SAM – คุณจะไม่เป็นไรหรอก ผมต้องวางสายแล้วนะ
Deadman – แซม คือ การเป็นผมนี่มันไม่ง่ายหรอกนะ ไม่มีเมีย ไม่มีลูก ไม่มีเพื่อน ก็คงจะทำงานที่นี่ไปจนตายนั่นแหละ ตลอดเวลา 70% คืองาน ซึ่งผมทำมันจนกลายเป็นส่วนนึงในชีวิตและมันก็ทำให้ผมเป็นผมในทุกวันนี้ แต่พอผมได้เจอคุณ มันก็ทำให้ผมเปลี่ยนไป คุณเป็นคนพิเศษมากแซม
[Order No. 54]
Escape the Battlefield
ภารกิจแรกที่แซมต้องทำหลังจากถูกดูดมาที่มิติสงครามโลกอีกครั้งคือ เดินทางเข้าไปพบกับ Deadman ที่ซ่อนตัวรอเขาอยู่ในท่อระบายน้ำ แต่ก่อนจะเดินทางไปที่จุดหมาย เก็บไอเทมติดตัวที่ตกกระจัดกระจายในพื้นที่กลับมาให้หมดก่อน
จากนั้นเดินทางไปยังจุดหมายของภารกิจ สังเกตหาทางเข้าท่อระบายน้ำแล้วเข้าไปด้านในได้เลย เรียนรู้การใช้โหมดไฟฉายของ Odradek ด้วยการกดปุ่มทิศทางขึ้นบน เดินตามเสียงของ Deadman เข้าไปด้านในท่อระบายน้ำเรื่อยๆจนเจอตัวเขา
Deadman – แซม ดูนี่สิ เจ้าตัวน้อยนี่กลับมาทำงานเหมือนเดิมแล้วนะ โอ้ ดูสิยิ้มด้วย
เอ่อ บางที ที่นี่น่าจะเป็นชายหาดแบบพิเศษของพวกทหารที่ตายในสนามรบล่ะมั้ง
SAM – บางทีเราน่าจะไปจากที่ห่านี่ได้แล้ว
Deadman – ชะ ..ใช่ ได้เลย !
SAM – ผมแปลกใจมากเลยนะ นึกว่าคุณเสีย BB ไปแล้วซะอีก
Deadman – ทิ้งฮาร์ดแวร์อันมีค่าเนี่ยนะ ไม่มีวันหรอก .. แล้ว เอ่อ คุณยังแชร์ความทรงจำระหว่างกันได้อยู่รึเปล่า?
SAM – ไม่ได้
Deadman – เข้าใจแล้ว ..
SAM – ดูเหมือนว่าผมจะมีความทรงจำอื่นเข้ามาแทน เอาล่ะ ผมต้องไปจัดการมันก่อน เราจะได้ออกจากที่บ้านี่กันซักที
Deadman – รู้มั๊ยแซม ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไม BB ถึงสำคัญกับคุณมากนัก
SAM – ห๊ะ?
Deadman – มันเป็นแค่เครื่องมือที่ไม่ควรมีเรื่องการมีชีวิตหรือความตายมาเกี่ยวข้อง แต่เรากลับรู้สึกมีความผูกพันกับมัน เหมือนกัน จริงมั๊ย?
SAM – เขาไม่ใช่เครื่องมือ เขาชื่อ Lou
Deadman – Lou งั้นหรอ เป็นชื่อที่ดีนะ
ภารกิจต่อไปแซมต้องจัดการ ชายปริศนา ที่นำกองกำลังทหารออกไล่ล่า BB ลงให้ได้ โดยวิธีกำจัดมันก็เหมือนกับครั้งแรกที่เจอ
เน้นจัดการตัวมันให้ได้ แล้วมันก็จะเกิดใหม่พร้อมกำลังเสริมชุดใหม่เข้ามาโจมตีอีกละลอก จัดการจนกว่ามันจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก
B B
????? – นี่เป็นความผิดของชั้นเอง ชั้นไม่น่า ชั้นไม่น่าเอาเธอใส่เข้าไปในคุกนั่นเลย .BB
เขาอยู่ในนี้ !!
ระบบควบคุมความปลอดภัยถูกปิดการใช้งาน
เราต้องพังประตูเข้าไป ...... ไปเอาเครื่องมือมา !!
+ ข้อมูลการสัมภาษณ์ใหม่
from the report on the Voidout in Manhattan #1
from the report on the Voidout in Manhattan #2
from the report on the Voidout in Manhattan #3
SAM – Lou !!!
Deadman – Lou เป็นยังไงบ้าง?
SAM – ยังไม่ตอบสนองเท่าไหร่
Deadman – ดูสิ เขายิ้มให้ผมด้วยนะ ...คุณสองคนไม่รู้สึกตัวเลยตอนผมพากลับมาที่นี่ ไม่ว่าคุณทำอะไรลงไป คุณทำถูกแล้วที่พาเรากลับมาที่โลกของเราได้ ผมเอาของส่วนตัวคุณใส่ไว้ใน Private Box แล้วนะ คุณหลับไปหลายวันมาก หลายวันเลยล่ะ หลับอย่างกับตายแนะ ตอนนี้ผมกลับไปที่ Capital Knot แล้วนะ ชายหาดของ Fragile ทำงานได้ดีมากๆ
แซม ผมต้องขอโทษคุณด้วยนะ.. คือ ...Lou น่ะเป็นชื่อที่คุณเคยจะตั้งให้ลูกของคุณ ถ้าเขาได้เกิดอ่ะนะ จริงๆ ผมควรประติดประต่อเรื่องทั้งหมดให้ได้เร็วกว่านี้
SAM – ผมไม่เข้าใจ คุณพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย?
Deadman – ผมไปเจอบันทึกจากเมื่อ 10 ปีก่อน .. หญิงสาวคนนึงเกิดตายอย่างฉับพลันที่กลางเมือง ไม่มีใครรู้มาก่อนจนมันสายเกินไป ..จนเกิด Voidout ขึ้นมา สามีของเธอเป็นคนของ Bridges มีความสามารถของ DOOMS พยายามจะช่วยแล้ว แต่เขาก็ช่วยไม่ทัน ก่อนที่เมืองทั้งเมืองจะถูกลบออกจากแผนที่ ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากหลุมขนาดใหญ่แล้วก็เขา เพราะเขาก็เป็นผู้ฟื้นคืน (Repatriate) ผู้คนต่างก็ตั้งคำถามกันมากมายว่า ชายคนนี้เจตนาที่จะซ่อนศพของเมียตัวเองเอาไว้ ยิ่งการที่เขารอดอยู่คนเดียวก็ทำให้เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปโดยปริยาย ผู้คนต่างก็โทษเขาไปแล้ว รวมทั้ง Bridges ด้วย ชายคนนั้นรู้สึกผิด จากนั้นเขาก็หนีหายไป และภรรยาของเขาที่ตายไป เธอชื่อ Lucy ก็ตั้งครรภ์ด้วย พวกเขาตั้งชื่อลูกว่า Lou
SAM – มันเป็นไปไม่ได้
Deadman – แต่มันเป็นไปแล้ว ...ประธานาธิบดี Strand บอกผมเอง เธอพูดถึงคุณตลอด “เขาไม่มีวันเดินหนีไปอย่างไม่มีเยือใยง่ายๆหรอก” เธอบอกแบบนี้
SAM – หุบปากได้แล้ว !!
Deadman – ใจเย็น แซม นั่งก่อน
Deadman – ผมเคยบอกคุณแล้วเกี่ยวกับร่างกายของผม 70% ได้มาจากซากศพ คุณอยากจะรู้มั๊ยว่าเพราะอะไร ? เพราะว่าเรื่องที่คุณได้ยินผมสร้างมันขึ้นมายังไงล่ะ ความจริงก็คือ ผมเป็น Frankenstein เป็นสิ่งที่สร้างขึ้น ที่เติบโตขึ้นมาจาก เซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถแบ่งตัวและพัฒนาเป็นเซลล์ต่างๆที่เรียกว่า pluripotent stem cells และพอเกิดปัญหาที่อวัยวะทั้งหมดของผมล้มเหลว พวกเขาก็แทนที่มันด้วยอวัยวะของคนตาย ผมไม่มีวันเกิด ไม่มีวิญญาณเหมือนตุ๊กตา ไม่มี Ka เป็นแค่คนตาย (Deadman) คนที่เกิดแบบปกติก็จะมีชายหาดของตัวเอง คุณก็มี BB ก็ด้วย แต่ผมไม่มี ไม่มีแม่ ไม่มีชีวิตหลังความตาย ไม่มีชายหาดให้เชื่อมต่อใดๆทั้งสิ้น คุณเห็นรึยังว่าทำไมผมถึงหมกมุ่นอยู่กับงานเพียงอย่างเดียว? ทำไมผมถึงเข้าร่วมกับ Bridges ?
Deadman – …สนามรบนั่น เป็นชายหาดในแบบที่น่ากลัวมากๆแต่ก็แปลกที่ผมกลับไม่รู้เกลียดอะไรมันมาก คงเพราะผมรู้ว่าคุณกำลังเข้ามาหาผม ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆนะ คิดถึงใครซักคน เชื่อมต่อกับคนอื่นๆ “คุณไม่มีวันเดินหนีไปอย่างไม่มีเยือใยง่ายๆหรอก” ท่านประธานาธิบดีพูดถูกจริงๆด้วย
SAM – เดินจากไปอย่างไม่มีเยื้อใยกับ ที่นั่นไม่ต้อนรับผมแล้ว มันไม่เหมือนกันนะ
Deadman – โทษไม่เอาน่า ยังไงผมต้อนรับคุณเสมอแหละ
Deadman – โอ้ นั่นคือสิ่งที่คุณถือติดมาด้วย Dog tag ของทหารสหรัฐ มันคงไม่ได้ติดมือคุณมาง่ายๆใช่มั๊ยล่ะ ดูชื่อนั่นสิ Clifford Unger เห็นมั๊ย? ผมลองค้นหาข้อมูลของเขาดูแล้ว ตรงกันเป๊ะเลย !
Deadman – เขาเคยเป็นหน่วยรบพิเศษของสหรัฐ เคยไปรบที่ Kosovo , Iraq , afghnistan
SAM – นั่นแหละเขาเลยล่ะ
Deadman – นั่นแหละคือทั้งหมดที่เราขุดหาข้อมูลของเขามาได้ แค่นั้นจริงๆ เอาล่ะ ตอนนี้ตัวคุณเปื้อนสสาร Chiral จากสนามรบนั่นจนเลอะไปหมดแล้ว ผมว่าคุณน่าจะไปอาบน้ำได้แล้วนะ ...เอ่อ ผมคงไม่ได้มาเจอคุณซักระยะนะ ปัญหาเรื่อง Die – Hardman ก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว แล้วผมก็เห็นว่าการสนทนาของเราไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วย
Interview data
เรื่อง – From the report on the Voidout in Manhattan #1
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย - Unknown
"ใครกันวะเนี่ย!?"
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่คุณหมอพูดออกมา ในเวลานั้นไม่มีใครรู้ว่าเขาหมายถึงใคร และเพื่อให้ความเป็นธรรมตอนนั้นก็มีปัญหาวุ่นวายที่ต้องทำกันจนล้นมือจึงไม่มีใครสนใจ
หมอที่ว่าคือศัลยแพทย์เฉพาะทางในเรื่อง การผ่าตัดทางหน้าท้องเพื่อนำตัวเด็กทารกในครรภ์ออกมา (Cesarean section) ซึ่งขั้นตอนปกติที่เขาเคยทำอยู่กำลังเกิดสิ่งที่ผิดปกติ ในขณะกำลังช่วยเหลือคนไข้ที่ถูกระบุว่าสมองตายที่ตั้งครรภ์ 7 เดือน เนื่องจากความดันโลหิตของเธอลดลง ทำให้ทารกในครรภ์เกิดภาวะของหัวใจเต้นช้า หมอจึงตัดสินที่จะใช้การผ่าตัดนำทารกออกมา เนื่องจากขั้นตอนดังกล่าวเผยแพร่ให้กับนักวิจัยทางการแพทย์ด้วยวงจรปิดเอาไว้ด้วย เราจึงโชคดีที่มีบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นเอาไว้
จากบันทึกที่ว่า เห็นได้ชัดว่ามีแผนจะนำทารกในครรภ์ออกจากครรภ์และวางไว้ใน ห้องอภิบาลทารกแรกเกิดหรือบางที่เรียกว่าหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดระยะวิกฤต (Neonatal Intensive Care Unit - NICU) ทันที เพื่อให้ทารกได้รับการดูแลที่จำเป็นต่อ แต่ก่อนที่ศัลยแพทย์กำลังจะทำการตัดสายสะดือ นี่คือช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ในช่วงเวลาที่มือศัลยแพทย์จับไปที่สายสะดือ ทันใดนั้นเขาก็สบถคำสุดท้ายที่หยาบคายออกมา "นี่มันใครกันวะเนี่ย!"
เรื่อง – From the report on the Voidout in Manhattan #2
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย - Unknown
จากการทดสอบและการทดลองหลายครั้งสรุปได้ว่า เหตุการณ์ทำลายล้างที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการสัมผัสของศัลยแพทย์กับอะไรบางอย่าง หรือใครคนใดคนหนึ่ง สิ่งที่ทีมแพทย์เห็นเมื่อสัมผัสกับสายสะดือ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันคือ BTs แต่ในเวลานั้น ยังไม่มีใครสามารถอธิบายสาเหตุพื้นฐานของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
บางคนตั้งทฤษฎีว่า หากคิดตามเงื่อนไขเดียวกัน - แม่ที่สมองตาย ทารกในครรภ์ สายสะดือ ทั้งหมดอาจถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ก่อนจะถูกเปลี่ยนแก้ไขในเวลาต่อมาว่ามันคือ BTs สิ่งลึกลับจากปรากฎการณ์ Death Stranding ใช่แล้ว นี่เป็นทฤษฎีพื้นฐานที่รัฐบาลจะต้องทำการทดลองและค้นหาต่อไป พวกเขาเรียกทารกในครรภ์ที่ถูกนำมาใช้งานว่า “ Bridge Babies” และมีการทดลองต่อเนื่องจนกลายเป็นที่รู้จักในชื่อโครงการ “BB Experiments"
หลังจากรัฐบาลได้เดินหน้าโครงการนี้ได้ไม่นาน เหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่แมนฮัตตันก็เกิดขึ้น
เรื่อง – From the report on the Voidout in Manhattan #3
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย - Unknown
โครงการณ์วิจัย BB ( BB experiments) เดินหน้าทำการทดลองอย่างลับๆในที่ Manhattan-based government facility ซึ่งเป็นความลับสุดขีดจนแทบไม่มีใครรู้จักพวกเขาจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่นอนคือการทดลองนี้จบลงด้วยความล้มเหลวจนส่งผลที่น่าเศร้าซึ่งนำมาซึ่ง ความย่อยยับของเกาะแมนฮัตตันรวมถึงการตายของประธานาธิบดีในฐานะผู้ดูแลปฏิบัติการนี้โดยตรง
จากนั้นรองประธานาธิบดี Bridget Strand ก็เข้ามารับตำแหน่ง เธอก็ยุติการทดลอง BB และทำลายข้อมูลการวิจัยที่มีอยู่ทั้งหมด ด้วยความที่เธอเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและแน่วแน่ของเธอในช่วงที่ผู้คนเพิ่งผ่านพ้นความเสียหายจากการเกิด voidout เธอก็ได้เริ่มการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาโดยมีเป้าหมายคือ ยุติความโกลาหลและความไม่สงบที่กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศ เธอสาบานว่าจะอุทิศตนเพื่อสร้างอเมริกาขึ้นมาใหม่จนกว่าจะสำเร็จ
แต่ก็ได้รับการตอบโต้จากกลุ่ม ผู้แบ่งแยกดินแดน ที่ต่อต้านการสร้างประเทศใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าวและรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ปัญหาความขัดแย้งนี้ ทำให้ผู้ที่แอบครอบครองเอกสารการวิจัยลับในโครงการณ์วิจัย BB ( BB experiments) ที่ควรจะถูกทำลายไปแล้วมาทำการ เริ่มการทดลองใหม่อีกครั้งแบบลับๆ อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้นยังไม่มีการสร้าง Unit BB ขึ้นมาได้สำเร็จและการนำ BBs มาใช้ก็ยังคงเป็นข้อห้ามจากรัฐบาลที่เหลืออยู่ในตอนนั้น
Heartman – แซม คุณได้ยินมั๊ย เป็นอย่างที่คุณสงสัยจริงๆนั่นแหละ เวลาที่นี่นั้นหยุดนิ่งตอนที่คุณทั้ง 2 คนถูกดูดไปที่มิติที่มีสนามรบนั่น ถ้าผมคิดถูก มิติที่คุณเดินทางไปนั้นก็คือ ชายหาด ในอีกรูปแบบนึง
ถ้าจะให้อธิบายก็คือ เอ่อ ร่างกายของเรา Ha ของเรา ดำรงอยู่ร่วมกันในโลกเดียวกัน แต่วิญญาณของเรา Ka ของเรานั้นจะมี ชายหาด ของตัวเองที่แตกต่างกันในแบบของตัวเอง ที่ได้รับข้อมูลจากภายในสมองของเราจาก ปรัชญา ความเชื่อทางศาสนาและอื่น ๆ ซึ่งมีผลทำให้ รูปแบบของ ชายหาด สามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม หากมีคนจำนวนมากตายพร้อมๆกันในครั้งเดียวชายหาด ของพวกเขาจะกลายเป็น Strand field ปรากฏการณ์นี้รุนแรงขึ้นหากประกอบด้วยความรู้สึกไม่พอใจและความสิ้นหวัง ทำให้ ชายหาด ของแต่ละคนผสมปนเปกันจนมั่วไปหมดได้ง่ายๆและบ่อยครั้งขึ้น บนชายหาดดังกล่าว ก็จะถูกทำให้หายไปซ้ำไปซ้ำมาไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับการกด Play แล้วก็กด Phrase แล้วก็กด Play แล้วก็กด Phrase วนไปวนมา
ชายหาดที่เป็นสนามรบนั่นก็จะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาตลอดไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งสนามรบที่คุณไปมันอยู่ในยุโรปตะวันออกในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งน่าแปลก เพราะคนที่คุณพบ Clifford Unger เขาไม่มีส่วนในความขัดแย้งนั้นเลย ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน แต่ถ้าคุณเชื่อมต่อผมเข้ากับเครือข่าย Chiral Network ไม่แน่ผมอาจค้นหาข้อมูลจนพบคำตอบก็ได้ ใครจะรู้
Die-Hardman – แซม ทางตะวันตกของที่นี่นั้นเป็นพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยน้ำมันดิน (Tar) เต็มไปหมด
แต่พ้นจากนั้นเป็นมันคือที่ตั้งของ Edge knot city ป้อมปราการสุดท้ายของอารยธรรมที่ใกล้ที่จะที่คุณจะหาได้ มันคือจุดหมายปลายทางของคุณ เมื่อคุณสามารถใช้ Q-pid เชื่อมต่อเครือข่าย Chiral network กับที่นั่นได้เมื่อไหร่ เครือข่ายทั้งหมดก็แผ่กระจายครอบคลุมไปทั่วทั้งทวีป แผนการสร้างอเมริกาขึ้นมาใหม่ของเราใกล้จะสำเร็จแล้ว และอย่าลืมด้วยว่า ที่นั่นคือที่ที่ Amelie ถูกจับอยู่และรอคุณไปช่วยเหลือด้วย เราต้องการให้คุณพาเธอกลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เรายังมีเมืองอีกแห่งที่เราต้องการให้คุณเชื่อมต่อ Heartman จะเป็นคนช่วยให้คุณทำสำเร็จ
Heartman – แซม ผมอยากจะให้คุณนำบางสิ่งมาให้ผมหน่อย อย่างแรกก็ Dog tag ที่คุณได้มาจากทหารคนนั้น ใส่กระเป๋ามาให้ผมเลยอย่าให้หายล่ะ แล้วก็อย่างที่ 2 ก็คือ ศพของ Mama ร่างกายของเธอไม่แสดงให้เห็นถึงการตายของเนื้อเยื่อเลย ผมต้องการจะรู้มากๆว่าทำไม การศึกษาอย่างใกล้ชิดอาจให้ข้อมูลที่ช่วยให้เราเอาชนะ Death Stranding ได้ ก็ประมาณนี้ ...
**** เหลือเวลาอีก 1 นาที ****
Heartman – เอ่อ ผมมีเวลาคุยด้วยได้ไม่มากนะ คุณสามารถรับ Order ของผมได้ที่ terminal ได้เลย ... ผมจะรอนะ
สำรวจ Delivery terminal ที่ Mountain Knot City จะพบภารกิจที่เพิ่มเข้ามา คือ
[Order No. 55] Corpse Delivery: Heartmans Lab
[Order No. 56] Recovery Winter Clothes
จาก E-mail ที่ได้รับจาก Aaeon Hill ที่ส่งมาจาก Mountain Knot City เพื่อติดต่อข้อความช่วยเหลือให้แซมออกไปเก็บชุดกันหน้าของ Deadman ที่ทำตกอยู่ใกล้ๆจากซากกระท่อมที่โดนพายุพัดทำลายไปก่อนหน้านี้
[Order No. 56]
Recovery Winter Clothes
เป้าหมายของภารกิจคือเดินทางไปยังจุดพื้นที่เป้าหมายทางตะวันออกของ Mountain Knot City เพื่อเก็บชุดกันหนาวของ Deadman กลับมา
เพื่อสะดวกในการเดินทาง จำเป็นต้องติดตั้ง Zip Line สำหรับเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างพื้นที่ในเขตภูเขาน้ำแข็งเอาไว้ ก็จะสามารถไป – กลับยังจุดไอเทมตกและจุดรับงานได้ง่ายขึ้น
[Order No. 55]
Corpse Delivery: Heartmans Lab
Lockne – เอาล่ะ แซม ดูแลเธอด้วยนะ แล้วก็ไม่ต้องห่วง เธอจะไม่มีวันเข้าสู่ Necro หรอก Målingen เธอพิเศษกว่าคนอื่น คิดไปมันก็ตลกนะที่เมื่อ Ha ของเราสิ้นสุดลงมันกลับกลายเป็นกุญแจสำคัญในความอยู่รอดของพวกเรา
ภารกิจนี้ต้องขนศพของ Mama จาก Mountain Knot City ไปยัง Heartmans Lab ที่ตั้งอยู่บนภูเขาทางใต้
สามารถใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุดด้วยการเดินทางจาก Mountain Knot City ไปยังที่อยู่ของ Doctor เพื่อความสะดวกจำเป็นต้องติดตั้ง Zip Line จาก The Doctor ขึ้นภูเขาก่อนเพื่อทำให้การไปยังที่ตั้งของ Heartmans Lab นั้นง่ายขึ้น
Heartmans Lab
Heartmans Lab - เชื่อมต่อแล้ว
Heartmans - - เข้าร่วม UCA
+ เพิ่มเติมไอเทมใหม่ที่สามารถสร้างได้ใน Delivery terminals
-Thermal Pad
อุปกรณ์ทำความร้อนสำหรับช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นไม่ถูกแช่งแข็งในระหว่างเดินทางในเขตภูเขาหิมะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนให้เกจ Stamina ให้มากขึ้นและทำให้ฟื้นคืนได้เร็วขึ้นด้วย โดยการใช้งาน ต้องนำมันมาติดไว้ที่ไหล่หรือสะโพก ทำให้เสียพื้นที่ในการขนสินค้นตรงจุดที่แขวนติดกับร่างกายไป ** ใช้แบตเตอร์รี่เป็นพลังงาน **
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Episode 8: HEARTMAN
Heartman – แหม่ คุณมาเจอผมในสถานการณ์ที่น่าละอายพอดีเลย ขายหน้าจริงๆผม แต่ก็ดีใจที่คุณมาถึงที่ได้สำเร็จนะ แซม ... เอ่อ ต้องขอโทษด้วยนะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ ผมก็เป็นของผมแบบนี้ตลอดนั่นแหละ โอ้ ลืมไป เอาร่างเธอไปวางตรงนั้นเลยครับ
Heartman – อืมม ยังคงไม่มีสัญญาณของพวกเขาเหมือนเดิม
SAM – คุณรู้มั๊ยว่าหัวใจของคุณหยุดเต้นน่ะ?
Heartman – มันหยุดทุกยี่สิบเอ็ดนาทีผมมีเวลาสามนาทีที่ชายหาดจากนั้นก็กลับมา มีคนตายและพื้นคืนหกสิบคนต่อวัน … หกสิบโอกาสที่จะผมจะได้ตามหาชายหาดของครอบครัวของผมที่หายไป นี่แหละคือ ชีวิตของผม ในขณะที่คุณที่ว่าเคยไปๆกลับๆจากตะเข็บ (Seam) มาหลายครั้งแล้ว สำหรับผมมันมากกว่านั้นนิดหน่อย ก็ประมาณ สองแสนหนึ่งหมื่นแปดพันกับอีกห้าร้อยสี่สิบเก้าครั้ง
Heartman – ผมเห็นตัวเอง ภรรยา และลูกอยู่ในหลุมที่เกิดหลังการระเบิดนั่น เห็นมั๊ยว่ามันมีรูปร่างเป็นรูปหัวใจ คุณหมอเรียกมันว่า myocardial cordiformia เขาบอกว่า กล้ามเนื้อหัวใจของผมมันผิดปกติอย่างมาก ผมมีรูปถ่ายด้วยนะ คุณอยากรู้มั๊ยล่ะว่าหัวใจของ Heartman มีรูปร่างยังไง? … ไม่ คุณคงไม่อยากดูแน่นอน ..
Heartman – โชคดีที่มันไม่ได้ถ่ายทอดไปสู่ลูกหลาน ผมไม่เคยยอมแพ้ ตั้งแต่วันต่อมาผมก็หมกมุ่นอยู่กับความคิดนี้มาตลอด ความคิดที่ว่า ถ้าชายหาดมันมีจริง และพวกเขาอยู่ที่นั่น ผมก็จะหาวิธีทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น ซัก 3 นาทีต่อครั้งเพื่อไปตามหาพวกเขา ในแต่ละวัน ทุกๆวัน
SAM – ที่คุณทำทั้งหมดนั่นมันทำให้คุณตายจริงๆได้เลยนะ?
Heartman – ตรงกันข้ามต่างหาก ถ้าทุกๆคนมีชายหาดที่แตกต่างกัน งั้นชีวิตหลังความตายของทุกคนก็ต้องแตกต่างกันด้วยไม่ใช่หรอ? ผมค้นพบว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การใช้ชีวิตชั่วนิรันดร์คนเดียว นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจที่จะตามหาครอบครัวของผมและเดินทางไปพร้อมกับพวกเขา
SAM – คุณหมายถึง ตายพร้อมกับพวกเขางั้นหรอ?
Heartman – ถ้าการตายทำให้เราได้พบหน้ากันอีกครั้งล่ะก็ ใช่ แต่กระบวกการควบคุมการเต้นของหัวใจซ้ำไปซ้ำมาทำให้กล้ามเนื้อหัวใจของผมมันผิดรูปขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เริ่มเรียกผมว่านักวิจัยชายหาด Heartman ..ผมดีใจมากที่เราได้มีโอกาสได้คุยกัน
Heartman – ร่างกายของเธอไม่มีการเน่าเปื่อย ไม่มีวี่แววของการสลายตัวราวกับว่าเธอยังมีชีวิตอยู่เลย เป็นมัมมี่ที่สมบูรณ์แบบมาก เป็นศพไร้ที่ติจริงๆเลย
SAM – คุณกำลังหาอะไรหรอ?
Heartman – หาของบางอย่างที่คุณควรจะนำมาด้วย อยู่ไหนกันนะ? … อ่า เจอแล้ว
SAM – เดี๋ยว Deadman เขา …
Heartman – มันดูเหมือนสายสะดือ ถ้าคิดไม่ผิดน่าจะเป็นของมนุษย์นะ แต่นี่ไม่ใช่ท่อที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างทารกในครรภ์กับรกของแม่แบบธรรมดาทั่วไป มันดูคล้ายกับการโยงของ BT นี่เป็นของ Mama ใช่มั๊ย? อืมมม ร่างกายที่ไม่เน่าเปื่อยกับสายสะดือที่เชื่อมต่อกับชายหาด มันเป็นการค้นพบที่น่าถึงมากเลยล่ะแซม มากพอที่จะทำให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม
** อีก 5 นาที หัวใจจะหยุดเต้น **
Heartman – เอ่อ ผมขอโทษด้วยนะ ถ้าการสนทนาของเราจะไม่สามารถทำได้นานมาก นั่งก่อนสิ แซม ผมคงต้องกลับไปที่ชายหาดเพื่อตามหาเมียและลูกของผมต่อแล้ว
Heartman – 1 คน 1 ชายหาด นั่นเป็นกฎ แต่ยกเว้นผม ชายหาดของผมสามารถเชื่อมต่อได้กับชายหาดของคนอื่นๆได้ ราวกับว่ามันเป็นผลประโยชน์มาจากการบายพาสหลอดเลือดหัวใจ บางทีหัวใจที่บิดเบี้ยวของผมอาจะทำให้มันทำแบบนั้นได้ก็ได้
Heartman – ผมรู้แค่ ยังไงต้องต้องหาพวกเขาให้เจอให้ได้แค่นั้นแหละ แม้ว่าการไปที่ชายหาดต่างๆของผมจะทำให้เกิดคำถามใหม่ๆตามมาอีกมากมายก็ตาม
ซึ่งผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ในซักวัน ..... ซักวัน
** อีก 3 นาที หัวใจจะหยุดเต้น **
Heartman – สนามรบนั่น ที่คุณเคยถูกนำพาให้ไปติดอยู่ที่นั่น ทำไมทหารยุคสงครามโลกจึงต้องเดินไปตามชายหาดเป็นเวลานับศตวรรษหลังจากที่พวกเขาตายไปแล้วด้วยล่ะ? ปกติวิญญาณจะต้องจากไปหลังจากที่ตายไปแล้ว ชายหาดเป็นเพียงแค่ทางเดินเพื่อนำพาพวกเขาผ่านไปยังโลกหน้าแค่นั้น แต่ หากวิญญาณเหล่านั้นเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะคงอยู่ต่อสืบเนื่องจากความไม่พอใจ ความรู้สึกเหล่านี้อาจมีพลังมากพอที่จะทำให้เกิดชายหาดที่แตกต่างออกไปได้ จนเกิดเป็นกองทัพต้องสาปจากนรกขึ้นมา .... Clifford Unger .. ความทุกข์และความเกลียดชังของเขารวมกับของ BB ของคุณ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาบางอย่างที่นำสนามรบเหล่านี้มาสู่โลกของเรา … แต่ มันเป็นเพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้นเอง
** เหลืออีก 2 นาที หัวใจจะหยุดเต้น โปรดเตรียมดำเนินการเพื่อความปลอดภัย **
SAM – คุณคิดว่า Higgs เป็นคนดึงสายเชื่อมต่อของพวกเขามาที่นี่งั้นหรอ? ดึงพวกนั้นมาทั้งหมดเลยหรอ?
Heartman – ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ มีหลักฐานบ่งชี้ว่าฮิกส์นำพวกเขามาที่นี่
** เหลืออีก 1 นาที หัวใจจะหยุดเต้น โปรดหาที่ยึดเกาะเพื่อความปลอดภัย **
Heartman – โอ้ เกือบลืมไป ผมมีอะไรอยากจะถามหน่อย ...
** เปิดการใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยของห้องทดลอง**
Heartman – ใจเย็น ไม่ต้องกลัว รอผมกลับมาก็แล้วกันนะ เวลาที่ชายหาดมันหยุดนิ่ง แต่ที่ตะเข็บ (The Seam) ไม่ใช่ คุณพักตามสบายนะ ก็แค่ 3 นาทีสำหรับคุณ ..แต่ค่อยกลับมาคุยต่อก็แล้วกัน
Heartman – โชคไม่ค่อยดีเลยแฮะ … ไปเยี่ยมเยือนมา สองแสนแปดหมื่นห้าร้อยห้าสิบ โอ้ โทษที เราคุยถึงไหนกันแล้วนะ
Heartman – ปกติผมจะใช้เวลายี่สิบเอ็ดนาทีต่อรอบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เป็นการพบกันแบบตัวต่อตัวในจำนวนมากต่อ 1 รอบ
SAM – ใช้ชีวิตแบบนี้คงไม่ง่ายเลยสินะ
Heartman – ทั้งใช่ และ ไม่ใช่ ตอนนี้ผมคุ้นเคยกับมันแล้ว มันไม่ได้เป็นภาระหรือยุ่งยากอะไรเลย ทั้งการขับถ่าย ชำระล้างร่างกาย การกินอาหาร มันเป็นฟังก์ชั่นพื้นฐานของชีวิตที่ทำได้ง่ายๆภายในเวลายี่สิบเอ็ดนาทีสบายๆ แต่ก็มีเรื่องการนอนหลับนี่แหละที่เป็นเรื่องยุ่งยากหน่อย และก็ การมีเพศสัมพันธ์ ก็ด้วย คิดว่านะ แต่คนอย่างผมคงไม่มีอะไรต้องกังวัลเท่าไหร่หรอก
Heartman – แล้ว เอ่อ คุณชอบอ่านหนังสือบ้างมั๊ยแซม? ฟังเพลงล่ะ? หรือว่า ดูหนัง? รู้มั๊ยผมสะสมพวก เพลง รายการโทรทัศน์ หนังสั้นบางเรื่อง ทุกอย่างล้วนสิ้นเปลืองเวลา 21 นาทีทั้งนั้น ทั้งหมดนี้มาจากโลกก่อนเกิด Death Stranding .. แน่นอนล่ะ แต่เอาจริงๆ ผมก็ใช้ฉเวลายี่สิบเอ็ดนาทีอยู่ที่นี่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ก็แค่รอเวลาเพื่อกลับไปค้นหาต่อ ร่างกายผมอาจจจะอยู่ที่นี่ตรงนี้ แต่วิญญาณผมไปอยู่ที่ชายหาด ผมพร้อมที่จะตายอยู่ตลอดนั่นแหละ
SAM – ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ผมก็เสียครอบครัวจากการอุบัติเหตุเหมือนกัน
Heartman – ว้าว ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าคุณจะเปิดอกคุยกับผมแบบนี้
Heartman – มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมาก เพราะผมก็สูญเสียครอบครัวจากอุบัติเหตุนั่นเหมือนกัน ผมอยู่ในห้อง ICU กำลังผ่าตัดหัวใจ อยู่นอกเมือง หลังจากทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ในขณะที่กำลังพักฟื้น เมียกับลูกของผมก็กลับไปที่บ้านเพื่อเก็บของบางอย่างมาให้ผม แล้วหลังจากนั้นก็เกิด Voidout ..โรงพยาบาล รอดมาได้ แต่คลื่นการทำลายล้างของมันทำให้เกิดไฟดับ และเครื่องช่วยชีวิตของผมก็ ...
ผมตื่นขึ้นอีกครั้งที่ชายหาด พร้อมผู้คนมากมายที่ตายจาก Voidout ครั้งที่ 2
แล้วผมก็เห็นเมียกับลูกของผมอยู่ในขบวนนั้นด้วย
Heartman – เฮ้ นี่ผมเอง ผมอยู่นี่ คุณจะไปไหนน่ะ เดี๋ยวสิ !!
Heartman – อย่าทิ้งผมไว้ที่นี่ !!
Heartman – ไม่ ไม่ !! อย่าไป !!! ได้โปรด อย่าไป !!!!
Heartman – เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองของห้อง ICU เริ่มทำงาน และผมก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยเครื่องกระตุ้นหัวใจ หลังจากที่หัวใจหยุดเต้นไป 21 นาที นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นครอบครัวของผม ถ้าไอ้หัวใจบ้านี่มันหยุดเต้นไปตั้งแต่ตอนนั้นเราคงไม่ต้องพรากจากกัน และ นั่นแหละคือเหตุผลที่ผมอยากจะเจอครอบครัวของผมอีกครั้ง ในซักวัน นั่นแหละคำจำกัดความของผม Heartman
Heartman – ตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มเดินทางไปยังชายหาดของคนอื่นได้ ผมก็เริ่มติดตามค้นหาครอบครัวของผมที่ชายหาดมาตลอด เมื่อไหร่ที่เหนื่อย ก็กลับมาที่นี่เพื่อทำการวิจัยของผมต่อ แม้ว่าหัวใจของผมจะหยุดเต้นแต่ความเจ็บปวดก็ยังคงอยู่
** อีก 5 นาที หัวใจจะหยุดเต้น **
SAM – โทษนะ เอ่อ ก่อนที่คุณจะกลับไปที่ชายหาดอีก จะว่าอะไรมั๊ยถ้าผมจะถามว่า ตกลงคุณให้ผมมาทำอะไรที่นี่ ?
Heartman – โอ้ แน่นอน เอาล่ะ นี่คือตำแหน่งของ Prepper ทั้งหมดที่ตั้งอยู่รอบๆบริเวณนี้ บางแห่งเป็นสถานีวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของเราเพื่อเก็บวัตถุดิบสำคัญทางธรรมชาติต่างๆในช่วงก่อนจะเกิด Death Stranding
SAM – วัตถุดิบประเภทไหนหรอ?
Heartman – โลกของเรามีอายุยืนยาวมาก มันย่อมมีความทรงจำจากอดีตเหลืออยู่ และ แต่ล่ะชั้นของหน้าดินของพื้นผิวโลกนี่แหละจะบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดได้ บางวัตถุดิบสามารถนำเรากลับไปจุดแรกเริ่มของการกำเนิดโลกของเราได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งลึกลงไปนั้นยังมีหลักฐานทางธรณีวิทยาอีกมากมายที่ไม่โดน Death Stranding ทำลาย ซึ่งมีเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่เป็นเพื่อนร่วมงานของผมที่ไปต้ั้งรกรากเพื่อสำรวจค้นหาก่อนหน้านี้ ผมอยากให้คุณช่วยทำให้เขาเชื่อมต่อกับเครือข่าย Chiral network ให้หมด
Heartman – Amilie เสนอให้เราสร้างบทความการวิจัยของเราตามแนวเทือกเขาแห่งนี้ จากที่มีการขุดค้นหามาทั่วโลก แต่ที่นี่เป็นพื้นที่เดียวที่มีซากดึกดำบรรพ์จากช่วงปลายยุคครีเทเชียส ตอนที่ไดโนเสาร์สูญพันธ์ ซึ่งสัณนิฐานว่าหลักฐานสุดท้ายอยู่ที่นี่ คุณเห็นมั๊ย มันซ่อนตัวอยู่ใต้โลก ความทรงจำของการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ เบาะแสที่สามารถบอกเราได้ว่าจะอยู่รอดในสถาการณ์นี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าเราเป็นความหวังของ Amelie ในฐานะส่วนหนึ่งของทีมที่เป็นแนวหน้าของเธอ เธอจึงมอบหมายให้เราตั้งทีมสนัสนุนเอาไว้ที่นี่ สิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวจากอดีตที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันจะช่วยเราในการสร้างอนาคต เธอเอาใจใส่พวกเราเป็นอย่างมากจนเป็นที่ประทับใจก่อนที่เธอจะเดินทางไปตะวันตก
** อีก 3 นาที หัวใจจะหยุดเต้น **
Heartman – หุบปากไปเลย ! ผมปิดเสียงมันเลยดีกว่า
Heartman – ในเวลาต่อมาเราเริ่มสังเกตเห็นสิ่งที่ผิดปกติในบริเวณแถบธารน้ำมันดินนอกเมือง Edge knot city ปริมาณของน้ำมันดินที่มากขึ้นเริ่มทำให้มันเริ่มขยายอาณาเขตกินอาณาบริเวณออกมากว้างมากขึ้น มันอาจทำให้ผมต้องเสียเพื่อนร่วมงานไปหลายคนรวมถึง Chiral waystation ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดทั้งหมดมาท้าทายการหาคำอธิบายสำหรับผมมากๆ
SAM – คิดว่าเป็นฝีมือของ Higgs รึเปล่า?
Heartman – ผมไม่รู้ แต่ ผมต้องการ waystation นั่น มันจำเป็นอย่างมากต่อการขยายเครือข่าย Chiral Network ไปสู่ตะวันตก นั่นแหละคือเหตุผลที่ผมเรียกตัวขึ้นมาที่นี่เพื่อให้ช่วยสร้างมันขึ้นมาใหม่ ที่นั่นยังขาดแคลนอุปกรณ์ต่างๆอีกมาก ซึ่งเราต้องรวบรวมเก็บเล็กผสมน้อยจากแต่ละที่เพื่อนำส่งไปให้ ไม่เหมือนกับตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆแน่นอน
Heartman – แซม ผมต้องการให้คุณนำเอา Q-pid ไปเชื่อมต่อกับพวกนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นให้เข้าสู่เครือข่ายของเราก่อนที่คุณจะมุ่งหน้าไปหา Amelie หลังจากนั้น เราก็จะได้สามารถกลับไปที่งานวิจัยที่สำคัญ คือการค้นคว้าเกี่ยวกับ Death ---
Die – Hardman – ไม่ต้องห่วงเขาหรอกแซม ที่พื้นมีเบาะแรงดันอากาศเพื่อลดแรงกระแทกอยู่ เดี๋ยวผมปลดล็อกเปิดประตูให้ก็แล้วกัน แล้วก็คุณได้ยินเขาบอกแล้วนะ คุณเข้าไปรับภารกิจที่ Delivery terminal ของที่นี่ได้เลย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Interview data : Lucy's reports
เรื่อง – Report: Concerning the Voidout in the Satellite Town of UCA-01-0C
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย – Unknown
**ได้จาก Order 596 (ส่งของจาก Heartman ถึง Mountain Knot)**
UCA-01-032 ถูกลบออกจากแผนที่โดย Voldout แบบไม่เหลืออะไรเลยนอกจากร่องรอยการระเบิดที่เหมือนปากปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ การก่อการร้ายถูกต้องเป็นข้อสงสัยก่อนเป็นอันดับแรก แต่การสืบสวนที่ทันสมัยของ Bridges ทำให้สามารถตัดออกความเป็นไปได้นี้ออกไปได้อย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็สรุปได้ว่า สาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็น ศพของพลเรือนที่ถูกทิ้งไว้ในเขตที่อยู่อาศัยของเมืองโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ผู้ตายคือ Lucy Strand ที่น่าเศร้าคือเธอกำลังตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือน เด็กคนนั้นได้รับการตั้งชื่อว่า“ ลู” สาเหตุของการเสียชีวิตคือได้รับการใช้ยาเกินขนาด อาจโดยเจตนา แม้ว่าจะยังมีไม่การยืนยันในเวลานี้ข้อมูลก็ถูกส่งไปยัง Bridges HQ เพื่อการวิเคราะห์ เพื่อเฝ้าระวัง แต่ ผลลัพธ์ยังไม่สามารถสรุปได้
Sam Strand คือสามีของลูซี่ ที่เพิ่งเริ่มออกเดินทางไปไม่นานก็เริ่มกังวลเมื่อเขาไม่สามารถติดต่อกับภรรยาของเขาได้ แม้ว่าเขาจะพยายามกลับบ้าน แต่ voidout ก็เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เขามาถึง แซมเป็นผู้รอดชีวิตจากการระเบิดเพียงคนเดียว ในขณะที่ภรรยาที่ตายไปของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Bridges ซึ่งตัวแซมเองก็เป็นถึงลูกชายของประธานาธิบดี Strand รัฐบาลจึงต้องเข้ามาให้การสนับสนุนในฐานะองค์กรที่ได้รับความเดือดร้อน ทำให้หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ถึง การวางแผนรับมือและการบริหารจัดการเหตุด่วนเหตุร้ายที่ผิดพลาด รวมถึงสิทธิและการให้ความสำคัญขององค์กรอย่าง Bridges และประธานาธิบดีเองที่ดูเลื่อมล้ำเมื่อเทียบกับประชาชนทั่วไป
บางคนเชื่อว่า Sam Strand มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของภรรยาของเขาและเขาควรมีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในขณะที่ทั้งรัฐบาลและ Bridges ที่พยายามปกป้องเขาอยู่ไม่นานก็งแรงกดดันจากประชาชนที่เพิ่มมากขึ้นไม่ไหว สุดท้าย Sam Strand ลาออกจาก Bridges และหายตัวไปไม่มีใครได้พบเห็นเขาอีกเลย
เรื่อง – Report #1
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย – Lucy
** ได้จาก Order 586 (ส่งของจาก Heartman ถึง Roboticist)**
ชั้นเพิ่งทำการบำบัดครั้งแรกกับ Sam Strand เสร็จ แน่นอนว่าไม่ได้ทำเพราะการร้องขอของผู้ป่วยหรอก แต่เพราะแม่บุญธรรมของเขา ประธานาธิบดี สแตรนด์ ที่เดินเข้ามาหาชั้นด้วยความหวังว่าชั้นจะช่วยลูกชายของเธอเอาชนะโรคกลัวการถูกสัมผัส (Aphenphosmphobia)
แซมคือ ... กรณีศึกษาที่น่าสนใจ แม้เขาจะไม่เต็มใจนักแต่เขาก็ตระหนักดีว่าเขามีอาการแบบนั้นจริงๆและมันจะทำให้เขากลุ้มใจมากชั้นสงสัยว่ามันอาจเกิดจากการบาดเจ็บในวัยเด็ก แต่น่าเสียดายที่เรารู้และเข้าใจเรื่องนี้แค่ผิวเผินและชั้นก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่ามันจะเป็นยังไง
เช่นเดียวกับสมาชิกในทีมหลักของ Bridges หลายคน แซมเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัตินี้ แต่เขามีความสามารถของ DOOMS ที่ไม่เหมือนคนอื่นเพราะเขายังเป็น ผู้ฟื้นคืน (repatriate) ด้วย และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ อาการของโรคกลัวการถูกสัมผัส (Aphenphosmphobia) ของเขาหรือไม่ชั้นไม่สามารถพูดได้ในเวลานี้ แต่เขาไม่เป็นคนแรกหรอกที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลัว ความสามารถของตัวเอง
ตอนที่เขายังเด็ก แซมสูญเสียทั้งพ่อและแม่แต่ก็ได้ ประธานาธิบดี Strand รับเป็นลูกบุญธรรมของ และเนื่องจากความรับผิดชอบต่องานบริหารประเทศแบบหามรุ่งหามค่ำในฐานะ ประธานาธิบดี ชั้นเดาว่าเธอไม่คงไม่มีเวลาดูแลแซมอย่างเพียงพอ ซึ่งกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกันของแม่บุญธรรมของเขาอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนก็ได้ อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แซมเองก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือมากนักในการเล่าถึงเรื่องของตัวเอง เขาเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ทำให้ชั้นต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้วางใจและโน้มน้าวให้เขาเปิดใจกับชั้น
เรื่อง – Report #2
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย – Lucy
** ได้จาก Order 588 (ส่งของจาก Heartman ถึง Doctor) **
แม้กระบวนการรักษาอาจมีความคืบหน้าช้าหน่อย แต่แซมก็เริ่มเปิดใจให้ชั้น แต่อย่างไรก็ตามความทรงจำในวัยเด็กของเขายังดูสับสนและขัดแย้งกัน เขามีปัญหาในการแยกแยะระหว่างความทรงจำที่แท้จริงและความฝันที่เกิดขึ้นซ้ำๆซากๆ แซมยังอ้างว่าได้พบกับน้องสาวของเขาที่ชื่อ อมีเลีย บนชายหาดหลายครั้งในขณะที่ยังเด็กอยู่ ซึ่งมันเอามาใช้อ้างอิงอะไรไม่ได้เลย
ชั้นอายุมากกว่า Sam นิดหน่อย แต่ชั้นเกิดก่อนที่เกิดปรากฎการณ์ Death Stranding ซึ่งมันค่อนข้างมีผลกระทบต่อวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับชายหาด ในความเห็นของชี่นนะ ชั้นคิดว่าชายหาดเป็นส่วนหนึ่งของอุปทานหมู่ของเรา เป็นความเข้าใจผิดที่ทำต่อๆกันโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่คนที่เกิดหลังปรากฎการณ์ Death Stranding ยอมรับและไม่คาดหวังให้ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง พยายามเอาตัวรอดก็เท่านั้น ชั้นคิดว่าถ้าพวกเขามีความเชื่อที่มากว่านี้ มันคงจะช่วยอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆอย่างพวก BT หรือพวกผู้ฟื้นคืน (Repatriates ) อย่างแซมได้ง่ายขึ้น
ทฤษฎีของชั้นก็คือ ความทรงจำในวัยเด็กของแซมที่สร้างขึ้นบนชายหาดเป็นวิธีการรับมือกับความจริงที่ว่าทั้ง Amelie และ Bridget ไม่ได้ใช้เวลากับเขามากนัก ชั้นเชื่อว่านี่เป็นเหตุผลที่เขายังคงห้อย Dreamcatcher ที่ Amelie ให้เขาแม้ตอนนี้เขาจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม จะเรียกมันป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความอุ่นใจของเขาก็ได้ มันอาจเป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะอาการของโรคกลัวการถูกสัมผัส (Aphenphosmphobia) ของเขา ถ้าแซมลดระยะห่างทางความรู้สึก (Emotional Distance) ระหว่างเขากับ Amelie ลงให้มากกว่านี้ มันอาจช่วยลดความรู้สึกต่อต้านต่อความใกล้ชิดทางกายภาพที่แซมมีลงได้ ชั้นจะเสนอวิธีการนี้ให้เขาในการพูดคุยครั้งต่อไปของเรา
เรื่อง – Report #3
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย – Lucy
*ได้จาก Order 597 (ส่งของจาก Heartman ถึง Mountain Knot City)*
มันไม่ใช่เรื่องแปลก ที่แซมไม่ยอมรับคำแนะนำของชั้นและปฏิเสธการประเมินความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Amelie เขายืนยันว่าเขาไม่ได้พึ่งเธอหรือ Bridget และถึงขั้นตั้งคำถามกับชั้นในฐานะนักจิตบำบัด
ความไม่เห็นด้วยต่อความคิดนี้ของเขาเป็นเพียงหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดถึงเรื่องการไว้เนื้อเชื่อใจของเขา ถึงแม้ว่าชั้นจะทำอะไรไม่ได้มากหากแซมยังคงไม่ให้ความร่วมมืออยู่แบบนี้ แต่ชั้นก็ยังจะพยายามทำต่อไปและหวังว่าในที่สุดเขาจะเปลี่ยนความคิด ชั้นตัดสินใจที่จะเน้นไปที่ความรู้สึกของแซมที่มีต่อ Bridget และองค์กรของเขาแทน เนื่องจากมีการก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนและปกป้องแม่บุญธรรมของเขาและสมาชิกหลักคนอื่นๆก็มีความสามารถของ DOOMS เหมือนกับเขาด้วย ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของแซมเนื่องจากแผนการขยายเครือข่ายของ Bridges กลับทำให้สถานภาพของความเป็นผู้มีความสามารถของผู้ฟื้นคืน (Repatriate) อยู่ภายใต้แรงกดดันมากขึ้น และชั้นสงสัยว่าแซมจะยังคงมีศรัทธาที่แรงกล้าและมีความกระตือรือร้นในการทำภารกิจให้ Bridges ได้จริงจังแค่ไหนด้วย
ซึ่งถ้ายึดจากที่เราใช้เวลาร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ ชั้นเชื่อว่าที่แซมยอมเล่นบทนี้อาจเพราะมันช่วยให้เขารับมือกับความรู้สึกแปลกแยกของตัวเองได้ ตามที่เขาให้คำมั่นเอาไว้ว่า ขอเลือกความพยายามที่เป็นไปไม่ได้ ดีกว่าแค่มีชีวิตและตายเพียงลำพัง
เรื่อง – Report #4
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย – Lucy
ได้จาก Order 584 (ส่งของจาก Mountain Knot City ถึง Heartman)
เมื่อชั้นตัดสินใจแล้วว่าต้องใช้วิธีการอื่นในการเยียวยารักษาสภาพจิตใจของแซม ดังนั้นชั้นจึงขอเข้าพบกับประธานเพื่อขอความเห็นชอบ "ดุลยพินิจเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากข้อมูลใด ๆ ที่แนะนำให้เธอไปเพื่อใช้ในการรักษาสุขภาพจิตจนสำเร็จอาจทำให้เธอได้เปรียบต่อคู่ต่อคู่แข่งของเธอ" ก่อนจะปิดท้ายว่า การประชุมถูกระบุว่าเป็นการสนทนาจะถูกบันทึกอย่างเป็นทางการ ซึ่งจริงๆแล้วชั้นต้องการจะเข้ามาขอคำแนะนำให้ทำตามแผนของชั้นไม่ใช่ทำตามแบบที่พวกเขาต้องการ
ชั้นเริ่มด้วยคำถามเกี่ยวกับวัยเด็กของแซม ซึ่งท่านประธานาธิบดีก็ตอบด้วยคำขอโทษจากใจจริงทันที ซึ่งชั้นสารภาพเลยว่าความตรงไปตรงมาของเธอทำให้ชั้นตกใจ ท่านประธานาธิบดีบอกว่าเธอเสียใจอย่างยิ่งที่เธอไม่สามารถมีส่วนร่วมกับเขาทั้งทางร่างกายและทางความรู้สึกแบบที่คนที่เป็นแม่ควรจะทำ บางครั้งมันรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังขอโทษลูกชายของเธอกับชั้นแทน ความเป็นคนเปิดเผยและจริงใจของเธอช่างน่ายกย่องยิ่งนัก
ท่านประธานาธิบดีบอกชั้นว่า Amelie ลูกสาวของเธอเป็นคนดูแลแซมในช่วงที่เธอไม่อยู่ แม้เธอเล่าแบบปกปิดรายละเอียดบางอย่างไว้ แต่อย่างน้อยเธอก็เปิดเผยว่า Amelie มักจะพาแซมไปเดินเล่นบนชายหาดกับเธออยู่เสมอ ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ประธานาธิบดี Strand ใหคำแนะนำว่า ช่วงเวลาที่ Sam กับ Amelie ใช้ร่วมกันอาจมีความเกี่ยวข้องกับอาการป่วยในตอนนี้ของเขาก็ได้ ...
เรื่อง – Report #5
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย – Lucy
ได้จาก Order 585 (ส่งของจาก Mountian Knot City ถึง Heartman)
ประธานาธิบดี Strand รักลูกชายของเธอ การพบปะกันพูดคุยกันระหว่างเธอกับชั้นยืนยันเรื่องนี้ได้โดยไม่มีข้อสงสัย คำถามคือ แซมรับรู้ความรักของแม่ของเขาหรือเปล่า ทั้งแซมและท่านประธานาธิบดีพูดคุยเกี่ยวกับชายหาดราวกับว่ามันเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง แน่นอนว่าชั้นยังคงมั่นใจว่ามันไม่มีอยู่จริง มันเป็นอุปทานหมู่ มันเป็น สถานที่เยี่ยมเยือน ที่โครงสร้างทางจิตของ Sam และ Amelie สร้างขึ้นมา แซมคงไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันถูก "ปลูก" ในใจของเขา คำอธิบายนี้สอดคล้องกับคำกล่าวอ้างของแซมที่เคยบอกชั้นว่า เขาไม่เคยไปที่ชายหาดได้ด้วยความตั้งใจของตัวเองเลยซักครั้ง
ถ้าเกิดว่า ลึกๆแล้ว แซมได้พัฒนาสิ่งที่เขาได้รับมาโดยไม่รู้ตัวหรือมีความโหยหาชายหาดประหนึ่งกับเป็นความรู้สึกของเขาที่มีต่อน้องสาวและแม่ของเขาล่ะ? ซ้ำร้าย ถ้าพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเนื้อแท้ของเป้าหมายที่แสดงถึงความเคารพนับถือที่มีต่อกันล่ะ? คิดแล้วก็ไม่อยากจะจินตนาการต่อเลย ประธานาธิบดี Strand เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถพิเศษที่แสดงออกในเชิง panromantic (การแสดงความรักแบบไม่ได้สนใจเพศ) ออกมาอย่างชัดเจนเหมือน Amelie ลูกสาวของเธอ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมทั้งคู่ถึงสามารถสานต่องานสร้างประเทศอเมริกาขึ้นมาใหม่ได้อย่างสมบูรณ์เหมือนเป็นคนเดียวกัน และรักแท้ของหนึ่งเดียวของพวกเธอก็คือ แซม ในทางกลับกันชั้นวินิจฉัยว่ามันคือ Demisexual หรือ รูปแบบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากความผูกพันทางใจ แน่นอน ความต้องการทางเพศของเขาถูก จำกัด อย่างเข้มงวดกับผู้ที่เขาต้องการเชื่อมต่อทางอารมณ์ ซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวเช่น Amelie เป็นเรื่องธรรมดาที่แซมจะมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่มากขึ้นกับคนที่เขาคำนึงถึงทางอารมณ์อย่างใกล้ชิด สำหรับเด็กสิ่งนี้อาจนำไปสู่ความเคารพ แต่ในทางศาสนศาสตร์ ก็ยังมีความขัดแย้งโดยธรรมชาติในเรื่องนี้อยู่ดี
ชั้นได้ข้อสรุปว่า ความขัดแย้งนี้เป็นรากฐานของอาการของโรคกลัวการถูกสัมผัส (Aphenphosmphobia) ของแซม
เรื่อง – Report #6
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย – Lucy
**ได้จาก Order 544 (ส่งของจาก Distr. Center North of Mountain Knot City ถึง Heartman)**
ชั้นตัดสินใจที่จะแบ่งปันกับแซมในทฤษฎีการทำงานของชั้นเกี่ยวกับอาการป่วยของเขา แน่นอนชั้นเตรียมพร้อมต่อแรงต้านที่ต้องเกิดขึ้น แต่ความโกรธของเขารุนแรงมากกว่าที่คิด เขาจ้องเขม็งมาที่ชั้นเหมือนกับเขาพยายามบอกว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการประเมินของชั้นแบบสุดๆราวกับเขาเพิ่งโดนพวกคลั่งลัทธิสะกดจิตมางั้นแหละ มันเป็นครั้งแรกที่ชั้นพยายามเกลี้ยกล่อมเขาจากการตอบสนองทางอารมณ์ที่รุนแรง
ในขณะที่ชั้นพบว่ามันเริ่มจะน่ากลัวนิดหน่อยแล้วนะ แต่ก็พยายามอย่างที่สุดที่จะรักษาความเป็นมืออาชีพ เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคนี้ไปให้ได้ การลดระยะห่างระหว่างเรา คือวิธีที่ชั้นบอกกับตัวเอง แต่ ... ในทางกลับกัน ส่วนนึงของชั้นกับรู้สึกยินดีกับการตอบสนองในเชิงรุกของเขา
แซมบอกว่าเขาเป็นผู้ฟื้นคืน (Repatriate) ชั้นท้าทายเขาด้วยการพูดว่า“ ผู้ฟื้นคืน (Repatriate)” งั้นหรอ? เรื่องพวกนี้มีแต่ในนิยายหรือประสบการณ์ของคนที่ใกล้ตายเท่านั้นแหละ เรื่องคนๆนึงจะใช้ชายหาดร่วมกันนั่นก็เหมือนกัน ชั้นย้อมใจตัวเองเพื่อกดดันเขาต่อ ด้วยการบอกให้เขาตื่นจากภวังค์ เลิกจินตนาการถึงเรื่อง โลกอีกด้าน บ้าบอนั่นซะที
นาทีนั้นชั้นคิดว่าเขาต้องระเบิดความโกรธออกมาอีกครั้งแน่นอน แต่เขากลับได้แต่เงียบ และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนขึ้นแล้วออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลย ชั้นกลัวว่าชั้นอาจกดดันเขามากเกินไป ...
เรื่อง – Report #7
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย – Lucy
**ได้จาก Order 545 (from Distr. Center North of Mountain Knot City ถึง Heartman)**
โอ้พระเจ้า จะเริ่มจากตรงไหนดี ...
แซมกลับมาในการนัดหมายพูดคุยเกี่ยวกับการรักษาในวันนี้ แบบตรงเวลาด้วย ชั้นจำได้ว่าเขาดูสงบกว่าเดิม คิดในแง่ดี เขาอาจจะกำลังคิดว่า มันก็จริง จากการพูดคุยกันครั้งล่าสุดของเราก็ได้ จนในที่สุดเขาก็พูดออกมา แซมบอกว่าเขาก็อยากให้ชั้นพูดถูกเกี่ยวกับ ชายหาดหรือผู้ฟื้นคืน (repatriate) Thath มักจะชื่นชมตอนที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตอนที่ชั้นนั่งฟังเรื่องราวของเขา
จากนั้น ... และจากนั้น เขาก็ดึงเข็มฉีดยาออกมา เขายังคงดูนิ่งๆ แต่ในจุดนั้นชั้นว่าชั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แซมบอกว่า เขาไม่ได้คิดมากอะไรหรอก และเขาจะพิสูจน์ให้ดู จากนั้นเขาก็ติดเข็มฉีดไว้ที่หน้าอกของเขา
มันเกิดขึ้นเร็วมาก ในขณะที่ชั้นได้แต่นั่งตัวแข็งอยู่กับเก้าอี้ ขณะที่เขากำลังชักแล้วตกลงมาจากที่นั่งของเขา ชั้นรีบวิ่งไปหาเขาในขณะที่เขานอนอยู่บนพื้น ชั้นพยายามจะเอาเข็มฉีดยาออกจากหน้าอก แต่มันก็สายเกินไป ฉันนั่งอยู่ใกล้ๆเขา ตอนนั้นเวลาเหมือนจะผ่านไปนานมาก ... แต่แล้วเขาก็ลืมตาขึ้น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมทั้งยังมีรอยมือใหม่ๆทาบลงบนแขนของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกรอย มีทาบบนแขนของเขาอีกอันหนึ่งอันใหม่ เหมือนกับที่เขาเคยบอกกับชั้นก่อนหน้านี้
“ ผมคือผู้ฟื้นคืน (repatriate)” เขาบอกแบบนี้ "ทุกครั้งที่ผมตายผมติดอยู่ที่ตะเข็บซึ่งเป็นพื้นที่ระหว่างความเป็นและความตายนั้น จากนั้นก็กลับมา" ตอนนี้เขากำลังมองตาชั้นเหมือนแทนคำพูดมากมายที่เขาอยากพูดออกมา "โลกนั้นไม่มีใครเลย ผมจะเป็นอิสระ แม้จะแค่ชั่วคราว เมื่อผมอยู่กับเธอ อยู่กับ Amelie ... "
มีน้ำตาไหลออกมาจากตาเขา เขาดูโดดเดี่ยวมากเลย แล้ว... ชั้นก็เริ่มร้องไห้ตาม ชั้นจับมือเขาไว้โดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็ไม่ดึงมือกลับ ชั้นบีบเขาแล้วเขาก็บีบกลับ
เขาต้องการใครสักคนที่เขาสามารถใกล้ชิดสนิทสนมได้ คนภายนอกที่ไม่ใช่คนในครอบครัว ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ Bridget หรือ Amelie ใครบางคนที่เขาสามารถเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดของตัวเอง ใครบางคนที่ใส่ใจ เอาใจใส่เขา
ชั้นไง
ชั้นจำไม่ได้ว่าพูดอะไรออกไป แต่ชั้นจำได้ว่าเขาพยักหน้า แล้วยิ้ม และรอยยิ้มนั่นก็เป็นสิ่งที่เราใช้ยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกันมานาน แสนนาน
เรื่อง – Report #8
บันทึกเมื่อ Unknown ที่ Unknown
โดย – Lucy Strand
ได้จาก Order 333 (from Doctor ถึง Heartman)
ไม่กี่วันหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นในสำนักงานของชั้น ชั้นเขียนใบลาออกในทันที ซึ่งมันเป็นกรณีคลาสสิก countertransference หรือการที่นักจิตบำบัดมีอารมณ์ ความรู้สึก และปฏิกิริยาต่อผู้ป่วย เสมือนหนึ่งว่า ผู้ป่วย เป็นบุคคลสำคัญในอดีตของนักจิตบำบัดเอง
เมื่อใดที่นักจิตบำบัดเริ่มมีส่วนร่วมทางอารมณ์กับคนไข้ของตัวเอง ไม่มีทางที่จะความภาคภูมิใจในวิชาชีพของชั้นจะอนุญาตให้ฉันทำงานต่อไปได้อีก แน่นอนชั้นรู้สึกผิด และจะมีปัญหาอื่นตามมาทั้งการขาดแคลนนักบำบัดและคนไข้ของชั้นหลายคนจะต้องดิ้นรนเพื่อขอความช่วยเหลือจากนักจิตบำบัดคนอื่น แต่หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับแซม ชั้นไม่เห็นตัวเลือกอื่นเลยจริงๆ
พูดตามตรงชั้นได้ทำใจแล้ว อะไรก็ตามที่ชั้นทำเพื่อแซมถือว่าชดเชยให้ ปกติแล้วชั้นจะไม่ใช้คำนี้ แต่ชั้นเชื่อว่า อาการของโรคกลัวการถูกสัมผัส (Aphenphosmphobia) ของแซมจะต้องมีทางรักษาให้หายได้ ซึ่งเขาแสดงให้เห็นว่าอาการเขาดีขึ้นมากหากปราศจากประสบการณ์ที่บอบช้ำทางจิตใจอย่างแสนสาหัส แต่ ชั้นเดาว่าอาการของเขาจะกลับมากำเริบอีกแน่
ชั้นแปลกใจที่ท่านประธานาธิบดีไม่ได้มีปัญหาใด ๆ กับความสัมพันธ์ของเรา ถ้าเธอโอเคกับทุกอย่างจริงๆ ชั้นคิดว่านี่หมายความว่าชั้นจะได้เข้าเป็นหนึ่งในครอบครัว Strand พร้อมกับชีวิตใหม่ที่กำลังเติบโตภายในตัวชั้น ...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Report #9 – 12
ได้หลังจบเกม และไม่มีเงื่อนไขการปลดล็อกตายตัว ต้องใช้การส่งของพร้อมกันจำนวนมาแล้วจะค่อยๆปลดล็อกออกมาเอง
ก่อนจะสำรวจ Delivery terminal เพื่อเริ่มงานของ Heartman ให้เข้าพักผ่อนใน Private Room ที่ Mountain Knot City
แล้วเข้าไปเช็ค E-mail จะได้รับเมลจาก Peter Englert เพื่อจ้างให้ Sam ไปส่งฟิซซ่าให้เขาอีกครั้ง
[Order No. 57]
(URGENT) Fresh Pizza Delivery: Peter Englert (4)
ภารกิจนี้คือการส่งพิซซ่าด่วนไปที่ Personal Shelter S23-84 ของ Peter Englert ที่ตั้งอยู่ทางเหนือของ Preppers Station S23-21 ของ Craftsman เหมือนเดิม ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจของคุณ Peter Englert ลูกค้าปริศนาต่อฝีมือการนำส่งที่รวดเร็วของแซม เขาจึงใช้บริการแซมอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการนำส่งฟิซซ่ามาให้พ่อของเขาที่กำลังจะตายเลยอยากกินฟิซซ่าของโปรดเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ทำให้แซมต้องออกไปส่งฟิซซ่าให้เขาอีกครั้ง โดยเป็นการส่งด่วนแบบปกติธรรมดาแค่ระวังการจัดวางกล้องสินค้าให้วางในแนวราบไม่ตั้งตรงหรือคว่ำหน้าก็แค่นั้น
ซึ่งเมื่อนำส่งพิซซ่าที่ Delivery Terminal เรียบร้อยแล้วก็พบแต่เสียงตอบรับคำขอบคุณจาก Peter Englert เท่านั้น แต่ไม่เห็นตัวตนของเขาเหมือนเดิม
สำรวจ Delivery terminal ที่ Heartmans Lab จะพบภารกิจที่เพิ่มเข้ามา คือ
[Order No. 58] Anti-chiralium Medication Delivery: Geologist
[Order No. 59] Antimatter Bomb Delivery: Paleontologist
[Order No. 58]
Anti-chiralium Medication Delivery: Geologist
Die – Hardman – นักธรณีวิทยาของเราได้ศึกษาฟอสซิลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานที่เกี่ยวกับการสูญพันธุ์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเขาก็ได้ออกไปข้างนอกนั่นเพื่อทำการขุดค้นได้ซักพักแล้ว แต่ในขณะนี้กำลังเริ่มได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนของสสาร Chiral ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผลของการได้รับ Chiralium มากเกินไปในระหว่างการขุดจะเป็นยังไง จนกว่าไซต์งานของเขาจะมีระดับการปนเปื้อนที่เหมาะสม เขาก็คงยังทำงานต่อไม่ได้ แถมสุขภาพของเขาจะยิ่งแย่ลงด้วย
เราจึงต้องการให้คุณนำส่ง สารบำบัดและทำความสะอาด Chiralium (Chiralium scrubbing agent) ไปให้เขา
Heartman – สตราตัมทีมกำลังตรวจสอบวันเวลาจากช่วงสิ้นสุดยุคครีเทเชียส เวลาของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่ทำให้อาณาจักรไดโนเสาร์สิ้นสุดลง ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็ก ๆ ได้รับช่วงต่อมรดกของโลกแทน มันคือปรากฎการณ์ครั้งล่าสุดของ Big Five และเป็นหนึ่งในการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยพบมา จะยังไงก็เถอะ ทีมงานเราก็พบหลักฐานบางอย่างที่เป็นข้อเท็จจริงที่น่าทึ่งมากๆ เดาสิว่าอะไร มันคือ Fossil Beach ซึ่งถ้านั่นเป็นความจริง เขาก็ได้ทำการค้นพบอันยิ่งใหญ่เลยล่ะ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่คุณต้องนำส่ง Chiralium scrubbing agent นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เป้าหมายของภารกิจนี้คือการนำส่ง Anti – Chiralium Medication จำนวน 8 ชิ้น ไปยัง Prepper Shelter S41-19 [The Geologist] ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของ Heartman Lab
ระหว่างเส้นทางนั้นต้องเจอทั้งพายุ Snow Timefall และอณาเขตของพวก BT ซึ่งในกลุ่มของพวก BT จะมี BT ที่มีคุณลักษณ์ใหม่เป็นสีส้มแดงที่ทนทานต่อการยิงทำลายด้วยอาวุธ Anti BT การจะจัดการมันมีเพียงการลอบไปตัดสายเชื่อมต่อของมันเท่านั้น เมื่อผ่านเขต BT ท่ามกลางพายุหิมะ Timefall ลงใต้มาจนถึงจุดเป้าหมายของภารกิจ ก็จะพบ Prepper Shelter S41-19 ที่พักของนักธรณีวิทยา [The Geologist]
Prepper Shelter S41-19 [The Geologist]
The Geologist – Sam Bridges ใช่มั๊ยครับ โอ้ ขอบคุณพระเจ้า ผมกำลังกลัวว่าคุณจะมาถึงที่นี่ไม่ทันเวลาอยู่พอดี ผมไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรเลยนอกจากคิดว่ากลัวคุณจะมาช้า คิดมากจนหลอนจนเหนื่อยจนไม่อยากจะคิดแล้ว จนสุดท้ายก็ปล่อยวางได้ ได้แต่คิดว่า โชคดีที่ผมไม่ได้ปนเปื้อนสสาร Chiral เลย ดีนะที่ไม่ถึงฆ่าตัวตายไปซะก่อน ตายไปก็ไม่ได้อะไร เพราะงานวิจัยผมใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วด้วย คุณไม่ใช่แค่ช่วยชีวิตผมนะ แต่คุณช่วยให้งานของผมได้ก้าวหน้าต่อได้ด้วย ...ผมขอดูของหน่อยนะ ..ว้าว ผมเริ่มจะสงสัยแล้วว่านานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้เห็นยาพวกนี้ นานจนลืมไปหมดแล้ว เดาว่าคุณคงเป็นมือหนึ่งในงานที่คุณทำแน่นอนเลยใช่มั๊ยล่ะ ห๊ะ? ขอบคุณครับ ...โอ้ ใช่ เกือบลืม เอาล่ะ ถ้าคุณต้องการจะเชื่อมต่ออกับผมก็เป็นเกรียติอย่างยิ่งเลยล่ะครับ
Prepper Shelter S41-19 - เชื่อมต่อแล้ว
The Geologist - - เข้าร่วม UCA
+ เพิ่มเติมไอเทมใหม่ที่สามารถสร้างได้ใน Delivery terminals
- Climbing Anchor LV2
+ ข้อมูลการสัมภาษณ์ใหม่
- interview with The Geologist
รางวัลที่ได้จากการปลดล็อก Connection Level ของ The Geologist
1 ดาว – Climbing Anchor Lv 2 / High Density Ceramics
2 ดาว – NO
3 ดาว – เพิ่มค่า Chiral Bandwidth, สามารถเปลี่ยนสี Mars Red ให้กับ Ludens Mask และ Backpack ของแซมได้
4 ดาว - เพิ่มค่า Chiral Bandwidth ให้มากขึ้นอีก , The Geologist Hologram
5 ดาว –เพิ่มค่า Chiral Bandwidth ให้สูงขึ้น , สามารถเปลี่ยนสี Mars Red ให้กับหมวกของแซมได้
The Geologist – ง่ายๆแบบนี้แหละ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ผมเป็นส่วนนึงของ UCA ก็เท่ากับได้มีโอกาสการเข้าถึงขุมทรัพย์ข้อมูลการวิจัยทางประวัติศาสตร์มากมาย ที่นี้การศึกษา Fossil beach ก็จะได้ก้าวหน้าซะที คิดดูสิถ้าสมมติว่าถ้าผมสามารถพิสูจน์ได้ขึ้นมาจริงๆว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร บอกตรงๆผมนี่โคตรจะตื่นเต้นเลยที่จะได้แชร์ข้อมูลที่ผมได้พบให้คนอื่นๆได้รับรู้
คุณเชื่อไหมว่าผมพบตะกอนของสสาร Chiral เมื่อหกสิบห้าล้านปีในชั้นดินที่ลึกลงไป ซึ่งมันเป็นหลักฐานว่าปรากฎการ Death Stranding นั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคดึกดำบรรพ์
Heartman – สสาร Chiral นั้นมีอยู่บนโลกมานานก่อนยุคทองของมนุษย์ รายละเอียดของชั้นดินนี้เป็นข้อพิสูจน์ได้ดี ดูนี่สิแซม คุณเห็นรอยแยกสิดำนี่มั๊ย? เราเชื่อว่านี่คือข้อมูลซึ่งเป็นค่าของ Chiralium ที่สามารถอ่านได้ ในอดีตที่ผ่านมาแผ่นดินไหวทำให้เกิดการเสียดสีตามแนวรอยเลื่อนทำให้เกิดชั้นดินประเภทนึงขึ้นมา ที่เราเรียกกันว่า ซูโดทาชีไลต์ (Pseudotachylite) หรือ Fossil earthquakes เมื่อขยายหลักการนี้ออกไป ก็คือ รอยแยกของเราที่นี่คือสิ่งที่ใคร ๆ อาจเรียกว่าหาดฟอสซิล (Fossil Beach) การมีอยู่ของ Chiralium ในชั้นรอยเลื่อนนี้ไม่สามารถเป็นเรื่องบังเอิญได้หรอก มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ชายหาดจะต้องปรากฏตัวขึ้นในช่วง เหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลีโอจีน (Cretaceous–Paleogene extinction event) และไม่ใช่แค่นั้น เครือข่าย Chiral ที่ได้กู้คืนมาแล้วนั้น ทำให้เราได้ข้อมูลที่บอกว่า ชายหาดฟอสซิล (Fossil Beach) ที่คล้ายกันถูกค้นพบในชั้นดินที่สอดคล้องกับเหตุการณ์การสูญพันธุ์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน นั่นเหมือนจะบ่งบอกถึง Big Five และการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่อื่น ๆ มี ชายหาด เกี่ยวข้องอยู่ด้วย ด้วยการขยายเครือข่าย Chiral ของคุณั้น ช่วยให้เรามองเห็นรูปแบบในภาพรวมของข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่ได้ชัดเจนมากขึ้น คุณได้ช่วยให้โครงการวิจัยส่วนบุคคลของเราเดินหน้าต่อไปได้ และทำให้เรามั่นใจว่า เราจะกู้คืนสิ่งที่เราได้สูญเสียไปและเปิดเผยความลึกลับทุกอย่างที่ยังค้างคาอยู่ได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ทำมันต่อให้เสร็จนะแซม ช่วยเปิดเผยความลับที่เราต้องการรู้ที่สุดด้วย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Interview data
เรื่อง – interview with The Geologist
บันทึกเมื่อ 1 ปีก่อน ที่ Prepper Shelter S41-19
โดย – Unknown The Geologist
ผมจำได้ว่าก่อนที่ผมจะเข้าร่วมการสำรวจ ผมเจอเอกสารเหล่านั้นที่ Bridges HQ เอกสารการวิจัยที่ถูกบันทึกเอาไว้ก่อนเกิดปรากฎการณ์ Death Stranding...
ผู้คนเคยเชื่อว่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปในช่วงสิ้นยุคครีเทเชียสเมื่อหกสิบห้าล้านปีก่อน แต่เมื่อมีสำรวจสถานที่ต่าง ๆ ที่พบฟอสซิลไดโนเสาร์ในช่วงปลายยุคครีเทเชียส ที่ทำให้พบข้อสรุปที่น่าตกใจว่า มันมีหลักฐานแทบทุกที่ในโลกที่รองรับทฤษฎีที่ว่ามีไดโนเสาร์บางส่วนรอดชีวิตมาได้จนถึงปลายยุคครีเทเชียส กล่าวอีกนัยนึง พวกมันเกือบทั้งหมดถูกลบหายออกไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว
สถานที่เดียวที่มีฟอสซิลที่สนับสนุนทฤษฎีดั้งเดิมอยู่ที่อเมริกาเหนือ ซึ่งการระบุไว้ว่า ที่นี่เป็นสถานที่สุดท้ายของโลกที่มีไดโนเสาร์อาศัยอยู่ ในตอนนั้นไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์นี้ แต่สมมติว่าเขาพูดถูก นั่นหมายความว่าที่นี่ต้องมีหลักฐานการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ซ่อนอยู่ใต้เท้าของเรา หลักฐานที่ล้ำค่าทีจะสามารถพิสูจน์และทำความเข้าใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ไดโนเสาร์ที่รอดชีวิตอยู่จนมาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นที่สุดท้ายมันแค่โชคดีงั้นหรอ? หรือมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ที่ทำให้พวกมันมีชีวิตรอด?
ผมชอบที่จะขุดลึกไปยังก้นบึ้งของมัน แต่ผมไม่ค่อยมั่นใจเพราะผมไม่ใช่คนที่มีความอดทนมุ่งมั่นอะไรขนาดนั้น ผมไม่เหมือน Heartman ผมไม่มีความสามารถของ DOOMS หรือเป็นคนพิเศษที่โดดเด่นอะไร ผมแค่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ ผมอยากจะค้นคว้าเกี่ยวกับปรากฎการณ์ Death Stranding เพื่อช่วยเปิดเผยความจริงที่อยู่เบื้องหลัง นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเข้าร่วมกับทีมสำรวจหลังจากเริ่มป่วย
Shelter S41-46 [The Veteran Porter]
ทางตะวันออกของ The Geologist จะมี Prepper Shelter S41-46 [The Veteran Porter] ตั้งอยู่ตรงริมเขาฝั่งตะวันออกติดกับพื้นที่ของ Timefall fram ที่ตอนนี้ปลดล็อกให้สามารถเข้าไปติดต่อได้แล้ว
โดยในช่วงนี้จะเริ่มพบ Lost Cargo ของ The Veteran Porter ตกหล่นอยู่ตามที่ต่างๆบ้างแล้ว เมื่อเก็บได้และนำไปส่งคืนให้เขา ก็จะเป็นปลดล็อกการทำความรู้จักเพื่อเริ่มทำภารกิจต่างๆใน Standad Order ของ The Veteran Porter
ซึ่งการอัพระดับ Connection Level ของ The Veteran Porter นั้นก็ขึ้นยากมากพอๆกับ First Prepper โดยต้องการใส่การทำ Standad Order ให้เขาไปเรื่อยๆ สลับกับรับ Order จากที่ต่างๆที่ส่งมาให้เขา เก็บ Lost Cargo มาให้ และพยายามเปิด Mail ของ The Veteran Porter ทุกครั้งที่ส่งมา
รางวัลที่ได้จากการปลดล็อก Connection Level ของ The Veteran Porter
1 ดาว – Backpack Accessory: Porter / เพิ่มเติมสี Omnireflector ของยานพาหนะ
2 ดาว – NO
3 ดาว – เพิ่มค่า Chiral Bandwidth, Veteran Porter "Encouraging" Hologram,
4 ดาว - เพิ่มค่า Chiral Bandwidth ให้มากขึ้นอีก , Veteran Porter "On a Delivery" Hologram
5. - เพิ่มค่า Chiral Bandwidth ให้มากขึ้นอีก , Veteran Porter "Kung Fu" Hologram
สำรวจ Delivery terminal ที่ Heartmans Lab เลือกทำภารกิจ
[Order No. 59] Antimatter Bomb Delivery: Paleontologist
Die – Hardman – ฟังนะแซม สิ่งของที่คุณต้องขนส่งในครั้งนี้มันคือ ระเบิดปฏิสสาร (Anti matter Bomb) บรรพชีวินวิทยา ของ Bridges ที่กำลังทำงานอยู่ในพื้นที่ของการขุดค้นกำลังต้องการมัน เห็นได้ชัดว่าฟอสซิลที่เขาต้องการศึกษานั้นถูกฝังอยู่ใต้ใต้น้ำมันดินและวิธีเดียวที่เขาจะเข้าถึงพวกมันคือการระเบิดมันออกมา เอาล่ะ ปกติผมคงจะไม่ต้องมาบอกคุณหรอกนะว่าต้องระมัดระวังในการขนส่งมันแค่ไหน แต่ในกรณีนี้คงต้องบอกต้องย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าระเบิดนั่นต้องไม่บุบสลายไม่ว่าจะในกรณีไหนทั้งนั้น
[Order No. 59]
Antimatter Bomb Delivery: Paleontologist
ภารกิจนี้คือการนำส่ง ระเบิดปฏิสสาร (Anti matter Bomb) น้ำหนัก 80 ก.ก จาก Heartmans Lab ไปยัง Prepper Shelter S41-22 ซึ่งเป็นที่พักของ นักบรรพชีวินวิทยา [The Paleontologist] ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้
หากต้องการความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทางต้องสร้าง zipline เชื่อมต่อจาก Heartmans Lab มายัง The Geologist แล้วเชื่อมต่อไปทางตะวันตกต่อจนสถานที่เป้าหมายที่ Prepper Shelter S41-22 ของ นักบรรพชีวินวิทยา [The Paleontologist]
Prepper Shelter S41-22 [The Paleontologist]
The Paleontologist – ซึ้งใจมากเลยพวก ที่นี้พวกเราก็ขุดกันต่อได้แล้ว สาบานเลยว่าสถานการณ์ของที่นี่ก็เลวร้ายพอๆกับเรื่องที่เรากำลังกังวลเรื่องการขาดอากาศหายใจนั่นแหละ คุณทำได้ดีมากเลย บอกตรงๆผมนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าคุณทำแบบนี้ได้ยังไง คุณจะเซ็ตอัพระบบเครือข่าย Chiral network เลยก็ได้นะ
Prepper Shelter S41- 22 - เชื่อมต่อแล้ว
The Paleontologist - - เข้าร่วม UCA
+ เพิ่มเติมไอเทมใหม่ที่สามารถสร้างได้ใน Delivery terminals
- Hematic Grenade LV2
- Oxygen Mask
หน้ากากออกซิเจน ใส่เพื่อเพิ่มออกซิเจนในการหายใจระหว่างเดินทาง จะช่วยทำให้เกจ Stamina ลดช้าลงทำให้เหนื่อยยากขึ้น และสามารถป้องกันแก๊ซพิษได้ ** เสียพลังงานแบตเตอร์รี่ในการใช้งาน **
รางวัลที่ได้จากการปลดล็อก Connection Level ของ The Paleontologist
เริ่มเชื่อมต่อ - 1 ดาว – Oxygen Mask, Hematic Grenade Lv 2 , Lightweight Special Alloys
2 ดาว – NO
3 ดาว – เพิ่มค่า Chiral Bandwidth, สามารถเปลี่ยนสี Volcano Orange ให้ Ludens Mask และ Backpack ได้
4 ดาว - เพิ่มค่า Chiral Bandwidth ให้มากขึ้นอีก , Paleontologist Hologram, สามารถเปลี่ยนสี Volcano Orange ให้กับหมวกของแซมได้
5. - เพิ่มค่า Chiral Bandwidth ให้มากขึ้นอีก , สามารถเปลี่ยนสี Volcano Orange ให้กับแว่นกันแดดของแซมได้
- interview with The Paleontologist
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Interview data
เรื่อง – interview with The Paleontologist
บันทึกเมื่อ 1 ปีก่อน ที่ Prepper Shelter S41-22
โดย – The Paleontologist
นับตั้งแต่ยุคสมัยที่รูปแบบแรกของชีวิตแรกได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงนี้ โลกก็รับรู้และได้เห็นเหตุการณ์การสูญพันธุ์มาแล้วมากมายหลายครั้ง และไม่ต้องสงสัยเลยว่าครั้งที่สำคัญที่สุดนั้นเรารู้จักกันดีในชื่อ “Big Five."
ครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของยุค Ordovician ครั้งต่อไปต่อไปเกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของยุค Devonian ได้ทำให้สิ่งมีชีวิตทางทะเลต้องสูญพันธ์เกือบทั้งหมด แต่การสูญพันธุ์ครั้งที่สามเกิดขึ้นตอนสิ้นสุดยุค Permian ประมาณสองร้อยห้าสิบล้านปีที่แล้ว เป็นอะไรที่เลวร้ายกว่านั้น มันทำให้ 96% ของสิ่งมีชีวิตทางทะเลและ 70% ของสิ่งมีชีวิตบนบกต้องสูญพันธ์ทั้งหมด
การสูญพันธุ์ครั้งที่ 4 สิ้นสุดลงด้วยการสูญเสียสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ แม้ว่าไดโนเสาร์จะสามารถยืนหยัดใช้ชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานก็สูญพันธ์ไปจนหมดเมื่อครั้งที่ 5 มาถึงตอนปลายยุค Cretaceous เมื่อ 65 ล้านปีก่อน มนุษย์เราวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กซึ่งสามารถอยู่รอดจากภัยพิบัตินั้นได้ การสูญพันธุ์ทั้งห้านี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ สายพันธุ์ที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็จะต้องสูญสิ้นไป ในขณะที่สิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมก็จะมีการพัฒนาและเจริญเติบโตต่อไปได้
หลักฐานจากบันทึกที่นำไปสู่ปรากฎการณ์ Death Stranding ระบุว่า นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าการสูญพันธุ์ครั้งที่หกกำลังจะมา หรืออาจจะเริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งมันมีบางสิ่งที่สอดคล้องกันกับเหตุการณ์ทั้ง 5 ที่ผ่านมา การทำลายสิ่งแวดล้อมของมนุษยชาติ สิ่งนี้เหมือนเป็นการส่งเสียงเตือนให้โลกรู้ว่าต้องเดิทพันด้วยอะไร ในเวลานั้นเหล่าผู้มีปัญญาที่สุดในยุคนั้นเชื่อว่า หากระบบนิเวศสามารถรักษาไว้ได้และหากมนุษยชาติสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ก็จะสามารถรักษาอนาคตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลกไว้ได้ แต่นั่นมันตอนนั้น เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน
หากปรากฏการณ์ที่เรากำลังประสบอยู่นี้เป็นการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 จริงๆ ก็ต้องยอมรับว่าครั้งนี้ มีมนุษยชาติเป็นเป้าหมายหลักของการสูญพันธ์ หรือว่านี่เป็นการลงโทษสำหรับการกระทำผิดของเรา? ถ้าเป็นเช่นนั้นผมคิดว่าเราก็คงทำอะไรไม่ได้มาก หรืออาจถึงขั้นหมดสิ้นหนทางสำหรับมนุษยชาติแล้วก็ได้ อย่างไรก็ตามผมก็ไม่ยอมแพ้หรอก ผมจะพยายามค้นหาความหวังจากสถานการณ์ที่ยากลำบากของเราให้ได้ ...
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
The Paleontologist – เอาล่ะ ได้เชื่อมต่อกันซักที ... Sam Bridges ผมมีอะไรจะถามหน่อย คือ มี Porter ในพื้นที่มากมายที่เดินทางมาที่นี่พร้อมสินค้าที่มีค่า แต่ก็ต้องยอมทิ้งไปในระหว่างทาง ...มันคือแอมโมไนต์อายุสองร้อยล้านปีเลยนะ เขาบอกว่า อย่างกับมันยังมีชีวิตอยู่งั้นแหละ เขาสะดุดมันในทุ่งหินก่อนหน้านี้ซึ่งจริงๆมันเคยถูกซ่อนอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง ไม่ใช่แค่นั้นนะ เขายังอ้างว่าแอมโมไนต์ตัวนี้มีสายสะดือด้วย มีสายสะดือเนี่ยนะ !! ตลกแล้ว แต่มันก็เป็นตัวอย่างสำหรับใช้ศึกษาได้ดี และผมก็ไม่อยากทิ้งงานที่ละเอียดอ่อนนี้ให้กับพวกมือสมัครเล่นดังนั้นผมจึงขอให้เขาแกะหินก้อนใหญ่ๆที่ล้อมรอบมันออกให้แล้วนำแอมโมไนต์นั่นมาให้ผม ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะผมต้องการเอามาเปรียบเทียบกับตัวอย่างใหม่ในบริเวณใกล้เคียง นี่คือเหตุผลที่ผมบอกให้เขาขุดหาตัวอย่างอื่นที่นอกเหนือจากอันที่เขาบอกผมติดมาด้วย แล้วรู้มั๊ยไอ้ไง่นั่นมันทำยังไง ผมทำตัวอย่างทดลองที่มีค่าของผมตกหายหมดเลย โชคดีที่มันยังมีความฉลาดอยู่บ้างที่ติดตัวติดตามตำแหน่งที่กล่องใส่ แอมโมไนต์ตัวนี้มีสายสะดือนั่นเอาไว้ ทำให้รู้ว่าสินค้าหายไปในบริเวณทางตะวันตกเฉียงใต้ของที่นี่ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีก๊าซพิษพุ่งขึ้นมาด้วย คุณ Reliable อ้างว่าตัวสแกนหาสินค้าของเขาเสียเลยไม่สามารถเก็บกู้กลับมาได้ แต่คุณ คุณต้องแกะรอยหามันจนเจอได้แน่นอน และเพื่อความปลอดภัยของคุณ เดี๋ยวผมจะให้หน้ากากออกซิเจนให้คุณไปไว้ใช้ด้วย คุณพร้อมเมื่อไหร่ก็รับ Order ก็แล้วกัน
Heartmans - มันอาจจะเป็นฟอสซิลที่นำมาซึ่งการค้นพบของยุคเลยก็ได้ ปกติเราจะเจอพวกปลา วิวิพารัส (viviparous fish) ปลาที่ออกลูกเป็นตัว แต่ แอมโมไนต์ที่มีสายสะดือไม่เคยได้ยินมาก่อน และถ้าหากมันมีอายุ 200 ล้านปีจริงก็จะต้องเป็นช่วงสิ้นสุดยุคไทรแอสซิก หนึ่งในห้าของการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ของโลก หรือ สายสะดือนั่นเชื่อมต่อไปยังชายหาด ? เราถึงต้องทำทุกทางที่จะต้องเก็บกู้สินค้านั่นกลับคืนมาให้ได้ยังไงล่ะ มันอาจสามารถให้เบาะแสที่สำคัญเกี่ยวกับกลไกการเกิดปรากฎการณ์ Death Stranding ก็ได้ เราเข้าใกล้มากแล้ว ใกล้ที่จะได้คำตอบในสาเหตุที่แท้จริงของปรากฎการณ์นี้ได้แล้ว รีบหน่อยนะแซม เราไม่อยากให้ แอมโมไนต์ นั่นหายไปซะก่อน
Paleontology หรือ บรรพชีวินวิทยา คือผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับซากดึกดำบรรพ์ โดยใช้วิชาที่ศึกษาลักษณะรูปร่าง ลักษณะความเป็นอยู่ และประวัติการวิวัฒนการของสิ่งมีชีวิต ได้แก่สัตว์และพืชในธรณีกาล โดยอาศัยข้อมูลหรือร่องรอยต่างๆ ของสัตว์และพืชนั้นๆที่ถูกเก็บบันทึกและรักษาไว้ในชั้นหิน จัดเป็นแขนงหนึ่งของวิชาธรณีวิทยา ที่อาศัยความรู้ทางชีววิทยาปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับหลักฐานที่ได้สภาพซากดึกดำบรรพ์ เพื่อให้เข้าใจสภาพแวดล้อมในอดีตในช่วงที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่
สำรวจ Delivery terminal ที่ The Paleontologist เลือกทำภารกิจ
[Order No. 60] Recovery: Ammonites
[Order No. 60]
Recovery: Ammonites
ภารกิจนี้คือการเดินทางจาก The Paleontologist ไปยังพื้นที่เป้าหมายทางตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อเก็บ Lost Cargo ที่ตกหล่นในบริเวณพื้นที่ที่เต็มไปด้วยแก๊ซพิษ 5 ชิ้นกลับมาให้ The Paleontologist
โดยจะได้ Oxygen Mask เป็นตัวช่วยป้องกันแก๊ซพิษขณะลงไปเก็บสินค้า ก่อนเข้าพื้นที่อย่าลืมเอา Climbing Anchor ติดตัวมาด้วยเพื่อความสะดวกในการโรยตัวจากหน้าผาลงมายังพื้นหลุม เมื่อเก็บไอเทมเป้าหมายมาจนครบ 5 ชิ้นแล้วก็นำเอากลับไปให้ The Paleontologist ได้เลย
The Paleontologist – ว้าว คุณหามันจนเจอจริงๆด้วย ไหนดูสิ ขอผมดูชัดๆหน่อย โอ้พระเจ้า มันถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีอย่างไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ !! ขอบคุณนะที่นำมันกลับมาให้ผมในสภาพที่ดีเยี่ยมขนาดนี้แซม ..แล้วก็ใช่ มันคือ แอมโมไนต์ที่มีสายสะดือติดอยู่จริงๆด้วย ผมได้ส่งผลวิเคราะห์เบื้องต้นไปให้ Heartman ทางเครือข่ายเรียบร้อยแล้ว ที่น่าสนใจก็คือ ดูเหมือนว่าชั้นดินโดยรอบของมันมีร่องรอยของน้ำมันดินอยู่ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีของเขาพอดีเลย แต่ยังไงก็เถอะ ผมรู้ว่าคุณเพิ่งเสร็จงานที่เอา แอมโมไนต์ มาให้ผมที่รี่ แต่ผมก็อยากจะให้คุณเดินทางไปหาเพื่อนร่วมงานของผม นักชีววิทยาพัฒนาการเชิงวิวัฒนาการ (Evo - devo biologist ) ล่าสุดเธอกำลังสนใจเรื่องของน้ำมันดินอยู่ นางต้องอยากจะตรวจสอบตัวอย่างนี้จนตัวสั่นแน่นอน
Heartmans – มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากๆเลยแซม และนั่นก็ต้องให้เครดิตกับคุณเต็มๆเลย พูดให้ชัดๆก็คือ เธอกำลังเธอว่าน้ำมันดินเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ยังไงบ้าง ดังนั้นผมเลยถือโอกาสนี้ขอให้คุณช่วยเก็บตัวอย่างน้ำมันดินที่อยู่รอบๆที่อยู่ของเธอไปพร้อมๆกับนำส่ง แอมโมไนต์ ด้วยเลย เพราะมันจะอันตรายเกินไปถ้าให้เธอทำเอง ซึ่งงานวิจัยของเธออาจช่วยให้เราเข้าใกล้ความลับของปรากฎการณ์ Death Stranding ได้มากขึ้นอีก เราก้าวหน้าอย่างมากกับการกู้คืนข้อมูลจากเครือข่ายด้วยความช่วยเหลือจากคุณ และผมรู้ว่าเราสามารถที่จะทำให้มันสำเร็จได้มากขึ้นอีกแน่นอน
+ ข้อมูลการสัมภาษณ์ใหม่
- Neanderthals Are Not Extinct
- Heartman’s Theory of Evolution
- Umbilical Cord in Devonian – Era Fossils
Interview data
เรื่อง – Neanderthals Are Not Extinct
บันทึกเมื่อ 3 ปีก่อน ที่ Bridges HQ
โดย – Heartman
ทั้งมนุษย์นีแอนเดอธัล (Neanderthals) และ มนุษย์แบบพวกเรา (Homo sapiens) เชื่อกันว่ามีบรรพบุรุษร่วมกันคือ มนุษย์หินจากเยอรมนี (Homo heidelbergensis) แต่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสกุล มนุษย์ยุคหินโหดเหี้ยมและแข็งแรงเหมาะสำหรับการล่าสัตว์ขนาดใหญ่และอยู่รอดในสภาพอากาศที่เย็นกว่าในขณะที่ Homo sapiens มีลักษณะสูงโปร่ง สามารถล่าเหยื่อที่มีขนาดเล็กลงได้ แต่เมื่อพันปีผ่านไป Homo sapiens เรียนรู้ที่จะสร้างเครื่องมือและล่าสัตว์ร่วมกัน
มนุษย์นีแอนเดอธัล (Neanderthals) ผู้ที่มีสมองใหญ่กว่าสมองของมนุษย์ Homo sapiens แต่ก็เป็นเครื่องมือของพวกเขาเอง เมื่อเทียบกันจะค่อนข้างหยาบไม่สวยงามและด้อยพัฒนาอย่างน้อยๆก็กว่า 200,000 ปี อาจเป็นเพราะสิ่งมีชีวิตนี้ชอบความเรียบง่ายจึงสร้างครอบครัวเล็ก ๆ ดังนั้นแม้ว่าความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นมันก็ไม่น่าจะถูกแบ่งปันกับกลุ่มอื่น แต่การแยกตัวออกมาแบบนี้ดูเหมือนว่าจะนำพาพวกเขาไปสู่ความเสื่อมโทรมมากกว่าปัจจัยอื่นๆ ในขณะที่ Homo sapiens ที่มีความเลื่อมใสศาสนา ทำให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวให้ผู้คนจำนวนมากสามารถถูกนำมารวมเข้าด้วยกันได้ไม่ยาก ความแข็งแกร่งของจำนวนทำให้ชุมชนของพวกเขามีความต้านทานต่อความอดอยากและภัยพิบัติอื่น ๆ กล่าวอีกนัยหนึ่ง Homo sapiens เติบโตแข็งแกร่งผ่านการเชื่อมต่อระหว่างบุคคล ด้วยการสร้างสิ่งที่เรียกว่า "สังคม"
หากเรายังคงอยู่ในสถานะที่แบ่งเขาแบ่งแยกเรามันจึงมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียความสามัคคีและจะนำพาตัวเราไปสู่ชะตากรรมที่ไม่ต่างไปจากมนุษย์นีแอนเดอธัล (Neanderthals) เราจะลดจำนวนลงและล้มตาย ถูกแยกออกจากกันและโดดเดี่ยว แต่ประวัติศาสตร์ก็มีบทเรียนที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง Homo sapiens ไม่ได้ดูถูกดูแคลนมนุษย์นีแอนเดอธัล (Neanderthals) ทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่างก็ผสมกลมกลืนกันในบางโอกาส DNA ของเรายังคงรักษาร่องรอยของญาติในยุคโบราณของเราเอาไว้ได้ คุณจะเห็นได้ว่าในขณะที่สปีชีส์นั้นอาจสูญสิ้นไป แต่มรดกทางพันธุกรรมของมันอาจจะยังคงอยู่
เรื่อง – Heartman’s Theory of Evolution
บันทึกเมื่อ 1 ปีก่อน ที่ Bridges HQ
โดย – Heartman
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลกสามารถอธิบายได้ว่าเป็นวิวัฒนาการที่เกิดจากการมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมและสังคม (Conscious evolution) หลังจากที่สัตว์มีกระดูกสันหลังตัวแรกขึ้นมาจากมหาสมุทรสู่แผ่นดินใหญ่ จิตสำนึกของพวกมันก็เริ่มขยายออกเพื่อประมวลถึงวิธีที่จะปฎิบัติต่ออาณาจักรใหม่ที่อยู่ตรงหน้า
แต่การพัฒนาของพวกมันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น ดวงตาที่อยู่ด้านข้างของพวกมันเริ่มขยับไปยังด้านหน้าของพวกเขาเพื่อพวกเขาจะได้มองโลกได้มีมิติที่ชัดเจนขึ้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเริ่มรวมตัวเป็นกลุ่มเพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของพวกมัน จนในที่สุดก็กลายเป็นชุมชนและสังคมที่ใหญ่ขึ้น และเพื่อที่จะรักษาโครงสร้างทางสังคมเหล่านี้มนุษย์จึงพัฒนาการรับรู้เรื่องเวลา เพื่อให้สังคมอยู่รอดนานกว่าชีวิตของแต่ละคน เราจึงรู้สึกไคร่รู้ถึงชีวิตหลังความตายและอนาคตที่เกินกว่าตัวเราจะคาดเดา ...
แต่ อนิจจา Death Stranding กลับมาคุกคามหมายที่จะล้มเลิกความก้าวหน้าทั้งหมดที่เราเคยมีมา เมื่อพิจารณาจากเครือข่าย chiral network รวมทั้ง ชายหาด ดินแดนที่ไม่มีเวลามาส่งผล หรือ พิจารณาจาก timefall พิจารณาเวลาที่ย่อยสลายตัวทุกสิ่งที่มันสัมผัส ความสำนึกเรื่องของเวลาของเราจะได้รับการฝึกฝนมานานนับล้านปีที่ตอนนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจะรับมือกับปรากฏการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้ได้อย่างไร?
แต่นั่นเป็นเพียงส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็งตามที่สุภาษิตว่า เรากำลังถูกทำให้แยกจากกัน ค่อยๆถอยห่างจากกันและกันจนสูญเสียความเป็นสังคม ผมกำลังจะบอกต่อไปว่า แนวคิดเรื่องการสร้างความเป็นจริงทางสังคมของเรากำลังถูกคุกคาม พวกเขาจะทำอย่างนั้นได้ยังไงถ้าเรายังคงมีศัตรูที่มองไม่เห็นอย่างพวก BT ที่จะมายืนอยู่ต่อหน้าเราตอนไหนก็ไม่รู้? ปรากฎการณ์ Death Stranding ทำให้จิตใจของเราแปรปรวนในทุก ๆ ด้าน หากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลกนั้นคือการวิวัฒนาการของความรู้สึกความสำนักรับรู้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือการถดถอยอย่างปฏิเสธไม่ได้ใช่มั๊ย?
แต่ก็มีข้อยกเว้น แน่นอน ตอนนี้พวกเราบางคน“มีความตื่นรู้ ” ถึงความตายมากกว่าที่เคยเป็น นั่นคือสิ่งที่ DOOMS มอบให้เรา สำหรับผมการได้รับความสามารถของ Dooms นั้นไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ ผมชอบที่จะคิดว่ามันเป็นวิธีที่ผมได้รับ การมีสำนึกรับรู้ (consciousness) ในรูปแบบใหม่
นอกจากนี้ผมยังหวังและเชื่อว่าการรับรู้รูปแบบใหม่นี้คือไพ่ใบสำคัญอีกด้านนึงของมนุษยชาติในขณะที่เรากำลังพยายามหาทางเอาชนะปรากฎการณ์ Death Stranding ..
เรื่อง – Umbilical Cord in Devonian – Era Fossils
บันทึกเมื่อ 3 เดือนก่อน ที่ Bridges HQ
โดย – Heartman
บทความจากวารสารวิทยาศาสตร์เล่มเก่าได้นำความสนใจมาให้กับผมอย่างมาก มันถูกบันทึกไว้ก่อนที่จะเกิดปรากฎการณ์ Death Stranding มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการค้นพบฟอสซิลอายุ 380 ล้านปีซึ่งอยู่ในยุคดีโวเนียน (Devonian) มันเป็นซากดึกดำบรรพ์ของปลาและในครรภ์ของมันคือเด็ก .. เด็กที่เชื่อมต่อกับแม่ของมันด้วยสายสะดือ สุดยอดมั๊ยล่ะ ลืมเรื่องสายพันธุ์ไปได้เลย? materpiscis attenboroughi มันเป็นปลาที่สันนิษฐานกันว่ามีขากรรไกรที่พัฒนามาจากเหงือกเป็นครั้งแรก เป็นสัตว์ทะเลหุ้มเกราะชั้นสูงที่เคยอาศัยอยู่ในทะเลทั่วโลก แต่น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่สูญพันธ์ไปหมดแล้วในช่วงยุคดีโวเนียน (Devonian) ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 ของปรากฎการณ์ของการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ Big Five
อย่างที่คุณอาจทราบดีอยู่แล้ว จุดโฟกัสที่สำคัญอย่างหนึ่งของการวิจัยของผมคือ การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสายสะดือและการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ เมื่อพื้นที่นี้เชื่อมต่อกับเครือข่าย chiral network ได้แล้วมันเป็นจึงเป็นความหวังของผมที่จะทำให้เราจะสามารถรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมที่จะช่วยให้เราเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างสายสะดือและปรากฎการณ์ Death Stranding
สำรวจ Delivery terminal ที่ The Paleontologist เลือกทำภารกิจ
[Order No. 61] Tar Extraction Device & Ammonite Delivery: Evo - devo biologist
[Order No. 61]
Tar Extraction Device & Ammonite Delivery: Evo - devo biologist
ภารกิจนี้คือการนำส่ง Ammonite ไปยัง Prepper Shelter S41-24 ของนักชีววิทยาพัฒนาการเชิงวิวัฒนาการ [The Evo-devo Biologist] ที่ตั้งอยู่เชิงเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของ The Paleontologist
แต่ระหว่างการนำส่งจะมีภารกิจเสริมที่ทาง Heartman ขอมา โดยต้องแวะเก็บ Tar Extracion Device ที่ตกอยู่ในบริเวณหอตรวจการณ์ภูเขาไฟร้าง (Old Volcano Observatory) ทั้ง 5 ชิ้นมาด้วย ซึ่งในพื้นที่ต้องเข้าไปเก็บนั้นเต็มไปด้วยพวก BT
เมื่อเก็บ Tar Extracion Device ทั้ง 5 ชิ้นจนครบแล้วก็ออกจากพื้นที่มุ่งสู่ Prepper Shelter S41-24 ของนักชีววิทยาพัฒนาการเชิงวิวัฒนาการ [The Evo-devo Biologist] ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือต่อได้เลย
Prepper Shelter S41-24 [The Evo-devo Biologist]
"Evo Devo" (Evolutionary Developmental Biology) ชีววิทยาพัฒนาการเชิงวิวัฒนาการ คือการนำเอาทฤษฎีวิวัฒนาการของ ดาร์วิน (Evolution) มาประกอบกับการศึกษาตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต หรือ "คัพภวิทยา" (Embryology) กลายเป็นศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า "Evo Devo" (Evolutionary Developmental Biology) หลักๆแล้ว นักชีววิทยาพัฒนาการเชิงวิวัฒนาการ (Evo - devo biologist ) ก็คือผู้ที่ศึกษากระบวนการวิวัฒนาการความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตบนโลกเพื่อวิเคราะห์อะไรที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
The Evo-devo Biologist – ชั้นประทับใจมากๆเลยนะแซม มีไม่กี่คนหรอกนะที่มีความมุ่งมั่นขนาดนี้ ชั้นขอดูของก่อนนะ ..... ไร้รอยขีดข่วน ตัวอย่างน้ำมันดินด้านในปลอดภัยดี คุณไม่ทำให้ชั้นผิดหวังจริงๆแซม ..เอาล่ะ เชื่อมต่อชั้นกับ Chiral network ได้เลย งานวิจัยของชั้นจะได้เริ่มอย่างจริงจังซะที
Prepper Shelter S41- 24 - เชื่อมต่อแล้ว
The Evo-devo Biologist - - เข้าร่วม UCA
+ เพิ่มเติมไอเทมใหม่ที่สามารถสร้างได้ใน Delivery terminals
- Grenade Launcher
GRENADE LAUNCHER & Multi – Rocket Launcher
Ammo Type
Hematic Grenades (สีแดง) – กระสุน Anti – BT สำหรับใช้กับพวก BT
Grenades (สีส้ม) – กระสุนระเบิด ใช้กับมนุษย์ (ทำให้ตาย)ไม่มีผลกับ BT
Slip Grenades (สีม่วง) – กระสุนยางมะตอย ใช้กับมนุษย์ (ทำให้หยุดอยู่กับที่)ไม่มีผลกับ BT
Tranguilizer Grenades (สีฟ้า) – กระสุนยาสลบ ใช้กับมนุษย์ (ทำให้สลบ)ไม่มีผลกับ BT
+ ข้อมูลการสัมภาษณ์ใหม่
- interview with The Evo-devo Biologist
- Tar Bubbles up From the Beach
รางวัลที่ได้จากการปลดล็อก Connection Level ของ The Evo-devo Biologist
เริ่มเชื่อมต่อ - 1 ดาว – Grenade Launcher Lv 1, High Density Chemicals
2 ดาว – NO
3 ดาว – เพิ่มค่า Chiral Bandwidth, สามารถเปลี่ยนสีแดงให้เลนท์ของ Ludens Mask ได้
4 ดาว - เพิ่มค่า Chiral Bandwidth ให้มากขึ้นอีก , The Evo-devo Biologist Hologram, Multi-Rocket Launcher
5. - เพิ่มค่า Chiral Bandwidth ให้มากขึ้นอีก , สามารถเปลี่ยนสีแดงให้เลนท์ของแว่นกันแดดของแซมได้
The Evo-devo Biologist – ขอบคุณมากๆนะ ไม่ต้องบอกก็รู้ ชั้นเชื่อว่าน้ำมันดินมีความเกี่ยวข้องกันกับพวก BT และปรากฎการณ์ Death Stranding แน่นอน ท้ายที่สุด ทั้ง BT รวมทั้งฝน Timefall ล้วนเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของระบบนิเวศหลังเกิด Death Stranding การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างกะทันหันนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ผู้ที่ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งเหล่านั้นโดยอาศัยการเพิ่มประสิทธิ์ภาพของ DNA ให้มากขึ้นทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นๆมีความได้เปรียบ ปัจจัยทางพันธุกรรมคือกุญแจของการวิวัฒนาการ แต่ยีนพวกนั้นมีผลตรงกันข้าม ซึ่งเป็นข้อเสียของสิ่งมีชีวิต ... ปัจจัยของการสูญพันธ์ (Extinction factor) ตามที่เขาเรียกกัน มันเป็นได้ทั้งเมล็ดพันธุ์แห่งความก้าวหน้าและความล้าสมัย ปัจจัยดังกล่าวอาจแฝงตัวอยู่ในตัวเราทุกคน เป็นทางออกที่รอคอยให้เลือกทำสำหรับทุกชีวิตตั้งแต่กำเนิดขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนั้น หลักฐานที่เก่าแก่จากยุคโบราณอาจซ่อนอยู่ใต้น้ำมันดิน เป็นหลักฐานทางพันธุกรรมที่อาจช่วยนำทางเราในทางแยกมากมายที่เรากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ แต่ยังไงซะ ก็ต้องขอบคุณคุณมากๆ ตอนนี้ชั้นสามารถศึกษาองค์ประกอบของน้ำมันดินในรายละเอียดที่มากขึ้นได้แล้ว ชั้นมั่นใจเลยว่าอีกไม่นานชั้นจะเอาข้อมูลที่น่าสนใจที่วิจัยได้มาแบ่งปันให้คุณรู้แน่นอน
Heartman – เยี่ยมมากแซม คุณเพิ่งทำให้งานวิจัยเกี่ยวกับปรากฎการณ์ Death Stranding ให้ก้าวหน้าไปกว่าเดิมอย่างที่คุณคิดไม่ถึงเลยล่ะ แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งนะที่เอาศพของ Mama มาส่งให้ รวมถึงเรื่องการส่ง ammonite ด้วย เอ่อ พูดถึงก็นึกคิดได้พอดี การวิเคราะห์สายสะดือของผมกำลังคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมกำลังเปรียบเทียบข้อมูลกับคลังเก็บข้อมูลของเราที่เพิ่งกู้คืนมาได้บางส่วน จะว่าอะไรมั๊ยถ้าจะกลับมาที่ห้องทดลองของผมอีกครั้ง? ขั้นตอนการรวบรวม Chiral relay ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว หากคุณสามารถรวบรวมวัสดุที่จำเป็นสำหรับงานซ่อมแซมฟื้นฟูแล้วนำมาให้ผมที่นี่ได้ผมจะขอบคุณมากๆเลย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Interview data
เรื่อง – interview with The Evo-devo Biologist
บันทึกเมื่อ 1 ปีก่อน ที่ Prepper Shelter S41- 24
โดย – The Evo-devo Biologist
ชั้นเกิดหลังจากปรากฎการณ์ Death Stranding ดังนั้นการรับรู้เกี่ยวกับโลกในอดีตของชั้นล้วนมาจาก เอกสาร ภาพถ่ายและวิดีโอทั้งหมด เราไม่เคยเห็นฝน timefall เลยสักครั้ง นอกจากฝนตกปรกติ ไม่มีเมฆ chiral เต็มที่ก็มีแค่การควบแน่นคือไอน้ำที่แขวนอยู่ในอากาศแล้วตกลงบนพื้นดิน และแน่นอนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับน้ำมันดินเดือดขึ้นจากใต้ดินด้วย ส่วนใหญ่มนุษย์จะสามารถเดินทางไปได้ทุกที่แม้กระทั่งในอวกาศและเราก็ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของ ชายหาด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คือช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่จะมีผลกระทบยาวนานสำหรับทุกชีวิตบนโลกด้วยเหตุนี้จึงมีคนคิดว่าความสามารถของ Dooms อาจเป็นวิธีนึงของมนุษยชาติในการพยายามปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
ชายหาดนั้นมีอยู่ภายในจิตสำนึกของทุกคนอยู่แล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ก็ส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตในระดับพันธุกรรมใช่มั้ยล่ะ? นั่นคือเหตุผลที่ชั้นคิดที่จะตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมเหล่านั้น และสิ่งที่ชั้นเลือกที่จะตรวจสอบคือน้ำมันดินซึ่งมีอยู่ทุกพื้นที่เต็มไปหมดแต่กลับไม่มีใครสนใจ
คุณรู้มั๊ยว่ามีความเป็นไปได้มากที่เราจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการสูญพันธุ์ครั้งที่หกได้ เราจะกลายเป็นเพียงแค่จุดจบของวิวัฒนาการที่จะถูกทิ้งไว้ในไม่ช้า หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ อาจเป็นเหตุผลว่าคนที่มีความสามารถของ DOOMS ได้รับพรอันยิ่งใหญ่ในการรับรู้และเข้าใจในเรื่องของ ชายหาด มากขึ้น เป็นผู้สืบทอดของพวกเราที่จะมีชีวิตรอดแทนที่เรา ชั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอัปยศมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชั้นมีปัญหาอะไรมากนักหรอก
งานวิจัยที่ชั้นทำไว้จะยังคงอยู่ และผู้ที่มีความสามารถของ DOOMS ก็จะมาพบสิ่งที่ชั้นทิ้งไว้ พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้สืบสายเลือดของชั้นด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งที่ชั้นกังวลก็คือ แม้ผู้ที่มีความสามารถของ DOOMS ก็ยังไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าพวกเขาแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทนต่อการสูญพันธุ์ครั้งนี้ได้หรือเปล่า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นอนาคตของมวลมนุษยชาติก็คงถึงการอวสาน และแน่นอนว่าเราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมรับมัน
แต่ยิ่งไปกว่านั้น คำถามนึงก็ปรากฏขึ้นมา ทำไม? ทำไมถึงไม่ได้ ทำไมต้องเป็นเช่นนี้ นั่นคือสิ่งที่ชั้นต้องการรู้มากกว่าสิ่งใด อย่างไรก็ตาม ชั้นสงสัยว่าไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น ๆ จะนึกถึงคำถามนี้บ้างหรือเปล่า ซึ่งชั้นกังวลกับคำถามนี้มากอาจเพราะนั่นเป็นลักษณะเฉพาะที่มีแต่ในมนุษย์เท่านั้น แต่ใครจะรูู้ คำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้นี่แหละ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจและเอาชนะ ปรากฎการณ์ Death Stranding ก็ได้
เรื่อง – Tar Bubbles up From the Beach
บันทึกเมื่อ 1 ปีก่อน ที่ Mountain Knot City
โดย – Aaron Hill
ก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ผมได้ยินมาว่าบริเวณนี้ค่อนข้างไม่ค่อยจะเวิร์คเท่าไหร่ นอกจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับฐานลับของผู้ก่อการร้ายลับหรืออะไรซักอย่าง ดังนั้นผมคิดว่าตอนนี้ผมอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก แต่เมื่อผมและทีมมาถึงที่นี่ ... ใช่...มันแย่กว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย รู้สึกเหมือนว่า
มันเพิ่มขึ้นทุกๆวินาที คุณรู้มั๊ย
ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยตอนที่เห็นน้ำมันดินในพื้นที่ทางตะวันตก ผมสงสัยจริงๆเลยว่าAmelie และทีมของเธอผ่านพื้นที่นรกนี่ไปได้อย่างไร แต่มีคนบอกว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นตอนที่พวกเขาออกเดินทาง
ผมออกเดินทางไปดูมันใกล้ๆ .. พระเจ้า นี่มันเหมือนกับอะไรซักอย่าง ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เวลาดูมันนานมากแต่ก็ไม่อยากคิดเลยว่าเราต้อนนอนใกล้ๆกับไอ้สิ่งที่มันเดือดปุดๆนี่คืนนี้ บอกตามตรงว่า ผมรู้สึกเหมือนผมกำลังยืนอยู่ที่ขอบของโลก
เราไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับน้ำมันดินนอกจากรู้ว่ามันไม่ได้มีอยู่ก่อนหน้าที่เกิดปรากฎการณ์ Death Stranding เหมือนกับ timefall และ chiralium มีการคาดเดาว่าสิ่งเหล่านี้อาจเป็นผลพลอยได้จากชายหาด แต่ทั้งหมดก็ยังเป็นแค่ทฤษฎีเท่านั้น
ตอนนี้ เรากำลังมีปัญหาเรื่องการจัดการกับมันในทางปฏิบัติ หนึ่งใน chiral relays ที่เราสร้างขึ้นนั้นไม่รู้จะพังตอนไหน มันเสี่ยงมากเพราะเรายังไม่มีกำลังคนที่จะย้ายมัน แต่เราควรจะรีบออกเดินทางครั้งที่สอง ท่ามกลางคำถามที่ว่า เราจะต้องรออีกนานแค่ไหน บางทีคุณอาจบอกช่วยบอกพวกเขาให้รีบดำเนินการซะทีถ้าคุณมีโอกาส
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากนั้น เดินทางกลับไปยัง Heartman’s Lab เพื่อเข้าไปคุยกับ Heartman ในห้องทำงานอีกครั้ง
Heartman – ขอบคุณที่มานะแซม หลังจากได้กู้ข้อมูลจากในอดีตของเราได้เพิ่มเติมทำให้เราเปิดเผยเบาะแสที่สำคัญได้เพิ่มมาอีกอย่าง ... อ่อ ไม่ต้องห่วงนะ ผมเพิ่งกลับมา เรายังมีเวลาคุยกันอีกนาน ...ตอนคุณเจอกับ Mama คุณรู้สึกถึงปฎิกิริยาระหว่างแอนติเจนและแอนติบอดี้ (antigen - antibody reaction) ที่รุนแรงใช่มั๊ย?
** antigen - antibody reaction คือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แอนติเจน (Antigen) เป็นโมเลกุลของโปรตีนที่เป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับร่างกาย และเป็นตัวที่กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของสิ่งมีชีวิตตอบสนองโดยการสร้างแอนติบอดี (Antibody) ขึ้นมาเพื่อกำจัดแอนติเจนเหล่านั้น **
SAM – รู้สึกเหมือนมีพวก BT อยู่ในห้องนั้นด้วย
Heartman – จริงๆก็มีนั่นแหละ แต่มีบางสิ่งทำให้มันเกิดขึ้น
Heartman – ผมพบสสาร chiral จำนวนมากในตัว Mama แล้วก็ไม่ใช่แบบปกติธรรมดาที่ติดอยู่บนผิวหนังหรือเสื้อผ้าของเรานะ แต่มันอยู่ในเซลล์ทั้งหมดของเธอ เซลล์ที่ไม่ทำงานแล้ว BT ตัวที่คุณเจอนั่นมันก็พิเศษมากๆ มันเป็นลูกของเธอ แต่ก็เป็นวิญญาณของเธอด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลบางประการ Ha กับ Ha ของเธอไม่ได้แยกกัน พวกเขายังคงเชื่อมต่อกันผ่านสายสะดือ
Heartman – มันเป็นคำอธิบายที่ว่า ..
SAM – เพราะงั้น ผมถึงไม่มีรอยช้ำตอนที่ที่เธอแตะต้องผม ใช่มั๊ย ?
Heartman – ใช่แล้ว แต่ที่มากกว่านั้น
------ อีก 10 วินาทีจะเกิดสภาวะหัวใจหยุดเต้น .. 5 – 4 – 3 – 2 – 1 …
Heartman – ผมปรับปรุงเรื่องเวลานิดหน่อย ทางหน่วยเหนือจะได้ไม่สามารถบันทึกการสนทนาของเราได้ยังไงล่ะ ... เอาล่ะ ผมมีข้อความจาก Deadman ที่ส่งมาพร้อมกับสายสะดือให้คุณฟัง
Deadman – ไงแซม โทษทีนะ คุณควรจะรู้ว่าคุณนำส่งอะไรมา แต่ในกรณีนี้ ผมเกรงว่ามันจะเสี่ยงเกินไปถ้าจะให้ Die-Hardman รู้เรื่องนี้ด้วย ผมไม่มีทางเลือกเลยต้องทำอย่างไม่เป็นทางการ เรื่องนี้ขอให้รู้กันแค่พวกเราเท่านั้นนะเพราะยังไม่รู้ว่าจะเชื่อใจท่าน ผ.อ ได้รึเปล่า สายสะดือนั่นผมแอบนำมาจากร่างของ Bridget Strand อย่างลับๆ
Deadman – สายสะดือนั่นไม่ได้ติดอยู่กับทารกในครรภ์ แต่มันอยู่ภายนอกร่างกายของเธอ เธอเป็นขอให้ผมช่วยเก็บรักษามันเอาไว้ เธอบอกว่ามันอาจเป็นกุญแจที่จะไขความลับของ Death Stranding แต่เธอยืนกรานห้ามไม่ให้ผมบอก ผ.อ ผมก็เลยทำตาม สายสะดือนั่นไม่มีร่องรอยของการสลายตัวหรือการตายของเนื้อเยื่อเลย ทั้งหมดเหมือนกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ ผมคิดว่า Heartman น่าจะเข้าใจถึงเรื่องนี้ผมก็เลยแอบใส่มากับศพของ Mama ตอนที่คุณขนสินค้ามาจาก Mountain knot city
Heartman – ข้อมูลของ Deadman นั้นตรงกันกับศพของ Mama เลย
SAM – คุณหมายความว่า ? …
Heartman – ทั้งคู่ได้แบ่งปันคุณสมบัติพิเศษทางพันธุกรรมที่เป็นเอกลักษณ์มากต่อกัน พวกเขามี chiralium จำนวนมากในเซลล์เหมือนๆกัน สายสะดือของประธานาธิบดีสามารถเชื่อมต่อกับชายหาดไม่ทางใดก็ทางนึง และนั่นทำให้มันอยู่เหนือกาลเวลา ผมรวบรวมเอาไว้ในทฤษฎีเรื่องกระดูก แม้จะยังปะติดปะต่อไม่ได้สมบูรณ์นักแต่ก็คุ้มค่าที่จะแบ่งปัน คิดว่านะ
Heartman – สิ่งมีชีวิตบนโลกได้รับความสูญเสียมากมายทั้งใหญ่และเล็กรวมทั้งบิ๊กไฟว์ และถ้าคุณตรวจสอบชั้นของโลก ในประวัติศาสตร์คุณจะพบตะกอนของ chiralium ที่สามารถระบุวันเวลาได้อย่างชัดเจน จะเป็นอย่างไรถ้าการปรากฏตัวของชายหาดและปรากฏการณ์อื่น ๆ ที่สอดคล้องกับเหตุการณ์การสูญพันธุ์ในระดับต่างๆล่ะ?
SAM – คุณหมายความว่า ..?
Heartman – ใช่แล้ว ! Death Stranding ของเราอาจเป็นแค่ครั้งล่าสุดจากหลายๆครั้งที่ผ่านมา จากบันทึกและงานวิจัยต่างๆที่คุณช่วยให้เราสามารถกู้คืนมาได้ มันชี้ชัดเลยว่า เรากำลังอยู่ในช่วงกลางของ การสูญพันธุ์ครั้งที่หก
SAM – การสูญพันธุ์ครั้งที่หก เนี่ยนะ บ้าน่า !
Heartman – แล้วคุณรู้จักมั๊ยว่านี่คืออะไร?
SAM – รู้สิ ซากแมมมอธแช่แข็งจากหมื่นปีที่แล้วใช่มั๊ย?
Heartman – ถูกต้อง
Heartman – แล้วนี่ล่ะ?
SAM – ซากมนุษย์น้ำแข็งจากเมื่อ เอ่อ ห้าสิบสามร้อยปีก่อน
Heartman – ถูกต้อง ... และทั้งคู่มีสายสะดือเหมือนกัน
SAM – ห๊ะ ! เลอะเทอะน่า ?
Heartman – ลองคิดเล่นๆนะ แล้วถ้าเกิดว่าแมมมอธกับมนุษย์น้ำแข็งนี่ไม่ได้ถูกแช่แข็งล่ะ?
SAM – คุณจะบอกว่ามันถูกหยุดเวลาเอาไว้เหมือนกับ Mama งั้นหรอ?
Heartman – น่าเสียดายที่ตัวอย่างเหล่านี้ทั้งหมดสูญหายไปตอนเกิด Death Stranding หมดแล้วเลยไม่สามารถทดสอบมันได้อย่างจริงๆจังๆ แต่ก็ยังมีบางส่วนของข้อมูลที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง และจากการช่วยเหลือของเครือข่าย Chiral network และความรู้ของนักชีววิทยาพัฒนาการเชิงวิวัฒนาการ (Evo - devo biologist ) เราอาจรวบรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่ให้มารวมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้ง
Heartman – เอาล่ะ แล้วนี่ล่ะ .. ไดโนเสาร์จากเมื่อหกสิบห้าและครึ่งล้านปีก่อน มีสายสะดือและไม่ย่อยสลาย
SAM – สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้นที่มีสายสะดือไม่ใช่หรอ?
Heartman – อะ อะ ไม่ใช่ – สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้นที่มีสายสะดือสำหรับให้กำเนิดลูก แต่นี่มันเป็นอีกแบบนึง มันเรียกว่า Strand ซึ่งมาจากโลกอีกด้าน ผมว่าสายสะดือของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็น Strand อีกประเภทนึงที่วิวัฒนาการมาตามกาลเวลา เราไม่ควรคิดว่าทุกอย่างเกี่ยวกับdeath Stranding จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของเราอยู่ตลอด
Heartman – ไทรโลไบต์ , แอมโมไนต์ , ไดโนเสาร์ แมมมอธ , มนุษย์น้ำแข็ง ทั้งหมดถูกเก็บรักษาเอาไว้ด้วยภาวะเหนือกาลเวลา และทั้งหมดก็พบ Strand อยู่ด้วย ซึ่งบอกได้ว่าทั้งหมดอาจมีการเชื่อมต่อกับชายหาด
Heartman – และเมื่อมองในบริบทของทฤษฎีการสูญพันธุ์ของผมที่เรียกว่า Extinction Entity (EE) ทำให้ผมคิดได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่มี Strand นั้นคือสิ่งที่มีอำนาจในการกำจัดมวลมนุษยชาติและทุกสิ่งที่อยู่บนโลกอย่างแท้จริง
Heartman – คุณเห็นมั๊ยแซม เหล่า EE นั้นสามารถเชื่อมต่อกับชายหาดด้วย Strand ของพวกเขา และผ่านการเชื่อมต่อนี้ทำให้พวกเขานำมาซึ่งการเกิด Death Stranding
SAM – คุณจะบอกว่า Bridget ก็เป็นพวก Extinction Entity (EE) งั้นหรอ?
Heartman – มันยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้อย่างชัดเจนและเมื่อคุณเผาร่างของเธอไปแล้ว เราจึงไม่มีวันจะทดสอบเพื่อหาคำตอบนั้นได้เลย
SAM – Higgs เคยบอกว่า Amelie เป็น EE งั้นเธอก็ไม่ใช่ผู้มีความสามารถของ DOOMS เหมือนกับพวกเรางั้นหรอ?
Heartman – คิดสิ แซม … ถ้าสมมุติว่าประธานาธิบดี Strand เป็น EE จริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกสาวของเธอจะไม่ได้เป็น อย่างน้อยที่สุด Higgs ก็ต้องการตัวเธออย่างที่สุดเพราะไม่สามารถใช้งานประธานาธิบดี Strand ได้แล้ว
SAM – งั้นเขาก็ลักพาตัวเธอไปเพื่อต้องการใช้พลัง EE ของเธอหรืออะไรก็ตามเพื่อทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่งั้นหรอ?
Heartman – อืมมม ก็อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ แต่ผมเดาว่า EE คนเดียวก็มีพลังมากพอที่จะทำให้เกิด Death Stranding ได้แล้ว ซึ่งผมเดาว่า Amelie เป็น EE
SAM – งั้น Higgs ก็มั่นใจว่าเธอมีสิ่งที่เขาต้องการ
Heartman – ใช่แล้ว เราถึงต้องพาตัวเธอกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ยังไงล่ะ
-- อีก 1 นาทีจะเกิดสภาวะหัวใจหยุดเต้น ---
..กรุณาหาที่ยึดเกาะเพื่อความปลอดภัย --
Heartman – อ่า ... เอาล่ะ แซม มุ่งตะวันตกต่อได้เลย
SAM – แล้วคุณจะให้ผมรับมือกับ Die – Hardman ยังไง?
Heartman – ก็ทำอย่างที่คุณเคยทำมาแบบปกติๆนั่นแหละ ถ้าทำให้เขาเกิดระแวงสงสัยคงไม่ดีกับเราเท่าไหร่ ถึงยังไงก็ต้องเดินหน้าทำหน้าที่ของคุณต่อไปนั่นแหละเพราะเรายังต้องการสัญญาณเครือข่าย Chiral network เพิ่มอยู่ดี
--- เปิดการใช้งานระบบรักษาความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการ ---
---- สภาวะหัวใจหยุดเต้นจะเกิดขึ้นใน 5 – 4 – 3 – 2 – 1 ----
สำรวจ Delivery terminal ที่ Heartman’s Lab เลือกทำภารกิจ
[Order No. 62] Repair: Chiral Relay
Die – Hardman – ถึงเวลาแล้วแซม เมื่อคุณพร้อม ภารกิตต่อไปคุยต้องเดินทางไปยังชายฝั่งของ ทะเลสาบน้ำมันดินเพื่อเปิดระบบการทำงานของ chiral relay แล้วก็ใช้ Q-pid ทำให้มันออนไลน์อีกครั้งได้เลย เราเตรียมส่งของที่จำเป็นเอาไว้ให้คุณแล้ว แต่สิ่งของต่างๆก็มีไม่มากต้องใช้อย่างจำกัดด้วย เลือกเอาที่จำเป็นต้องใช้ไปก็แล้วกัน เดี๋ยวจะแบกให้หนักเกินไปจนทำให้เดินทางลำบากเปล่าๆ .. Heartman รู้จักพื้นที่นั้นดีกว่าผม เขาคงถึงเวลาตื่นแล้ว รับข้อมูลเพิ่มจากเขาเลยก็แล้วกัน
Heartman – เอาล่ะ เกี่ยวกับที่ Waystation นั่น เราตั้งใจว่าจะให้คนที่เราคัดเลือกไปประจำการที่นั่นแต่ก็ต้องเสียมันไปจากน้ำมันดินที่ท่วมขึ้นมาจนทำให้มันจมลงไปกว่าครึ่ง ..จริงๆแล้ว เอ่อ เราระงับการก่อสร้างไปก่อน เพราะเราคิดว่ามันไม่เสถียรและไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่จะก่อสร้างต่อ แต่ตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก ..หวังว่าเราคงไม่เลือกทำมันตอนที่สายไปแล้วหรอกนะ โชคดีสำหรับเราที่โครงสร้างมันยังคงไม่บุบสลาย สิ่งที่คุณต้องทำก็คือนำส่ง วัสดุที่จำเป็นไปที่นั่นก็ถือว่าเสร็จงาน และผมเกรงว่ามันจะเป็นทางเดียวทีจะขยายเครือข่ายไปทางตะวันตกเพื่อช่วย Amelie ได้ พวกเราเชื่อใจคุณว่าคุณต้องทำได้แซม
[Order No. 62]
Repair: Chiral Relay
ภารกิจนี้คือการนำส่ง Relay Repair Unit 5 ชิ้นไปยัง Chiral Relay ที่ตั้งอยู่บนแหลมทางทิศใต้ติดกับทะเลสาบน้ำมันดิน
เส้นทางที่สะดวกที่สุดคือ เดินทางมาที่ The Paleontologist แล้วเดินทางลงใต้ต่อเพื่อไปยังที่ตั้งของ Chiral Relay ที่ตั้งอยู่บนแหลมริมทะเลสาบน้ำมันดิน
เมื่อมาถึง Chiral Relay แล้วก็เข้าไปใช้ Delivery terminal เพื่อใช้ Q-pid เชื่อมต่อเครือข่ายกับ UCA ได้เลย
Die – Hardman – เพียงเท่านี้ การเชื่อมต่อทั้งหมดของเราก็สมบูรณ์แล้ว ที่เหลือคุณก็ต้องข้ามทะเลสาปน้ำมันดินนั่นไป เราเขาใกล้ Amelie มากแล้ว เพื่อโอกาสที่สองของอเมริกา ..Edge Knot city กำลังรออยู่ เจ้าหน้าที่ที่เราส่งไปเริ่มสร้าง Safe house ไว้รอแล้ว อีกไม่นาน พวกเขาก็จะดำเนินการสร้างสถานีแห่งใหม่จนเสร็จได้ ทั้งหมดก็เพื่อสานต่อเหล่าผู้กล้าที่สูญเสียไปจากทะเลสาปน้ำมันดินนี้ ขอบคุณคุณมากนะแซม เอาล่ะ ทีนี้ลองหาวิธีนำคุณข้ามทะเลสาปน้ำมันดินนี้ได้แล้ว
เป้าหมายต่อไปคือ หาทางข้ามทะเลสาบน้ำมันลงไปยัง Edge Knot city ที่จุดหมายของภารกิจที่อยู่ทางใต้
จาก E-mail ของ Evo-Devo Biologist ที่ส่งมาถึงแซมให้ข้อมูลว่า คุณสมบัติของน้ำมันดินที่นำมาจากจุดที่พบแอมโมไนต์ที่มีสายสะดือที่ส่งมาให้ทดสอบพบว่ามันไม่เหมือนน้ำมันดินทั่วไป ซึ่งน่าแปลกที่ไม่พบ fossil ชนิดอื่นๆผสมอยู่เลยเหมือนทุกอย่างถูกสต๊าฟเอาไว้ตั้งแต่ยุคที่เกิดการสูญพันธ์ครั้งใหญ่ เหมือนว่าวัตถุที่จมอยู่ใต้น้ำในระดับความเข้มข้นของน้ำมันดินนี้มันไม่ได้ไหลไปไหนนอกจากไหลย้อนกลับไปยังต้นตอที่มาของมัน ตอนที่โยนระเบิดนิวเคลียร์ลงไปที่ทะเลสาบ ระเบิดอาจถูกส่งไปยังอีกด้านก็ได้ อีกนัยนึงอะไรก็ตามที่ถูกส่งไปยังอีกโลกนั้นในทางทฤษฎีอาจย้อนกลับมาทางเดิมดั่งที่พบซากอาคารที่จมอยู่ใต้น้ำมันดินมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น จากทฤษฎีนี้อาจหมายถึง น้ำมันดินนี้อาจเป็นประตูที่จะพากลับไปยังต้นตอของมันได้
วิธีที่จะข้ามทะเลสาบนี้ไปแซมต้องเดินจาก Chiral Relay ไปยังปลายแหลมที่อยู่ทางตะวันออกซึ่งที่นั่นเป็นอณาเขตของพวก BT
แล้วยอมให้พวกมันจับตัวลากลงไปในทะเลสาบน้ำมันดิน แซมจะถูกน้ำมันดินพัดไหลย้อนกลับไปยังพื้นที่ด้านในของทะเลสาบน้ำมันดินทันที
ทันทีที่ผ่านเข้ามายังอีกฝั่งของทะเลสาบน้ำมันดิน แซมจะพบกับ BT รูปร่างวาฬขนาดใหญ่กำลังเวียนว่ายไปมาในน้ำมันดินเต็มไปหมด
แซมต้องพยายามวิ่งไปตามซากเมืองต่อเนื่องกันไปยังจุดเป้าหมายของภารกิจที่อยู่ทางตะวันตกโดยต้องระวังพวก BT วาฬที่ว่ายไปมาในน้ำมันดินด้วย
วิ่งไปตามซากเมืองจนไปถึงยังจุดหมายของภารกิจแซมจะพบ Amelie ยืนอยู่ เขาจึงรีบเข้าไปหาทันที แต่ดูเหมือนว่า
นอกจาก Amelie จะไม่ยื่นมือมาดึงแซมที่อยู่กลางทะเลสาบน้ำมันดิน เธอยังหันหลังเดินกลับไปอย่างไม่ใยดีปล่อยให้แซมจมลงไปในทะเลสาบน้ำมันดินทันที
London Bridge is falling down
Falling down, falling down
London Bridge is falling down
My fair lady
SAM – Higgs !!!
Higgs – ชูววๆๆ อย่าเสียงดังสิ แกคงไม่อยากให้ยัยเด็กโง่นั่นหนีไปใช่มั๊ยล่ะ? เธอยังอยู่ตรงนั้น ชั้นได้กลิ่นเธออยู่เลย แน่นอน ชั้นคงไม่รู้หรอกถ้ามันไม่ได้แกและเครือข่ายที่ยอดเยี่ยมของแกช่วยอ่ะนะ ช่างเป็นคนดีจริงๆเลย ขอบคุณนะ
Higgs – Sam Bridges .. ระวังหน่อย เรื่องราวมันค่อนข้างเปราะบาง เหมือนกับโลกและทุกๆอย่างในตอนนี้นั่นแหละ ชั้นหรอ ..ชั้นก็ไม่มีข้อยกเว้น
Higgs – คนที่สวมหน้ากากแบบนี้ไม่ได้มีชั้นคนเดียวหรอกนะ เจ้านายของแกแล้วก็ยัยผู้หญิงนั่น และก็ อย่าลืม แกด้วยอีกคน
Higgs – ไม่เป็นไร ... ไม่เป็นไร ชั้นรู้ว่ามันไม่ง่ายหรอกนะที่ต้องสวมหน้ากากตลอดเวลาน่ะ แต่ตอนนี้หน้ากากหลุดออกมาแล้ว จริงมั๊ย?
Higgs – อ่อ เฮ้ๆๆ แกยังจำสร้อยนี่ได้ป่ะ ? … ไม่ ไม่ ไม่ ยัยเด็กโง่ Amelie เอ้ย ..เธอซ่อนตัวอยู่ที่ชายหาดใกล้ ๆนี่แหละ ชั้นบอกอะไรแกอย่างเอามั๊ย? แกจะว่ายังไงถ้าเราจะมาแข่งกัน ห๊ะ? ใครชนะได้เป็นคนนำในวันสุดท้ายเอาป่ะ
Higgs – มันไม่เหมือนกับเหตุการณ์การสูญพันธ์ครั้งใหญ่อะไรหรอก ไม่ต้องไปใส่ใจมากก็ได้ เอาจริงๆนะ อีกหน่อยก็ไม่ต้องใช้หน้ากากกันแล้ว แต่ ชั้นสงสัยอะไรอย่างนึง ตอนแกจ้องเธอตาเป็นมันอ่ะ ไม่คิดจะกระพริบตาบ้างหรอวะ?
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
EPISODE 9 - " HIGGS"
Distribution Center north of Edge Knot City
Die – Hardman – ยังอยู่รึเปล่าแซม? จนถึงตอนนี้ เส้นทางข้างหน้าของเรา การหาหนทางที่จะช่วย Amelie ยังคงเหมือนเดิม แต่สิ่งสำคัญสิ่งแรกที่คุณต้องทำก่อนในตอนนี้ก็คือเข้าไปใน Distro Center แล้วทำการเชื่อมต่อเครือข่ายซะ เมื่อทำสำเร็จ และทุกคนในเชื่อมต่อกันแล้ว Higgs ก็จะไม่มีทางตามหาตัว Amelie เจอได้ง่ายๆ เธอก็จะปลอดภัย รออะไรอยู่ล่ะแซม รีบเข้าไปด้านในแล้วใช้ Q-pid กับ Terminal เพื่อทำให้ที่นี่ออนไลน์ได้เลย
Distribution Center north of Edge Knot City เชื่อมต่อ UCA แล้ว
+ เพิ่มเติมไอเทมใหม่ที่สามารถสร้างได้ใน Delivery terminals
- Remote - Detonation Grenade Launcher
Die – Hardman – ทำดีมากแซม ตอนนี้คุณมาไกลเกินกว่าที่บริดจ์เคยทำมาแล้วหลังจากที่เราไม่เคยมาถึงฝั่งตะวันตกอีกเลย มันเป็นปาฏิหาริยมากที่เราสามารถทำให้ศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ทำงานได้อีกครั้ง ยังไงก็เถอะ ตอนนี้คุณก็เกือบจะถึง Edge Knot City แล้ว ปลายทางสุดท้ายของคุณ ที่ที่ Amelie รออยู่ ยิ้มได้แล้วแซม เหลืออีกเมืองสุดท้ายที่ต้องไปแล้ว ที่สุดท้ายในการใช้ Q-pid แม้ว่าคุณอาจจะต้องการส่วนประกอบอื่นอีกเพื่อให้งานนี้สำเร็จก็เถอะ และไม่ว่าเครือข่ายทั่วประเทศจะทำหน้าที่เป็นตั๋วกลับบ้านของคุณหรือไม่ ก็จงจำไว้ว่าด้วยการทำให้เมือง Edge knot ออนไลน์อีกครั้งก็เท่ากับคุณได้เปิดเผยตำแหน่งของ Amelie ให้ Higgs รู้แล้ว ซึ่งที่คุณต้องทำคือ ต้องถึงตัวเธอให้ได้ก่อน Higgs เอาล่ะ เข้าไปพักผ่อนที่ห้องส่วนตัวของคุณและจัดเตรียมอุปกรณ์ของคุณให่้เรียบร้อยซะ
Amelie – Sam อยู่รึเปล่า?
SAM - Amelie ?
Amelie – ได้ยินเสียงชั้นมั๊ยแซม?
SAM – ทางนี้ Amelie !
Amelie – ตอนนี้การเชื่อมต่อของเครือข่ายใกล้สมบูรณ์แล้ว แค่อีกเมืองเดียวเท่านั้น อเมริกาก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ชั้นเคยบอกชื่อจริงของชั้นรึยัง? ….มันคือ Amerigo .. มาจากชื่อของ Amerigo Vespucci ชายผู้ค้นพบทวีปอเมริกา
** อเมริโก เวสปุชชี (Amerigo Vespucci ) เป็นนักสำรวจ นักเดินเรือ นักทำแผนที่ชาวอิตาลีที่เป็นคนชี้แนะ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ว่าพื้นที่ที่เขาสำรวจมานั้นไม่ได้เป็นแผ่นดินส่วนหนึ่งของทวีปเอเชีย แต่เป็นแผ่นดินใหม่ หลังจากนั้นโคลัมบัสก็ได้ตั้งชื่อทวีปที่เขาค้นพบว่า America เพื่อเป็นการให้เกียรติกับ Amerigo Vespucci ที่เป็นคนช่วยชี้แนะ **
Amelie – นอกจาก Amerigo เขาจะโกหก ... อเมริกาเป็นเรื่องโกหก
SAM – Amelie !!
Amelie – ชั้นอยู่ที่ชายหาด แซม ในชายหาดของเรา ที่ที่เดียวที่ชั้นเกิดมา ที่นี่ Higgs ไม่มีวันตามหาชั้นเจอ เขาทำไม่ได้ ฉะนั้นไม่ต้องห่วงชั้นหรอก ไปจัดการใช้ Q-pid อันสุดท้ายที่ Edge Knot City แล้วจบเรื่องที่เราเริ่มต้นขึ้นซะ ชั้นจะมาหาในห้องพักที่ Distro Center อีกทีเมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว
SAM – แต่มีบางอย่างที่คุณต้องรู้ไว้นะ แซม ชั้นเก็บของสิ่งนึงของคุณเอาไว้ หน้ากากที่คุณเคยสวมใส่มานานแล้ว ทุกๆอย่างที่ Higgs พูดเกี่ยวกับชั้นมันเป็นเรื่องจริง .. ชั้นจะเป็นคนจบเรื่องทั้งหมด ..ทั้ง อเมริกา และ มนุษย์ชาติ การสูญพันธ์ครั้งใหญ่ นั่นแหละคือสิ่งที่ชั้นเป็น
SAM – เธอพูดเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?
Amelie – แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ชั้นต้องการจะเป็นหรอกนะ ที่ชั้นต้องการก็คือ คุณกับชั้นและทุกๆคนในโลกนี้ ได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง
Amelie – Sam ได้โปรด
Amelie – สัญญากับชั้นว่าคุณต้องหยุดชั้นเอาไว้ อย่าให้ชั้นต้องพบจุดจบแบบนี้ ชั้นจะรอที่ชายหาดนะแซม
SAM – Amelie ….. Amelie !!!
สำรวจ Delivery terminal ที่ Distribution Center north of Edge Knot City เลือกทำภารกิจ
[Order No. 63] Network Activation Key Delivery: Edge Knot City
Die – Hardman – Edge Knot City จิ๊กเซอร์ปริศนาชิ้นสุดท้าย แต่ครั้งนี้คุณต้องการมากกว่าเพียงแค่ใช้ Q-pid ของคุณเพื่อเชื่อมโยงเครือข่าย แต่มันจำเป็นต้องใช้รหัสในการเปิดใช้งานเครือข่าย เพื่อป้องกันการแทรกแซงของผู้ก่อการร้าย ซึ่งมันยังถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีใน distro center แห่งนี้โดยไม่เคยมีโอกาสได้ใช้งานเลยจนถึงบัดนี้
นำมาออกมาจาก Terminal แล้วนำส่งไปที่ Edge Knot City ซะ โชคดีของเราที่ระบบอัตโนมัติของ distro center นี้ยังทำงานได้อยู่ ดังนั้นเมื่อทำการป้อนรหัสเข้าไปแล้วมันจะเชื่อมต่อเข้าสู่เส้นทางหลักที่ใช้ในการส่งข้อมูลของเครือข่ายโดยอัตโนมัติ แต่ก็มีข้อควรระวัง activation key แต่ละเครื่องใช้ระบบการระบุตัวตนที่ไม่ซ้ำกัน (unique identifier ) ซึ่งถ้าเกิดความเสียหายขึ้นกับมัน คุณจะไม่สามารถสร้างอันใหม่ได้อีกแล้ว มันเป็นของหนึ่งเดียวที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ ฉะนั้นจะถนุถนอมมันให้มากที่สุด อย่าทำหาย อย่าทำมันเสียหายโดยเด็ดขาด ได้ยินที่ผมบอกแล้วนะแซม คุณจะต้องนำส่งมันไปให้ถึงจุดหมายให้ได้เท่านั้น พวกเราทุกคนไว้ใจคุณนะ
[Order No. 63]
Network Activation Key Delivery: Edge Knot City
ภารกิจนี้คือการนำส่ง Network Activation Key จาก Distribution Center north of Edge Knot City ไปยัง Edge Knot City ที่ตั้งอยู่ทางใต้ของแผนที่
แม้เส้นทางจะเป็นเส้นตรง แต่ระหว่างทางนั้นมีอุปสรรคมากมายทั้งก้อน BT ที่ลอยลงมาจากบนฟ้าที่พร้อมจะแตกใส่ทำให้บาดเจ็บ ทำให้ต้องคอยยิงสกัดให้มันระเบิดก่อนจะถึงตัว
และพวก BT ตามทางมากมายที่พร้อมจะเข้าโจมตีถ้าเกิดเสียงดัง ท่ามกลางพื้นที่เศษซากปรักหักพังของเมืองที่ยากลำบากต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินทางอย่างมาก เมื่อผ่านอุปสรรคทั้งหมดมาได้ก็จะถึงที่ตั้งของ สำนักงานของ BRIDGE ประจำเมือง Edge Knot City
Edge Knot City
Edge Knot City - - เข้าร่วม UCA
+ เพิ่มเติมไอเทมใหม่ที่สามารถสร้างได้ใน Delivery terminals
- Quadruple Grenade Launcher
ปืน Grenade Launcher ที่เมื่อล็อกเป้าหมายแล้วสามารถยิงกระสุนที่มีพลังทำลาย 4 เท่า และใช้กระสุน Anti – BT โดยการเติมเลือดของแซมได้ด้วย ถือว่าเป็นปืนที่รุนแรงที่สุดในเกม
+ ข้อมูลการสัมภาษณ์ใหม่
-Human Sacrifices Under London Bridge
-Bridgmanite in the Earth's Mantle
Die – Hardman – เราทำสำเร็จแล้วแซม ตอนนี้เครือข่าย Chiral Nrtwork ของ UCA ได้ครอบคลุมทั้งทวีปแล้ว ประเทศชาติของเรารวมกันเป็นหนึ่งเดียวอืกครั้ง United Cities of America ได้เกิดใหม่อีกครั้ง ถ้าเกิดว่าผู้ก่อการร้ายหรือใครก็ตามที่พยายามโจมตีเราตอนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะทำลายเมืองของเราได้แต่เครือข่ายจะยังคงอยู่ ตอนนี้ทุกๆอย่างสามารถผ่านเข้าสู่ชายหาดได้แล้ว และชายหาดก็จะทำให้พวกเราได้อยู่ร่วมกัน แต่เราจะยังนิ่งนอนใจตอนนี้ไม่ได้ คุณยังต้องมีอีกงานที่ต้องทำก่อน แซม เพราะประเทศใหม่ก็ต้องการผู้นำคนใหม่ และผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวที่จะต่อยอดความสำเร็จที่ประธานาธิบดี Bridget Strand เคยทำเอาไว้ได้ ผู้หญิงที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเกิดเพื่อสืบทอดมรดกนี้ นั่นก็คือ Amelie และตอนนี้เธอก็กำลังอยู่ข้างนอกนั่น และ ต้องการให้คุณไปช่วย พาเธอกลับบ้าน แซม แล้วก็จับตาดู Higgs ด้วย ระวังมันไว้ให้ดี มันต้องพุ่งเป้าไปที่เธอแน่นอน ตอนนี้ Edge Knot City เชื่อมต่อแล้ว เธอน่าจะพร้อมที่จะมาห้องส่วนตัวของคุณ ลองเข้าไปตรวจสอบดูก็แล้วกัน
จากนั้นเข้าไปพักใน Private Room ของ Edge Knot City ในขณะที่แซมล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า เขาก็ได้เข้าไปในนิมิตแห่งภวังค์ ณ. ชายหาดแห่งนึง อีกครั้ง
???? – มาหาชั้นจนได้ ชั้นรู้ว่านายต้องมา
???? – แซม นี่ชั้นเอง
SAM - Amelie หรอ?
???? – ชั้นมีอะไรจะบอกนายอย่างนึง
???? – … ชั้นคือ
The Extinction Entity
ทันทีที่ แซม ตื่นขึ้นมาจากนิมิตประหลาด สัญญาณเตือนภัยถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาของ Edge Knot City ก็ดังขึ้นทันที
เมื่อออกมาจากห้องพักแล้ว เป้าหมายต่อไปคือ ออกไปสำรวจที่ด้านนอกเพื่อดูว่าอะไรที่ทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นมา แต่ก่อนจะออกไปด้านนอก อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมก่อน สิ่งสำคัญคือต้องเอาสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกให้หมด เอาติดตัวออกไปแค่ อาวุธที่รุนแรงที่สุด , เกราะป้องกัน และถุงเลือดเท่านั้น โดยอาวุธที่แนะนำคือ Quadruple Grenade Launcher และ MULTI - ROCKET LAUNCHER
SAM – นั่นมันตัวอะไรวะเนี่ย !?
Higgs – แกให้ทุกอย่างที่ชั้นต้องการแล้ว แซม ทันทีที่เครือข่าย Chiral network เชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์ มันกระจายไปทั่วทั้งอเมริกา เชื่อมต่อทุกๆหัวเมืองทั้งหมด ข้าได้โลกทั้งใบ เหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือ ...ดูนั่นสิ
Higgs – Amelie!?
Higgs – 5 .... เราเคยมีการสูญพันธ์ครั้งใหญ่มาแล้ว 5 ครั้ง แต่ละครั้งล้วนเกินจากเหล่า Extinction Entity และถึงตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะเกิดครั้งที่ 6
Higgs – ข้าไม่ได้พูดถึงการสูญพันธ์ของสิ่งมีชีวิตหลายพันสายพัน ไม่ใช่ เพราะนี่ คือความฉิบหายมากมายกว่านั้นหลายเท่า ปฏิสสาร BT จะทำให้เกิด Voiding out คร่าทุกชีวิตที่เราเคยรู้จักมา ทั้งหมด ไม่มีเหลือ ! และ มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีพวก ลูกเสือ อย่างแก ที่มีความตั้งใจที่จะ “ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง”
Higgs – แกคิดว่าไงล่ะ? … มานี่ดิ ถึงเวลาจะแนะนำให้รู้จัก ..จุดจบของพวกแก
SAM – Amelie !!
Amelie – งานใหญ่กำลังจะสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ทุกๆเมืองต่างก็เข้ามาร่วมกัน อีกไม่นานชั้นจะผสมผสานชายหาดของพวกเขาและมนุษย์ชาติทั้งหมดให้มาอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในชายฝั่งทะเลเดียวกัน แล้วหลังจากนั้น ทั้งหมดก็จะสูญพันธ์จนไม่เหลือ การสูญพันธ์ครั้งใหญ่กว่าทุกครั้งที่เคยมีมา การสูญพันธ์ครั้งสุดท้ายนี้เป็นความประสงค์ของชั้นเอง
SAM – ไอ้บ้านั่นมันทำอะไรกับเธอ Amelie ?
Amelie – The Last Stranding คือ เหตุผลที่ชั้นเกิดมา มันจะทำให้การสูญพันธ์ครั้งแรกหรือครั้งไหนๆเป็นแค่การโหมโรง
Higgs – DOOMS ? คนแบบพวกเราน่ะหรอ? ทั้งหมดก็ล้วนกำเนิดมาจากเธอนี่แหละ มันเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเรา ? เป็นวิสัยทัศน์แห่งอนาคตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้? ฟังดูคุ้นๆป่ะละ? สุขสันต์วันแห่ง DOOMS แซม !
Amelie – แซม .. ยังไม่เข้าใจอีกหรอ?
Higgs – แกจะทำให้มันเกิดเร็วขึ้นหรือช้าลงก็ได้ แต่แกไม่สามารถหยุดสิ่งที่เราเริ่มเอาไว้ได้หรอกแซม จนกว่าแกจะคว่ำข้าลงได้ ฮ่าๆๆๆ
Higgs – แกช่วยเธอไม่ได้หรอก เพราะว่าทั้งหมดนี้ มันสำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้ว
Higgs – เอาล่ะ ที่นี้ก็เข้ามาจัดการข้าซะสิ !!
[Order No 64]
Elimination: BT
เป้าหมายของภารกิจนี้คือ เอาตัวรอดและกำจัด BT ขนาดมหึมาให้ได้ การต่อสู้กับมันสามารถใช้อาวุธทุกชนิดยิงได้หมด โดยเฉพาะปืนที่มีพลังทำลายล้างสูงอย่าง Quadruple Grenade Launcher ยิงไปตามร่างกายของมัน หรือจะใช้ปืน MULTI - ROCKET LAUNCHER ล็อกออนยิงไปที่จุดอ่อนของมันอยู่ตรงจุดสีทองที่ Higgs เกาะอยู่ด้วยกระสุนทั้ง 4 ลูกพร้อมๆกันจะทำให้พลังของมันลดได้มากที่สุด
ที่เหลือก็พยายามหลบก้อน BT ที่มันปล่อยโปรยลงมา และพยายามทิ้งระยะห่างกับมันเอาไว้แล้วยิงตอบโต้ไปเรื่อยๆ เมื่อพลังลดลงเกินครึ่ง Higgs มันจะเริ่มเปลี่ยนที่เกาะของมันจากกลางลำตัวของ BT ไปที่ไหล่ซ้าย พร้อมทั้งปล่อยพวก BT chiralium ออกมาเพื่อจับตัวแซมเพื่อให้เคลื่อนไหวช้าลง และหาดิ้นไม่หลุดก็จะถูกลากลงไปใต้น้ำมันดินซึ่งจะทำให้ตายในทันที พยายามใช้ปืน MULTI - ROCKET LAUNCHER ล็อกออนยิงถล่มตรงจุดที่ Higgs เกาะอยู่อย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆก็จะจัดการมันลงได้
Higgs – ไม่ต้องห่วง เธอสบายดี … การสูญพันธุ์ ต้องถูกระงับไว้ก่อน ..แค่ตอนนี้อ่ะนะ
SAM – ปล่อยเธอไปเดี๋ยวนี้นะ !!
Higgs – ทำได้แค่เนี้ยอ่ะนะ ผู้ฟื้นคืน (Repatrite) ช่างไร้ค่าจริงๆเลย
ปัง ปัง ปัง ปัง !!!!
Higgs – น่าสนใจ เอาไว้เดี๋ยวค่อยกลับมาเอาเจ้านี่ตอนแกตายแล้วก็แล้วกัน
Higgs – ข้าจะไปรอที่ชายหาดก็แล้วกันเพื่อปิดฉากทุกอย่างที่นั่นก็แล้วกัน ใกล้จะถึงตอนจบของเราแล้วแซม
Die – Hardman – บ้าเอ้ย ! Higgs มันจับเธอไปที่ ชายหาด แล้ว เราจะปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้เด็ดขาด ! ต้องมีซักทางที่คุณจะสามารถไปจับตัวมันได้ รีบหน่อยแซม
คุณรู้ดีว่ามันเสี่ยงแค่ไหน และเรากำลังเดิมพันด้วยอะไรอยู่ ! ถ้าคุณหยุด Higgs เอาไว้ไม่ได้ มันก็จะใช้ Amelie นำหายนะมาให้โลกของเรา และทุกๆอย่างที่เราทำมาก็จะสูญเปล่า
จากนั้นเข้าไปพักใน Private Room ของ Edge Knot City แล้วเลือกที่ร่มของ fragile เพื่อเตรียม Jump
Fragile – Higgs ต้องการจะเชื่อมต่อกับเมืองของพวกคุณทุกเมืองโดยใช้ ชายหาด ของ Amelie ดังนั้น มันชัดเจนอยู่แล้วว่าพวกเขาจะไปที่ไหน
SAM – แล้วเราจะไปที่นั่นได้ยังไง?
Fragile – ชั้นทำไม่ได้ แต่คุณกับ Amelie มีความเชื่อมต่อที่แนบแน่นกันอยู่แล้ว คุณเองก็เคยไปที่ชายหาดของเธอมาตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรอ? คุณสามารถ Jump ไปได้อยู่แล้ว ….. นายจะปล่อยมันให้เป็นหน้าที่ชั้นใช่มั๊ย?
SAM – ผมจะพยายามทำให้มันไม่ตายก็แล้วกัน ..
Fragile – สัญญาสิว่า ชั้นจะต้องเป็นคนจัดการมันเท่านั้น !
SAM – อืมม ..
Fragile – ดี ... งั้นชั้นจะช่วยพาคุณไปทุกที่ที่คุณต้องการ แต่ ชั้นคงส่งเราไปพร้อมๆกันทีเดียว 2 คนไม่ได้หรอกนะ ชั้นจะตามไปทีหลัง
SAM – ผมคิดว่าคุณบอกว่าคุณไปหาเธอไม่ได้ไม่ใช่หรอ?
Fragile – ชั้นไปไม่ได้ แต่ชั้นตามไปหาคุณได้โดยความสัมพันธ์ที่ผูกเราเข้าด้วยกัน สร้อยดักฝันนั่นจะนำทางคุณไปหาเธอ และ miçanga นั่นจะนำทางชั้นไปหาคุณ ซึ่งคุณต้องเอามันมาให้ชั้นใส่
SAM – ช่าย .. ผมไม่ต้องใช่อาวุธหรอก และผมก็ไม่ต้องเอา Lou ติดตัวไปด้วย ...
Fragile – อะไร ?
SAM – วันนี้ไม่มีอะไรให้กินหรอ ? ..
Fragile – หึหึ ...ระวังตัวด้วยนะแซม
Fragile – เพื่อให้ได้ผลดี ชั้นจำเป็นต้องแตะตัวคุณนะ
SAM – อืมม ..
Fragile – เอาล่ะ ที่นี้ก็โฟกัสไปที่ Amelie และ ชายหาดของเธอ
Fragile – คุณรักเธอใช่มั๊ยเนี่ย? …คุณรัก Amelie ….. อยู่นั่นไง เจอแล้ว !!
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
SAM – Amelie !!
Amelie – SAM ? มาทำอะไรที่นี่เนี่ย ?
Higgs – แกพร้อมจะจบเรื่องนี้กันแล้วใช่มั๊ย ? ก่อนที่จะสิ้นสุดทุกๆอย่าง ..
SAM – แกทำอะไรกับเธอ !?
Higgs – แล้วชั้นควรจะทำอะไรดีล่ะ? ก็คงช่วยรักษาความปลอดภัยให้ Extincion Entity จนกว่า จะลืมความผิดพลาดที่ผ่านมา เพื่อเริ่มต้นใหม่ แต่การสูญพันธ์ครั้งที่ 6 ก็ยังดำเนินต่อไป ไม่มีอะไรมาหยุดได้ ไม่ว่าแกหรือชั้นหรือไม่ว่าใครทั้งนั้น มนุษยชาติเหลือเวลาอีกไม่กี่แสนปี เต็มที่เลยอ่ะนะ
Higgs – ทำไมเราไม่ตัดบทไปเลยล่ะ ? ยอมรับชะตากรรมของเราซะ ! เหมือนเหล่าสิ่งมีชีวิตก่อนหน้าเรา เราต่างก็รู้ว่าอะไรกำลังจะมา ทำไมเราต้องไปชะลอสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กันล่ะ ? พวกที่เราทุกคนที่มีความสามารถ DOOMS รวมทั้งเธอเอง พวกเราต่างก็ถูกผูกไว้กับที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เราทั้งหมดต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของ Death Stranding
Higgs – และที่นี่ ที่ชาดหาดห่านี่ เราจะไม่สามารถฟื้นคืนได้ เราคนนึงต้องตายจริงๆ หมายถึงถูกพาไปยังโลกอีกด้าน เจ๋งดีว่ามั๊ย? โชคดีเป็นของผู้แพ้ที่ไม่ต้องมานั่งตายซ้ำตายซากกับเรื่องโกหกซ้ำๆอยู่ตลอด ไม่มี BT ไม่มี Voidouts ไม่มีเรื่องงี่เง่าห่าอะไรทั้งนั้น มีแค่การต่อสู้กับบอสแบบดั่งเดิมแค่นั้น กระบอกสู้กับเชือก ... ปืน สู้กับ Strand ! อีกหนึ่งฉากจบก่อนถึงจุดจบจริงๆ เกมโอเวอร์ครั้งสุดท้ายหนึ่งเดียวของเรา !
[Order No. 65]
Elimination: Higgs
เป้าหมายของภารกิจนี้คือการจัดการกับ Higgs โดยการต่อสู้กับเขาตัวต่อตัว แต่สภาพการณ์ตอนนี้แซมไม่มีอาวุธติดตัวอะไรเลยนอกจากเครื่องสแกนและเชือก (Strand)
โดยการต่อสู้ในช่วงแรกนั้น Higgs จะใช้อาวุธปืนกลในการโจมตี สิ่งที่แซมสามารถทำได้คือการ ใช้ซากวาฬและก้อนหินเป็นที่กำบังและซ่อนตัว จากนันหาจังหวะในการเข้าโจมตีในช่วงที่ Higgs กำลังใส่กระสุน โดยการเข้าไปเตะต่อยหรือจะให้หนักหน่วงขึ้นก็ให้หาเก็บกล่องเศษเหล็กที่ตกอยู่ในพื้นที่เอาไปฟาดใส่มัน เมื่อโจมตีมันได้ 1 ครั้งมันจะวาร์ปหายตัวไปตั้งหลักใหม่ โดยต้องหาทางโจมตีมันให้ได้ 5 ครั้งการต่อสู้ในยกแรกถึงจะจบลง
การต่อสู้กับ Higgs ในยกที่สองนั้น ตอนนี้มันจะไม่ใช้ปืนในการต่อสู้แล้วเพราะกระสุนหมด แต่จะใช้มีดสั้นและการวาร์ปหลบหลีกไปมาด้วยความเร็วในการโจมตีแทน แม้ตอนนี้มันจะไม่มีปืนแล้วแต่การที่แซมจะเข้าถึงตัวมันนั้นจะยากกว่าเดิมเพราะมันจะเคลื่อนที่หลบหลีกเร็วขึ้นมาก วิธีตอบโต้มันที่ดีที่สุดคือการตั้งรับและรอสวนกลับอย่างเดียว
โดยให้เลือกใช้ เชือก (Strand) เป็นอาวุธ แล้วกด L2 เตรียมพร้อมการโจมตีเอาไว้ รอให้ Higgs มันวาร์ปเข้ามาโจมตี พอมันเข้ามาในระยะประชิดที่มากพอ สังเกตคำสั่ง Parry with Strand ขึ้นมาให้เห็นก็รีบกด R2 ให้ทัน แซมจะใช้เชือกป้องปัดการโจมตีของ Higgs จนทำให้มันเสียจังหวะ จากนั้นคำสั่ง Bind with Strand จะขึ้นมาให้รีบกด R2 ให้ทัน แซมจะใช้เชือกมัดแล้วฟาด Higgs ลงไปนอนกับพื้น ซึ่งจะสามารถกระทืบมันได้ต่ออีกนิดหน่อยก่อนที่มันจะวาร์ปหายตัวไปตั้งหลักใหม่ ใช้วิธีนี้จัดการมันไปเรื่อยๆก็จะล้ม Higgs ลงได้
Higgs – นี่แกยัง ...
Higgs – นี่แกยังไม่เข้าใจเลยใช่มั๊ย ..
Higgs – ว่าแกไม่สามารถหยุดสิ่งนี้ได้ ไม่มีใครทำได้ เราคือ DOOMS แซม !! นี่คือจุดจบเพียงหนึ่งเดียวของเรามาแต่แรกแล้ว เข้ามาสิวะ !!
ยกที่ 3 ในการต่อสู้ของ SAM และ Higgs ลงเอยด้วยการแลกหมัดฟาดปากกันแบบใครเร็วใครได้ด้วยมือเปล่าและเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่
หมัดแล้วหมดเล่าที่ SAM และ Higgs ต่างฝ่ายต่างงัดขึ้นมาประเคนใส่กันแบบใครดีใครอยู่ สุดท้ายก็จบลงที่ฝ่ายที่ลงไปนอนกองจมกองเลือดก็คือ Higgs ที่หมดสภาพจากท่า Headbutt ที่รุนแรงของ SAM ไปในที่สุด
Higgs – ดูจะเกินไปหน่อยนะสำหรับคนที่เป็นโรคกลัวการถูกสัมผัสอย่างแกเนี่ย ฮะ ...ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ...แค๊กๆๆ
Higgs –... ยินดีด้วยนะ แกชนะเกมนี้แล้ว แต่แย่หน่อยนะ เพราะยังไงแกก็คงหยุดไอ้เรื่องบ้าๆนี่ไม่ได้อยู่ดี … รออะไร? จัดการให้มันจบๆไปซะสิ !!
Higgs – Fragile ?
Fragile – ยังจำกันได้หรอ? สงสัยชั้นคงไปทิ้งความประทับใจที่ไม่รู้ลืมให้นายแน่ๆเลย .. ชั้นคือ Fragile แต่ไม่ได้บอบบางเหมือนชื่อหรอกนะ ณ. เวลานี้ นายคือคนเดียวที่กำลังจะพัง
Higgs – งั้นหรอ? ชั้นว่าตอนนี้เธอคงค้นพบแล้วสินะว่าสายสัมพันธ์ของเรามันเป็นอะไรที่แข็งแกร่งมาก
Higgs – ขอพลังหน่อยสิวะ แม่งเอ้ย !!
Fragile – อ้าว เป็นอะไรไปหรอ? บอกแล้วว่านายมันพังไปแล้ว
Higgs – อะไรกันวะเนี้ย !? ชั้นคือ Higgs นะโว้ย !! ชั้นคืออนุภาคของพระเจ้าที่แทรกซึมอยู่ในทุกการมีอยู่ของทุกสิ่ง ! แล้วแกคิดว่าตัวเองเป็นใครห๊ะ !?
Higgs – ที่รัก .... เธอมันก็แค่สินค้าที่ชำรุดแล้ว .. ก็เท่านั้น
Fragile – ไม่ ...แกต่างหากที่เป็นสินค้าที่ชำรุด
SAM – อ่ะ เอาไปเลย มันเป็นของเธอแล้ว ชั้นทำตามสัญญาแล้วนะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Amelie – ทำไมถึงช้านัก
Fragile – เอานี่ เก็บมันไว้กับนายเถอะ ใส่มันเพื่อปิดบังใบหน้าแล้วไปบอกพวก lifers กับพวก Porter syndrome ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
SAM – ไม่ดีกว่า เธอแหละเก็บเอาไว้ มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเขาจะได้ยินจากเธอเอง
Fragile – แล้วก็อีกอย่างนึง
Fragile – เจ้าตัวน้อยของคุณ บริการพี่เลี้ยงเด็กที่นั่นมันห่วยน่ะ
Fragile – ชั้นก็เลยหาทางนำมันมาที่นี่ด้วย โดยทำให้เห็นว่ามันเป็นแค่อุปกรณ์ชิ้นนึง คงไม่ว่ากันนะ
แล้วเอ่อ จะให้ชั้นส่งคุณกลับไปที่ฝั่งตะวันออกมั๊ย?
Amelie – เขาคงไม่ต้องให้เธอช่วยแล้วล่ะ เขามีเครือข่าย Chiral Network แล้ว และตอนนี้เขามีชั้นแล้ว เราจะจัมป์กลับไปที่ฝั่งตะวันออกด้วยกัน
Fragile – เขานี่ช่างโชคดีจริงๆเลยนะ
SAM – เราซาบซึ้งใจในทุกอย่างที่คุณทำให้เรามากๆนะ จริงๆนะ แต่ตอนนี้เราโอเคแล้ว อีกอย่างผมมั่นใจว่า พวกเขาคงอยากให้คุณกลับไปที่ Fragile Express มากๆเหมือนกัน
Fragile – ช่าย อะไรจะดีไปกว่าการที่เป็นคนกอบชิ้นส่วนที่แตกหักนำมารวมกัน อะไรที่ดูไม่สมบูรณ์แบบก็จะสามารถคัดออกได้ง่ายๆสบายๆ
SAM – Fragile ?
Fragile - เราหายกัน ไม่มีหนี้บุญคุณต่อกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว .. ลาก่อนแซม
Amelie – มาเถอะ เรามีงานต้องทำอีกเยอะ ..นี่คุณยังเชื่อในตัวชั้นอยู่มั๊ยเนี่ย? แม้ว่าจะไม่มี Higgs แล้ว ชั้นเองก็ไม่ต่างกับระเบิดเวลาเดินได้อยู่ดี ชั้นคงปล่อยให้มันจบลงแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด สิ่งที่ชั้นต้องการก็คือสิ่งที่ชั้นต้องการมาตลอดนั่นแหละ ชั้นอยากให้เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ... อะไร ?
SAM – บอกความจริงผมมาเถอะ เรื่องทั้งหมดนี่ทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อ Bridget?
Amelie – เพื่อประเทศของเรา เพื่ออนาคตของพวกเรา นี่แหละความจริง
Amelie – แต่มีบางอย่างที่คุณต้องรู้เอาไว้นะแซม คือคุณต้องกลับไปฝั่งตะวันออกก่อนชั้นถึงจะหลุดออกจากที่นี่ แล้วชั้นตามไปหาคุณ
SAM – อะไร ? นี่คุณจะโกหกอีกหรือเปล่า? แม่งเอ้ย คุณไม่รู้หรอกว่าผมต้องลำบากแค่ไหนถึงจะมาที่นี่ได้น่ะ!?
Amelie – ซึ่งคุณคงจะไม่ยอมมาถ้าชั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณไม่เคยแคร์อเมริกา หรือ Bridges แต่เรารู้ว่าคุณแคร์อยู่เรื่องนึง สิ่งเดียวที่ทำให้คุณยอมที่จะเดินทางข้ามทวีป เหตุผลนั้นก็เพื่อสร้างเครื่อข่ายให้ UCA และนั่นมันเป็นไอเดียของ Die-Hardman
SAM – เยี่ยม ! งั้นผมก็คงเป็น Mario ส่วนคุณก็เป็นเจ้าหญิง Peach …ก็จริง ใช่แล้ว คุณพูดถูก ผมไม่แคร์ประเทศห่านี่หรอก ผมไม่มีเยื่อใยกับอะไรหรือกับใครนอกจากคุณ !
ชั้นเสียใจด้วยแซม แต่ยังไงสุดท้ายแล้วมันก็ต้องจบ
Amelie – ชั้นรู้ว่าคุณมีคำถามอีกมากที่อยากจะถาม แต่ เราไปช่วยพวกเขาก่อนได้มั๊ย? เรื่องอื่นเดี่ยวค่อยว่ากัน
SAM – แน่นอน ได้สิ
Amelie – งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ
SAM – แล้วเราจะกลับยังไง ? เราจัมป์ได้แบบ Fragile รึไง?
Amelie – ไม่ต้องจัมป์อะไรแล้ว ตอนนี้ชายหาดทุกชายหาดเชื่อมต่อถึงกันหมด เราวิ่งกลับไปด้วยกันได้เลย
SAM – วิ่งเนี่ยนะ?
Amelie – ใช่ วิ่ง ... เหมือน Mario กับ เจ้าหญิง Beach ไง
Amelie – รอตรงนี้ก่อนนะ ..
Die-Hardman -ท่านประธานธิบดี Bridget Strand?ในที่สุดคุณก็ชวนผมมาที่ชายหาดจนได้ จำนี่ได้มั๊ย ? นี่คือ ปืนกระบอกเดิม และ ตอนนี้ผมจะใช้มันทำสิ่งที่ถูกต้องซะที คุณคิดว่าจะทำให้โลกรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างงั้นหรอ แม่งไม่มีทางเป็นไปได้หรอก !
Bridget – โอเค ถ้างั้นก็ ...ยิงชั้นซะเลยสิ ….
Bridget – นี่ไม่ใช่เวลามาไถ่โทษ ไม่ใช่สำหรับเรา
Die-Hardman - ปะ เป็นไปไม่ได้ ...
Clifford – นี่นายจริงๆหรอ?
Die-Hardman - Jo ..Jo ... ใช่ นี่ชั้นเอง John จำได้มั๊ย?
Die-Hardman - ชะ ชั้นเสียใจ John ..ชั้นเสียใจจริงๆนะ !!
Clifford – เอา BB ของชั้นคืนมา !
Bridget – นายถามผิดคนแล้วมั้ง
Clifford – BB !!
Amelie – หนีไป !!
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Deadman – โว้ๆๆๆ แซม นี่ผมเอง !! โทษทีไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณตกใจ
SAM – ผมอยู่ที่ไหน ?
Deadman – ทางตะวันออกของทะเลสาบน้ำมันดิน ในห้องส่วนตัวของคุณเอง เรื่องนี้คุณต้องขอบคุณ Amelie นะ
SAM – ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ?
Deadman – เฮ้อ ...เราไม่รู้หรอก
SAM – เธอไม่ได้กลับมาฝั่งตะวันออกด้วยงั้นหรอ?
Deadman – เปล่า หลังจากที่เธอช่วยคุณไว้ เธอก็ติดต่อไปที่ HQ แล้วทิ้งข้อความไว้ให้เรา
SAM – ข้อความว่า ?
Deadman – “ชั้นจะไปจัดการทำเรื่องที่ Bridget เริ่มเอาไว้ให้สำเร็จ” แค่นั้นแหละ แล้วข้อความก็หายไปเลย
SAM – Bridget ! ใช่ๆ ผมเห็น Bridget ที่ชายหาดด้วย
Deadman – ไม่เอาน่าแซม คุณเป็นคนนำร่างเธอไปเผาด้วยตัวเองเลยนะจำไม่ได้หรอ? เธอไม่มีทางอยู่ที่ชายหาดแน่นอน เป็นไปไม่ได้หรอกน่า แม้จะเป็นชายหาดของลูกสาวเธอเองก็เถอะ !
SAM – แน่ใจนะ คุณเช็คกล่องข้อความดีแล้วนะ ?
Deadman – เสียใจด้วย บันทึกที่เราได้มาก็ตามที่ผมเคยบอกคุณไปนั่นแหละ จำไม่ได้แล้วหรอ?
SAM – นายคนนั้นก็อยู่ที่นั่นด้วย Clifford เขากำลังจับ Die-Hardmanเป็นตัวประกันด้วย
Deadman – ผ.อ น่ะหรอ?
SAM – ทำไมเรื่องนี้คุณกลับเชื่อล่ะ?
Deadman – แหม่ ก็มันดันทำให้คิดขึ้นได้ว่า ทำไมเราถึงติดต่อเขาไม่ได้มาซักพักแล้ว ..ผมน่ะสังสัยในตัวเขามาตลอด แต่ตอนนี้ผมเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรๆได้บ้างแล้ว รู้มั๊ย มันมีบ้างอย่างที่ทำให้ผมหงุดหงิด
Deadman – เรามีข้อสันนิษฐานว่า Higgs กำลังควบคุม Cliff มาตลอด แต่นั่นอาจไม่ถูกต้อง เพราะว่าตอนนี้ Higgs ถูกกำจัดไปแล้วแต่ Cliff ยังก่อปัญหาอยู่
SAM – คุณคิดว่า Cliff เป็นคนบงการเรื่องทั้งหมดงั้นหรอ?
Deadman – ใช่ ดูเหมือนเขาพยายามจะควบคุมตัว Amelie กับ ผ.อ ไว้ที่ชายหาด
SAM – งั้นเดี๋ยวผมจะลองไปที่นั่นอีกที ..เดี๋ยวนะ แล้ว Fragile ไปไหน?
Deadman – เธอปลอดภัยดี เธออยู่กับพวกเรานี่แหละ แต่เธอก็ไม่สามารถพาคุณไปส่งที่ชายหาดนั่นได้
SAM – อะไรนะ !! เพราะอะไร!?
Deadman – คุณต้องเข้าใจนะแซม ในขณะที่คุณหมดสติไป สถานการณ์ต่างๆก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย เราอธิบายได้ ผมสัญญา แต่ก่อนอื่นคุณต้องพักผ่อนก่อน โอเค๊ ?
SAM – พักผ่อนส้นตีนเถอะ ผมจะไปที่ชายหาดนั่นเดี๋ยวนี้ !!
Deadman – แล้วเจ้าหนู Lou ก็ไม่จำเป็นต้องพักผ่อนเหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ?
Deadman – แซม คุณช่วยเราเชื่อมต่อเครือข่าย Chiral network จากตะวันออกสู่ฝั่งตะวันตก แถมยังช่วยกำจัด Higgs ศัตรูอันดับ 1 ของ UCA ให้อีกด้วย เราไม่สามารถมาไกลขนาดนี้ได้ถ้าไม่มีคุณ แต่มันยังมีขั้นตอนสุดท้ายที่ต้องทำอยู่อีกอย่าง
Deadman – เราต้องจัดพิธีสาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่และเตรียมจัดตั้งรัฐบาล อเมริกาถึงจะถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งอย่างเป็นทางการ
SAM – ใครสน คุณก็ให้คนอื่นแม่งทำไปสิ ผมทำงานในส่วนของผมเสร็จแล้ว ช่างแม่งอเมริกาสิ ตอนนี้เรามีปัญหาใหญ่กว่านั้นอีก
Heartman – ผมรับทราบแล้วแซม รัฐบาลเองก็ไม่นิ่งนอนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน Cliff ได้ตัว Amelie ไปนั่นหมายถึงเราไม่มีทางจะจัดตั้งรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ได้เลย ถ้ายังมีวันพรุ่งนี้อยู่อ่ะนะ
SAM – งั้นทำไมเราไม่ลองออกไปหาทางทำอะไรซักอย่างล่ะ? ผมไม่สนใจหรอกว่าเธอจะเป็นอะไร ที่ผมต้องการคือผมจะช่วยเธอกลับมาให้ได้แค่นั้น
Heartman – คุณเข้าใจถูกแล้ว การช่วย Amelie และการหยุดการสูญพันธ์ครั้งที่ 6 มันคือเป้าหมายเดียวกัน แต่มันจะเป็นไปไม่ได้เว้นแต่ว่าคุณจะกลับไปที่ฝั่งตะวันออกก่อน ตอนนี้เราไม่อยู่ในสถานะที่จะมอบคำสั่งให้คุณได้แต่เชื่อผมเถอะ นั่นเป็นทางเดียวจริงๆ
Fragile – แซม ตอนนี้ทุกๆคนมาอยู่ที่นี่เพื่อคุณนะ
Heartman – Fragile พาพวกเราเดินทางกลับไปยัง HQ น่ะ
SAM – คุณโอเคนะ?
Fragile – ไม่เคยรู้สึกดีเท่านี้มาก่อนเลยล่ะ นี่เป็นการพาคนจั้มป์หลายคนพร้อมกันเป็นครั้งแรกเลยนะ
SAM – Mama ไม่สิ Lockne เธอก็มาด้วยหรอ?
Lockne – ใช่ ชั้นก็มาที่นี่ด้วยเหมือนกัน คิดว่าอาจจะพอมีอะไรที่พอช่วยได้บ้างอ่ะนะ
Deadman – พวกเรามารอคุณนะแซม
SAM – ไม่มีทางที่ผมจะลากตัวเองกลับไปที่นั่นได้ด้วยตัวเองหรอกนะ มาเถอะ Fragile เริ่มกันเลย !
Fragile - ชั้นทำไม่ได้แซม ตอนนี้ชั้นอ่อนแรงมาก มันไม่ปลอดภัยที่จะพาใครก็ตามไปที่ชายหาดตอนนี้แน่นอน
Heartman – Chiral spikes ถูกใช้ในจำนวนที่มากขึ้นเนื่องจากการขยายเครือข่ายไปทั่วประเทศ ชายหาดหลายแห่งเข้ามาร่วมแชร์ในพื้นที่เดียวกันพร้อมๆกันในจำนวนมากจนมั่วไปหมด คุณสามารถสังเกตุเห็นปริมาณความเสียหายจากตัวเครื่อข่ายได้อย่างชัดเจน
Fragile – ด้วยเหตุนี้มันจึงมีความเสี่ยงมากๆที่จะพาคนข้ามไปยังชายหาดต่างๆในตอนนี้ แม้ว่าชั้นจะไปถึงชายหาดได้แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าชั้นอาจจะหลุดออกไปที่โลกอีกด้านและอาจติดอยู่ที่นั่นกลับมาไม่ได้อีกเลย เพราะงั้นชั้นจึงพาคุณข้ามไปตอนนี้ไม่ได้ยังไงล่ะ แต่ถ้าชั้นไปถึงที่หน้าทางเข้าชายหาดได้ ชั้นก็น่าจะพาคุณไปถึงที่นั่นได้
Heartman – ยังไงซะ ชายหาดก็ยังอยู่ที่นั่นไม่ได้หายไปไหน ผมยืนยันได้เลย
Fragile – แล้วก็ ใช่ คุณต้องดึงตัวเองกลับไปที่นั่นแบบที่คุณบอกจริงๆ เมื่อคุณทำสำเร็จ ชั้นสัญญาว่าจะพาคุณไปหา Amelie แน่นอน ตรงไปที่ชายหาดของเธอเลย
Heartman – คุณ 2 คนได้แบ่งปันความสัมพันธ์ต่อกันในแบบที่พิเศษมาก สร้อยดักฝันของคุณ แล้วก็สร้อย Quipu ของเธอ ไม่ใช่เครื่องประดับธรรมดาๆ มันมีความเฉพาะตัวของตัวเอง เป็นโทเท็มที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ เสมือนเป็นศูนย์รวมของความทรงจำที่คุณได้แบ่งปันกันที่ใช้เป็นค่าผ่านทางในการเข้าชายหาดของเธอ ตาข่ายดักฝันถูสร้างขึ้นโดยชนพื้นเมืองอเมริกันที่เรียกว่า อินเดียแดงเผ่าโอจิบวี(Ojibwe) พวกเขาอ้างว่ามันสามารถปัดเป่าฝันร้ายได้ และถ้าเกิด DOOMS คือของขวัญพิเศษที่ Amelie ให้กับพวกเรา เธอแบ่งปันความฝันของอนาคตพวกเรา บางที โทเท็มของคุณอาจเป็นเสมือนคำเชิญเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน เป็นบททดสอบที่ท้าทายให้คุณค้นหาความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง ในขณะที่เรารอคุณกลับมา ผมได้ลองค้นหาชายหาดของ Amelie และท่าน ผ.อ ดู ไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพวกเขาจะแข็งแกร่งเพียงพอรึเปล่า แต่ดีกว่านั่งเฉยๆไม่ทำอะไรเลย
Deadman – เอาล่ะ เดี๋ยวผมจะลองค้นหาจากบันทึกประวัติของพวกเขาดูอาจจะเจออะไรบ้างก็ได้ ไม่แน่พวกเขาอาจมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกว่าที่เรารู้ก็ได้
Fragile – เราจะรอคุณนะแซม เส้นทางกลับบ้านน่าจะไม่ยากลำบากอะไรแล้วใช่มั๊ยล่ะ? รีบกลับมาที่ฝั่งตะวันออก คุณรู้ทางดีอยู่แล้ว แล้วเมื่อคุณมาถึง ....
Deadman – เอาล่ะ ออกจากที่นี่แล้วมุ่งหน้ากลับไปที่ฝั่งตะวันออก กลับไปที่ Lake Knot city ครั้งนี้ไม่มีสินค้าต้องนำส่งหรอกนะ เพราะจริงๆแล้ว คุณนั่นแหละคือ สินค้าสำคัญ นี่แหละคือภารกิจที่คุณต้องทำ
Interview data
เรื่อง – Human Sacrifices under London Bridge
บันทึกเมื่อ 6 เดือนก่อน ที่ Bridges HQ
โดย – Deadman
ก่อนที่ผมจะเข้าร่วม Bridges ผมเคยดูหนังเก่าเรื่องนึงที่ชื่อว่า "My Fair Lady" เป็นเรื่องเกี่ยวกับสาวดอกไม้ที่ชื่อ Eliza .. Eliza Doolittle เป็นชนพื้นเมืองในแบบ Cockney แท้ๆจากลอนดอนจากยุคเก่า เธอได้พบกับศาสตราจารย์ ฮิกกินส์ ที่ช่วยสอนและฝึกฝนให้เธอกลายเป็นสุภาพสตรีชั้นสูง
อย่างไรก็ตามผมเคยได้ยินมาว่า My Fair Lady อาจเกี่ยวข้องกับเพลง London Bridge ด้วย คุณรู้จักเพลงนี้ใช่มั้ย พวกเขาเริ่มสร้างสะพานนั่นขึ้นมาด้วยไม้และดินเหนียวแต่สุดท้ายก็จบลงด้วยเรื่องทองคำและเงิน มีการตีความบทของ Eliza ในหนังว่าเธออาจเป็นสัญลักษณ์แทน สะพาน นั่นหรืออะไรทำนองนั้นก็ได้
แต่นั่นมันกลับทำให้ผมนึกถึงทฤษฎีที่น่ากลัวยิ่งกว่า นั่นคือ คำว่า Fair Lady หรือ“ หญิงผู้มีความยุติธรรม” ในเพลงนั้นจริง ๆ แล้วมันคือการเสียสละของผู้หญิงคนนึงที่ถูกฝังทั้งเป็นในฐานรากของสะพานเพื่อให้มันยังคงอยู่ไปตลอดกาลตามความเชื่อจากยุคโบราณรึเปล่า? พระเจ้าเท่านั้นที่รู้
อ่อ แล้วคุณเคยดูเรื่อง Shape of Water รึเปล่า? หนังของ ผกก กีเยร์โม เดล โตโร มันเป็นอีกเรื่องที่มีนางเอกชื่อ Eliza เหมือนกัน แต่ Eliza คนนี้เธอพูดไม่ได้ ! เธอเป็นใบ้ แต่หนังมันได้ไม่เกี่ยวกับเรื่องการสอนให้สาวน้อยคนนี้ประพฤติตน "อย่างเหมาะสม" อะไรหรอก มันเป็นเพียงแค่เรื่องราวความรักแบบย้อนยุคเท่านั้นแหละ หากคุณมีโอกาสคุณควรจะลองไปหามาดูให้ได้ล่ะ
** เนื้อเพลง London bridge is falling down นั้นความหมายของมันยังคงเป็นความลับ สมมุติฐานนึงที่ถูกยกขึ้นมาคือ Immurement หรือการฝังคนในสถาปัตยกรรมทั้งเป็นซึ่งเป็นพิธีกรรมตามความเชื่อจากยุคโบราณว่าจะทำให้สถาปัตยกรรมนั้นๆอยู่คงทนแข็งแรงไปตลอดกาล ซึ่งคนที่ถูกฝังทั้งเป็นเหล่านั้นจะค่อยตายอย่างช้าๆจากการอดอาหารและน้ำ แม้ฟังดูอาจจะเป็นดูว่าเป็นแค่ตำนานหรือเรื่องเล่าต่อๆกัน แต่ก็มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า มีเศษชิ้นส่วนของศพในกำแพง , ปราสาท .โบสถ์ หรือสะพานหลายแห่งในทวีปยุโรป ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเพลง London bridge อาจจะสื่อถึงการเสียสละชีวิตของเด็กๆที่ถูกฝังอยู่ภายใต้สะพานแห่งนี้ก็ได้ **
https://www.cracked.com/article_20032_5-terrifying-origin-stories-behind-popular-childrens-songs.html
เรื่อง – Bridgmanite in the Earth's Mantle
บันทึกเมื่อ 1 ปีก่อน ที่ Heartman’ Lab
โดย – Heartman
Bridgmanite เป็นแร่ธาตุที่พบในส่วนเนื้อโลกตอนล่าง (Lower mantle) มันถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เพอร์ซี วิลเลียมส์ บริดจ์แมนนักฟิสิกส์รางวัลโนเบลผู้ค้นพบมัน
แร่ Bridgmanite มีอัตตาส่วนทั้งหมดประมาณ 38% ของโลก แต่เนื่องจากมันพบได้เพียงใต้พื้นผิวในชั้นล่างสุดของโลกมันจึงยากมากที่จะได้รับตัวอย่างใด ๆ ของมันมาใช้ในการศึกษาวิจัย แต่อย่างไรก็ตามก็ยังถือว่าพอมีโชคอยู่บ้างที่มีวัตถุที่มีคุณสมบัติคล้ายกันถูกค้นพบในอุกกาบาต - ก่อนที่จะเกิดปรากฎการณ์ Stranding Death ซึ่งแน่นอนว่ามันหมายถึงมีการวิจัยจำนวนนึงที่พูดถึงรายละเอียดของแร่ลึกลับที่ว่านี้ไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่ถือว่าดีพอ และจากทฤษฎีนี้ได้มีการตั้งทฤษฎีขึ้นใหม่ว่าแร่ bridgmanite นั้นมีอยู่ใน chiralium ด้วยโดย chiralium จำนวนหนึ่งฝังตัวอยู่ในเนื้อแร่ตั้งแต่ยุคสร้างโลก
หากทฤษฎีนี้เป็นจริงมันอาจจะอธิบายเรื่องปรากฎการณ์ที่มีฟองอากาศผุดขึ้นมาจากใต้ทะเลสาบน้ำมันดิน ยิ่งกว่านั้นหาก chiralium มาจากโลกอีกด้านอย่างที่เราสงสัยก็แสดงว่าแล้วมันอยู่กับเรามันตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งสาระสำคัญก็คือ ใจกลางของดาวเคราะห์อาจสามารถเชื่อมโยงกับโลกแห่งความตายโดยมี chiral ผูกเราไว้บนพื้นดินตลอด ไม่มีใครสามารถขึ้นไปบนสวรรค์เมื่อพวกเขาตายเพราะปลายทางสุดท้ายของเราอยู่ใต้เท้าของเราเอง ตามคำที่ว่า Ashes to ashes, dust to dust. จากเถ้าสู่เถ้า จากธุลีสู่ธุลี "อย่างที่พวกเขาพูดกัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Bridget- เด็กคนนี้เป็นเด็กพิเศษ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
Die-Hardman – ทารกที่ถูกคัดเลือกให้เป็น BB คนนี้น่ะหรอ?
Bridget- ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
Die-Hardman – การสังเวย ..
Bridget- เป็นรากฐาน .. เป็นสะพาน ..
Episode 10: “DIE – HARDMAN”
เมื่อออกมาจากห้องพัก แซม จะพบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ Aaron Hill's Safe House ในบริเวณใกล้ๆกับ Chiral Relay แล้ว เป้าหมายต่อไปคือเดินทางจากกลับไปยัง Lake Knot City
Heartman – แซม นี่ผม Heartman นะ คุณต้องระมัดระวังเป็นพิเศษด้วยนะเพราะตอนนี้ความหนาแน่นของสสาร chral ในภูมิภาคที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ต้องเดา คงต้องโทษว่าเป็นเพราะ “ชายหาด” แล้วพวก BT ที่ผ่านเข้ามาในโลกของเราในตอนนี้อาจได้รับผลกระทบในลักษณะที่คาดเดาไม่ได้
แต่ก่อนจะออกเดินทางไปยัง Lake Knot City เข้าไปอ่าน E-mail ที่ชื่อเรื่อง Final Request for Pizza ที่ส่งมาจาก Peter Englert ก่อน
โดยในข้อความ Peter ได้ระบายความไม่พอใจที่แซมทำกับเขาไว้ที่ชายหาด และเขาไม่ใช่คนที่จะอภัยให้คนอื่นหรือลืมมันไปง่ายๆ ..นอกเสียจากแซมจะเอาของที่เขาโปรดปรานมาให้เขาเพื่อเป็นการขอโทษเขาจึงจะยอมให้อภัย ซึ่งนั่นก็คือ Pizza นั่นเอง โดย Peter ระบุความต้องการไว้อย่างชัดเจนว่าให้นำส่ง Pizza มาจาก ที่อยู่ของ The First Prepper ก่อนจะลงชื่อท้ายข้อความว่า Higgs Monaghan !!
จากนั้นเดินทางไปยังที่อยู่ของ The First Prepper สำรวจ Delivery terminal จะพบภารกิจ [Order No. 66] [URGENT] Fresh Pizza Delivery: Peter Englert
[Order No. 66]
[URGENT] Fresh Pizza Delivery: Peter Englert
ภารกิจนี้คือการส่งพิซซ่าด่วนไปที่ Personal Shelter S23-84 ของ Peter Englert ลูกค้าปริศนาที่ตั้งอยู่ทางเหนือของ Preppers Station S23-21 ของ Craftsman เป็นครั้งที่ 5
โดยเมื่อนำส่ง Pizza ถึงที่อย่างปลอดภัยแล้ว ก็จะทำให้ Connection Level ของ Personal Shelter S23-84 ถูกปลดล็อกแบบครั้งเดียวขึ้นจนเต็ม 5 ดาวในคราวเดียว
Connection Level
Level 2 - Higgs “Welcome” hologram
Level 3 - Higgs “Big Five” hologram / Handgun (HG Custom)
Level 4 - Higgs “Let’s Go” hologram / Shotgun (HG Custom) / Riot Shotgun (HG Custom)
Level 5 - Assault Rifle (HG Custom) / Non Assault Rifle (HG Custom) / เพิ่มเติมค่า Chiral Bandwidth ในพื้นที่
Prepper Shelter S23-84 – เชื่อมต่อแล้ว
Peter Englert (Higgs Monaghan) - - เข้าร่วม UCA
+ เพิ่มเติมไอเทมใหม่ที่สามารถสร้างได้ใน Delivery terminals
- Handgun (HG Custom)
- Shotgun (HG Custom)
- Riot Shotgun (HG Custom)
- Assault Rifle (HG Custom)
- Non Assault Rifle (HG Custom)
ปืนรุ่น HG Custom นั้นนอกจากกระสุนในแบบธรรมดาสำหรับโจมตีแบบหวังผลล้มตายทั่วไป (สีส้ม) และ Hematic Rounds กระสุนที่ใช้เลือดของแซมสำหรับกำจัด BT (สีแดง) แล้ว ที่พิเศษคือจะเพิ่มเติมกระสุน Golden Rounds ซึ่งเป็นกระสุนที่ใช้ Chiral Crystals ในการยิง หวังผลรุนแรงในการกำจัด BT ได้อย่างดีที่สุด
และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความปรารถนาดีของ Peter Englert ลูกค้าปริศนา ที่ตอนนี้เขาเปิดเผยตัวเองแล้วว่าคือ Higgs นั่นเอง เขาก็ได้เปิดห้องทำงานลับของเขาเพื่อให้แซมเข้าไปดูด้านในอีกด้วย
สำรวจเก็บ Memory Chip ที่ตกอยู่ในห้องทำงานของ Higgs แล้วนำไปเปิดดูที่ Delivery terminal ก็จะปลดล็อกไฟล์ An Unknown Man’s Journal: Part3 ซึ่งจะประกอบด้วย ข้อมูลบทสัมภาษณ์ใหม่ คือ Unknown Man’s Journal #10 – 14 ออกมา
ถึงตอนนี้ คุณจะสามารถเชื่อมต่อสถานีหลักและ Personal Shelter ต่างๆให้เข้าร่วมกับ UCA ได้ทั้งหมดแล้ว และยังปลดล็อกข้อมูลบทสัมภาษณ์ครบ 100 บันทึกได้ด้วยเช่นกัน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
An Unknown Man’s Journal: Part3
เรื่อง – Journal #10
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
Samantha America Strand หรือ Amelie ช่วงเวลาที่ผมได้พบเธอผมรู้ว่าเธอมาเพื่อจุดมุ่งหมายเพื่อให้เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง เธอบอกผมว่าเราจะทำมันด้วยกันและยิ่งกว่านั้นเธอจะมอบของขวัญให้ผมด้วย
bridge baby
มันเป็นเซ็นเซอร์สำหรับค้นหาพวก BT ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนทารกแรกเกิดก็ตาม แต่รับรองว่าไม่ใช่แน่นอน Amelie บอกว่ามันเกิดบนชายหาดและมันทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกของเรากับโลกอีกฝั่ง ระหว่างโลกของคนเป็นกับโลกของคนตาย ระหว่างผมกับเธอ ถ้าผมเก็บมันไว้กับตัวตลอดเวลา เธอเรียกมันว่าเด็กในรูปแบบใหม่สำหรับยุคใหม่ ...
ผมไม่ได้เป็นเพียงคนส่งของอีกต่อไป ผมกลายเป็นผู้ส่งสาส์นให้เธอในโลกใหม่ของเธอ เธอมอบทุกสิ่งที่ผมต้องการ และตอนนี้ผมเป็นอิสระจากพันธนาการของ Fragile ได้แล้ว
เรื่อง – Journal #11
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
BB ทำให้ผมนึกถึงตุ๊กตาเด็กทารก แต่มันไม่ใช่ของเล่นแน่นอน ไม่ใช่ทั้งสิ่งที่ตายแล้วแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต ครึ่งมนุษย์ครึ่ง ... อย่างอื่น เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นและความตาย เหมือนมัมมี่ เป็นก้อนเนื้อห่อหุ้มหัวใจที่เหี่ยวเฉาที่ยังเต้นอยู่ มีสัญลักษณ์มากมายที่บ่งบอกว่ามนุษยชาติกำลังจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
Death Stranding เป็นครั้งที่หก ที่ยิ่งใหญ่ ผมเห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนี้หรือในวันข้างหน้า การระเบิด voidouts ร่างกายที่ให้กำเนิด BT ทุกรูปการณ์นำไปสู่ปรากฏการณ์หนึ่งเดียวกัน คือกำจัดเราออกจากโลกนี้ เราไม่สามารถหยุดสิ่งที่กำลังจะมา มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ การทำให้เจ้าหัวไข่ Humpty Dumpty ที่แตกแล้วกลับมารวมกันใหม่ไม่ได้ ยังไงมันก็จะไม่มีทางเปลี่ยนเรื่องบ้าๆนี่ได้ การเสี่ยงชีวิตเพื่อลองทำจึงเป็นสิ่งที่คนโง่เขาทำกัน ทำไมต้องเสียสละอะไรบ้างที่คุณได้มาตอนนี้เพื่ออนาคตที่จะไม่มีวันมาถึงด้วย มันสูญเปล่าและไม่มีความหมายอะไรเลย รับรองเลยว่า Amelie จะต้องเห็นด้วยกับเรื่องนี้แน่นอน
เรื่อง – Journal #12
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
ผมพบ Amelie บนชายหาดอีกครั้งและพยายามกดดันเธอเพื่อที่จะได้คำตอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Death Stranding แต่เธอกลับไม่ให้อะไรผมเลย หรือบางทีเธออาจจะไม่มีอะไรเหลือที่จะให้แล้วก็ได้ เธออาจจะรอจนกระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วก็ไม่สนใจด้วย เพราะยังเราทุกคนต่างก็รู้ว่าไม่มีทางรอดจากการสูญพันธุ์ในครั้งนี้แน่นอน
ผมพยายามที่จะมองในมุมของเธอนะ ทำไมถึงต้องแกล้งทำเป็นจะสร้างใหม่ด้วย? ทำไมต้องอะไรให้มันยุ่งยากกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย?ในเมื่อมีทางเลือกอื่นสำหรับเรื่องนี้อีกตั้งเยอะ ... แต่ผมก็เบื่อที่จะลองแล้ว หากเธอไม่ยอมให้ผมเข้าร่วมตามแผนของเธอ มันคงเป็นอะไรที่แย่มากๆ และผมคงต้องออกโรงทำมันด้วยมือของตัวเอง จัดการมนุษย์ชาติให้เบร็ดเสร็จเด็ดขาดในแบบของตัวเอง แค่ต้องการพลังในการทำมันก็เท่านั้นเอง ...
เรื่อง – Journal #13
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
Dear Diary สวัสดีความทรงจำ วันนี้ผมไปวางระเบิดที่ Middle Knot City เพื่อลบมันออกจากแผนที่ แน่นอนว่าผมคงไม่ได้พกระเบิดไปด้วยตัวเองหรอก ให้เกียรติ Fragile ไปมอบความเมตตาของผมต่อผู้คนเสมือนเป็น Porter ตัวน้อยๆที่แสนดี ผมมั่นใจเลยว่าเธอประหลาดใจแน่นอน แต่จริงแล้วเธอก็ไม่ควรจะแปลกใจอะไร ความตายและการถูกทำลายล้างเป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขของมนุษย์อยู่แล้ว และการนำผู้คนมารวมกันจะทำให้รุนแรงขึ้นอีก ระวังไว้ด้วย ผลลัพธ์ที่ต้องการอาจไม่ใช่สื่งที่พึ่งปรารถนา
มันเหมือนกับเมื่อตอนที่บรรพบุรุษของเราที่มาจากโลกเก่าไปสู่โลกใหม่และนำโรคจากโลกเก่ามาด้วย ชาวพื้นเมืองไม่มีภูมิคุ้มกันทำให้กว่าครึ่งเสียชีวิตในพริบตา ปัง !! และแล้วเราก็ค้นพบวิธีการฆ่าที่ดีและมีประสิทธิภาพมากๆนับแต่นั้นมา เครือข่ายเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเร่งกระบวนนี้ให้จบเร็วขึ้น นี่คือข้อสรุปเชิงตรรกะที่ว่าด้วยเรื่อง "ความพยายาม" ระหว่างผมกับ Fragile บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงร่วมมือกับเธอ เพราะลึกๆในใจแล้วผมรู้ว่า ก็เคยคิดที่จะทำแบบนี้อยู่
เรื่อง – Journal #14
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
Sam Porter จะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ? Dooms "ผู้ฟื้นคืน (Repatriate) " หมาป่าเดียว หรือไอ้พี่ชายบุญธรรมของ Amelie
ความประทับใจที่ผมได้รับคือ เขาเป็นคนสันโดษที่ชอบในการเป็นคนชอบช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก ใช่ ผมลองให้เขาสวมหน้ากากนั่นมาครั้งนึงแล้ว ถึงแม้ว่า Amelie เธอจะคิดว่า เขามีบางสิ่งที่จะช่วยให้เธอทำให้อเมริกากลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง ผมจะบอกคุณว่าเพราะอะไร ยิ่งผมสังเกตเมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้รู้ว่า เขาอาจจะเป็น ผู้ศรัทธาที่อย่างแท้จริง ก็ได้ แม่งเอ้ย !! ยังไงก็ตามเขาก็เหมือนคนที่ "ตายทั้งเป็น" อยู่แล้วแม้จะได้รับความช่วยเหลือจาก Amelie ก็เถอะ ถ้าเขามาที่ Central Knot อีกครั้งล่ะก็ ผมจะสั่งให้พวก BT เล่นมันแล้วก็ทำให้ที่นั่นกลายเป็นหลุมอุกาบาตเลย จากนั้นก็ บ๊ายบาย Sammy Porter, ลาก่อน Bridges HQ, แล้วก็ บ๊ายบาย ทีมนักสำรวจห่าอะไรนั่นด้วย
เรื่อง – Journal #15
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
แซม แม่งยังไม่ตาย แม้จะรูทั้งรู้ว่า voidout ไม่สามารถทำให้ผู้ฟื้นคืน (repatriate ) ตายได้ก็เถอะ
แต่การเดินทางสำรวจครั้งที่สองของพวกมันถูกขัดขวางได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ แซม ดูเหมือนจะมีความสุขที่จะเดินทางมุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันตกด้วยตัวเอง แม่งทั้งโง่และบ้ากว่าผมซะอีก หรืออาจจะทำไปเพราะไม่กลัวตาย แม้จะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การสร้างประเทศขึ้นมาใหม่สำคัญสำหรับเขายังไง แต่ยังงไงก็เถอะ เขาก็ต้องการที่จะทำมันต่อไป ผมจะเก็บเขาไว้ในฐานะแขกของผม แม้ว่าจะหาคนอื่นๆมาใช้เป็นตัวสำรองแทนเขาอีกก็ไม่แตกต่างหรอก เพราะตอนจบมันถูกเขียนเอาไว้แล้ว
ผมกำลังทำงานของผมอยู่ และจะทำมันอย่างดีที่สุดไม่ว่ามันจะลงเอยอย่างไรก็เถอะ แต่ DOOMS เพียงคนเดียวคงไม่เพียงพอ ผมต้องการพลังที่มากขึ้นในการทำงานให้เสร็จ เพื่อถล่มมันดั่งความพิโรธของพระเจ้าทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์นครแห่งบาปของยุคใหม่ไปเลย
เรื่อง – Journal #16
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
ผมได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับ Death Stranding พลังของ Amelie ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ DOOMS เธอจุติลงมาเพื่อเป็นผู้ทำลาย เทพแห่งความตายแห่ง Death Stranding .... The extinction entity หรือ EE
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าบทบาทที่แท้จริงของผมคืออะไร เป็นสะพานที่จะนำเธอมาพิพากษาโลกนี้ เป็นคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้น เป็น The executor of the end.
ไม่มีใครรู้. ไม่แม้แต่แซม แต่พวกเขาจะรู้เร็วๆนี้แน่นอน ..
เรื่อง – Journal #17
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
แซมมาถึงเมือง Port Knot City แล้วพร้อมด้วย Fragile ผมคิดไว้แล้วว่าจะต้องพบพวกเขาที่นั่นแน่ ก็เลยเตรียม BT ซักตัวหรือซัก 2 ตัวไว้พร้อมต้อนรับแล้ว ที่ผ่านมาแล้วผมได้แสดงให้ Bridges เห็นแล้วว่าผมมีพลังแค่ไหน แต่ครั้งนี้จะจัดเต็มให้อย่างทั่วถึงเลย
เรามีตัวทำลายล้างเป็นพวกของเราเอง และเมื่อทุกอย่างจบลง จะไม่มีใครเหลือที่จะมาขึ้นกลางระหว่างผมกับ Amelie และจุดสิ้นสุดของโลก
เรื่อง – Journal #18
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
แม่งเอ้ย ไอ้หนูแซมมี่เด็กหัวแข็งเอ้ย มันไม่ใช่คนประเภทที่จะเลิกลาอะไรง่ายๆเลยใช่มั๊ย ดูเหมือนว่ามันจะผูกพันกับ Amelie มากๆด้วย สาวน้อยที่พยายามจะต่อสู้กับธรรมชาติที่แท้จริงของเธอ งานนี้มีการพลิกบทนิดหน่อย แต่รับรองว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอแน่นอน
มันจะแตกต่างกันยังไงถ้ามันจบในวันพรุ่งนี้หรือล้านปีจากนี้ ดาวเคราะห์นี้มีอายุ 4.6 พันล้านปี แล้วจักรวาลล่ะ? พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของมนุษยชาติย่อมมีปัญหาในทุกช่วงเวลา ปัญหาที่เกิดขึ้นชั่วคราวก่อนที่ทุกอย่างจะดีขึ้น แล้วแม่งจะลุกขึ้นสู้ด้วยกำลังที่กระจิบกระจ้อยให้มันยืดเยื้อไปเพื่อห่าอะไร?
ยังไงซะแซมและ Fragile ก็ต้องไปที่ Lake Knot City อยู่ดี ซึ่งก็ดีแล้ว ผมก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะทบทวนความทรงจำกับสหายเก่าซะหน่อย เธอกำลังเดินผ่านหลุมปล่องภูเขาไฟที่เธอเป็นคนสร้างมันขึ้นมาด้วยระเบิดของผม ลองคิดดูสิ บางทีแซมควรจะคิดให้ดีกว่านี้ที่จะเดินไปกับเธอ ... ใช่ ผมคิดว่าจะให้เขาเป็นคนส่งมอบสินค้าพิเศษให้ด้วยเหมือนกัน ...
เรื่อง – Journal #19
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
บ้าเอ้ย Sam และ Fragile สามารถทำลาย nuke ของผมได้ก่อนที่มันจะระเบิดซะได้ แต่พวกเขาก็ไม่ฉลาดพอที่จะจับได้ตอนที่ผมปลอมตัวเข้าไป แต่มีบางอย่างที่ทำให้พวกเขาดูออก อาจเป็นเพราะข้อความที่ผมเขียนไว้ ผมรู้ว่าผมควรจะอดทนกับสิ่งยั่วยุให้มากกว่านี้ แต่ไม่เอาน่า พอนึกถึงว่าใครเป็นคนอ่านมันก็อดไม่ได้ทันที
และตอนนี้เขาคงอยู่ครึ่งทางที่จะไปยังชายฝั่งแล้ว แต่ก็ถือว่าเขาเข้ามาในถิ่นของผมแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในลำคอของฉันตอนนี้และลูก ๆ ของผมคงไม่ยอมแน่นอน เราจะทำให้เขาเสียใจที่เคยทำกับผมและระเบิดของผมแบบนั้น
เรื่อง – Journal #20
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
ไอ้พายุบ้านั่นที่ดูดแซมไป ? มันคือ supercell หรืออะไรกันแน่? ดีที่ผมรีบหยิบเอา BB ของผมก่อนที่มันจะมาถึงและจากนั้นมันก็เริ่มสั่นจากนั้นก็กระพริบๆและ ... ฮึ แล้วจู่ๆมันหายไปหมดซะอย่างงั้น แล้วก็ยังมีอย่างอื่นที่นั่นอีก บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ทุกอย่างฉิบหายไปหมด ไม่ต้องให้ BB มาคอยบอกผมก็รู้ ...
เรื่อง – Journal #21
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
ในที่สุดผมก็เจอตัว Amelie แม่งเอ้ยตามหามาตั้งนาน เธอติดอยู่ใน Edge Knot City ท่ามกลางฝูง BT โชคดีที่อย่างน้อยๆตอนนี้เธอก็คงไม่ไปไหนทั้งนั้น ไม่สิ ผมคงต้องรีบไปดูแลนางฟ้าแห่งความตายอันเป็นที่รัก แม่ EE (extinction entity) ของผม เรายังมีแผนที่ต้องทำร่วมกับ ระหว่างผมกับเธอ ...
เรื่อง – Journal #22
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
ยินดีต้อนรับสู่ Edge Knot City นะ Sam แกนี่มันโง่จริง ๆ แต่ชั้นก็ต้องยอมรับว่าแกมีกลเม็ดเด็ดพรายที่ล้ำลึกจริงๆ เขาทำให้ผมนึกถึงตัวเองในเรื่องนั้น ... และนั่นทำให้เราแบ่งปันการเชื่อมต่อกับ Amelie ร่วมกัน
เธอให้สร้อยดักฝันร้ายกับเขา และให้สร้อย quipu กับผม แต่แกไม่เคยเห็นหน้าเธอเลยใช่ไหม ไม่เคยมองเข้าไปในสายตาเธอและเห็นเธอในสิ่งที่เธอเป็นจริงๆ
ถึงเวลาตื่นลืมหูลืมตาได้แล้วหนูน้อยแซมมี่ ถึงเวลาแล้วที่ชั้นจะบอกแก - บอกทุกคน บอกความจริงที่ซ่อนของ Death Stranding รับรองว่าแกจะรักมันแน่นอน
ถ้าชั้นเป็นแก คงต้องแวะไปงีบที่ distro center หรือที่ไหนซักแห่งซักหน่อยก่อนอ่ะนะ การตัดสินของเราใกล้มาถึงแล้ว ซึ่งแกคงสมบูรณ์พร้อมที่จะต่อสู้ด้วยนะ อย่าให้ชั้นรอนานเกินไปล่ะ ได้ยินไหม
เรื่อง – Journal #23
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
ตอนนี้แกตัวคนเดียวแล้วแซม ดูเหมือนแกจะทำทุกอย่างหายไปหมดเลยนะ หน้ากากของแก , สร้อย quipu แล้วก็น้องตุ๊กตา BB ... หายไปหมด
แกคิดว่าตัวเองมีพลังของผู้กุมโชคชะตาที่จะนำพวกเขาไปสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่งั้นหรอ ... แต่ที่นี่ ตอนนี้แกอยู่คนเดียว แกคิดว่าแกจะควบคุมทุกอย่างได้งั้นหรอ แกคงกำลังฝันไปล่ะมั้ง ... เกือบจะชนะแล้วแท้ๆ ไม่นานทุกอย่างก็จะถูกลืมเลือน.. ผู้ส่งสาร, ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ดี, ตัวหมากตัวนึง อนุภาคของพระเจ้า? ฮะ ชื่อโง่ๆสำหรับคนโง่ๆ
นี่คือชีวิตของนาย ฮิกส์ เรื่องราวของนาย ที่จะถูกบอกเล่าโดยพวกงี่เง่าที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
จากนั้นเดินทางจากกลับไปยัง Lake Knot City ต่อ
** โดยก่อนที่จะถึงเมืองอย่าลืมติดอาวุธหนักและเกราะป้องกันเอาไว้ให้พร้อมเพราะจะส่งผลถึงการได้ในเปรียบในสมรภูมิรบในบทต่อไปด้วย **
Deadman – แซม ได้ยินรึเปล่า ผมได้ไปหาข้อมูลของ Clifford Unger มาเพิ่มเติมมานิดหน่อยเลยอยากจะมาแชร์ความคิดกันหน่อย สรุปให้ฟังก่อน ก็อย่างที่เรารู้กันในตอนแรกแล้วว่า Unger เขาเคยเป็นทหารในหน่วยรบพิเศษของสหรัฐ ซึ่งมีการบันทึกว่าเกษียณอายุราชการใกล้เคียงกับตอนที่เกิด Death Stranding หลังจากที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทดลอง BB ในช่วงแรกๆ จากนั้นเขาก็ตายก่อนที่การทดลองจะสำเร็จ ในขณะที่หลักฐานการตายของเขาในที่เกิดเหตุยังดูไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ผมเริ่มสงสัยแล้วว่า สมรภูมิของเขาที่เราเคยหลุดเข้าไปอาจได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์ที่ยั่งยืนอย่างน้อยบางส่วนที่อาจเกิดจากความทรงจำบางส่วนของอารมณ์ที่เขายังยึดติดอยู่ ความโกรธ ความไม่พอใจ ความเสียใจ ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับการทดลองของ BB แน่นอน ดูเหมือนจะชัดเจนมากเมื่อเขาพยายามขโมย Lou Cliff ดูเหมือนจะถูกผลักดันโดยการบังคับให้แย่งชิงเอา BB ของเรากลับไป ราวกับว่ามันจะทำให้เขากลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมอีกครั้ง แรงพลักดันมหาศาลจนทำให้เขาสามารถลากตัวเองออกมาจากส่วนลึกของนรกได้ แต่ก็นำเอาบางส่วนของนรกติดมากับเขาด้วย และอย่างนึงที่ผมแน่ใจคือเขาไม่ใช่ BT เราต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการตายของเขา รวมทั้งความเกี่ยวข้องของเขากับการทดลอง BB ให้หมดก่อน ผมจะลองขุดค้นข้อมูลต่อ เอาไว้ถ้าเจออะไรเพิ่มเติมผมจะมาแจ้งอีกทีนะแซม
Deadman – แซม คุณต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าผมเจออะไรมา วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของโครงการวิจัยของพวกเขา ตามที่ถูกบันทึกเอาไว้ โครงการณ์นี้ถูกสานต่ออีกครั้งโดยคำสั่งของของประธานาธิบดี Strand คาดว่าวัตถุประสงค์หลักในการพัฒนาคือเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องตรวจจับ BT และการป้องกันการเกิด Voidouts และผลประโยชน์ของความก้าวหน้าต่าง ๆ ที่สามารถนำไปใช้กับสาขาการสื่อสาร Chiral และการวิจัยเรื่อง ชายหาด เป็นเป้าหมายที่สอง แต่ทั้งหมดกลับถูกปกปิดเอาไว้ ความจริงก็คือ ... แซม แต่เดิม BB ตั้งใจว่าจะสร้างมาเพื่อเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการทำงานของเครือข่าย Chiral Network พวกเขาเอามันมารวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของเมืองต่างๆด้วยเหตุผลเพื่อให้คุณนำพาทุกๆคนมาเข้าร่วมกับ UCA มันอาจเป็น Amelie เองที่ติดตั้งมันในขณะที่เธอเดินทางไปฝั่งตะวันตกพร้อมกับคณะสำรวจชุดแรกเพื่อดำเนินตามแผนอันยิ่งใหญ่ของแม่ของเธอ การสังเวยครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งหมดก็เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย ประธานาธิบดี Strand บอกกับประชาชนแบบที่เขาอยากได้ยิน และทำสิ่งที่เธอคิดว่าต้องทำ ทั้งหมดก็เพื่อรวมอเมริกาให้เป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง แต่ผมเริ่มสังสัยแล้วว่ามันจะคุ้มกับสิ่งที่เธอต้องจ่ายรึเปล่า .. จิตวิญญาณของเธอ เครือข่าย Chiral Network คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราเคยสร้างมา เป็นทั้งความสำเร็จที่ภาคภูมิใจและความรู้สึกผิดบาปของเรา ผมไม่รู้ว่าจะมีความรู้สึกพร้อมๆกันทั้งหมดนี่ได้ยังไง บางที ถ้าเรารู้เกี่ยวกับ Cliff กับการวิจัย BB ให้มากกว่า เราคงจะตัดสินอะไรได้ดีกว่านี้ ... ยังไงถ้าได้อะไรเพิ่มเติมแล้วผมจะติดต่อกลับมาอีกทีก็แล้วกัน
Deadman – ไงแซม ผมเห็นคุณกำลังเดินทางมาที่ Lake Knot เข้มแข็งนะ พวกเราเป็นกำลังใจให้คุณทำงานนี้ให้สำเร็จเราจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยกัน ยังไงซะ ผมมีความคืบหน้ามากขึ้นหลังจากตรวจสอบเจอบางอย่างที่น่าสนใจ ดูเหมือนว่า Clifford Unger จะเต็มใจให้ลูกของเขาอยู่ในความดูแลของนักวิทยาศาสตร์ในโครงการวิจัย BB โดยไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของพวกนั้นเลย ให้เดานะ ผมว่าพอ Cliff ค้นพบเกี่ยวกับแผนการจริงๆของพวกนั้นเขาเลยพยายามเอาลูกคืน และหลังจากเขาทำไม่สำเร็จ BB ก็ตกอยู่ในการดูแลของโครงการวิจัย ในกรณีนี้ ผมว่าเขาน่าจะมีเหตุผลมากพอที่จะแสดงความไม่พอใจต่อประธานาธิบดีที่เป็นคนทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น คุณว่ามั๊ยล่ะ? ซึ่งแม้ว่า ประธานาธิบดี Strand จะตายไปแล้วก็ไม่ได้แปลว่า แรงอาฆาตของเขาจะตายไปพร้อมกับเธอด้วย ไม่สิ ผมคิดว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ Bridges ...ไปที่คุณ และ Amelie หรือใครก็ตามที่ใกล้ชิดกับท่าน ผ.อ และตอนนี้ความอาฆาตนั่นก็กำลังเป็นแรงขับเคลื่อนให้เขาสร้างแรงผลักดันให้เกิด Death Stranding ครั้งสุดท้าย เพื่อนำจุดจบมาให้โลกใบนี้แบบที่เรารู้กัน แล้วทำไม Cliff ต้องจับ Amelie ไปที่ชายหาด? เขาต้องรู้แน่ๆว่าเธอเป็น EE เรามีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว คุณต้องรีบไปช่วยเธอ แล้วก็ท่าน ผ.อ ด้วย แม้ว่าผมจะยังไม่เข้าใจเลยว่า เขาเดินทางไปยังชายหาดของ Amelie ได้อย่างไรในตอนแรก เราต้องค้นหาต่อว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งแค่ไหน ผมจะลองค้นหาเพิ่มอีกดูสิว่าจะเจออะไรรึเปล่า
Deadman – มีเวลาซักเดี๋ยวมั๊ยแซม ? เรื่องเกี่ยวกับท่าน ผ.อ ไม่มีทางเลยที่เขาจะจัมป์ไปที่ชายหาดของ Amelie ถ้าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่แข็งแกร่งพอ ถูกมั๊ย? ซึ่งผมลองค้นหาดูแล้ว ผมไม่เจอข้อมูลความสัมพันธ์ของทั้งคู่เลย ข้อมูลในช่วงชีวิตของเขาก่อนที่เขาจะเข้ามาทำงานกับ Bridges ก็มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใหม่หมด ชื่อของเขา อดีตของเขา ทุกๆอย่าง ทำให้ไม่มีใครบอกได้เลยว่าเขาเป็นใคร ซึ่งทำให้ผมต้องพิจารณาถึวความเป็นไปได้อื่นแทน ถ้ามันไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ระหว่าง ผ.อ กับ Amelie ล่ะ แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างท่าน ผ.อ กับ Clifford Unger ล่ะ? แล้วถ้าความสัมพันธ์นั่นเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกให้ท่าน ผ.อ จัมป์ไปที่ชายหาดของ Amilie ล่ะ? ซึ่งถ้าทั้งคู่มีประวัติส่วนตัว ก็อาจอธิบายได้ว่าทำไม Cliff ถึงจับท่าน ผ.อ ตัวป็นประกันได้ แต่แม้ว่าในกรณีนี้มันอาจไม่ใช่ของตอบคำถามใหญ่ที่ว่า พวกเขาทั้งสองคนจะลงเอยยังไงบนชายหาดของ Amelie
Heartman – แซม นี่ผมเองนะ Heartman ผมมีอะไรบางอย่างจะให้คุณลองทบทวนดูหน่อย ผมกำลังศึกษาถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของ Cliff อยู่แต่อย่างไรก็ดี ด้วยอานิสงส์ของเครือข่าย Chiral Network ทำให้ชายหาดส่วนตัวของพวกเราทุกคนเริ่มรวมตัวกันทำให้เกิดการก่อตัวของตะเข็บ (Seam) ขนาดใหญ่แบบเป็นหนึ่งเดียวกัน หากกระบวนการนี้ยังดำเนินต่อไปมีความเสี่ยงที่พวก BT จะทะลักเข้ามาในโลกของเราในจำนวนมากและจะนำมาซึ่งการเกิด Death Stranding ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตอนนี้ สนามรบของ Clifford Unger รวมชายหาด ของผม ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้เลย เราทั้งคู่ไม่เคยตัดขาดกับคนอื่น แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีชายหาดอีกอันที่อยู่บนระดับที่สูงกว่าที่เป็นตัวกำหนดให้กระบวนการนี้เกิดขึ้น? และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าชายหาดที่เป็นปัญหานั้นเป็นที่ชายหาดของ Amelies ที่เดียวล่ะ Cliff อาจเชิญท่าน ผ.อ ให้เข้ามาได้ แต่ผมเชื่อว่าเขามีความตั้งใจที่จะเข้าไปยึดชายหาดของ Amelies มากกว่า เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังที่เหนือกว่าชายหาดอื่นๆทุกแห่ง และลั่นไกทำให้เกิด Death Stranding ครั้งสุดท้าย มันเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับการกระทำของ Cliff นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องหยุดเขาให้ได้
Deadman – ถ้าสิ่งที่ Heartman พูดเป็นเรื่องจริง งั้นเราก็กำลังเจอปัญหาใหญ่แล้ว ใช้ Chiral network และ ชายหาดของ Amelies เพื่อทำให้เกิด Death Stranding ครั้งสุดท้าย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Higgs ถึงยอมทำตามคำสั่ง Amelies ถูกมั๊ย? ถ้าที่ผ่านมา Cliff เป็นคนยุ Higgs ให้ทำแบบนี้ ช่าย ทุกอย่างลงตัวเลยล่ะ ด้วย Death Stranding ครั้งสุดท้าย เขาก็จะได้แก้แค้นกับโลกที่ขโมยภรรยาและลูกของเขาไปได้สำเร็จ ... คุณต้องหยุดเขาให้ได้นะ แซม !! คุณต้องจัมป์ไปที่ชายหาดของ Amelies ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย เข้าไปช่วยเธอออกมา นั่นคือความหวังหนึ่งเดียวของเรา และถ้าคุณทำไม่สำเร็จ เราก็พินาศกันหมด
Lake Knot City
Clifford – ตอนที่พ่อรู้ตัวครั้งแรกว่ากำลังจะเป็นพ่อคน พ่อกลัวมากๆ กลัวว่า ต่อไปมันจะเป็นยังไง แต่ยังไงซะ พ่อจะอยู่ตรงนั้นเพื่อลูกและแม่ของลูก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม พ่อจะไม่ยอมออกไปทำอะไรเสี่ยงตายแน่นอน พ่อจะไม่มีวันทิ้งลูกให้โดดเดี่ยว .. ไม่มีวัน พ่อทำทุกอย่างผิดพลาด ทุกๆอย่างเลย แต่การเป็นพ่อคนไม่ได้ทำให้พ่อกลัวอีกแล้ว แต่มันกลับทำให้พ่อกล้าหาญกว่าเดิม พ่อขอโทษ ขอโทษที่ปล่อยให้เวลามันผ่านไปนานเกินไป
Die – Hardman – กัปตัน ผมอยากให้คุณ ยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้
Bridget – ยิงเขาซะ John !! .. ชั้นบอกให้ยิง !! ชั้นขอสั่งให้คุณยิงเขาเดี๋ยวนี้ !
------------------ ปังงงงงง !!!! ---------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Episode 11 “CLIFFORD UNGER”
[Order No 67]
Escape the Battlefield
อีกครั้งที่แซมถูก Supercell chiral storm ดูดเข้ามายังสมรภูมิหลอนของ Clifford unger อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ สมรภูมิ จะอยู่ในหมู่บ้านกลางป่า พร้อมทหารลูกทีมในจำนวนมากกว่าเดิม
เมื่อแซมเริ่มรู้สึกตัวแล้ว เป้าหมายคือเดินทางผ่านสรภูมิรบไปจนถึงพื้นที่เป้าหมาย ในระหว่างทางพยายามจัดเตรียมอาวุธและเก็บไอเทมต่างๆที่ตกหล่นในพื้นที่เอาไว้ใช้งานด้วย เมื่อเข้ามาถึงพื้นที่เป้าหมาย Clifford จะเริ่มสั่งการลูกน้องให้เริ่มค้นหาและทำลายทันที
กลยุทธในการรับมือกับหน่วยรบทหารจำนวนมากของ Clifford นั้นการใช้วิธีต่อสู้แบบบู๊ล้างผลาญจะทำให้ถูกรุมยิงถล่มจนตายได้ง่ายๆ จึงจำเป็นจะต้องใช้พื้นที่ป่าให้เป็นประโยชน์ด้วยการหลบตามก่อหญ้าที่มีอยู่มากมายพรางตัวเพื่อเข้าโจมตีพวกมันทีละตัวเพื่อลดการเข้าปะทะกับพวกมันที่มีจำนวนมากกว่าในพื้นที่ที่มองลำบาก เป้าหมายคือค้นหาตัว Clifford แล้วกำจัดมันซะ
Clifford – ขอลูกชั้นคืนได้มั๊ย?
….. 🎵..🎶🎶🎵 … 🎶🎶🎵 …
Clifford – เราจะออกจากที่นี่ไปด้วยกัน ..ชั้นสัญญา
SAM – คุณคือ Clifford unger งั้นหรอ?
Clifford – แล้วนายคือใคร?
SAM – คุณเป็น ... พ่อหรอ?
Clifford – พวกเขาบอกชั้นว่า นายชื่อ Sam Porter … แต่นายคือ Sam Bridges ... สะพานสู่อนาคตของชั้น
Clifford – แซม .. นายเป็นคนนำผู้คนกลับมารวมกัน นายคือสะพานสู่อนาคตของพวกเขา ... มานี่แซม ลุกขึ้น ...
Die – Hardman – รีบพา BB ออกจากที่นี่ซะ ภรรยาของคุณเกินจะเยียวยาแล้ว ... ผมเสียใจ
Die – Hardman – ตอนนี้ ถ้าเธอสั่งให้ผมทำอะไรซักอย่างขึ้นมาจริงๆ ผมก็คงจำเป็นต้องทำ ..ผมต้องทำ ..แต่ผมมาเตือนคุณก่อนเพราะเห็นแกที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับัญชาของคุณ และ ครอบครัวของคุณไม่ควรที่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้เลย
Clifford – ทำไมถึงช่วยผม? ถ้าพวกเขาจับคุณล่ะ
Die – Hardman – เพราะคุณ ช่วยชีวิตผม ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ไง ตอนที่พวกเราถูกส่งไปยังสมรภูมินรกเหล่านั้น ก็มีแต่คุณนั่นแหละที่เป็นคนพาเรากลับบ้าน ..
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Deadman – แซม คุณโอเคมั๊ย? ผมตรวจสอบบันทึกของคุณแล้ว ดูเหมือนว่าคุณถูกพายุ Supercell ดูดไปอีกแล้ว ซึ่งมันะปรากฏขึ้นทันทีในอีกด้านหนึ่งของ Ground Zero ไม่ไกลจาก Port Knot City มากนัก
Sam – แล้วผมปลิวกลับมาที่นี่ได้ยังไง?
Deadman – คุณจำ Viktor ได้มั๊ย? เขาเจอคุณสลบอยู่ตรงท่าเรือเลยพาตัวเข้ามาที่นี่น่ะ
Sam – ผมคิดว่า Cliff เขาเป็นพ่อ Lou
Deadman – เป็นไปไม่ได้หรอกก็ Cliff เขาเกิด ...
Sam – แต่เขาให้สร้อย Dog Tag นี่ผมมา ... บางที เขาอาจจะพยายามจะบอกบางอย่างกับผม บางอย่างที่เกี่ยวกับ BB บางทีอาจะเป็นเรื่องเหตุผลที่แท้จริงที่พวกนั้นสร้าง BB ขึ้นมา และผมก็ไม่รู้สึกว่าเขาพยายามจะทำร้ายพวกเราเลย มันเหมือนกับว่า เขาต้องการจะพูดอะไรซักอย่าง
Deadman – แต่คุณบอกว่าเห็นเขากำลังจับตัวท่าน ผ.อ ที่ชายหาดนี่ ?
Sam – ใช่ แล้วเราก็ไม่เคยรู้เรื่องราวในอดีตของพวกเขาหรือ Bridget เลย
Deadman – มันตลกมาที่คุณพูดออกมาแบบนั้น ผมมีข้อมูลบางอย่างจะให้คุณดู ผมเจอมันที่ ห้องเก็บเอกสารสำคัญ ตอนที่ผมกำลังค้นหาข้อมูล มันคือบันทึกข้อความที่ท่าน ผ.อ ทำการบันทึกเอาไว้ ติดป้ายไว้ว่า “ถ้าหากผมไม่ได้กลับมา”
Die – Hardman – เอาล่ะ .. ข้อความนี้บันทึกไว้เพื่อเป็นหลักประกันหากเกิดอะไรขึ้นกับผม เพื่อให้พี่น้องใน Bridges จะได้ตาสว่างซะที และผมโคตรมั่นใจเลยว่า ใครกำลังดูอยู่ตอนนี้
Die – Hardman – ผมได้รับของขวัญเล็กน้อยจาก Amelie เธอบอกว่าเธอจะพาผมไปที่ชายหาดของเธอถ้าผมต้องการ แต่ผมต้องใช้ ตุ๊กตา นี่เป็นตัวนำทาง มันเป็นกับดัก มันต้องมีอยู่แล้ว แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะเล่นตามเกมของมัน พวกคุณทุกคนก็เหมือนกัน จริงมั๊ย?
คุณรู้ว่าหน้ากากนี้เป็นมากกว่าใช้ปิดบังใบหน้าของผม
ก็นะ Amelie ก็ประวัติขาวสะอาดเหมือนกัน ไม่มีอดีต ไม่มีบันทึกว่าเธอเคยมีอยู่ เธอเหมือนกับผี ผมไม่เคยเจอกับ Amelie แบบตัวต่อตัวเลยซักครั้ง ...หรือพวกคุณเคย ? เคยเจอตัวเธอเป็นๆมั๊ย? เคยจับมือหรือแตะต้องตัวเธอซักครั้งมั๊ย?
Die – Hardman – ทีมสำรวจดั่งเดิมนั้นเราแบ่งออกมาเป็น 2 กลุ่ม Amelie ไปกับทีมแล้ว ส่วน Mama และ Heartman ไปพร้อมกับทีมที่ 2 แต่พวกเขาไม่เคยติดต่อกับเธอโดยตรงได้เลย
Deadman – ใช่ .. กลุ่มของ Amelie นั้นมุ่งหน้าไปที่ Edge Knot City ทุกๆคน ยกเว้นเธอ ทุกคนที่บอกได้ว่าเธอมีอยู่จริงหรือไม่
Sam – เลอะเทอะแล้ว ! …เธอมีอยู่จริงสิ เราทั้งคู่เคยสัมผัสกัน
Deadman – แต่ผมเคยมีปฏิสัมพันธ์แค่กับโฮโลแกรมของเธอเท่านั้น
Sam – เฮ้อ ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมเคยเจอเธอแบบตัวเป็นๆมาแล้วหลายครั้งเลยตอนที่เรายังเด็ก
Deadman – ใช่ แต่นั่นมันที่ ชายหาด
Die – Hardman – นี่คือสิ่งที่ประธานาธิบดีพูดถึงลูกสาวของเธอ จริงๆแล้ว Amelie เธอเกิดที่ชายหาด “Ka” ของเธอยังคงอยู่ที่นั่น ในขณะที่ “Ha” ของเธอข้ามมาที่โลกนี้ การแบ่งแยกร่างกายและวิญญาณแบบนี้บังคับให้เธอใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ในโรงพยาบาล แต่คิดกันว่าเพราะเธอสุขภาพไม่ดี ระดับความสามารถ DOOMS ของเธอก็ไม่สามารถตรวจวัดได้จนพรสวรรค์ที่เหนือธรรมชาติของเธอเบ่งบานเมื่อเธอโตขึ้นและเอาชนะข้อจำกัดของเธอ จนเมื่อเธออายุ 20 เธอก็สามารถเดินทางไปและกลับจากชายหาดได้ ทั้งร่างกายและทุกๆอย่าง และนั่นคือสิ่งที่เธอเริ่มใช้เวลาทั้งหมดของเธอ ตอนนี้ ถ้าคุณต้องการจะติดต่อกับ Amelie มันจะเป็นการติดต่อผ่านโฮโลแกรมเท่านั้นหรือไม่ก็ไม่ต้องติดต่อเลย ประธานาธิบดียืนกรานแบบนั้น
Die – Hardman – ผมได้สาบานตนกับ ประธานาธิบดี และประเทศอเมริกาแห่งนี้เสมอมา คำพูดของเธอคือกฎหมาย จนเมื่อเธอบอกว่า Amelie คือลูกสาวของเธอ และเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะทำให้เธอประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ ผมก็เชื่อนะ แต่เมื่อห้องเก็บเอกสารสำคัญถูกกู้ข้อมูลกลับมาได้ และผมก็ได้ค้นพบว่า Bridget เธอเป็นมะเร็งมดลูกตอนอายุ 20 ปี และเธอไม่สามารถมีลูกได้ เห็นรึยัง มันยังไม่ดูสมเหตุสมผลพออีกหรอ? เพราะฉะนั้น Amelie จึงไม่มีทางเป็นลูกแท้ๆของ Bridget ได้อย่างแน่นอน ..แล้วเธอมาจากไหนกันนะ? เธอเป็นใครกันแน่? แล้วเธอมีตัวตนจริงๆรึเปล่า? มันจึงทำให้เรามั่นใจว่า Amelie คือ Extinction Entity เมื่อเราไม่รู้fด้วยซ้ำว่า Amelie คือ Amelie จริงๆรึเปล่า? เท่าที่ผมรู้ทฤษฎี EE แม่งเป็นเรื่องที่โคตรจะเลอะเทอะเลย แต่ถ้ามันไม่ใช่ล่ะ ถ้าเธอคือสาเหตุของการเกิด Death Stranding ล่ะ เพื่อให้รู้แน่ๆ ผมถึงต้องยอมรับคำเชิญของเธอไง
Die – Hardman – ผมเตรียมใส่กระสุน hematic ไว้ในปืนของผมเรียบร้อยแล้ว เลือดของแซม ... มันเกี่ยวโยงปืนของผมกับเธอ กับผม กับเขา กับเราทุกๆคน นั่นแปลว่าผมจะเอามันติดตัวไปยังชายหาดของ Amelie ด้วย
ผมจะหยุดสิ่งที่เธอกำลังจะสร้างขึ้น ด้วยการหยุดเธอ ขอสารภาพตรงๆว่า ผมมันก็แค่คนธรรมดา ไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย ไม่มีความสามารถ DOOMS ไม่สามารถฟื้นคืนได้เหมือนแซม ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความตายเลยและไม่อยากลองด้วย
แต่ละสนามรบ แต่ละสมรภูมิไม่ต่างจากนรก แต่ไม่ว่ามันจะแย่ขนาดไหน ผมก็ยังไม่ตาย เพราะที่ผมทำมาตลอดคือ วิ่งหนีจากความตาย ...เอาล่ะ ผมต้องไปแล้ว เธอเรียกผมแล้ว Bridges อย่าทำให้ผมผิดหวังนะ
Interview data
เรื่อง – Locked – In Syndrome
บันทึกเมื่อ 3 ปีก่อน ที่ Bridges HQ
โดย – Die-Hardman
สุดท้ายเราก็ตัดสินใจว่า Amelie จะเป็นผู้นำกลุ่มนักสำรวจ ในแง่ของความสามารถและภาวะอารมณ์ก็คงมีเพียงแค่เธอหรือไม่ก็ Sam Strand เท่านั้น แต่เราไม่รู้ว่าตอนนี้แซมอยู่ที่ไหน ซึ่งทำให้การตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเป็นคนพิเศษที่คู่ควร Amelie เกิดที่ชายหาด ร่างกายของเธอ - HA - เกิดมาในโลกนี้ในขณะที่แก่นแท้ทางวิญญาณของเธอ - KA - เกิดบนชายหาด ถ้าจะให้อธิบายในทางการแพทย์ พวกเขาไม่แน่ใจว่าจะเรียกมันว่าอะไร ในท้ายที่สุดพวกเขาตั้งชื่อตามอาการที่คล้ายคลึ่งกันนั่นคือ "ล็อคอินซินโดรม" (locked-in syndrome) หรือภาวะอาการ LIS ที่เกิดจากภาวะการผิดปกติทางระบบประสาทที่ทำให้เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายยกเว้นกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตา ซึ่งผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะนี้ยังมีสติและความรับรู้ต่างๆเหมือนปกติแม้ร่างกายจะเหมือนอยู่ในอาการโคม่า
(ผู้ป่วย LIS ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคนหนึ่ง คือ ฌ็อง-ดอมินิก โบบี้ (Jean-Dominique Bauby) ผู้เขียนหนังสือ ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ (Le Scaphandre et Le Papillon) โดยการกะพริบตาเลือกตัวอักษรที่มีคนอ่านให้ฟัง)
ประธานาธิบดีสามารถสื่อสารกับวิญญาณของ Amelie ที่อยู่บนชายหาดได้ แต่ร่างกายของเธอที่อยู่ในโลกนี้ยังคงเหมือนเดิมจากตอนเธอเกิดไม่เปลี่ยนแปลงเลย แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เริ่มมีการพัฒนาขึ้น ร่างกายและจิตใจของ Amelie ค่อย ๆ มารวมกันและร่างกายของเธอก็เริ่มพัฒนาจนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ตอนนั้นพวกเขาก็รับรู้ว่าเธอได้รับความสามารถ DOOMS และเริ่มที่จะค้นคว้าหาคำตอบจากความสามารถที่เหลือเชื่อของเธอจนทำให้รู้ว่า ความสามารถ DOOMS ของ Amelie คือ เธอสามารถพาตัวเองไปยังชายหาดของตัวเองได้ตามที่ต้องการ ซึ่งก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลอยู่ โลกฝั่งนั้นคงเป็นโลกจริงๆของเธอมากกว่าที่นี่ เธออาจเอาชนะการต่อสู้ครั้งแรกของเธอได้ แต่เธอก็ยังใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเธออยู่ที่ชายหาด และที่นั่นเวลาหยุดนิ่งซึ่งเป็นสาเหตุที่แม้เวลาบนโลกจะผ่านมาเนิ่นนานแต่ตอนนี้เธอดูก็ยังดูเหมือนอายุ 20 อยู่เลย
ในที่สุดประธานก็เริ่มรู้สึกว่า ลูกสาวของเธอนั้นต้องทนต่อความยากลำบากมานาน จากวันนั้นเป็นต้นไปเธอจึงกำหนดให้การสื่อสารกับ Amelie ทั้งหมดจะต้องทำผ่านโฮโลแกรมเท่านั้น แม้ในระหว่างการเดินทางเธอก็จะไม่สามารถติดต่อกับทีมของเธอไดเโดยตรง ซึ่งมันก็ไม่ใช่แผนที่แย่อะไรนัก เพื่อความเป็นธรรมต่อเธอด้วย และที่แน่ๆ มันจะช่วยให้เธอรอดพ้นจากการตามล่าของพวกผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นปัญหาแรกของเรา
เรื่อง – About the Dreamcatcher
บันทึกเมื่อ 1 ปีก่อน ที่ Heartman Lab
โดย – Heartman
มีกรอบแนวคิดทางจิตวิทยาที่ว่า บุคลิกภาพของมนุษย์ประกอบด้วย "เส้น" (strands) ที่หลากหลาย ภายในจิตใจของเรา ตัวตนภายนอกของเรา มีเส้นเป็นของตัวเอง แต่ละเส้นประกอบขึ้นจากเกลียวเล็กๆที่ใช้เชื่อมโยงกับผู้อื่นเพื่อทำให้เราเป็นตัวตนของเรา และจากการฟูมฟักของเส้นแต่ละเส้นทำให้เรากลายเป็นคนที่ดีขึ้น เพื่อให้ชินกับแรงต้านของตัวเองที่อาจส่งผลที่เป็นอันตรายต่อจิตใจ ... หรือไม่ก็เพื่อให้ทฤษฎีได้ดำเนินต่อไป
แปลกอย่างที่มันฟังดูไม่ใช่แนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงสำหรับแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังสิ่งประดิษฐ์ของชาวอินเดียแดงเผ่าโอจิบวี (Ojibwe) ที่รู้จักกันดีในชื่อ ดรีมแคทเชอร์ (Dreamcatcher) ซึ่งมีความหมายว่า “ตาข่ายดักฝัน”คุณเคยเห็นมาก่อนใช่มั้ย? เส้นใยที่ถักทอด้วยมือเพื่อไว้ใช้ปกป้องจิตใจจากอันตรายจากฝันร้าย เหมือนเป็นเครื่องมือสำหรับดักจับฝันร้าย ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่ามีเพียงความฝันดีๆอันน่ารื่นรมย์เท่านั้นที่ผ่านเข้ามาถึงตัวคุณได้
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มนต์เสน่ห์เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของอินเดียนในศตวรรษที่ 20 ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันที่พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะต่อสู้กับความแตกต่างเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ของกลุ่มก้อนของตนให้แข็งแกร่ง ความฝันที่เป็นเอกเทศเช่นนี้เป็นสัญลักษณ์ว่าพวกเขายังคงเป็นปึกแผ่นที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
ในสาระสำคัญ "เส้น" (strands) สามารถเป็นตัวแทนของสิ่งที่ทำให้เราเป็นเรา - สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากสิ่งที่เราไม่ได้เป็น - และมันก็ยังเป็นพันธะที่เราสามารถแบ่งปันกับคนอื่นได้ด้วย
เรื่อง – Quipus
บันทึกเมื่อ 3 ปีก่อนการเดินทางสำรวจครั้งแรก Heartman Lab
โดย – Heartman
“ Quipu” หมายถึง“ knot” ที่แปลว่า ปม ในภาษาเกชัว (Quechua) ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในแถบแอนดีสตอนกลางมาตั้งแต่ยุคก่อนอาณาจักรอินคา เป็นวัตถุที่ใช้ชื่อนี้ถูกใช้ในสังคมอินคาโบราณเพื่อบันทึกและส่งข้อมูล และ ใช่ Amelie ก็บังเอิญสวมใส่มันไว้อันนึง
Inca จะส่ง quipu จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งผ่านเครือข่ายผู้ส่งสารที่รู้จักกันในชื่อ chasquis ที่แปลว่า ผู้ส่งสาร ในภาษาเกชัวของชาวอินคา คุณอาจประหลาดใจกับความซับซ้อนที่สามารถสื่อสารผ่านการผูกปมง่ายๆ ที่ไม่เพียงแค่ส่งเป็นข้อมูลที่เป็นตัวเลขเท่านั้นแต่ยังสามารถเก็บข้อมูลที่เป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนได้ด้วย
ทฤษฎีบางทฤษฎีชี้ให้เห็นในเชิงว่าพวกเขามีเวทย์มนตร์วิเศษที่เหนือธรรมชาติด้วย การผสานกันและของจำนวนของ ปม ที่ผูกเหมือนเป็นการส่งสารบางอย่างเพื่อให้คนตายหลับอย่างสงบในหลุมฝังศพ ดังนั้นเราจะเห็นได้ชัดว่า quipu เป็นทั้งเครื่องมือในการสื่อสาร การเล่าเรื่อง และพิธีกรรมทางศาสนาด้วย
Episode 12 : “BRIDGES”
Deadman – หลังจากบันทึกข้อความนี้เอาไว้ ท่าน ผ.อ ก็จั้มป์ไปยังชายหาดของ Amelie หรือไม่ก็ Amelie เชิญเข้าไปยังชายหาดของเธอเอง
SAM – ผมเห็นเขามีปืนติดไปด้วยตอนผมเห็นเขาอยู่กับ Bridget จากนั้น Cliff ก็ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วพาตัวเขาไป
Deadman – ผมคิดว่าเขาไปที่ชายหาดเพื่อต้องการเผชิญหน้ากับ Amelie ซะอีก
SAM – ใช่ เธออยู่ที่นั่นด้วย เธอนั่นแหละเป็นคนผลักผมให้หลุดออกมาจากชายหาด
Deadman – มันชัดเจนมากสำหรับผม ตอนนี้ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าก่อนนี้ผมจะไม่รู้มาก่อนเลยว่าเป็น Amelie
วืบบบบบบบบบบ !!!
Deadman – บ้าจริง Chiral network ลดระดับลงอีกแล้ว ตามที่ Lockne บอก อีกไม่นานมันจะใช้งานไม่ได้อย่างสมบูรณ์เหมือนเดิมแล้ว
SAM – งั้นที่เราทำงานหนักมาตลอดมันก็เสียเปล่าน่ะสิ?
Deadman – ให้ผมพูดให้จบก่อนสิ แซม ...
Fragile – ให้ชั้นเป็นคนบอกเขาเอง
SAM – Fragile? คุณดูโทรมมากๆเลย คุณควรพักผ่อนก่อนนะ
Fragile – ชั้นรู้ .. แต่ชั้นมีบางอย่างที่ต้องบอกคุณ .. ชั้นได้ข้อมูลมากจาก Higgs ตอนที่อยู่ที่ชายหาด พยามทำให้มันพูดเท่าที่จะทำได้แล้ว
SAM – มันบอกมั๊ยว่าทำไมถึงต้องทรยศคุณด้วย?
Fragile – มันบอกว่าเป็นแผนของเธอ ... Amelie
SAM – ว่าไงนะ?
Fragile – มันบอกว่าเธอเคยเป็นผู้นำของพวกมัน ..แผนการทำ Voidout ของพวกผู้ก่อการร้าย วาทะกรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์สูญพันธ์ทั้งหมด ล้วนมี Amelie อยู่เบื้องหลัง
SAM – เธอจะทำแบบนั้นไปทำบ้าอะไร!?
Fragile – ชั้นรู้อยู่แล้วว่าคุณต้องไม่เชื่อ แต่จากข้อมูลที่ Die – Hardman บอกออกมา .. ก่อนที่ Higgs จะพุ่งเป้ามาที่ชั้น เขาไปพบ Amelie มา ตอนแรกเขาต้องการขยายอาณาเขตของเขาและชั้นมีพลังที่เขาสามารถใช้ได้ พอถึงตอนนี้เขาก็เลิกที่จะทำงานร่วมกับชั้นแล้ว จริงๆเขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายด้วยซ้ำ เขาเป็นแค่คนที่ต้องการมีพวกเยอะๆ แต่แล้วเธอก็ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมแสดวความสามารถที่ทำให้ฉันเป็นที่อับอายขายหน้า ..เธอสามารถควบคุม BT ได้ พอเห็นแบบนั้น Higgs ก็เลยเลือกที่จะติดตามเธอแทน และจากวันนั้นเธอก็ทำให้เขากลายเป็น เอเย่นต์เแห่งการสูญพันธ์ ของเธอ
SAM – หมายความว่า Amelie เป็นคนมอบพลังให้ Higgs งั้นหรอ?
Fragile – ใช่ เธอทำให้เขากลายเป็น homo demens ของเธอ
SAM – แล้ว Bridget ล่ะ? ถ้าคุณตั้งใจจะบอกผมเรื่องที่เธอทำอะไรที่ชายหาดคุณก็ต้องบอกเรื่องของ Bridget ด้วยสิ?
Fragile – ชั้นรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อหรือยอมรับได้ แต่ Higgs เป็นคนบอกเองว่า คือ EE (Extinction Entity) แล้วชั้นก็ดูที่ pod ของเขา มันไม่มี BB อยู่ข้างในเลย แต่มันเป็นตุ๊กตาแบบเดียวกับที่ Die – Hardman บอก สิ่งนี้คือ Bridge Baby ของพวกเขา มันเป็นไอเดียที่พวกผู้ก่อการร้ายนำเอา BB tech มาประยุกต์ใช้ แล้วจากนั้น Bridges ถึงทำตาม แค่วิธีการของพวกเขาและของคุณแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง BB ของคุณเชื่อมโยงคุณไปสู่โลกแห่งความตาย ส่วนตุ๊กตานี่เชื่อมโยงพวกเขากับชายหาดของ Amelie
Deadman – คุณรู้มั๊ยว่าใครมีตุ๊กตาแบบนี้อีก ? … Cliff ไง เขานำเอามันไปที่สนามรบของเขาด้วย ... สรุปมี Cliff , Higgs , ท่าน ผ.อ ทั้ง 3 คน ถูกกระตุ้นให้เข้าร่วมและถูกควบคุมโดย EE (Extinction Entity) จริงๆ แล้วใครคือ EE กันแน่? ..Bridget หรอ หรือว่า Amelie?
Fragile – ชั้นคงบอกได้แค่ว่า คำตอบที่ว่าน่าจะอยู่ที่ชายหาดนั่น อะไรที่เธอต้องการ และ ทำไม
Deadman – ถ้าพวกเราจะขุดลึกลงไปในเรื่องนั้น ถ้างั้นบางทีคุณคงต้องทำทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงไม่เกิดปรากฎการณ์ Death Stranding
Fragile – คุณต้องไปตามหาเธอแซม
Sam – ตกลงเธอเป็นใคร หรืออะไรกันแน่ ..
Fragile – เธอรอคุณอยู่ที่ชายหาด รีบกลับมาที่ฝั่งตะวันออกด่วนเลย
Deadman – แซม ตอนนี้การเชื่อมต่อยังไม่เสถียรผมจะพูดสั้นๆแล้วกันนะ เรามีงานให้คุณทำ ตอนนี้ Fragile เธอมีสภาพทรุดโทรมมาก หากเธอเกิดโคม่าขึ้นมาก็มีโอกาสที่วิญญาณของเธออาจติดอยู่บนชายหาดตลอดไปได้ เธอต้องการ Cryptobiotes มาเติมพลังด่วนเลย โชคดีของเราที่ ทาง Fragile Express ยังเก็บสต๊อกเอาไว้ที่ Port Knot City เราเลยอยากให้คุณไปเอามันมาให้เรา ข้อมูลภารกิจทั้งหมดอยู่ใน Terminal ด้านบน รีบหน่อยแซม นี่มันเรื่องคอขาดบาดตาย
สำรวจ Delivery terminal ที่ Port Knot City เลือกทำภารกิจ
[Order No. 68] Cryptobiote Delivery: Capital Knot City Isolation Ward - Port Knot City
[Order No. 68]
Cryptobiote Delivery: Capital Knot City Isolation Ward - Port Knot City
เป้าหมายของภารกิจนี้คือการขนส่ง Cryptobiote จาก Port Knot City ไปยัง Capital Knot City โดย Deadman จะเตือนก่อนออกเดินทางว่ากล่องที่ใช้บรรจุ Cryptobiote นั้นไม่ได้เป็นแบบสุญญากาศ แปลว่าในขณะขนส่งห้ามจมน้ำอย่างเด็ดขาด สินค้าจะเสียหายทำให้ Game Over ทันที
ยิ่งกว่านั้น เส้นทางจาก Port Knot City ไปยัง Capital Knot City ก็ไม่ใช่เส้นทางที่คุ้นเคยอีกต่อไป เพราะระหว่างทางจะเต็มไปด้วยพวก BT ที่หนาแน่นกว่าเดิมพร้อมฟอง BT เต็มท้องฟ้าที่พร้อมจะตกระเบิดใส่ได้ตลอด และถ้าคิดว่าสิ่งปลูกสร้างอำนวยความสะดวกที่เคยสร้างเอาไว้จะช่วยให้การเดินทางครั้งนี้ง่ายเหมือนทุกครั้ง ก็ลืมได้เลย เพราะทันทีที่ออกจาก Port Knot City ทาง Deadman จะแจ้งว่าสิ่งปลูกสร้างที่แซมเคยทำไว้ถูกฝน Timefall ที่ตอนนี้ตกหลักอย่างผิดปกติทำลายหมดแล้ว จะเหลือแต่เพียงสิ่งปลูกสร้างของคนอื่นเท่านั้น นั่นแปลว่า แซมต้องเดินทางด้วยเท้าหรือรถเท่าที่จะหาได้เพื่อไปที่จุดหมายด้วยตัวเองโดยไม่มี zipline ที่เคยสร้างไว้ทำให้มันง่ายขึ้นอีกแล้ว
ที่มากว่านั้น ระหว่างทางยังต้องเจอกับระดับ Boss ของ BT ที่เคยพบเจอมาทั้งแบบปลาหมึกและสิงโตออกมาขัดขวางด้วย ต้องพยายามจัดการพวกมันให้เร็วที่สุด ระมัดระวังความเสียหายของสินค้าไม่ให้จมน้ำมันดิน และสู้แบบประหยัดกระสุนที่สุด โดย BT ร่างปลาหมึกยักษ์นั้นสามารถใช้ปืนกลธรรมดาจัดการก็พอเอาอยู่
ส่วน BT ร่างสิงโตที่จะโผล่มาในส่วนทางโค้งก่อนเข้าไปที่ลานกว้างด้านหน้า Capital Knot City นั่นมีจำนวนมาก อันตรายต่อทั้งแซมและสินค้าแถมยังจะเปลืองกระสุนอย่างมากด้วย
โดยหากไม่อยากจะสู้กับพวกมันแล้ว ก็สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้นี้ได้ด้วยการข้ามเนินเขาก่อนจะถึงทางของที่เป็นพื้นที่ของพวกมันก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการเจอพวกมันได้
จากนั้นเดินทางต่อเพื่อมุ่งหน้าไปยัง Capital Knot City ได้เลย ทันทีที่เดินทางมาจนถึงพื้นที่ด้านหน้าเมือง เสียงวาฬที่แว่วมาตั้งแต่เริ่มเข้ามาใกล้ก็เริ่มดังขึ้นดังขึ้น จนเมื่อแซมกำลังจะเดินเข้าไปในเมือง พื้นดินก็เริ่มนองไปด้วยน้ำมันดินจนท่วมท้นขึ้นมาจนเต็มพื้นที่พร้อมกับร่างของ BT รูปทรงวาฬขนาดยักษ์ที่โจนขึ้นมาบนฟ้าบินเข้ามาโจมตีแซมทันที
การต่อสู้กับ BT รูปทรงวาฬขนาดยักษ์ ในฐานะ บอสตัวสุดท้าย นั้นอาวุธที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการจัดการมันได้เร็วที่สุดก็คือ Quadruple Grenade Launcher และ MULTI - ROCKET LAUNCHER โดยพยายามหาที่ยืนบนพื้นตึกให้มั่นคงไว้ จากนั้นก็รอจังหวะให้มันบินขึ้นมาจากน้ำมันดินแล้วโฉบไปมายิงถล่มไปในระยะประชิดที่สุด แม้มันจะตัวใหญ่ดูน่ากลัวแต่การโจมตีของมันมีอย่างเดียวคือโฉบเข้ามาสลัดพวก BT สีทองเข้าใส่เท่านั้น พยายามใช้อาวุธหนักยิงมันไปเรื่อยๆ หากกระสุนหมดก็สามารถหาเก็บจากที่ลอยขึ้นมาจากน้ำมันดินหรือรับจากวิญญาณที่มาส่งอาวุธให้ จนสามารถจัดการมันได้
จากนั้นก็รีบเข้าไปยัง Capital Knot City แล้วเข้าไปที่อาคาร Isolation Ward ซึ่งอยู่ด้านในพื้นที่ได้เลย
Deadman – ขอบคุณพระเจ้าที่คุณทำสำเร็จ Fragile กำลังจะโคม่าแล้ว Cryptobiotes ที่คุณนำมา เราต้องรีบเอาให้เธอให้เร็วที่สุดแซม ถ้าโชคเข้าข้างเรามันจะทำให้เธอดีขึ้นได้
Deadman – คุณกลับมาแล้ว ! มันคงจะเป็นการเดินทางที่นรกแตกที่สุดในชีวิตเลยสิท่า แต่ตอนนี้เราทุกคนได้มารวมทีมกันอีกครั้งแล้ว
SAM – รวมทีม ? Die – Hardman ก็ด้วยงั้นหรอ?
Deadman – เนื่องจากการจัมป์ข้ามไปมาระหว่างชายหาดติดต่อกันหลายครั้งในเวลาไร่เรี่ยกัน ทำให้สสาร Chiral เข้าไปปนเปื้อนในเซลล์ของเธอทำให้ประสิทธิภาพในเซลล์โมเลกุลช้าลงเหมือนอาการ jet lag เพราะว่า การรักษาสมดุลของร่างกายของเธอไม่มั่นคง แต่ไม่ต้องห่วงนะ มันไม่ได้อันตรายถึงชีวิตหรอก เธอแค่ต้องการพักผ่อนซักหน่อย
SAM – แล้ว ผ.อ อยู่ไหน ?
Deadman – เราให้เขาพักเพื่อดูอาการอยู่อีกห้องนึงน่ะ เจ้าหน้าที่ของ Bridge พบเขานอนอยู่ข้างนอกอาคาร Isolation Ward อาการคล้ายๆกับตอนที่คุณกลับมาจากชายหาดของ Cliff นั่นแหละ แต่หลังจากการปนเปือน เธอก็ต้องการเวลาเพื่อที่จะฟืนฟูตัวเองอีกนาน
SAM – ไง หิวมั๊ย?
Fragile – Sam ... คุณทำได้ .... ดูเหมือนงานนี้คุณต้องการชั้น ใครจะคิดล่ะว่ามั๊ย? แต่ยังไงซะ เวลาก็ไม่รอใคร ชั้นพูดถูกมั๊ย ..
Fragile – ตอนนี้แซมอยู่ที่นี่แล้ว นักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งเดียวที่สามารถเดินทางไปยังชายหาดของ Amelie ได้
Deadman – ระวังหน่อย คุณยังไม่พร้อมที่จะทำตอนนี้นะ มันไม่แฟร์ทั้งกับคุณหรือแซมเลยนะ
Heartman – เอ่อ เท่าที่ผมค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับ ชายหาดของ Amelie มาแล้วทำให้ผมตระหนักรู้ถึงสิ่งที่พิเศษบางอย่าง ถ้าตอนนี้ชายหาดทุกๆชายหาดสามารถเชื่อมต่อกันได้หมด ชายหาดของ Amelie จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเรามาก ผมอาจจะเดินไปยังชายหาดอื่นๆได้ แต่ชายหาดเธออยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับผมจริงๆ ทั้งมองไม่เห็นและไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้กระทั่ง Fragile เองก็เถอะ ลองจินตนาการว่ามันเป็นเหมือนระบบไหลเวียนของเลือดสิ เผื่อจะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ชายหาดของพวกเราแต่ละแห่งนั้นเป็นเส้นเลือดฝอย แต่ชายหาดของ Amelie เปรียบเสมือนหัวใจที่ส่งเลือดมาหล่อเลี้ยงชายหาดของพวกเรา ซึ่งเป็นเส้นเลือดฝอยผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกควบคุมโดยหัวใจสั่งการให้ไหลไปในทิศทางที่ต้องการ ซึ่งกำหนดทุกอย่าง ควบคุมทุกอย่าง คุณไม่เห็นหรอ? เธอควบคุมทุกอย่าง คุณอาจเดินทางไปตามสายโลหิตที่ว่านี่เพื่อไปไปถึงตัวเธอได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้น ถ้าเธอเกิดไม่ต้องการให้คุณเข้าไป ถ้าเธอต้องการจะกักตัวคุณไว้ เธอทำได้แน่นอน
SAM – แต่ Fragile กับ Die – Hardman ก็หนีออกมาจากชายหาดของเธอได้ไม่ใช่หรอ?
Fragile - ชั้นไม่คิดว่ามันจะแตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณนะ ชั้นไม่ได้อยากออกเพราะชั้นต้องการเอง ชั้นถูกบังคับให้ออกไป เหมือนคุณถูกส่งกลับแบบผู้ฟื้นคืน เมื่อคุณต้องการ โดยเธอ
SAM – ถูกบังคับให้ออกหรอ ทำไมล่ะ?
Fragile - มันเป็นแค่ทฤษฎีนะ ชั้นว่าเธอต้องการคุณ ต้องการให้คุณไปหาเธอ นั่เป็นความปรารถนาสุดท้ายของเธอ คุณคิดงั้นรึเปล่า?
SAM – งั้นหรอ สรุป Amelie คือ EE และนี่คือเกมปิดฉากของเธอสินะ เอาล่ะ มาพูดกันให้เคลียร์ๆ ถ้าผมอยากจะหยุด Death Stranding แล้วกลับมาได้แบบครบ 32 ผมก็ต้องไปที่ชายหาดของเธอเพื่อเจรจากับเธองั้นสิ?
Heartman – ถูกต้อง มันอาจจะฟังแล้วน่าเบื่อหน่อยนะ แต่คุณคือความหวังเดียวของเรา …พูดตรงๆเลยนะ ผมก็ไม่แน่ใจเลยว่าคุณจะกล่อมเธอได้สำเร็จหรือเปล่า
Deadman – ถ้าเกิดว่าพูดด้วยเหตุผลให้เธอเข้าใจไม่ได้ คุณก็จำเป็นต้องฆ่าเธอซะ และเมื่อคุณฆ่าเธอแล้ว คุณก็ช่วยโลกเอาไว้ได้ แต่คุณก็ต้องติดอยู่ในโลกอีกด้านไปตลอดกาล ..
SAM – เอาแบบเป็นทางการกันเลยนะ คุณพร้อมที่จะส่งสินค้านี้รึเปล่าครับ?
SAM – ผมจะพูดกับเธอเอง บางทีเธออาจจะยอมฟัง แต่ดูสภาพของโลกในตอนนี้ ถ่วงเวลายังไงก็หนีไม่พ้นหรอกหรอก แต่ยังไงซะ ถ้ามันพอซื้อเวลาให้เราหาทางทำอะไรซักอย่างให้ดีกว่านี้ ขอให้ได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง แม้มีโอกาสเพียงนิดหน่อยก็ยังดี และ ผมนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ควรจะได้โอกาสนี้มากที่สุดเช่นกัน ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไปหรอก โลกนี้ก็เช่นกัน แต่เราก็ต้องทำต่อไปให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ว่ามั๊ยล่ะ? ปะรูรั่ว เปลี่ยนอะไหล่ใหม่ อะไรประมาณนั้น เราพูดได้แค่เพียงว่า เราทำกันมาอย่างดีที่สุดแล้ว นั่นถึงทำให้เรายังมีชีวิตอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้
Fragile - คิดว่าคุณคงไม่ชอบที่จะจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่
SAM – ก็เพราะมันยากสำหรับคนที่เห็นแก่ตัวแบบผมไง จำตอนที่เราเจอกันในถ้ำตอนนั้นได้มั๊ย สิ่งเดียวที่ผมแคร์ตอนนั้นก็คือ จะทำยังไงให้ได้เห็นตะวันขึ้นในวันพรุ่งนี้ให้ได้ สาบานเลยว่า ผมไม่แคร์อเมริกาหรืออนาคตบ้าบออะไรจริงๆ ผมเคยใช้ชีวิตอยู่กับคำโกหก กับความเสียใจในอดีต ผมเคยเสียมาก่อน แต่ะหว่างการเดินทางที่ทำให้ต้องพบปะผู้คนมากมาย ผมก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่า มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรซะหน่อย ผู้คนเหล่าต่างเชื่อมั่นในวันพรุ่งนี้ และเชื่อในตัวผม มันเหมือนกับการเปิดไฟให้สว่างไว้เพื่อรอความหวังที่กำลังจะมาถึง เพราะงั้นผมถึงมาเป็น คนส่งของ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเหล่านั้น
Deadman – หมายความว่าคุณตั้งใจว่าจะไม่ได้กลับมาอีกแล้วงั้นหรอ?
SAM – ทำหรือไม่ทำก็ฉิบหายพอกันว่ามั๊ยล่ะ?
SAM – ช่วยดูแล Lou ให้ด้วยนะ
Deadman – ผมดูแลให้เอง
Sam – ผมค้นหาจนทั่วแล้วไม่มี Stillmother ที่ยังทำงานอยู่แถวๆทางตะวันออกของ Port Knot city เลย เจ้าหนูนี่เหนื่อยมามากแล้ว
Deadman – ผมจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อยืดชีวิตเจ้าหนูน้อยของเราเอาไว้ให้นานที่สุดก็แล้วกัน
Fragile - เอาล่ะ ตั้งสมาธินะ !
Fragile - … ช่วยชั้นมองหา Amelie รู้สึกถึงเธอแซม ชั้นรู้ว่าคุณรัก Amelie . คุณรักเธอ!
Amelie - Sam
Amelie - Sam .....อยากกลับหรอแซม? งั้นก็กลับบ้านกัน
Amelie - .. ไม่เป็นไรนะ ชั้นรู้ทางดี
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Episode 13: “SAM STRAND”
[Order No 69]
Go to Her Beach
Amelie’s Beach
London Bridge is falling down 🎵
🎵 Falling down, falling down 🎶
🎵 London Bridge is falling down 🎶
My fair lady 🎵
EE – The Last Stranding กำลังเริ่มขึ้นแล้ว
SAM – Amelie ?
EE – คุณมาช้าไป ทำไมใช้เวลานานจัง?
SAM – เสียงของเธอมัน ..
EE – คุณยังไม่รู้ว่าชั้นคือใคร ใช่มั๊ย?
SAM – แล้วคุณคือใคร?
Bridget – แซม ชั้นรู้ว่าเธอต้องกลับมา
Bridget – แซม ! ฟังชั้นนะ ! ฟังชั้น ... ชั้นรักเธอนะแซม
EE – ชั้นจะรออยู่ที่ชายหาดนะ รออยู่ที่นี่มาตลอด
EE - คุณต้องหยุดชั้น หยุดเรื่องทั้งหมดนี้
SAM- Bridget หรอ?
EE - ใช่ ชั้นเอง แซม
SAM- แล้ว Amelie อยู่ไหน?
Bridget –อยู่ในที่ที่เธอเคยอยู่นั่นแหละ นั่นคือ ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย
SAM- Amelie ไม่มีตัวตนงั้นหรอ?
EE - ไม่มีในโลกของคุณ ..ชั้นเสียใจ แซม ชั้นต้องสวมหน้ากากมานานมาก ...ทั้ง Amelie และ Bridget ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของชั้น
SAM- มันหมายความว่ายังไง? ..
EE - พอเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว เอาไว้ชั้นจะบอกคุณเอง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาตั้งถามอะไรทั้งนั้น ฟัง ..แค่ฟังแค่นั้นพอ
EE – คุณเข้าใจมั๊ยแซม ทั้ง Amelie และ Bridget ล้วนเป็นแค่ชื่อเท่านั้น สิ่งที่ชั้นเป็นคือ Extinction Entity (EE) ตอนนี้คุณรู้ในสิ่งที่คุณต้องรู้แล้ว คุณมีทางเลือกแค่ 2 ทาง
SAM- ต้องยิงใครซักคนด้วยหรอ?
EE – คุณจะไม่ได้ฟื้นคืนกลับมาอีกถ้าคุณตายที่นี่ รู้มั๊ย? ตรงไปยังชีวิตหลังความตายอย่างเดียวเลย แต่ไม่หรอก จะไม่มีใครถูกยิง การฆ่าคุณเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์เลยล่ะ ชั้นรู้เรื่องนั้นดีกว่าใคร
EE – The Last Stranding กำลังเริ่มขึ้นแล้ว รอยต่อได้ก่อตัวขึ้นจากชายหาดของฉันและชายหาดของทุกๆวิญญาณในอเมริกา และในไม่ช้ามันจะเต็มไปด้วยปฏิสสารจำนวนมหาศาลที่พรั่งพรูเข้ามา .. เริ่มต้นจากที่นี่ จากนั้นในพริบตา โลกนี้ก็ไม่มีอีกต่อไป จากการผลาญทำลายด้วยการระเบิด Big Bang
EE – กลับมาเรื่องทางเลือกของคุณต่อ .. ทางเลือกแรก ไม่ทำอะไรเลย อยู่ที่นี่กับชั้น อยู่เป็นพยานในวันสิ้นโลกด้วยกัน
SAM – แค่ดูเฉยๆหรอ?
EE – อยู่ด้วยกันกับชั้น จนกว่าเปลวไฟสุดท้ายมอดลง ฟังดูก็ไม่ได้แย่ใช่มั๊ยล่ะ? มันไม่เหมือนโลกที่ถูกทิ้งไว้นานหรอก
EE – ส่วนทางเลือกที่ 2 ในการขยายเครือข่ายคุณได้นำผู้คนและชายหาดมารวมกัน นำพวกเขามารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับ Quipu แต่การกระทำนี้ คุณจะทำให้จะทำให้พวกเขาถูกผูกเป็นพัทธะเดียวกับชายหาดของชั้น ทำให้ชั้นสามารถใช้ชายหาดเพื่อใช้เป็นประตูไปยังโลกอีกด้านได้มากมายขึ้น คุณหยุดสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้หรอกแซม แต่ถ้าคุณตัดชั้นและชายหาดของชั้นออกเพื่อตัดตอน บางทีคุณสามารถหยุดไม่ให้มันลุกลามไปยังชายหาดอื่นๆ คุณอาจป้องกันไม่ให้เกิด The Last Stranding ได้ มนุษย์ชาติจะเกิดและตายในวันอื่นๆ ที่ไม่ใช่วันนี้
Sam – ถ้าเป็นเช่นนั้น ที่นี่ก็ไม่ต้องพบจุดจบ..
EE – เสียดายที่มันจะไม่เป็นแบบนั้น ชายหาดจะต้องถูกทำลายไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ลองมองไปรอบๆตอนนี้ก็น่าจะดูออก นี่คือเหตุผลที่เราต้องตัดการเชื่อมต่อระหว่างเรา
Sam – แค่เนี้ย . แล้วมันจะหยุด Death Stranding ได้เลยงั้นหรอ?
EE – คุณหยุดมันไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การสูญพันธ์ครั้งที่ 6 จะต้องเกิดขึ้นในซักวัน อาจเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้
EE –... คุณสามารถจบมันด้วยความสง่าผ่าเผย รวดเร็วและหมดจดในพริบตา หรือคุณจะพยายามดิ้นรนทั้งที่ก็รู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น … นั่นคือทางเลือกของคุณ คุณเก็บมันเอาไว้ได้เลย บางทีคุณอาจจะยังพอมีโอกาสที่จะหยุดฝันร้ายนี้ได้ คุณเป็นคนนำโลกใบนี้มารวมกันใหม่อีกครั้ง คุณจึงมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ จะดึงเชือกไว้หรือตัดบ่วงซะก็ทำเลย อย่าได้มัวแต่รีรอ
EE – ชั้นพร้อมแล้ว Sam Strand .. จงเลือกซะ
SAM – เดี๋ยวสิ ! ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง?
EE – คุณรู้แน่นอน แซม ... หลังจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น คุณอย่าบอกนะว่า ทำไม่ได้ ?
ทางเลือกที่ดีที่สุดที่แซมจะทำได้คือ ไม่ต้องยิง EE เพราะถ้ายิงก็ยิงไม่ได้อยู่แล้วแถมจะทำให้เกมโอเวอร์ด้วย ในจังหวะที่แซมกำลังเตรียมตัวยิง ก็ไม่ต้องยิง ให้วิ่งเข้าไปหา EE แล้วกด R2 เพื่อกอดเธอได้เลย
SAM – ผมอยู่ที่นี่เพื่อคุณได้เสมอ เหมือนที่คุณเคยทำให้ผม
Amelie – เอานี่ เอานี่ ตาข่ายดักฝัน ใส่เอาไว้ตอนนอนนะ
Amelie – มันจะช่วยขับไล่ฝันร้ายให้หมดไป ชั้นจะอยู่กับเธอเสมอนะ เมื่อเธอโตขึ้น เธอต้องทำให้เรากลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งนะ
และเมื่อถึงตอนนั้น เธอต้องเป็นคนหยุดชั้น เพราะมีเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้ สัญญานะว่าเธอจะไม่ลืม Sam ชั้นจะรอเธออยู่ที่ ชายหาด นะ
Sam – ผมจำได้ ..คุณรู้ดี คุณรู้มาตลอด
EE – ชั้นทำ และ ไม่ได้ทำ ชั้นมีความฝันของอนาคตมากมายเหลือเกิน ชั้นไม่รู้ว่าอันไหนเป็นความจริง นี่คือเหตุผลที่ชั้นตัดสินใจที่แบ่งปันมันกับคุณและคนอื่น ๆ แต่เพื่อเชื่อมต่อจุดต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจทุกอย่าง คุณต้องการมุมมองที่ชัดเจน คุณต้องการเวลา เวลาที่ไม่มีความหมายกับชั้น
ชั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการใดๆ ชั้นคือจุดๆเดียวที่แยกเดี่ยวออกมา เพราะงั้นชั้นถึงแสดงให้คุณได้เห็นถึงทางเลือกและให้คุณได้ตัดสินใจ
Sam – ฝันร้ายของพวกเราคือความฝันของคุณงั้นหรอ?
EE – ใช่ .. คุณได้ค้นพบการใช้ด้ายธรรมดาให้กลายเป็นเชือกในการเชื่อมโยงทุกๆคนเข้ามาหากัน และคุณสามารถใช้หนทางที่มีอยู่หนึ่งเดียวให้เป็นไปได้จริงในการใช้ชีวิตแต่ล่ะวัน ... ขอบคุณมากแซม
EE – ที่นี่ ปืน ไม่ช่วยอะไรหรอก ... แต่มันก็ยังมีบทบาทของมันอยู่ มันเป็นพันธะระหว่างผู้คนที่นำโลกมารวมกัน และถ้านั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณ ชั้นก็จะอยู่ที่นี่ บนหาดแห่งนี้ และชั้นจะปิดตัวเอง ขังตัวเองเอาไว้ แล้วผลักดันส่วนที่เหลือของคุณออกไป
Sam – ขังตัวเองเอาไว้หรอ? ไม่เอาน่า มากับผมเถอะ
EE – The Last Stranding กำลังจะเริ่มแล้ว และจะไม่มีอะไรหยุดมันได้ ชั้นไปกับคุณไม่ได้ ทั้งหมดที่ชั้นทำได้คือ พยายามเก็บคุณไว้ในยามฉุกเฉิน
Sam – ทำไมคุณถึงต้องอยู่ที่ชายหาดนี่ตลอดด้วย ?
EE – แซม .. ชั้นคือชายหาด ชั้นถึงต้องอยู่ที่นี่ เพื่อให้ความมั่นใจว่า การสูญพันธ์ ต้องเกิดขึ้น แม้ว่ามันจะใช้เวลาสิบหรือหลายร้อยหลายพันปีก็ตาม นั่นแหละคือสิ่งที่ EE ต้องทำ
EE – ถ้าชั้นแค่ต้องทำหน้าที่ของชั้น ไม่งั้นสิ่งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ ชั้น ชั้น รับมันไม่ไหวอีกแล้ว ชั้นเหนื่อยกับการรอคอย และคิดว่าจะไม่มีใครโทษชั้นถ้าชั้นจะรับมันไว้เองทั้งหมด นั่นแหละที่ชั้นจะทำ
Sam – ฟังดูแย่มากเลยนะ
EE – แต่คุณและคนอื่นๆก็จะสามารถมารวมกัน เชื่อมต่อกันได้อีกครั้ง และคุณก็อาจใช้ชีวิตในเวลาที่ยืมมานี้ได้ไปซักพัก แต่คุณต้องมีความหวัง ก่อนที่ Big Five จะก่อกำเนิด ชีวิตได้ก่อกบฏ พวกเขาต่อสู้กลับด้วยความวิวัฒน์เพื่อความอยู่รอด การสูญพันธ์ มันไม่ใช่จุดจบแต่มันเป็นโอกาส และถ้าราคาที่ชั้นต้องจ่ายเพื่อสิ่งนั้น คือการเสียสละตัวเอง ชั้นก็ยอมรับได้
แม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราก็คงยังเชื่อมต่อกันอยู่ตลอดเหมือนเดิม
ลาก่อนแซม
ที่นี่ ปืน ไม่ช่วยอะไรหรอก ... แต่มันก็ยังมีบทบาทของมันอยู่
SAM’s BEACH
หลังจากที่แซมถูก เอมิลี่ในฐานะ EE ผลักดันให้แซมออกมาจากชายหาดของเธอก่อนจะปิดกั้นช่องทางเชื่อมต่อทั้งหมดอยู่ในชายหาดของตัวเองเพื่อรับผลของปรากฎการณ์ Last Stranding เพียงลำพัง แม้วิญญาณของแซมจะกลับมาที่ชายหาดของตัวเองอย่างปลอดภัย แต่หากไร้ซึ่งตุ๊กตานำทางของเอมิลี่ แซม ก็ไม่สามารถฟื้นคืนจากชายหาดของตัวเองสู่โลกของคนเป็นได้เหมือนเดิม
ตอนนี้สิ่งที่แซมควรทำและอาจเป็นสิ่งเดียวที่พอทำได้ คือการค้นหาทางออกจากชายหาดของตัวเองเพื่อกลับสู่โลกของคนเป็นทั้งที่ใจของตนเองก็รู้ดีว่าแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่แม้กระนั้นแซมก็ยังคงวิ่งไปมาเพื่อเผื่อโอกาสเข้ามาจนมองเห็นลู่ทาง ชายหาดที่ไม่อาจออกได้แค่พาตัวเขาวนไปมาอยู่ที่เดิมนานพอจนทำให้เริ่มเหนื่อยล้า จนเสียงกระซิบของ EE แว่วมา เงียบเถิดหนาแล้วชั้นจะเล่าเรื่องราวให้ฟัง ...
EE – เงียบแล้วชั้นจะเล่าให้ฟัง นี่มิใช่เวลาที่จะมาตั้งคำถามใดๆ .....
ตอนคุณยังเด็กมักจะฝันร้ายเป็นประจำ และคุณก็ร้องไห้กับฝันร้ายเหล่านั้นมาตลอด ซึ่งจริงๆแล้วฝันร้ายเหล่านั้นมันไม่ใช่ฝันของคุณเลย แต่มันเป็นฝันของชั้นเอง เท่าที่ชั้นยังจำได้ ชั้นฝันถึงชายหาด ทั้งที่ยังตื่นอยู่ไม่ได้หลับเลยด้วยซ้ำ ในความฝันของชั้น ชั้นเห็นจุดจบของโลกซ้ำๆมากมายหลายครั้ง ภาพการสูญพันธุ์ในอดีตนับไม่ถ้วนที่ทำลายชีวิตบนโลกใบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแรกชั้นไม่เข้าใจในสิ่งที่ชั้นเห็นว่าเพราะอะไรหรือทำไม และนั่นก็ไม่ได้เลวร้ายที่สุดของมัน ยังมีความฝันที่น่ากลัวอื่น ๆ ตามมาอีกมากมายหลายครั้ง เช่นครั้งนี้ และชั้นจะเป็นคนที่จบมันเสมอ ดั่งผลลัพธ์คือ Last Stranding ที่ชั้นนำมาในวันนี้
EE – ภารกิจแรกเริ่มต้นขึ้นเมื่อตอนที่ชั้นอายุแค่ 20 ปี ชั้นลืมตาขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ที่ชายหาด แต่ในขณะเดียวกัน ชั้นก็เปลี่ยนกลับมาที่เตียงในโรงพยาบาล ชั้นถูกแยกและข้ามไปมาระหว่างสองโลก
Bridget คือ Ha ของชั้นอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วน Amelie คือ Ka ของชั้นอยู่ที่นี่ แต่ยังไงก็เถอะ พวกเราสองคนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่ไม่นานวัยของเราก็เริ่มแตกต่างกัน มีเพียงร่างกายของ Bridget เท่านั้นที่แก่ลง ส่วน Amelie ที่ชายหาดนั้นยังเหมือนเดิม ชั้นก็เลยต้องกุเรื่องขึ้นมาด้วยการบอกทุกๆคนว่า Amelie คือลูกสาวของชั้นเอง ลูกสาวที่มีอาการป่วยและพ่อที่แยกทางกันจากปัญหาการหย่าร้าง
EE – .. ดูนะ Amelie .. Ame ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า วิญญาณ จะบอกว่าวิญญาณก็คงไม่จริงซะทีเดียว จริงๆแล้ว Amelie ไม่ได้มีอยู่ด้วยซ้ำ มีแค่ชั้นกับชายหาดเท่านั้น ตอนแรกชั้นคิดว่ามันเป็นคำสาป แต่ต่อมาชั้นก็เริ่มคิดได้ว่า บางทีชั้นอาจใช้สิ่งนี้ ชั้นพยายามที่จะค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชายหาด เพราะการเข้าใจถึงเรื่องชายหาดคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ชั้นสามารถตีความนิมิตรการมองเห็นอนาคตของชั้นได้
EE - ชั้นรู้ว่า ชายหาด นั้นเชื่อมโยงไปสู่โลกแห่งความตาย ซึ่งหมายความว่ามีบางสิ่งที่เกินกว่าจะเป็นความทรงจำของเวลา รวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เคยมีชีวิตอยู่ ประวัติศาสตร์ทางชีววิทยา 4.6 พันล้านปี ประวัติศาสตร์ที่อาจย้อนกลับไปสู่การสร้างจักรวาล เครือข่าย Chiral Network และทุกสิ่งที่ตามมาล้วนเกิดจากการแสวงหาความรู้ของชั้น โดยการส่งผ่านข้อมูลผ่านชายหาด
จากที่ก่อนหน้านี้เราเคยมีข้อจำกัดจำกัดของเวลา การจำลองเหตุการณ์ที่ต้องใช้เวลาหลายปีหรือมากกว่านั้นจะง่ายและไม่ยุ่งยากอีกต่อไปทุกสิ่งที่โลกเคยสูญเสียและถูกลืมสามารถสร้างขึ้นใหม่เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ไม่นานหลังจากที่เราเริ่มการวิจัยของเรา อเมริกาก็ได้เห็น Voidout เป็นครั้งแรก ชั้นคิดว่าชั้นคงไม่เวลาเหลือแล้ว ฝันร้ายของชั้นก็กลายเป็นจริงขึ้นมา เพราะงั้นชั้นจึงรีบที่จะสร้างเครือข่าย Chiral Network ให้เสร็จสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ คำตอบทั้งหมดถูกเก็บไว้อย่างดีในอดีต ขอเพียงแค่เราสามารถหาวิธีที่จะนำจิ๊กซอร์ต่างๆมาต่อกันได้สำเร็จ เครือข่าย Chiral Network ที่เชื่อมโยงโลกของเราและชายหาดอาจช่วยทำให้มันเกิดขึ้นได้ ชั้นเชื่อแบบนั้นนะ
ดังนั้น ชั้นจึงเริ่มค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ Bridge babies เด็กที่จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างโลกคนเป็นและโลกแห่งความตาย อะไรกันที่ทำให้การสูญพันธ์เกิดขึ้น ? อะไรคือสาเหตุของการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ห้าครั้งก่อนหน้านี้ ? คำตอบของคำถามเหล่านี้จะช่วยให้ชั้นรู้วิธีที่จะหยุดไม่ให้ครั้งที่ 6 มันเกิดขึ้น ชั้นจึงก่อตั้ง Bridges ขึ้นมาและตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะสร้างเครือข่าย Chiral Network ให้ครอบคลุมไปทั่วประเทศ แต่ยิ่งนานไปชั้นก็ต้องสู้กับสงครามที่ชั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือความอ่อนแอของตัวเอง Ha ของชั้นนั้นเป็นมะเร็ง มันคือการลงโทษของชายหาด มั้ง ที่ดันไม่ยอมเล่นบท EE ที่ดีที่ควรจะเป็น และจากนั้น อย่างที่คุณรู้ Ha ของชั้นก็ตายจากไป
ชั้นยังทำไม่เสร็จใจสิ่งที่ชั้นเริ่มเอาไว้เลย ชั้นก็เลยต้องขอร้องคุณให้ช่วยทำเพื่อชั้นหน่อย และคุณก็ทำให้ แถมทำจนสำเร็จด้วย คุณช่วยเราเชื่อมต่อเครือข่ายจนสมบูรณ์ ช่วยเราอ้างสิทธิ์ในทุกสิ่งที่เอกภพมีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงเดี๋ยวนี้ ทุกความลึกลับที่เรามีก็จะได้รับคำเฉลย เหมือนสิ่งนี้
ครั้งนึงเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น เรียกว่า Big Bang มันก่อให้เกิดเวลาและอวกาศ สิ่งนี้เป็นมากกว่าแค่ความบังเอิญครั้งมโหราฬแน่นอน สสารและปฎิสสารทั้งหมดไม่ควรหลงเหลืออยู่อีก มันควรไม่มีอะไรเหลือเลย แต่ยังไงก็เถอะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ก็ยังมีสสารจุดเล็กเหลือรอด ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว เพียงพอที่จะสร้างโลกและทุกๆสิ่งขึ้นมา และโลกก็ไม่ควรที่จะเป็นโลกที่เสียสมดุลแบบนี้ แต่ก็ต้องมีการจัดระเบียบ ด้วยคำสั่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำมาซึ่งความวุ่นวาย โกลาหล ทำให้ทุกชีวิตต้องตายอย่างมิอาจเลี่ยง เหมือนกับจักรวาลพยายามจะนำพวกเรากลับไปยังจุดที่ไร้ซึ่งทุกสิ่งเหมือนก่อนที่เราจะเกิดมา บางที Big Five การระเบิดครั้งใหญ่ทั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมาอาจเป็นการพยายามที่จะจัดการกับพวกเราทั้งหมด แต่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามที ชีวิต ก็ยังหาหนทางอยู่รอด ก็แค่นั้น แต่ก็มากพอที่จะเป็นการแสดงออกถึงความ เย้ยหยันในประสงค์ของจักรวาล
คุณรู้มั๊ยว่า ชั้นเริ่มจะคิดว่าจริงๆแล้วการสูญพันธ์อาจจะเป็นกุญแจที่สามารถเอาชนะการทำลายล้างทั้งหมดก็ได้ มันบังคับให้ชีวิตต้องต่อสู้ เอาชีวิตรอด เพื่อให้ได้ดำรงอยู่ต่อไป นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Big Five ถึงถูกจุดขึ้นอีกครั้งจนได้แทนที่จะสิ้นสุดไป
จากเถ้าถ่านแห่งความตายกลายเป็นคนมีชีวิต เข้มแข็งและฉลาดขึ้น เป็นผู้สืบทอดมรดกแห่งการดำรงอยู่นั่นเอง พวกเขากระด้างกระเดื่องต่อจักรวาลและปฏิเสธที่จะยอมแพ้ พวกเขาบอกว่า "เราเพิ่งจะเริ่มต้น" ..การสูญพันธุ์คือ โอกาส แซม
EE – ชั้นลั่นไกไปถึง 2 ครั้งในวันนั้น ชั้นรู้ทันทีว่ากำลังทำผิดพลาด ชั้นเลยค้นหาชายหาดของคุณเพื่อมองหาคุณ
EE – แซม ... คุณอยากกลับบ้านมั๊ย? งั้นกลับบ้านกัน ชั้นต้องการ ...ต้องการให้คุณหลุดพ้น เป็นอิสระจากความตาย โดยสมบูรณ์ ...ไม่เป็นไรนะ ชั้นรู้ทางดี
EE – แต่ในการทำเช่นนั้น ชั้นจะทำให้สมดุลขั้นพื้นฐานระหว่างชีวิตและความตายเสียไป ทั้งหมดก็เพราะอยากจะช่วยคุณ ในฐานะที่ชั้นเป็น Extinction Entity (EE) โดยหน้าที่และชะตากรรมแล้วชั้นถูกกำหนดมาเพื่อให้เผ่าพันธ์ของเราสูญพันธ์ แต่ในขณะนั้น คุณก็ได้กลายเป็นส่วนนึงของชะตากรรมนั้นไปด้วย ในฐานะ ผู้ฟื้นคืน (Repatriate) และ Doom ก็เริ่มแพร่กระจายฝันร้ายของชั้นไปยังผู้อื่นทั่วโลก มันเป็นเพราะชั้นที่ทำให้คุณและทุกคนที่มีความสามารถ Doom ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง หลังจากนั้นไม่นาน Death Stranding ก็เกิดขึ้น ความตายก็เริ่มเข้ามาสิงสู่กับโลกของเรา พวก BT ใช้ชายหาดของชั้นเป็นทางผ่านมายังโลกแล้วกัดกินผู้คน เพิ่มเริ่มกลไกทำให้เกิดการระเบิด Voildout ให้เพิ่มมากขึ้น เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่จะกำหนดโลกเข้าสู่เส้นทางของการสูญพันธุ์ มันเป็นหน้าที่ของชั้นที่จะต้องเสียสละตัวเองเพื่อ รอ และเฝ้าดูความเป็นไปจากชายหาดนี้ หรือ ช่วยเร่ง Last Stranding ให้เกิดขึ้น เพื่อยุติความตายที่ล่าช้านี้
ถ้ามันต้องเป็นแบบนี้แล้ว ทางเลือกของชั้นคงมีแค่ทางเดียว นั้นคือ ทำให้มันจบลงให้เร็วที่สุด แต่การจะเริ่มกระบวนการ The Last Stranding ชั้นต้องการคุณ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชั้น อยู่ที่นี่ด้วย เพื่อที่ชั้นจะได้เป็นสักขีพยานในการสูญพันธุ์อยู่เคียงข้างคุณ แต่ตอนนี้คุณมาที่นี่พร้อมทางเลือกอีกทางให้ชั้น คุณเข้ามาขัดจังหวะเอาไว้ได้ทัน .. EE ไม่มีทางเลือกสำหรับตัวเองแต่ในฝันร้ายของชั้น ชั้นเห็นอนาคตอื่นๆอีก ทางนึงคือแบบที่คุณเลือก ทางนึงที่การสูญพันธุ์คือความหวังที่จะใช้ต่อกรกับการทำลายล้างทั้งหมด
ที่นี่ ปืน ไม่ช่วยอะไรหรอก ... แต่มันก็ยังมีบทบาทของมันอยู่
ฟังนะแซม ชั้นเป็นคนพาคุณและคลิฟมาพบกันอีกครั้ง เพราะมีบางสิ่งที่ชั้นอยากบอกให้คุณรู้ไว้ คุณไม่เคยถูกทอดทิ้งหรอกนะ และคุณก็ไม่ได้อยู่โดยลำพังด้วย คุณเห็นรึยังแซม คุณต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ
Sam ……… Sam ….. Lockne ชั้นเจอเขาแล้ว !
อะไรนะ ! …. ที่ไหน ?? ……. นี่ไง ตรงนี้ !
ผมเห็นเขาแล้ว !! …. ทางนี้ !
ปืนของผมนี่ ..... นั่นไง เขาอยู่ตรงนั้น
คุณพร้อมมั๊ย Fragile ?
พร้อม !! …. แซม ... แซม !! … ชั้นเห็นเขาแล้ว
โอเค Lou .. พาชั้นไปหาแซม เร็ว !!
EE – อย่างเพิ่งยอมแพ้นะ คุณยังคงเชื่อมโยงกันอยู่
Deadman - ผมได้ตัวเขาแล้ว !!!
Epilogue
นานเกินไปแล้วที่เรามีชีวิตอยู่ในฐานะคนแปลกหน้าต่อกันและกันจากกำแพงที่ถูกสร้างขึ้น
Die – Hardman : แต่บัดนี้ เมื่อเครือข่าย Chiral network เสร็จสิ้น ในที่สุดเราก็ได้ก้าวไปข้างหน้าในฐานะประชาชนที่เป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง
Die – Hardman : วันนี้ เราได้มารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองการกำเนิดประเทศใหม่ของเรา ประเทศใหม่แห่งโลกใหม่ ... The United Cities of America ครั้งนึงผมเคยสาบานที่จะสนับสนุนและปกป้องรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาและแม้ว่าสาธารณรัฐที่น่าภาคภูมิใจนั้นอาจจะไม่มีอีกต่อไป แต่เรายังคงอยู่และในฐานะประธานาธิบดีของคุณ ผมขอสาบานที่จะสนับสนุนและปกป้องพวกคุณในฐานะประชาชนทุกคน อย่าให้มีกำแพงกั้นขวางระหว่างเรา และไม่จำเป็นต้องมีหน้ากากเพื่อปกปิดว่าเราเป็นใครอีกต่อไป
Die – Hardman : อเมริกาที่เราสามารถพบหน้าซึ่งกันและกัน ที่ที่สามารถพูดความในใจและเปิดใจของเราเหมือนในสมัยก่อน ซี่งผมเชื่อว่าอเมริกันชนแบบเราๆมีความเข้มแข็งและความกล้าหาญที่จะก้าวข้ามอดีตและยอมรับอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้
Death Stranding เป็นส่วนหนึ่งของอดีตที่เปรียบเสมือนเงาตามตัวเพื่อเป็นเครื่องเตือนความทรงจำให้นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ซึ่งที่เราทุกๆคนมายืนรวมกันอยู่ที่นี่ในวันนี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นเพราะความสามารถของพวกเราเมื่อได้อยู่รวมกัน เป็นพันธะระหว่างเรา เพื่อความยิ่งใหญ่ของเรา
แม้ทุกๆสิ่งจะต้องจบลงในซักวัน เราเองก็เช่นกัน แต่ตราบใดที่เรายังได้ลิ้มรสชาติของแต่ละช่วงเวลา ค้นหาความสุขในพันธะสัญญาของวันพรุ่งนี้ที่จะน้อมรับต่อความหวังและปฏิเสธความสิ้นหวัง เราจะอดทน
ประธานาธิดี Bridget Strand ลูกสาวของเธอ Samantha America strand ได้ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อแสวงหาความหวังที่จะให้ประชาชนอย่างเราเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้เพื่อดูผลจากที่ลงแรงไป นำมาซึ่งความโศกเศร้าของพวกเราทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
แต่เราก็ได้การปลอบประโลมคือ ความรู้มากมายที่จะทำให้ความทรงจำทีมีต่อพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ไปตลอดทั้งในเครือข่าย Chiral network และจากก้นบึ้งของหัวใจ เราจะยังคงเชื่อมต่อกันอยู่เสมอ
และแม้ว่ายังมีฮีโร่อีกคนนึงในเรื่องราวนี้ หนึ่งเดียวที่ช่วยทำให้งานของเราประสบความสำเร็จแต่ถูกโชคชะตากำหนดมาเพื่อไม่ให้ถูกเปิดเผยที่มา อเมริกาก็ยังต้องการฮีโร่คนนั้นอยู่
ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะเขา เราคงไม่มีโอกาสที่จะได้มายืนอยู่ด้วยกันที่นี่ตอนนี้แน่นอน ชื่อนั้นสำคัญฉไหน แต่บางท่านคงรู้ดีแล้วว่าผมหมายถึงใคร และเพื่อฮีโร่นิรนาม ผู้ปิดทองหลังพระคนนี้ ผมมีข้อความจะกล่าว
คุณเป็นคนที่นำเรามารวมกัน คุณทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง และในตอนที่คุณและผมได้จากโลกนี้ไปแล้ว เราจะยังมีชีวิตอยู่ ด้วยมรดก ด้วยชีวิตและความทรงจำของเราที่เก็บรักษาเอาไว้เพื่อคนรุ่นต่อไป
Deadman – จะไปไหนหรอ แซม ? เบื่อการที่ต้องเป็นฮีโร่นิรนามแล้วรึไง?
SAM – เปล่า หมดหน้าที่ของผมแล้ว เธอจากไปแล้ว
Deadman – ไม่เอาน่า เดี๋ยวๆๆ ผมมีบางอย่างจะบอกคุณ ....หืมม … จับตัวคุณได้แล้ว คุณไม่รังเกียจแล้วหรอ? งั้นก็เยี่ยมไปเลย !!
Deadman – เอาล่ะ ที่นี้คุณอยากรู้มั๊ยว่าเรานำตัวคุณกลับมาจากชายหาดได้ยังไง? ตอนแรกเราตั้งใจจะใช้ตุ๊กตานั่น แต่ตอนนี้เราไม่มีเลยซักตัว จนเมื่อผมนึกได้ว่ายังมีตัวเลือกอื่นอีก
SAM – นั่นมันใชสิ่งที่ผมคิดมั๊ยเนี่ย ?
Deadman – ใช่เลย ! คงจะหาอะไรที่จะเชื่อมต่อกับชายหาดของ Amelie ได้ดีไปกว่า รก ของประธานาธิบดี Strand อีกแล้วล่ะ Heartman คิดว่านั่นเป็นสาเหตุที่เธอทิ้งมันไว้กับฉันตั้งแต่แรก แต่น่าเสียดาย …
SAM – มันใช้ไม่เวิร์ค
Deadman – ใช่ เพราะตัดการเชื่อมต่อกับชายหาดของเธอ คือแบบจู่ๆมันก็หายไปเฉยเลย เราไม่รู้ว่านั่นหมายความว่าเ ธอลากคุณไปสู่โลกอีกด้านหรือส่งคุณไปยังชายหาดอื่น Heartman และ Mama ก็เลยต้องแยกออกค้นไปยังทุกชายหายที่มีความเป็นไปได้ที่คุณจะถูกส่งตัวไปมากที่สุด เราเฝ้าดูและค้นหาอยู่เกือบเดือนก็ยังไม่พบอะไรเลย
SAM – อยู่ข้างนอกนั่นเป็นเดือนเลยหรอ แล้วนานแค่ไหนหากเทียบกับที่นี่ ?
Deadman – เชื่อผมเถอะน่า คุณไม่อยากรู้หรอก แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เราไม่พบสัญญาณของการเร่งการเจริญพันธ์
Deadman – จนในที่สุด เจ้าสิ่งนี้ก็นำทางเราไปหาคุณ ซึ่งตอนที่เรากำลังจะหมดหวังกันแล้ว Die – Hardman ก็เข้ามาเตือนความจำของพวกเราให้นึกถึงปืนพบกระบอกนี้ ... เราค้นหากันอยู่นานจนเหนื่อย จนในที่สุดมันก็นำเรามายังชายหาดของคุณ ..แล้วก็บิงโก ! เราก็เจอคุณที่นั่น Mana เริ่มสัมผัสถึงคุณได้ด้วยการเห็นทางนิมิตรก่อนซึ่งเธอมีจุดได้เหมาะๆที่จะทำให้เห็นคุณได้อย่างชัดเจนผ่านโลกอีกด้าน เธอแจ้ง Lockne ผ่านการเชื่อมต่อของพวกเธอ และ Heartman ก็ยืนยันตำแหน่งของคุณหลังจากที่เขาทำการตรวจสอบด้วยตัวเองอย่างละเอียดแล้ว แผนของ Fragile ก็คือยิงผมกับ Lou ออกไปยังตำแหน่งที่คุณอยู่ และเราก็ช่วยคุณกลับมาได้ในที่สุด
Deadman – แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะส่งบุคคลหลายคนไปยังชายหาดของคนอื่นเป็นระยะเวลานาน และนั่น สายสะดือ ก็เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง เราสร้างมันมาจากส่วนนึงของ DNA ท่านประธานาธิบดี Strand เป็นสัญลักษณ์ของ ปม (Knot) หนึ่งเดียวที่ผูกพวกเราทุกคนไว้ด้วยกัน
Deadman – ท่านประธานาธิบดีรู้มาตลอดว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น ฟังดูย้อนแย้ง ว่ามั๊ย? ปืนนี้ทำให้ความยุ่งเหยิงนี้จบลงด้วยการเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยชีวิตคุณ
SAM - Amelie เธอบอกว่ามันมีเพื่อจุดประสงค์อื่น
Deadman – มันไม่ใช่อาวุธ แต่มันเป็นเสมือน เส้นชีพขจร สายชูชีพ เป็นแท่งไม้ที่กลายเป็นเชือก ผมคิดว่ามันเป็นหนทางนึงที่ถูกวางเอาไว้
Deadman – แซม คุณไม่รู้หรอกว่าผมต้องรอมานานขนาดไหนเพื่อที่จะได้กอดคุณแบบแน่นๆแบบนี้ซักครั้ง ......
ผมมีอะไรบางอย่างจะบอกคุณ ..เป็นเรื่องลับสุดยอด เกี่ยวงกับ Cliff แม่ของ BB ชื่อ Lisa Bridges เธอเป็นภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนของ Cliff
SAM - Lisa Bridges เนี่ยนะ !??
Deadman – และตามที่มีการบันทึกเอาไว้ คนที่เป็นคนฆ่า Cliff ระบุตัวตนได้แค่ว่าชื่อ John เป็นอดีตทหารหน่วยรบพิเศษของสหรัฐอเมริกา ที่แน่ๆ ตามรายงานว่า หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยประธานาธิบดีเขาก็ถูกใช้ในงานเกี่ยวกับการสร้างเครือข่ายของท่านประธานาธิบดีซะเป็นส่วนใหญ่ บันทึกระบุว่าเขาหายตัวไปหลังจากการตายของ Cliff การออกใบสำคัญการมอบอำนาจถูกระงับไว้หลังจากที่พบว่าเขาได้ตายไปแล้ว แต่ ..ปรากฎว่า บางคนตายยากกว่าคนอื่น
Deadman – จากนั้น John ก็สวมหน้ากากปกปิดใบหน้าและปรากฏขึ้นพร้อมกับตัวตนใหม่ แต่ไม่สามารถหลอกเครือข่าย Chiral Network ได้ เรากู้คืนบันทึกเก่าขึ้นมาได้และ Mama ซ่อนมันไว้ในที่เก็บเอกสารสำคัญ นอกจากพวกเราแล้วก็มีแค่คุณคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์การเข้าถึง จะเข้าไปดูก็ได้ถ้าคุณสนใจ อย่ามาหาว่าผมไม่เตือนคุณล่ะ ประธานาธิบดีมือไม่สะอาดนักหรอก
Deadman – ผมไม่ไว้ใจเขา แต่ต้องจำใจทำงานด้วยกัน ถ้าเลือกได้ผมคงไม่ทำหรอก .. เอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลังก็แล้วกัน
Die – Hardman : แซม ! …. ผมจะไม่ได้หวังให้คุณยกโทษให้ผมหรอกนะ แต่ ช่วยฟังผมซักหน่อยจะได้มั๊ย ?
Die – Hardman : ใช่ ผมฆ่ากัปตัน Clifford Unger เอง
Die – Hardman : ผมอยากจะบอกคุณว่า ที่ทำไป ผมทำเพื่ออเมริกา เพื่อประเทศที่ผมรัก แต่ไม่ใช่ ! จริงๆแล้วผมทำเพื่อเธอ เพราะผมรักเธอหมดหัวใจ เธอเป็นทุกอย่างของผม ทุกๆอย่าง ผมไม่ได้กำลังพยายามจะแก้ตัวนะ แค่อยากจะบอกให้คุณได้รู้ไว้ แม้มันจะผ่านไปนานแล้ว แต่ไม่มีวันไหนที่ผมไม่เคยคิดถึงมันเลย เวลาไม่ได้ช่วยอะไร หรือแม้แต่ หน้ากาก ....เดี๋ยว ได้โปรดให้ผมพูดให้จบก่อน !
Die – Hardman : เขา ... กัปตัน ช่วยชีวิตผมมาตลอด คุณรู้มั๊ยทำไมพวกเขาถึงเรียกผมว่า Die – Hardman ? เพราะว่าเขาไม่มีวันปล่อยให้ผมตาย เขาพานำเอาคนที่ไร้ค่าอย่างผมกลับบ้านทุกครั้ง ..และ ผมรักเขามาก มากกว่าที่รักเธอมากมายนัก
Die – Hardman : ฮือออๆๆๆ ฮื่ออออออๆๆ
Die – Hardman : ตอนที่เขาจ้องมองมาที่ผม เจ้าผีนั่น ผมรู้ทันที เขามาที่นี่เพื่อฆ่าผม เพื่อแก้ไขสิ่งผิด ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะทำจริงมั๊ย? แต่ทำไมเขาถึงไม่ทำ ทำไม !?
เขาช่วยลูกของเขาเอาไว้ไม่ได้ ฮือๆๆๆ ... BB ของเขา ...และนั่นแหละเหตุผลที่เขาต้องกลับมา เดาว่าเขาคงเห็นผมสิ่งที่ผมทำก็เพื่ออเมริกา ...เขายังจำได้ว่าเขาเคยเป็นใคร และ เขายกโทษให้ผม พระเจ้า !! แต่ผมไม่สมควรได้รับมัน ! แม่งเอ้ยยย !! มันไม่มีอะไรมาถดแทนได้จากสิ่งที่ผมทำลงไป !
Die – Hardman : แต่ บางที บางทีนี่คือสิ่งดีๆที่กำลังจะเกิดตามมา บางทีที่เขานำผมกลับมาจากชายหาดก็เพื่อเหตุผลนี้ โอกาสสุดท้าย เขาต้องการให้ผมทำสิ่งนี้ ให้ผมเป็น Die – Hardman ต่อไป
SAM – เปล่าหรอก เขาไม่ได้ต้องการแบบนั้น ไม่มีใครต้องการประธานาธิบดีที่ทำตัวเหมือนเป็นอมตะ เพราะถ้าคุณไม่กลัวความตาย คุณจะรู้ได้ยังไงว่าชีวิตมันมีค่าจริงมั๊ย? และยิ่งตอนนี้ ชีวิตมันเป็นอะไรที่โคตรจะบอบบางเลย และ ใช่ วิธีเดิมๆมันไม่มีวันตายก็จริง แต่นั่นคือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น ถ้าเราต้องการจะมาร่วมกันสร้างอเมริกาให้ดีขึ้น “ที่นี่ปืนนั่นมันช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก” นั่นมันเป็นคำพูดของเธอ ไม่ใช่ผม
Die – Hardman : ขอบคุณ .. ขอบคุณมากนะแซม
Deadman – ไงแซม ดูซิมีใครกำลังรอคุณอยู่
SAM – Lou !! ….. ตายแล้วหรอ?
Deadman – เป็นสิ่งที่น่าสงสาร ที่ไม่เคยมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง อย่างน้อยก็ในโลกนี้ ในที่สุดคำสั่งปลดประจำการก็มาถึง .. ร่างของเขาจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ มันเสี่ยงที่จะเกิด เนครอซิซ์ ผมก็เลยคิดเอาว่า คุณคงอยากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
Deadman – คุณสามารถลองนำ Lou ออกจาก Pod เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นั่นจะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บริหารโดยตรงและตอนนี้เราอยู่ในสถานภาพของ ประเทศแล้ว และมันมีกฎหมายรองรับเกี่ยวกับสิ่งนั้นอย่างชัดเจนด้วย
Deadman – ผมคงทำแบบนี้ด้วยตัวเองไม่ได้หรอก แต่ถ้าจะใช้ทางเลือกอื่น ซึ่งเป็นทางที่ต้องท้าทายอำนาจของประธานาธิบดีผมก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่ใช่ผม
SAM – เอาล่ะ ผมจะไปที่เตาเผาเอง
Deadman – ก่อนที่คุณจะไป ผมอยากจะของเช็คอะไรแปบนึงสิ ...เอาล่ะ ผมกำลังจะปิดระบบ Cuff ling ของคุณ ตอนนี้จะไม่มีอะไรหยุดคุณจากการหนีจากพวกเขาได้อีกแล้ว ถ้าคุณตัดสินใจจะทำ ต่อไป UCA จะไม่รู้ตำแหน่งของคุณ เขาจะไม่รู้ว่าคุณอยู่ไหน พวกเขาจะหาตัวคุณไม่เจอ คุณจะกลายเป็นมนุษย์ล่องหน และเมื่อคุณเริ่มใช้งานเตาเผาขยะคุณก็จะสามารถกลับมาเชื่อมต่อกับ UCA ได้อีกครั้งทันที ... ผมเชื่อในตัวคุณ จำที่ผมพูดได้มั๊ย ?
SAM – อืมม แน่นอนอยู่แล้ว
SAM – ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ
SAM – อากาศเป็นไงบ้าง?
Fragile – คิดว่าคุณคงไม่ต้องการใช้ร่มอีกแล้วล่ะ ... ชั้นตัดสินใจว่าจะทำตามความฝันของพ่อต่อ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ชั้นยังไม่ต้องการผู้ก่อการร้ายมาร่วมงานด้วยในตอนนี้หรอก ทาง UCA พร้อมจะช่วยเหลือด้วยการให้เราเป็นบริษัทขนส่งของเอกชนรายแรกที่ได้รับการอณุมัติให้เข้าร่วมงานด้วยอย่างเป็นทางการ
SAM – ดูเหมือนคราวนี้คุณจะได้ท่องโลกกว้างจริงๆแล้วสินะ ยินดีด้วย
Fragile – ขอบคุณค่ะ
Fragile – เดี๋ยวก่อน ชั้นมีบางอย่างจะบอก ชั้นไม่ได้ฆ่า Higgs หรอก เหนี่ยวไกไม่ลง แต่ชั้นให้เขาได้เลือก ตายหรือถูกขังอยู่คนเดียวในชายหาดชั่วนิรันดร์
SAM – ก็แฟร์ดี คุณเป็นคนที่ไม่ชอบทำลายอะไรอยู่แล้วนี่
Fragile – ใช่แล้ว ชั้นชอบค้นหา ซ่อมแซม อะไรที่มันแตกหักเสียหายเพื่อเชื่อมต่อใหม่ ชั้นคือ Fragile
SAM – แต่ไม่ได้หมายถึง Fragile ที่แปลว่าอ่อนแอ
Fragile – อยากจะมาทำงานกับชั้นมั๊ย? กำลังอยากจะหาคนอย่างคุณมาร่วมงานอยู่พอดี
SAM – โลกยังคงเสียหายเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้านี้
Fragile – แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ในเมื่อตอนนี้เราก็ยังอยู่ที่นี่
SAM – ไม่ใช่ทุกคน ... ไม่ใช่ผม
Fragile – ไม่เอาน่า คุณเป็นคนรวมอเมริกาให้เป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่หรอ?
SAM – ก็ไม่ได้แปลว่าที่นี่มันต้องเป็นที่สำหรับผมนี่ ผมไม่ได้ผูกพันกับใครหรืออะไรเลยด้วยซ้ำ ผมอาจตายไปแล้วก็ได้ใครจะรู้ ผมรู้สึกเช่นนั้นตั้งแต่ตอนที่เราพบกันครั้งแรกในถ้ำนั่น และตอนนี้ผมก็ยังคิดอยู่
Fragile – คุณต้องเรียนรู้ถึงการสัมผัส รับรู้ถึงความรู้สึก คุณยังคงเกี่ยวข้องกับผู้คน... กับเรา
SAM – ทุกอย่างที่ผมสัมผัส ผมสูญเสียมันไปหมดแล้ว
Fragile – SAM !!!
SAM – ไปกัน Lou … การเดินทางครั้งสุดท้ายของเรา
EPISODE 14 “LOU “
[Order No. 70] Cremation: BB - Capital Knot City
การเดินทางครั้งสุดท้ายของแซม เป้าหมายคือนำร่างของ BB ที่อยู่ในสภาพใกล้เสื่อมสลายเดินทางจาก Capital Knot City ไปยัง เตาเผา(Incinerator) ทางตะวันตก ซึ่งเป็นที่ที่เคยนำศพของ ประธานาธิบดี Bridget Strand ไปเผาในตอนแรกของเกม โดยระหว่างการเดินทาง ตอนนี้จะไม่ต้องเผชิญกับฝน Timefall หรือพวก BT ใดๆอีกแล้ว
See the sun set
The day is ending
Let that yawn out
There's no pretending
I will hold you
And protect you
So let love warm you
Till the morning
I'll stay with you
By your side
Close your tired eyes
I'll wait and soon
I'll see your smile
In our dream
And I won't wake before you go
And I still hear your heart beat
Feel the wind rise
A dawn we're bound to
Watch that star die
Eons without you
SAM – เอาล่ะ .. ชั้นว่าเราถึงที่หมายของเราแล้วล่ะนะ ..นายยังอยู่กับชั้นใช่มั๊ย Lou?
เป็นสิ่งที่น่าสงสารที่ไม่เคยมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริงอย่างน้อยก็ในโลกนี้
SA M – ยังไงก็ ... ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ
Bridget- เด็กคนนี้เป็นเด็กพิเศษ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
Die-Hardman – ทารกที่ถูกคัดเลือกให้เป็น BB คนนี้น่ะหรอ?
Bridget- ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
Die-Hardman – การสังเวย ..
Bridget- เป็นรากฐาน .. เป็นสะพาน
Cliff – พ่อเอา นักบินอวกาศ มาให้ .. มนุษย์ชาติมีอิสระที่จะไปที่ไหนก็ได้ แม้ในอวกาศ ..อีกไม่นานลูกจะได้ออกไปที่นั่นแน่นอน และอีกอย่าง หลังจากจบเรื่องนี้เมื่อไหร่ พ่อจะพาลูกไปทุกที่ที่ลูกอยากไปเลยล่ะ
Cliff – ให้ตายสิ John นั่นคุณใช่มั๊ย?
John – กัปตัน คุณมาทำอะไรที่นี่อ่ะครับ?
Cliff – พาภรรยามาตรวจรักษาน่ะ แต่ พวกเขาไม่ต้องการจะทำต่อตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วแล้ว
John – จากเหตุการณ์ Voidout ที่แมนฮัตตัน หรอครับ? ผมเสียใจด้วยจริงๆนะครับ ..ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณคือสามีของคนไข้รายนี้
Cliff – เราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้นี่ !? คุณบอกว่าจะทำทุกทางเพื่อช่วยBB
Bridget- เราทำอยู่ แต่เราไม่สามารถปล่อยลูกของคุณออกมาตอนนี้ได้ เชื่อชั้นเถอะ ชั้นบอกแล้วว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
Cliff – แต่ที่ผมเห็นก็มีแต่ยัยผู้หญิงที่สวมหน้ากากที่ไม่ทำอะไรเลยนอกจากโกหกผม
Bridget- ชั้นมีหน้าที่ที่ต้องปกป้องบ้านเมืองของเรา โชคไม่ดีที่การโกหกเป็นสิ่งที่จำเป็น
John – ท่านประธานาธิบดีให้สิทธิ์การเข้าถึงระดับสูงสุดกับผมเพื่อใช้มันจัดการระบบรักษาความปลอดภัย เรามีเวลา 5 นาทีก่อนที่มันจะรีเซ็ตครับผม 5 นาทีที่เราสามารถคุยกันได้ ... อย่างไม่เป็นทางการนะครับ
John – ผมอยากให้คุณพา BB หนีออกไปจากที่นี่ซะ ส่วนเรื่องภรรยาของคุณผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมเสียใจด้วยครับ … คุณเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของผมก็จริงแต่ผมก็สาบานกับท่านประธานาธิบดีแล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะปกป้องเธอและประเทศนี้ ซึ่งตอนนี้ ถ้าเธอสั่งให้ผมทำอะไร ผมก็ต้องทำ ผมจำเป็นต้องทำจริงๆ แต่ผมเคยเป็นลูกน้องคุณผมเลยมาเตือนคุณก่อน ครอบครัวของคุณไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้เลยจริงๆ
Cliff – ทำไมคุณถึงช่วยผม แล้วถ้าคุณถูกจับได้ล่ะ?
John – เพราะคุณเคยช่วยชีวิตผมเอาไว้ไงครับ หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน เวลาพวกคนใหญ่คนโตส่งเราไปยังปากทางของขุมนรกก็มีแต่คุณนี่แหละที่คอยพาเรากลับบ้าน
ก่อนหน้านั้นผมมักคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ที่อยู่ยงคงกระพันไม่มีวันตาย แต่ไม่ใช่เลย ผมไม่ใช่ฮีโร่ .. คุณต่างหาก คุณคือเหตุผลที่ผมยังไม่ตายมาจนถึงตอนนี้ ..ถึงเวลาที่ผมต้องใช้หนี้แล้ว พวกเขาจะย้ายลูกของคุณไปยังห้องทดลองที่ใหม่ในวันพรุ่งนี้ คุณจะไม่ได้เห็นเขาอีกแล้ว ลูกชายคุณจะทำหน้าที่เป็นรากฐานของเครือข่ายการสื่อสารใหม่ เป็นการเสียสละเพื่อประเทศที่จะไม่มีอยู่อีกต่อไป ผมเขียนบันทึกคร่าวๆในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เอาไว้ให้แล้ว มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ระบบปิดได้ อ่านแล้วเผาให้เรียบร้อยด้วยล่ะ ที่เหลือก็แล้วแต่คุณแล้วครับ
John – ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นของคุณครับ ..ผมไม่สามารถใช้มันกับภรรยาของคุณภายในห้องของเธอได้เพราะระบบจะไม่อนุญาต มันเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่จริงๆครับ
สัญญาณเตือนภัยจะดังขึ้นทันทีที่ชีพขจรของเธอหยุด ผมจะช่วยชะลอด้วยการตบตาระบบให้ได้ระยะนึง แต่คุณคงมีเวลาไม่มาก เต็มที่ก็ 5 นาที ได้โปรดอย่าลังเลนะครับ นี่เป็นโอกาสเดียวที่คุณจะทำได้
Cliff – ผมขอโทษนะ Lisa ..ไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลเขาเอง ผมสัญญา .. Anomalisa ของผม
ปังงงง !!!!
Cliff – BB … BB
…ได้ยินมั๊ย BB นี่พ่อเองนะ
Deadman – ผมเพิ่งปิดระบบของ Cuff links ให้ออฟไลน์ไป ในพื้นที่นี้ จะไม่มีอะไรจะมาขัดขวางคุณไม่ให้คุณลบพวกเขาออกได้ ถ้าคุณทำ UCA จะไม่มีวันรู้ตำแหน่งของคุณอีก พวกเขาจะหาคุณไม่เจอ คุณจะกลายเป็นมนุษย์ล่องหนไปเลย
แต่ถ้าคุณเริ่มใช้เตาเผาเมื่อไหร่ ก็เท่ากับคุณได้กลับมาเชื่อมต่อกับระบบของ UCA อีกครั้งโดยอัตโนมัติทันที หรือ คุณจะลองเอา Lou ออกมานอก Pod เพื่อดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ แต่นั่นจะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของผู้บริหารโดยตรง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Epilogue
จุดประสงค์ของมันไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่เมื่ออยู่นอก Pod นำมาซึ่งความเสี่ยงในการล้มเหลวอย่างรุนแรงถึง 70% แต่ถ้าเกิดขึ้นก็สามารถแก้ไขได้ง่ายๆด้วยการกำจัดมันไปซะ
ทหาร – วางมันลงเดี๋ยวนี้
Cliff – ถอยไป !!
ทหาร – ยิงมันเลย !!
John – อย่า ไม่ต้อง !! ชั้นจัดการเอง !!
John – ผมเสียใจ ...กัปตัน
John – อย่าๆ !! ถอยไป !! .. พวกนายด้วย อยู่ตรงนั้นแหละ ห้ามยิงนะ
ทหาร – ได้โปรดถอยไปครับ ไม่งั้นเราต้องยิงนะ
John – ตรงนั้นเป็นทางตัน เขาติดกับแล้ว เดี๋ยวทีม Security จะเข้าไปจัดการเอง
Cliff – ผมเสียใจ Lisa … ผมทำมันพังเอง
John – ห้องนั้นเป็นเขตหวงห้ามนะ ห้ามใครเข้าไปอย่างเด็ดขาด !!
ทหาร – แต่ มันเข้าไปแอบในนั้น ผมเห็นมันจริงๆครับ
John – นายตาฟาดไปแล้วล่ะ เอาล่ะ ไปเช็คดูอีกทางเดี๋ยวนี้เลย ! ไป !!
ทหาร – เอ่อ .. ครับผม
Bridget- ไม่ !! เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เขาอยู่ในนั้นแน่นอน !!
Cliff – BB ... ไม่ต้องห่วงนะ ..ไม่เป็นไร พ่อจะอยู่กับหนูตลอด ไม่ต้องกลัว
🎶...See the sunet ..The day is ending ..Let that yawn out .. There’s no Pretending ..I will hold you and Protect you ..so let love warm you… Till the morning 🎵
Cliff – เมื่อตอนที่ชั้นรู้ตัวเองว่าจะได้เป็นพ่อคน ชั้นกลัวมาก ..กลัวเพราะไม่รู้มันจะเป็นยังไงต่อไป ...ชั้นต้องอยู่ตรงนั้นเพื่อแม่ของลูกและตัวลูกเอง ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ...ชั้นจะไม่ยอมเอาตัวเองไปเสี่ยงตายอีกแล้ว ถ้ามันจะต้องทำให้ครอบครัวชั้นต้องโดดเดี่ยว ชั้นจะไม่มีวันทำแน่นอน
John – ถอยไป !! ถอยออกจากเขา !! เดี๋ยวนี้ !! …… กัปตัน !
Cliff – แต่ชั้นเข้าใจผิด เข้าใจผิดทั้งหมดเลย .. การเป็นพ่อไม่ได้ทำให้ชั้นกลัว แต่มันทำให้ชั้นกล้าหาญขึ้นต่างหาก พ่อขอโทษนะ ..ขอโทษที่ใช้เวลานานเกินไป
John – กัปตัน .. ดูคุณสิ ..
Cliff – อย่าผิดพลาดเหมือนผมนะ ...จงเป็นตัวเอง .. จงเป็นอิสระ ..
Bridget- พระเจ้าช่วย !!
John – กัปตัน ผมขอให้คุณยกมือขึ้นครับ ..
Bridget- ยิงเขา John !
John – ยอมแพ้เถอะ กัปตัน ผมขอร้องล่ะ
Bridget- ยิงเขาสิ !! ชั้นขอสั่งให้ยิงเขาเดี๋ยวนี้ !
Cliff – พวกเขาบอกชั้นว่านายชื่อ Sam Porter .. แต่นายคือ Sam Bridges ..ลูกชายของพ่อ ..สะพานสู่อนาคตของพ่อ
Cliff – ... ถ้าไม่มีลูก พ่อก็คงยังเป็น Cliff คนเดิม .... ตอนนี้มาถึงสุดทางแล้ว ไปต่อไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรค ดูโลกตอนนิ้สิ ผู้คนที่เหมือนกันลูกกำลังพยายามสร้างโลกนี้กันอยู่ ...การจำแนกผู้คนเป็นสิ่งเดียวที่ชั้นทำได้ดี
Cliff – แต่ไม่ใช่แบบลูก ... แซม .. ลูกนำผู้คนมารวมกัน ลูกคือสะพานสู่อนาคตของพวกเขา และกับพ่อเองด้วย มาเถอะแซม ลุกขึ้น !
ปังงงง !!!!
John – โอ้ พระเจ้า !! ไม่ๆๆ .. BB … มันโดน BB ด้วย !!
Bridget- ไม่ ๆๆๆๆๆๆๆ … ไม่ !!
Bridget- …. ม่ายยยย !!!
Amelie – SAM
Amelie – ไม่เป็นไรนะ ... เธออยากกลับบ้านมั๊ย?
Amelie – … งั้นกลับบ้านกัน ชั้นรู้ทาง
Bridget- เธอกลับมาแล้ว ... ขอต้อนรับนะ
John – คุณต้องเข้าใจนะ ในวันนี้สถานภาพการเป็น BB ของเขาได้จบสิ้นลงแล้ว ตอนนี้การเชื่อมต่อของเขากับโลกอีกด้านได้ถูกตัดขาดไปแล้ว
Bridget- ใช่สิ เพราะชั้นเป็นคนตัดสายสะดือเขาเอง
John – ... เขากลายเป็นผู้ไร้ซึ่งความตาย กลายเป็นผู้ฟื้นคืนคนเดียวในโลก หรือเราควรจะปลดเขาออกดี?
Bridget- ถ้าจะพูดไปแล้ว .. ชั้นจะเอาเขาออกมานอก Pod และชั้นจะเลี้ยงดูเสมือนลูกของตัวเอง
SAM – ตื่นสิ Lou !!
SAM – ตื่นสิ Lou !! ... ไม่เอาน่า Lou .. ตื่นสิ !!
SAM – ตื่นสิ ไอ้หนู !! ... ตื่นสิ ..ตื่นสิไอ้หนู
SAM – Lou !!!
SAM – Lou ....
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Interview data
เรื่อง – About Sam’s Return
บันทึก1 อาทิตย์หลังจากแซมกลับมา ที่ Bridges
โดย – Heartman
แซมกลับมาได้อย่างปลอดภัยประมาณหนึ่งเดือนนับตั้งแต่เขาจากไปที่ชายหาดของ Amelie เดือนนึงเต็มๆที่เราดั้นด้นเพื่อค้นหาอย่างไม่หยุดยั้งจนรู้สึกเหมือนชั่วนิรันดร์ ผมไม่สามารถจินตนาการถึงความโดดเดี่ยวและสิ้นหวังที่เขาต้องถูกบังคับให้ต้องทน กับความทุกข์ที่ Amelie และ Bridget เท่านั้นที่รู้จักมัน
แซมได้บอกเราเกี่ยวกับ Extinction Entity และการที่พวกเขายินยอมให้การอภัยโทษแก่มนุษยชาติ แต่เรื่องราวต่างๆนอกเหนือจากนั้นผมสังเกตได้ว่าเขายังมีความลังเลที่จะพูดออกมา ซึ่งเราจะไม่กดดันเขา พูดตรงๆจากเรื่องมากมายที่เขาพยายามบอกกับเราผมเข้าใจได้แค่ว่า Last Stranding นั้นถูกเลื่อนไป แม้ว่าเหล่าผู้มาก่อนกาลพวกนั้นจะเปลี่ยนโฉมหน้าโลกของเราไปตลอดกาล
นับจากนี้ไปอีกนับพันปีนับหมื่นปี สิ่งทีชีวิตที่ชาญฉลาดที่มายังโลกแล้วพบฟอสซิลของพวกเรา พวกเขาน่าจะสรุปได้ว่า Homo sapiens ตายในการสูญพันธุ์ครั้งที่หก บางทีถ้าเราโชคดีพวกเขาอาจพบบันทึกที่เราทิ้งไว้ ถึงกระนั้นเราก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะเข้าใจรึเปล่าว่าเราเป็นใคร ท้ายที่สุด ความฉลาดของพวกเขาที่ไม่เหมือนของเราก็คงจะทำให้พวกเขาจะเข้าใจความเป็นไปของของโลกและจักรวาลที่แตกต่างไปอยู่ดี
รูปแบบชีวิตที่มีการดำรงอยู่ที่แตกต่างกันและความเข้าใจที่แตกต่างกันของสรรพสิ่งมีชีวิต ย่อมนำไปสู่แนวคิดที่เกี่ยวกับความตายที่แตกต่าง แต่ไม่สำคัญหรอกว่าจะเข้าใจว่าเราเป็นใครหรือไม่ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในความคิดของผม อย่างน้อย ก็คือให้พวกเขารู้ว่าเราเคยอยู่ที่นี่
An Unknown Man’s Journal: Part3
เรื่อง – Journal #24
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
ความทรงจำแรกของผมคือตอนมองขึ้นไปบนเพดานที่พักของเรา ทันใดนั้นพระหัตถ์ของพระเจ้าก็ปรากฏออกมาท้องฟ้าเหล็กกล้า พ่อยกผมขึ้นแบบที่ไม่ค่อยจะอ่อนโยนนักแต่ก็ไม่ได้หนักมืออะไร ก่อนที่เขาจะตะโกนอะไรบางอย่างออกมา เรื่องไร้สาระทั้งนั้นแหละ ผมเองก็จับต้นชนปลายไม่ออกหรอก
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของผม พ่อจริงๆนั้นตายก่อนที่ผมจะเกิดไม่นานและหลังจากนั้นแม่ก็ตายตามไปอีกคน ด้วยโรคหรืออะไรซักอย่างนี่แหละ ผมก็ไม่รู้หรอก จากนั้นพี่ชายของแม่ก็พาผมออกจากที่หลบภัยที่โสโครกนั่นมาอยู่ที่นี่แทน แล้วเขาก็กลายเป็นพ่อหมายเลขสองผม
เขาเป็นคนไม่เอาไหน น่ารังเกลียด เป็นคนที่ชอบจะใช้ความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็พยายามที่จะรักผมในแบบของเขา แต่ถ้าวันนึงเขาหมดความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาผมเองก็ไม่รู้ต้องทำไง พ่อบอกว่าที่พักของเราว่าเป็นโลกของเราและผมก็เชื่อเขา ผมโตขึ้นมาพร้อมความคิดที่ว่า ไม่มีใครนอกจากเราสองคน จากนั้นเมื่อผมโตขึ้นผมก็เริ่มตั้งคำถาม คำถามง่ายๆเกี่ยวกับที่มาของอาหารพวกนั้น ก่อนที่ผมจะถูกตีหัวโทษฐานที่สร้างปัญหาแทนคำตอบที่หวังจะได้รับ แต่ความพยายามของเขาก็ไม่สามารถเอาชนะความอยากรู้ของผมได้หรอก
วันหนึ่งฉันจ้องมองที่หน้าจอมอนิเตอร์ของเขา มันเป็นแว๊บแรกที่ผมเหลือบไปโลกภายนอก ผมพยายามรบเร้ากับพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ พนันได้เลยว่าคุณคงรู้ว่าต้องเจอกับอะไร แต่ผมก็ไม่ยอมลดละจนสุดท้ายเขาก็ยอมพูดออกมา เขายอมรับว่า โลกภายนอกนั้นจะทำให้เราเปียกปอนไปจนถึงกระดูกโดยฝน Timefall และถูกย่ำยีโดยพวกปีศาจที่หวังจะกัดกินผม
หลังจากฟังเรื่องเล่าที่น่ากลัวที่พ่อเล่าให้ฟังถึงเรื่องพวกผีร้าย มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้มันอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ของผมตาย และสถานที่เดียวที่ปลอดภัยจากพวกมันคือ พื้นที่ที่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าลงไปแค่หกฟุต ...
เรื่อง – Journal #25
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
แม่ของผมมอบความไว้วางใจให้พี่ชายของเธอดูแลผม ซึ่งเขาคงจะไม่มีทางเลือกนอกจากจะเลี้ยงดูผมอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่ได้แคร์อะไรเกี่ยวกับชายคนนี้หรอก แต่เขาก็มีความรับผิดชอบของเขาอยู่นะ ลึกๆแล้วเขาคงจะรักผมอยู่บ้างแหละแค่เปลี่ยนจากการแสดงออกจากหัวใจเป็นมือไม้แทน
ความหวังและความฝันใด ๆ ที่เขาอาจมีต่อฉัน สำหรับเรา มันล้มเหลงลงข้างทางค่อนข้างเร็ว เรามีชีวิตประจำวันด้วยคำเตือนว่า เอ็งต้องอยู่ในนี้ เหมือนถูกเขี่ยนตีเพื่อให้ขับรถกลับบ้านไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ผมคิดว่าบางครั้งเขาก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าเป็นวิธีเดียวที่จะปกป้องผมได้ แต่ผมคิดว่าผมไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว "ไม่มีกรงขังใดสามารถกักวิญญาณของเด็กหนุ่มได้" ถ้าผมยังอยู่ที่นี่ต่อไป ผมคงจะตายทั้งร่างกายและจิตใจแน่นอน ผมต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ ผมเริ่มเก็บสะสมเสบียงซ่อนไว้ในที่ลับ แต่เขาก็จับได้
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการถูกทุบตีครั้งที่เลวร้ายที่สุด เขาคว้าะทุกอย่างที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้แล้วเริ่มทุบทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าพร้อมกับกรีดร้องร่ำไห้เหมือนสัตว์ป่าที่บาดเจ็บน้ำตาไหลเต็มใบหน้าไปหมด
เขาจับผมกดกับพื้นน้ำตาน้ำหลายไหลกระเด็นลงใส่หน้าผมเต็มไปหมด เหมือนกับว่าเขาร้องไห้เสียใจที่ผมไม่เข้าใจความเจ็บปวดของเขา เขาคงจะโครตเสียใจ มือของเขาโอบรอบคอของผมเหมือนความมืดกำลังคืบคลานเข้ามาให้จนมุม เขาคงจะโครตเสียใจ เขาคงจะโครตเสียใจ
รู้สึกตัวอีกทีมีดทำครัวก็มาอยู่ในมือผม และเข้าไปในลำคอของเขา มือของเขา มือของแม่งเริ่มจะอ่อนแรงลง และเขาก็ ...ฟุบลง เหมือนบอลลูนทับลงมาที่ตัวผม ผมพลักตัวเขาออกแล้วมองเข้าไปที่ตาซึ่งกำลังจ้องเขม็งมาที่ผม ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเขาและท้องฟ้าเหล็กกล้าของเรา
** คำว่า ท้องฟ้าเหล็กกล้า (steel sky) นั้น Higg ใช้ในการอุปมาอุปมัยได้ทั้งหลังคาที่พักที่เขาเห็นมาตลอดชีวิต และ อีกความหมายนึงก็สื่อถึง การถูกกดขี่และการกำจัดเสรีภาพอย่างไม่เป็นธรรมในสังคมไปในตัวด้วย **
เรื่อง – Journal #26
บันทึกเมื่อ (Unknown) ที่ (Unknown)
โดย – Higgs Monaghan
ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงหลังจากที่ทำลงไป ผมใช้เวลายามค่ำคืนข้างๆเขา ใจของผมเหมือรผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า แต่ลึกๆข้างในเต็มไปด้วยเสียงจู้จี้ที่พยายามเซ้าซี้บอกว่าผม ต้องกำจัดมัน พ่อไม่ได้บอกอะไรผมมากนัก เขาบอกแค่ว่า ร่างกายของคนตายเมื่อเข้าสู่ necro จะกลายเป็น BT ก็โอเค สำหรับนิทานสยองขวัญก่อนนอน แต่ที่สำคัญกว่านั้นผมรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันปล่อยให้เขาตาย ความตายจะเปลี่ยนที่พักของเราให้กลายเป็นปล่องภูเขาไฟ
กลิ่นเหม็นของเขาเริ่มระงมเต็มห้องไปหมด ผมต้องหาทางจัดการกับเขา ต้องพาเขาออกไปข้างนอก พาเขาไปให้ไกลที่สุด ดังนั้นผมจึงได้เริ่มดึงแขนของเขาแล้วลากเขาออกไปสู่โลกใหม่กับท้องฟ้าฝืนใหม่
มันกว้างใหญ่ ว่างเปล่า และหินที่มีพุ่มไม้ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด ภูเขา แม่งคือภูเขาตัวเป็นๆที่เห็นอยู่ไกลๆ โดยมีเมฆ chiral คอยประครองกอดอยู่ที่ยอดเขา เข่าของผมเริ่มสั่นและโลกเริ่มหมุน แต่ผมรู้ว่าเวลากำลังเดินไป ผมมองลงไปแล้วคิดว่า ต้องจัดการกับพ่อซะที
ผมพยายามจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆจนเมื่อเริ่มเห็น Chiralium ออกมาจากตัวของพ่อแสงไฟระยิบระยับที่ร่างกายของเขากำลังบอกว่า ผมหมดเวลาแล้ว ผมรีบวางเขาลงในไปในโคลน แต่ในขณะที่ผมกำลังจะไป มือของผม ที่ยังคงวางอยู่บนร่างกายที่กำลังหายไปของเขา กลายเป็นไอและหมอกจางๆ จากนั้นผมก็รู้สึกว่า BT กำลังจะปรากฏตัวขึ้นในไม่ช้านี้แน่นอน
นั่นเป็นคนแรกที่ผมสัมผัสรู้ถึงพวกมัน แต่มันไม่ใช่ครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นไม่นานผมก็ตื่นขึ้นมาพบกับพวกมันเต็มไปหมด สัมผัสที่หก ของขวัญจากพ่อที่มอบให้ผม แต่เมื่อเวลาผ่านไปสัมผัสมันก็เริ่มจางหายไป แต่ผมรู้ว่าผมได้มันมาอย่างไรและผมก็รู้ว่าจะเอามันกลับมาได้อย่างไร สิ่งที่ผมต้องการก็คืออีกร่างหนึ่งและผมก็ทำได้ดีมากด้วย ความตายเพื่อชีวิต สำหรับผมพวกเขาคือการแลกเปลี่ยนที่เป็นธรรมแล้ว
𝗦𝘁𝗮𝗿𝘁 𝗽𝗹𝗮𝘆𝗶𝗻𝗴 𝗡𝗼𝘃 𝟭𝟮, 𝟮𝟬𝟭𝟵 - 𝗲𝗻𝗱 𝗔𝗽𝗿𝗶𝗹 𝟮𝟰, 𝟮𝟬𝟮𝟬.
𝗧𝗼𝘁𝗮𝗹 𝗣𝗹𝗮𝘆 𝗧𝗶𝗺𝗲 - 𝟮𝟮𝟬: 𝟯𝟱: 𝟬𝟱
----------------------------------------------------------
UPDATE 11 / MAY / 2020