วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บทสรุป Horizon Zero Dawn [ต่อ]


               
         

                           บทสรุป   Horizon Zero Dawn [ต่อ] 


                                             เรื่องราวก่อนหน้านี้ 

                   http://decibelperoxide.blogspot.com/2017/03/horizon-zero-dawn.html                         
                               


By Decibel per oxide 






                             บทที่ 2 บทแห่ง Carja






จากนั้นกำหนดภารกิจไปทำ Main Quest: THE CITY OF THE SUN  กันต่อ เป้าหมายของภารกิจที่จุดสีเหลืองในแผนที่คือ Meridian ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเผ่า Carja



                                               Meridian City 


เมื่อเข้ามาที่ Meridian Gate หรือประตูทางเข้าหลักของเมืองจะพบว่าทหารกำลังเพิ่งการป้องกันตามด่านทางเข้าทุกจุดของเมืองอย่างเข้มข้นและห้ามคนแปลกหน้าให้เข้ามาในเมือง ท่ามกลางความวุ่นวายที่พวกชาวบ้านที่กำลังชุมนุมที่หน้าเมืองเพราะความไม่พอใจทหารที่ไม่ยอมให้ผ่านเข้าเมือง Aloy เองรู้สึกทันทีว่า มันต้องมีเรื่องบางอย่างขึ้น แต่ทธุระสำคัญในการตามหาเจ้า Olin นกต่อที่นำพาเผ่านักฆ่ามาเข่นฆ่าของ Nora ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้เธอต้องผ่านเข้าเมืองไปเพื่อตามหามันให้ได้เช่นกัน



[Carja Guard] – หยุดอยู่ตรงนั้นเลย !! ตอนนี้เกิดมีเหตุคนร้ายลอบโจมตี ไม่อนุญาตให้คนต่างถิ่นเข้าเมืองก่อนได้รับอนุญาติเด็ดขาด !!
[Aloy] – ถูกโจมตีเมื่อเร็วๆนี้หรอ? คุณพูดถึงเรื่องอะไรเนี้ย มันเกิดอะไรขึ้นหรอ?
[Carja Guard] – เกิดการฆาตกรรมกัปตัน Ersa กับหน่วย Vanguards ของเธอที่ Red Ridge Pass น่ะสิ แน่นอนว่ามันเป็นการลอบโจมตีของพวก Shadows Carja นั่นแหละ!
[Aloy] – Ersa หรอ ? คุณหมายถึง Ersa พี่สาวของ Erend รึเปล่า?
[Carja Guard] – แล้วเจ้ารู้จักชื่อของเขาได้ยังไงเนี้ย ?
[Aloy] – เพราะชั้นรู้จักกับ Erend ช่วยไปตามเขาให้หน่อยสิ ชั้นมีเรื่องจะคุยด้วย
[Carja Guard] – ฮะ ! ข้าเดาว่า Erend กัปตันคนใหม่ของหน่วย Vanguards ชายที่กำลังอยู่ในความโศกเศร้าคงไม่อยากมาเจอคนต่างถิ่นอย่างเจ้าในตอนนี้หรอกนะ 



[Erend] – Aloy !! Aloy ใช่มั๊ยเนี้ย? นี่เธอรอดตายมาถึงนี่จริงๆหรอเนี้ย ว่าแล้วว่าเธอต้องทำได้ หนีๆหลีกทาง หลีกทาง ! นี่เธอมาจนถึง Meridian เพื่อมาหาชั้นจริงๆหรอเนี้ย?
[Aloy] – นี่คุณเมารึเปล่าเนี้ย ?
[Erend] – อ่า ...ก็ไม่เชิงหรอก ก็ นิดหน่อยอ่ะนะ เธอยังไม่ตาย นี่ไงละ เราควรมาฉลองกันหน่อย มาดื่มกับชั้นหน่อยมั๊ยละ?
[Aloy] – เราต้องคุยกันหน่อย แบบเป็นส่วนตัวตอนนี้เลย
[Erend] – งั้นมาทางนี้เลย
[Carja Guard] – ตกลงท่านจะรับประกันในตัวเธอหรอครับ?
[Erend] – ก็เออสิวะ แล้วต่อแต่นี้ไปเธอจะเข้าหรือออกเมืองตอนไหนก็ได้ทั้งนั้นด้วย ข้าอนุมติ !
[Carja Guard] – แล้วแต่ท่านเลยครับผม !




[Erend] – เอาละ ตอนนี้มีแค่เรา 2 คนแล้วอยากจะถามอะไรก็ตามสบายเลย 
[Aloy] – (Why I’m here) ตั้งแต่ที่เราคุยกันครั้งสุดท้ายมันเกิดเรื่องต่างๆขึ้นมากมายเลยละ หลังจากที่คณะของคุณกลับไปแล้ว พิธีทดสอบผู้กล้าของเผ่าชั้นก็ถูกลอบโจมตีโดยพวกนักฆ่า เหลือผู้รอดชีวิตน้อยมาก
[Erend] – ข้าจำได้ว่า พวกเราเดินทางกลับมาถึงเมืองแล้วถึงได้ยินเสียงระเบิดจากอีกฝากของภูเขา พวกผู้กล้าของเผ่าเจ้าส่วนนึงที่อยู่ที่นี่ก็รีบเดินทางกลับไปทันทีบอกว่าจะกลับไปแก้แค้นกับศัตรูที่มาทำแบบนี้ แล้วข้าก็ไม่ได้ยินข่าวเรื่องคนของเจ้าอีกเลย แล้วเจ้ารอดมาได้ยังไงละ?
[Aloy] – ชั้นรอดได้ยังไงไม่สำคัญเท่าเป้าหมายที่ชั้นมาที่นี่เพราะอะไรหรอกนะ
[Erend] – เจ้าหมายความว่ายังไง เป้าหมาย?
[Aloy] – พวกนักฆ่านั้นมาตามหาชั้นก็เพราะว่า Olin
[Erend] – นี่เจ้าพูดเรื่องอะไรข้าไม่เห็นเข้าใจซักนิดเดียว?

[Aloy] – (Olin) ชั้นต้องการพบ Olin เพราะต้องการจะรู้เรื่องที่มันรู้
[Erend] – แต่ ... เขาเป็นมิตรนะ !
[Aloy] – ไม่ใช่ มันเป็นคนทรยศ ชั้นไม่รู้หรอกว่าไอ้พวกฆาตกรนั่นมันเป็นใครหรือต้องการอะไร รู้อย่างเดียวคือ Olin ทำงานให้พวกมันแน่นอน 
[Erend] – แต่ ข้าว่า ..เรื่องนี้มัน ..
[Aloy] – ชั้นไม่ได้ต้องการให้คุณมาเช้าใจหรอกนะ Erend แค่ให้คุณพาไปหามันก็พอ 
[Erend] – ตอนนี้เขาไม่อยู่ที่นี่นะสิ เมื่อวานนี้เห็นว่าออกไปค้นหาวัตถุโบราณที่ไหนซักแห่งนี่แหละ 
[Aloy] – แล้วเขามีที่ซ่อนตัวหรือที่พักที่ต้องเขาต้องกลับมาเป็นประจำหรือเปล่า ?
[Erend] – บ้านของเขาในเมืองนี้ไง 
[Aloy] – งั้น พาชั้นไปได้มั๊ย อยากจะค้นหาเบาะแสะอะไรหน่อย
[Erend] – ได้สิ แต่ว่าข้าคงต้องขออยู่สังเกตการณ์ด้วยตอนเจ้าค้นบ้านของเขาอ่ะนะ

[Aloy] – (Your Sister) ชั้นได้ข่าวเกี่ยวกับ Ersa พี่สาวของคุณ เสียใจด้วยนะ ชั้นรู้ว่าเธอสำคัญกับคุณมาก 
[Erend] – สำคัญกับข้าหรอ ? เขาสำคัญกับทุกๆคนในเมืองนี้มากกว่า เธอรู้ว่าต้องทำอะไรตอนไหน เป็นหัวหน้าอันเป็นที่รักของทุกคน ที่ข้าอยู่กับร่องกับรอยได้ก็เพราะนางนี่แหละ ข้าหวังว่าจะเป็นตัวแทนที่จะสานต่อในสิ่งที่เธอทำมา ก็เห็นอยู่ว่าก็ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่าอยู่ 

[Aloy] – (I lost someone too) ชั้นเองก็เสียคนที่สำคัญไปในงานทดสอบผู้กล้า ชายคนที่เลี้ยงดูและเป็นเหมือนครูของชั้นนามว่า Rost 
[Erend] – เลวร้ายมาก ...ทำไมทุกครั้งที่มีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้น ทุกคนรอบตัวชอบบอกว่ามันก็มีเรื่องเลวร้ายเกินขึ้นกับพวกเขาเหมือนกันตลอดเลยก็ไม่รู้ คิดว่ามันทำให้สบายใจขึ้นรึไงก็ไม่รู้ ?
[Aloy] – ก็ใช่ ทำไมคุณฟังแล้วถึงจะไม่ดีขึ้นละ?
[Erend] – ช่างมันเถอะ ...แล้วเจ้ามีอะไรที่ต้องบอกข้าอีกรึเปล่า ?
[Aloy] – พาชั้นไปบ้าน Olin ได้แล้ว !
[Erend] – โอเคๆ งั้นตามผมมาเลย ...


จากนั้นเดินตาม Erend ไปตามทางท่ามกลางความวุ่นวายที่พวกคนต่างถิ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองเริ่มปลุกระดมให้ชาวบ้านหวาดกลัวในการกระทำของพวก Shadow Carja จนทำให้ Erend ต้องเข้าไปห้ามปามก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะบานปลาย



[Oseram Outlander] – เลือดต่อล้างด้วยเลือด !! ล้างแค้นให้ Ersa เราต้องทนหดหัวอยู่ในดินแดนของเราเองอีกนานเท่าไหร่ ? ปีแล้วปี่เล่าที่เราต้องทนให้พวกมันกดขี่ ทำไมพวกเขาถึงไม่จับมันมาแล้วทรมานและเชือดมันเป็นชิ้นๆบ้าง? Erend ! นายควรที่จะอยากแก้แค้นมากว่าคนอื่นไม่ใช่หรอ! นั่น พี่สาวของคุณนะที่ถูกฆ่าน่ะ !! เธอตายแล้วนะ จะไม่อยากแก้แค้นมันเรอะ !!



[Erend] – ถ้าแกพูดอีกคำเดียวนะไอ้สวะ ! ข้าจะจับแกโยนเข้าคุกด้วยตัวเองเลย ! ไปให้พ้นหน้าเลย หรือต้องให้ถีบ !!
[Aloy] – ที่มันบอกว่า Ersa ถูก ฆาตกรรม หมายความว่ายังไง? 
[Erend] – ยังไม่ใช่ตอนนี้ Aloy 


เมื่อตามไปจนถึงบ้านของ Olin แล้วก็เริ่มใช้ Focus สแกนหาข้อมูลเบาะแสให้ทั่วๆจน Aloy พบว่าบริเวณพรมตรงมุมห้องเกิดการเสียดสีบ่อยจนเกิดความร้อนผิดปกติแปลว่าตรงบริเวณนี้ต้องมีการขยับบ่อยจึงลองเปิดดูจึงพบประตูลับซ่อนอยู่ด้านใต้พรม



[Erend] -  “ไอ้ประตูนั่นมันมาอยู่ตรงนั้นได้ไง”
[Aloy ] -  ที่สำคัญว่าคือ “จะหาทางลงไปยังไง”มากกว่านะ



ขึ้นไปสำรวจชั้นบนต่อ ในห้องพักจะพบรูปของ Olin กับครอบครัวของเขา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Aloy รับรู้ว่า Olin ก็มีลูกเมียด้วย แต่ก็ไม่พบตัวของพวกเขาอยู่ที่นี่เหมือนกัน


จากนั้นขึ้นบันได้ไปชั้นบนต่อจะพบลังเก็บของกองอยู่ Aloy จึงลองดันดูจนทำให้ลังเลื่อนจนตกไปกระแทกประตูลับที่ชั้นล่างจนเปิดออกได้สำเร็จ



                               [Erend] - “เตือนแล้วนะว่าอย่าทำอะไรให้เสียหายนะ !! ” 




ลงไปที่ห้องลับใต้พื้นบ้านเพื่อสำรวจต่อ เมื่อใช้ Focus สำรวจดู Aloy จะพบเครื่องบันทึกเสียงที่วางไว้บนโต๊ะจึงเข้าไปสำรวจทันที ทำให้ Aloy ต้องพบกับความจริงที่น่าเศร้า




[?????] – ดูแลให้พวกมันมีขีวิตอยู่ต่อไปก่อน หากพวกมันไม่เชื่อฟัง  ข้าจะลากคอมันออกไปทิ้งให้แดดเผาตายเอง 




[Aloy] – เมียกับลูกของเขาถูกพวกมันจับไปเป็นตัวประกันหรอเนี้ย ?
[Erend] – พวกมัน ไหน?
[Aloy] – พวกนักฆ่า พวกมันบังคับให้ olin ยอมเชื่อฟังไม่งั้นมันจะฆ่าลูกเมียเขา




จากนั้นสำรวจที่แผนที่บนพนังห้อง จะพบว่ามันแสดงให้เห็นจุดในพื้นที่ที่ Olin เคยเดินทางไปมาแล้ว สำรวจที่บันทึกการเดินทางของ Olin บนโต๊ะ Aloy ก็จะพบข้อมูลที่ Olin ได้บันทึกเอาไว้




วันที่ 4 .. ตอนนี้ผมกลายเป็นคนทรยศไปแล้ว แต่มันไม่มีทางเลือก ถ้าผมลองดูที่จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ทำไมพวกมันถึงเลือกใช้ผม บางทีผมอาจจะมองเห็นจุดที่ผมมองข้ามไปก็ได้ .. ไม่ ที่นี่มันไม่มีทางหนีได้หรอก ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าเขียนๆมันลงไปไว้ก่อน

วันที่ 10 ..เจ้าให้สมุดนี่มาแล้วสอนให้ข้าเขียน แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว ข้ายังได้กลิ่นลาเวนเดอร์ของคุณโชยมาแม้จะไม่ได้เจอเจ้าแล้วก็เถอะ เจ้าเคยบอกให้ข้าเขียน เพื่อแชร์ความรู้สึกที่ข้ามีเกี่ยวกับตัวเจ้าแล้วส่งแผ่นกระดาษไปให้เจ้าอ่าน .. แต่ข้าก็ไม่เคยทำเลย มือของข้ามันสกปรกเกินกว่าจะแตะต้องกระดาษของเจ้า ...ข้าต้องทำตามที่เจ้าเคยบอกไว้ให้ได้ ไม่สิ ข้าจะทำมันในตอนนี้เลย !

วันที่ 15 .. ข้ายังคงฝันแต่เรื่องเดิมๆ ผมของเจ้าปลิวไสวภายใต้แสงแดด น้ำหนักของลูกที่โถมบนไหล่ที่ทำให้รู้สึกได้ เรารู้สึกว่า มันมีอิสระเหลือเกิน เจ้ากระซิบข้างหูข้าว่า “มันเป็นแค่ความฝัน” ข้าก็ตอบไปว่า “ข้ารู้” แล้วข้าก็ตื่นขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว และทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาข้าก็รู้ว่า ชีวิตของข้าจริงๆแล้วมันอยู่ในความฝันแม้มันจะดูเป็นเรื่องโกหกแต่ก็ไม่มีใครหน้าไหนมาพรากอิสระนี้ของข้าได้ การที่ข้าต้องกลายเป็นคนทรยศ มันซื้ออิสระให้เจ้าไม่ได้ แต่มันซื้อเวลาได้ เพื่อให้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่การทรยศมันก็มีราคาที่ข้าต้องจ่ายในตอนหลังอยู่ดี

วันที่ 34 .. ทุกๆอาทิตย์ที่อุปกรณ์นี่มันเตือนให้ข้าไปหาที่ขุดค้นใหม่ เราทำงานกันอย่างหนักเหมือนทาสที่ถูกลงแส้ เพือให้เราเร่งผลิกผืนดินให้พบวัตถุข้ามกาลเวลาที่อยู่ใต้โลก อสูรจากอดีตกาลหรืออาวุธมหาประลัยที่พวกมันต้องการ ทำให้ข้าสงสัยว่าที่ข้าทำลงไปมันจะช่วยสร้างโลกใหม่ได้จริงๆหรอ?

วันที่ 38 .. ข้าดื่มร่วมกับ Erend และ Ersa รสเหล้าไม่ได้หวานลิ้นอย่างที่เคยเป็นเท่าไหร่เพราะมันมีความรู้สึกและความละอายใจเจือปนอยู่แบบที่ไม่มีใครรู้ ทุกๆวันที่ข้าอยู่ในฐานะคนทรยศกับพวกเขา ทำไงได้ พวกวายร้ายนั่นก็มองผ่านอุปกรณ์นี้อยู่ทุกวัน ข้าหวังว่า Ersa จะเอาดาบมาเฉือนคอข้าซักที ให้จบๆไป แต่นางก็ไว้ใจและไม่เคยสงสัยข้าเลย คงเป็นการโกหกที่ดีที่สุดในชีวิตข้าแล้วละมั้ง

วันที่ 54 .. ข้านอนไม่หลับมาตลอด 3 คืนแล้วเพราะคิดถึงหญิงชาว Nora คนนั้น ทำไม่พวกมันถึงต้องสั่งฆ่าเธอด้วย? หรือเป็นเพราะอุปกรณ์นั่นที่เธอมีเลยทำให้เธอถูกปองร้าย ....เราได้ยินเสียงกรีดร้องดังก้องมาจากหมู่บ้าน  ข้ายังคิดเลยว่าพวก Nora คงจะโทษว่าเป็นเพราะพวกเรา แต่พวกแม่เฒ่าสูงสุดกลับปล่อยให้พวกเราข้ามชายแดนออกมาถึงป้อม Daytower ได้อย่างปลอดภัย ตอนนี้ข้ากำลังมาขุดค้นสำรวจที่ Rockwreath พวกมันสัญญาว่าจะให้ข้าได้พบกับเจ้าและลูกของเราแป๊บนึง ข้าอยากพบเจ้าสองคนมากๆ 


หลังจากได้หลักฐานทั้งหมดแล้วก็กลับไปคุยกับ Erend เพื่ออธิบายความจริงให้เขารู้




[Aloy] – นี่ไง ข้อพิสูจน์ ลองอ่านหน้าสุดท้ายดู เขาพูดเรื่องการที่ไปเจอชั้นและคำสั่งของพวกที่จะฆ่าชั้น
[Erend] – เขาเรียกตัวเองว่า เพื่อน แล้วกลับมาแทงกันข้างหลัง ! แล้วเธอเรียนรู้การอ่านภาพสลักที่เป็นแผนที่มาจากไหน ?

[Aloy] – (I see thing with the Focus) เครื่อง Focus มันช่วยทำให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ 
[Erend] – แล้วไอ้เครื่องนั่นของ Olin เหมือนกันรึเปล่า ?
[Aloy] – เป็นเครื่องมือชนิดเดียวกัน แต่ ..เหมือนกับว่า Focus ของ Olin จะสามารถมองและสื่อสารพูดจากันกับ Focus อีกเครื่องโดยอยู่คนละพื้นที่ได้ด้วย เหมือนพวกที่จะฆ่าชั้นมองผ่านตาของ Olin ตอนที่เขาคุยกันชั้นนั่นแหละ 
[Erend] – แล้ว พวกนักฆ่านั่นมองเห็นเจ้าได้ยังไง? ผ่านตาของ Olin เลยหรอ?
[Aloy] – คะ แต่ชั้นก็ไม่รู้จะอธิบายให้คุณเข้าใจได้ยังไง

[Aloy] – (I Should be going) เอาละ ตอนนี้ชั้นรู้แล้วว่าจะหา Olin ได้ที่ไหน คงต้องออกเดินทางก่อนนะคะ 
[Erend] – ลุยเดี่ยวเลยหรอ?
[Aloy] – ใช่ ลุยเดี่ยวเลย ปล่อยเป็นหน้าที่ชั้นเองคะ ชั้นจะเดินทางเร็วกว่าถ้าไปคนเดียว
[Erend] – เดี๋ยว ! เอ่อ ไอ้เครื่องนั่นมันทำให้มองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็นงั้นหรอ ? 
[Aloy] – หลีกทางไป Erend




[Erend] – ปะ เปล่า ผมไม่ได้จะห้าม แต่อยากจะขอร้องให้ช่วยหน่อย ข้าอยากจะรู้ว่าใครเป็นคนฆ่า Ersa พี่สาวข้า มันไม่ใช่ฝีมือของพวก Shadow Carja แน่นอน แต่พวกทหารมันไม่มีปัญญาหามากกว่าว่าใครทำ
[Aloy] – ชั้นเสียใจด้วยนะเรื่องพี่สาวคุณ แต่นั่นมันเป็นสงครามของพวกคุณ ไม่ใช่ของชั้น
[Erend] – เจ้าอย่าพูดแบบนั้นสิ ! นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวนะ เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อหาคนที่สั่งข้าเจ้าและฆ่าคนของเจ้า ทำไมมีแต่เจ้าที่ต้องการความยุติธรรมได้ส่วนข้าทำไม่ได้งั้นหรอ ? ฟังนะ ข้าจะไปรอเจ้าที่ Red Ridge pass ตรงที่พบศพของ Ersa คงใช้เวลาไม่กี่นาทีหรอกที่เครื่อง Focus ของเจ้าจะช่วยทำให้ข้าหายข้องใจได้ อย่าให้ข้าต้องข้อร้องเจ้าเลยนะ Aloy
[Aloy] – ที่ Red Ridge pass ใช่มั๊ย? ชั้นจะลองดูเท่าที่จะทำได้นะ 

เมื่อคุยกับ Erend จบก็จะได้ Main Quest: THE FIELD OF THE FALLEN มาอีกอันโดยมีเป้าหมายอยู่ที่เขต Red Ridge pass ทางตอนเหนือของ Carja  เมื่อรวมกับ Main Quest: THE CITY OF THE SUN  ภารกิจในการตามหา Olin ที่กำลังได้เบาะแสใหม่ก็จะมี เควสหลักให้ทำเป็น 2 เควส


ก่อนออกเดินทางเลือกทำภารกิจต่อไป ที่เมือง Meridian นั้นเมื่อสำรวจดูจะพบว่ามีพ่อค้าที่มากหน้าหลายตามาก ซึ่งจะมีทั้งพ่อค้าแลกเปลี่ยนไอเทมในแบบปกติและพวก Specialty Marchant หรือพวกพ่อค้าพิเศษ ที่รับแลกเปลี่ยนกล่องสมบัติของพวกเขากับ ไอเทมสะสมพวกสมบัติหายากต่างๆที่เก็บมาได้


-Studious Palas  รับแลกเปลี่ยน โถใส่ของเหลวโบราณ (Ancient Vessel) กับกล่องรางวัล
-Cantarah  รับแลกเปลี่ยนสิ่งประดิษฐโบราณ (Banuk Artifact) กับกล่องรางวัล
- Kudiv  รับแลกเปลี่ยนดอกไม้เหล็ก (Metal Flower) กับกล่องรางวัล
-พ่อค้าที่รับซื้อ เลนท์ (Lens) และ หัวใจ (Heart) ของพวกสัตว์จักรกลชนิดต่างๆ
-พ่อค้าที่ขายไอเทมพิเศษ (Spacial Item) ต่างๆ
-พ่อค้าที่รับแลกเปลี่ยน กล่องรางวัลกับไอเทมพิเศษ (Spacial Item) ต่างๆ


                                   Side Quest ในเมือง Meridian



                 ERRANDS QUEST: HUNTING FOR THE LODGE




เริ่มจากภารกิจต่อเนื่องจาก Hunt Quest : Nora Hunting Ground หลังจากที่ทำการทดสอบนักล่าจาก Nora Hunting Ground ครบจนผ่านการทดสอบ แล้วก็จะมีเป้าหมายต่อไปที่ THE LODGE ซึ่งเป็นกิลด์นักล่าสาขาใหญ่อยู่ในเมือง Meridian เข้าไปที่อาคารขนาดใหญ่ที่เรียกว่า THE LODGE เพื่อเข้าไปคุยกับ Logan หัวหน้ากิลด์


[Ligan] – เจ้าต้องผ่านการทดสอบให้ได้รางวัลอย่างน้อยก็ Half Suns จาก Hunting Ground ของพวกเราเสียก่อนนะถึงจะอนุญาตให้เข้ามาทดสอบระดับต่อไปที่ THE LODGE ได้
[Aloy] – ท่านหมายถึงสิ่งนี้รึเปล่าละคะ?
[Ligan] – เยี่ยมมาก ขอแสดงความยินดีและขอต้อนรับเข้าสู่การเป็นสมาชิกของเรา เพื่อเก็บเกี่ยวรางวัลอันยิ่งใหญ่จากการผจญภัยและการใช้ชีวิตอย่างตำนาน 
[Aloy] – นี่ชั้นได้เป็นสมาชิกของ THE LODGE แล้วหรอ?
[Ligan] – ยังหรอก เจ้ายังขาดประสบการณ์อีกเยอะ ตอนนี้เจ้าเพียงสมาชิกในระดับจูเนียร์ที่เรียกว่า Thrushes และการที่จะกลายเป็น Thrushes อย่างเต็มตัวตามกฎก็ต้องมีสมาชิกรุ่นพี่ที่เรียกว่า Hawk เป็นผู้อุปถัมภ์เจ้า
[Aloy] – แปลว่าชั้นต้องหารุ่นพี่ที่เป็น The Hawk ใช่มั๊ยคะ?
[Ligan] – ใช่แล้ว แต่ The Hawk สามารถเป็นผุ้อุปถัมภ์ฮันเตอร์ได้ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้นนะ และข้าก็เกรงว่า The Hawk หลายคนที่มีฮันเตอร์ที่ตัวเองอุปถัมภ์กันอยู่แล้วน่ะสิ 
[Aloy] – ท่านพูดซะหมดกำลังใจเลย แล้วชั้นควรจะเริ่มยังไงดีคะ?
[Ligan] – ลองขึ้นบันไดไปแนะนำตัวกับ Sunhawk Ahsis หัวหน้าของเหล่านักล่าดูสิ เขาอาจพอแนะนำ The Hawk ที่พอจะมาอุปถัมภ์ให้เจ้าได้ .. ก็หวังว่าเธอคงจะพอมีค่าพอนะ ..
[Aloy] – ท่านหมายความว่ายังไงคะ?
[Ligan] – เดี๋ยวเธอก็รู้เองแหละ ..

เมื่อได้รับคำแนะนำจาก Ligan แล้ว Aloy ก้ต้องลองไปคุยกับ Ahsis หัวหน้าของเหล่านักล่าเพื่อหวังให้เขาแนะ The Hawk ที่พอจะมาอุปถัมภ์ได้



[Ahsis] – เอ่อ ..โทษที่นะ ดูกริยาท่าทางของเจ้าแล้วเนี้ย เจ้าเป็นนักสู้ของ Nora ที่มาจากแดนเถื่อนใช่มั๊ย?
[Aloy] – แดนศิกดิ์สิทธิ์ต่างหาก และก็ใช่คะ ชั้นเป็นนักสู้ที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนเลยละ
[Ahsis] – หรอ งั้นบอกหน่อยสิ ทำไมพวก Nora ถึงชอบเดินเตร่ไปตามดินแดนของคนอื่นและอยากจะทำอะไรก็ทำอยู่ตลอด 
[Aloy] – ก็ไม่นะ ...
[Ahsis] – ก็เจ้าเพิ่งทำอยู่ตอนนี้ไง ไม่เห็นหรอ เดินเข้ามาสร้างความรำคาญกับพวกเราใน THE LODGE อยู่เนี้ย 
[Aloy] – เหมือนคุณจะไม่ได้มองชั้นในแง่ดีเลยนะ พอดี Ligan บอกว่าให้ลองมาพบคุณเรื่องการเข้าเป็นสมาชิกของ THE LODGE น่ะ 
[Ahsis] – นั่นก็ใช่ แต่มันในกรณีที่เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเป็นสมาชิก เพราะเจ้าเป็นคนเถื่อน และจะไม่มีคนเถื่อนคนไหนได้เป็นสมาชิกของ THE LODGE ตราบใดที่ข้า Sunhawk ยังเป็นหัวหน้าที่นี่อยู่ จงกลับไปซะ!
[Aloy] – ไม่ไปคะ ชั้นเชื่อว่า THE LODGE  มีกฎกกติกาชัดเจน ถ้าไม่มีกฎอะไรเลยสถานะภาพของคุณก็คงไม่มีค่าเหมือนกัน เลิกตะคอกเลิกขู่แล้วบอกชั้นมาเถอะว่ามี Hawk คนไหนที่ยังว่างพอที่จะอุปถัมภ์ชั้นได้บ้าง !
[Ahsis] – ก็ดี Talanah เธอยังว่างอยู่ เฮอะ ยังไงเจ้าก็ไม่คู่ควรหรอก ขยะอย่างเจ้าจะมีหรือไม่มีคนอุปถัมภ์ก็เหมือนกันแหละ เอาละไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว !!


จากนั้นลงมาชั้นล่างคุยกับ Talanah ที่ยืนอยู่ที่เสาต่อ



[Aloy] – คุณชื่อ Talanah รึเปล่า? Ahsis บอกว่าคุณเป็น Hawk ที่ยังว่าง ไม่มีฮันเตอร์ที่อุปถัมภ์อยู่ หรือคุณจะผลักไสไล่ส่งชั้นอีก ก็ไม่เป็นไร ก็คงต้องทำใจแล้วละ
[Talanah] – ชั้นพนันเลยว่าเธอมีความเหมาะสม แต่ตอนนี้ชั้นไม่ค่อยโอเคอ่ะ โดยเฉพาะวันนี้

[Aloy] – (Today? ) วันนี้เกิดอะไรขึ้นหรอ?
[Talanah] – คนของเราคนนึงถูกไอ้เจ้า Redmaw ฆ่าตาย เธอคงไม่เคยเห็นตัวอะไรที่มันจะร้ายไปกว่า Thunderjaw หรอก มันอาละวาดทำลายทุกอย่างจนแหลกไปหมดทั้งป่า หิน หรือ แม้พวกชาวบ้าน 
[Aloy] – เสียใจด้วยนะ 
[Talanah] – มันเป็นส่วนหนึ่งของการล่านะ 

[Aloy] – (Hunting?) ในปัจจุบันที่ THE LODGE ยังมีการทดสอบการล่าอยู่อีกจริงๆหรอ ? หรือก็แค่พูดๆกัน
[Talanah] – ฮ่าๆ ยังมีสิ เธอไปจัดการพวกสัตว์จักรกลนะแล้วนำเอา Trophy มาจากตัวมันแล้วก็เอามาให้ Ahsis ที่นี่ก็จะไม่มีใครกล้าปฎิเสธเธอว่ากระจอกอีกแล้ว 

[Aloy] – (Ahsis?) Ahsis เรื่องราวของเขาเป็นมายังไงหรอ?
[Talanah] – เขาคือ Sunhawk of the Lodge เป็นนักล่าระดับสูงสุดที่โคตรเจ๋งเลย ..โทษที .. เขาเคยจัดการมาแล้วทั้ง Ravagers , Stalkers หรือ Behemoth 
[Aloy] – แล้วไง ไอ้พวกนี้ชั้นก็จัดการมันเยอะแยะ
[Talanah] – ชั้นก็เหมือนกัน ยกเว้นจะเป็น Stormbird 2 ตัวพร้อมๆกันแบบเขา และเขาเป็น Hawk คนแรกที่นำ Trophy จาก Stormbird ได้ นั่นแหละที่เจ๋ง และยังจัดการพวกสัตว์จักรกลระดับสุดยอดมาแล้วอีกหลายตัวก่อนจะได้เป็น Sunhawk 

[Aloy] – (hawk?)  การที่คนๆจะเป็น Hawk ได้ต้องทำยังไง?
[Talanah] – เมื่อ Hawk ตาย .. Thrushes ที่เขาอุปถัมภ์ก็จะได้ขึ้นมาแทน 

[Aloy] – (Man at the door?)  แล้ว Ligan ชายที่ยืนตรงประตูเขาเป็นใครหรอ? 
[Talanah] – Ligan หรอ? เขาก็เป็น Hawk คนนึง และยังภูมิใจในสิ่งที่เขาทำมาจนถึงวันนี้ แม้จะไม่ได้ต่อสู้อีกแล้ว แต่เขาก็ยังทำงานรับใช้ THE LODGE ในอีกทางนึง ลุงแกไม่เหมือนกับ Hawk คนอื่นๆ เพราะไม่มีใครมีสถิติการล่าและการดื่มเหล้าเท่าลุงเขาอีกแล้วละ

[Aloy] – (Time to get started)  เอาละ ชั้นพร้อมจะล่าแล้ว บอกมาตกลงต้องทำไง?
[Talanah] – เธอต้องการให้ Ahsis เขาสนใจเธอใช่มั๊ยละ ? งั้นก็ต้องพูดกับเขาด้วยภาษาเดียวกับพวกเขา ไปล่า Sawtooths 3 ตัว Ravagers 2 ตัวและ Stalker อีก 1 ตัวแล้วเอา Trophies จากพวกมันมาให้ Ahsis นั่นแหละจะทำให้เขาหุบปากได้ซะที 
[Aloy] – ถ้าชั้นทำได้คุณจะอุปถัมภ์ชั้นรึเปล่า?
[Talanah] – จะลองคิดดูก็แล้วกันนะ ฉันคงทำให้ Ahsis เดือดแน่นอน 

หลังจากคุยจบ เมื่อเปิดแผนที่ดูจะมีจุดภารกิจสีเหลืองขึ้นในแผนที่ 5 จุด โดยแต่ละจุดคือจุดที่อยู่ของสัตว์จักรกลที่เป็นเป้าหมายที่จะต้องไปจัดการ ประกอบด้วย


                                                            Stalker 1 ตัว


                                                     
                                                            Sawtooths 3 ตัว





                                                             Ravagers 2 ตัว



สิ่งที่ต้องทำคือเข้าไปในพื้นที่เป้าหมายแล้วจัดการสัตว์จักรตามที่กำหนดไว้แล้วสำรวจซากเก็บ Trophies ซึ่งเป็นคีย์ไอเทมจากพวกมันมา หรือ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปในพื้นที่เป้าหมายก็ได้ หากเจอ Sawtooths , Ravagers หรือ Stalker ที่ไหนก็เข้าไปจัดการมันแล้วเก็บ Trophies ของมันมาก็ได้เช่นกัน เมื่อจัดการสัตว์จักรกลจนครบตามจำนวนแล้วก็นำเอา Trophies กลับไปให้ Ahsis ที่เมือง Meridian ได้เลย



[Ahsis] – ข้าคิดว่าพูดกับเจ้ารู้เรื่องแล้วนะ !!
[Aloy] – ชั้นก็แค่มามอบ Trophies ให้กับ Sunhawk of the Lodge ตามธรรมเนียมปฎิบัติ 3 Sawtooths 2 Ravagers และ 1 Stalker เพื่อการทดสอบค่ะ
[Ahsis] – ข้าเดาว่า Talanah คงช่วยแนะนำเจ้าสินะ ?
[Aloy] – ข้าจัดการพวกมันด้วยฝีมือตัวเองแล้วนำมันมาให้ตามกฎ คุณจะยอมรับรึเปล่าล่ะ?
[Ahsis] – ดี ..ได้สิ ได้ ข้ายอมรับอยู่แล้ว แต่ฝากบอก Talanah ด้วยนะว่า ถ้าต้องการตัว Redmaw ก็อย่ามัวแต่ทำเป็นเล่นมากนักนะ

เมื่อจบเควส HUNTING FOR THE LODGE แล้วก็จะทำให้ปลดล็อกเควสย่อยใหม่ออกมาคือ Side Quest : HUNTER’S BLIND โดยจุดเริ่มภารกิจจะต้องไปคุยกับ Talanah ที่ชั้นล่างของ THE LODGE



                           Side Quest: HUNTER’S BLIND




[Aloy] – ตอนที่ชั้นเอา Trophies ให้ Ahsis เขาบอกว่าคุณจะต้องใช้เวลาอีกนานในการตามหาตัว Redmaw ถึงจะช่วยชั้นได้
[Talanah] – เขาก็พูดไม่ผิดหรอก แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะตามหา Redmaw เธอต้องช่วยชั้นทำอย่างอื่นก่อน ตามคุยกันข้างนอกเถอะ

      

[Talanah] – เอาละ เธอต้องการความช่วยเหลือไม่ใช่หรอ? มีคนที่เขาอยากจะช่วยแล้วนี่ไง เอาเลย เล่าไปเลย llsadi ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
[llsadi] – ชั้นอาศัยอยู่ที่หมู่บ้าน Lone Light ทางเหนือของที่นี่ ชั้นหนีตายมาที่นี่เพราะพวก Glinthawk มันโจมตีหมู่บ้านของพวกเราจนทำให้คนที่เดินทางเข้าออกต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอด
ชั้นมีเศษเหล็กอยู่ไม่มากหรอกนะ คุณพอจะช่วยได้รึเปล่า เราไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆ
[Talanah] – บางครั้งที่นักล่าของ THE LODGE นั้นก็สามารถได้มาซึ่งรายได้ซึ่งถือว่ามันเป็นค่าธรรมเนียมในการประกอบอาชีพตามปกตินั่นแหละ แต่ครั้งนี้ Ahsis เขาปฎิเสธไปเพราะค่าจ้างมันน้อยไปสำหรับเขาน่ะ
[Aloy] – ช่างมีน้ำใจจริงๆ
[Talanah] – เมื่อก่อนชั้นกับ Tarkas ชอบออกไปช่วยพวกชาวบ้านเรื่องพวกนี้ตลอดแหละ เธอละว่าไง เอาด้วยมั๊ย ไปเจอชั้นที่ Lone Light ก็แล้วกันนะ 
[Aloy] – แล้วเรื่องเจ้า Redmaw อะไรนั่นละ?
[Talanah] – ตกลงเอาด้วยหรือไม่เอาว่ามา?
[Aloy] – ได้สิ เดี๋ยวไปตามไปที่ Lone Light ก็แล้วกันนะ

จากนั้นก็เดินทางไปที่หมู่บ้าน Lone Light ทางเหนือของที่นี่ตามจุดหมายของภารกิจสีเหลืองได้เลย เมื่อมาถึงจะพบฝูงนก Glinthawk มากมายกำลังโจมตีหมู่บ้าน เข้าไปจัดการพวกมันให้หมดแล้วไปคุยกับ Talanah และ llsadi อีกครั้ง


[Talanah] – เอาละ ดูเหมือนเราจัดการพวกมันได้แล้วนะ
[llsadi] – เดี๋ยวมันก็คงจะกลับมาอีกเพียบเหมือนเดิมตลอด แต่ยังไงทหารที่เข้ามาดูแลในตอนเช้าคงจะจัดการพวกมันได้ไม่ยากหรอกคะ
[Aloy] – เหมือนพวกมันมีอะไรล่อให้พวกมันเข้ามาที่นี่ ชั้นเห็นบางอย่างผิดปกติที่ต้นแม่น้ำ เอาเป็นว่าชั้นจะลองไปดูให้แล้วกันนะ แต่ถ้ามันกลับมาโจมตีที่นี่อีกละ?
[Talanah] – ชั้นจัดการที่นี่เอง เธอไปเถอะ 
[Aloy] – อ้าว ชั้นคิดว่าคุณบอกว่างานนี้เราจะลุยไปด้วยกันไม่ใช่หรอ?
[Talanah] – เธอไม่ต้องการให้ชั้นช่วยหรอกน่า 

เดินทางต่อไปยังเป้าหมายของภารกิจที่จุดต่อไปที่เนินเขาทางด้านเหนือเพื่อหาเบาะแสว่าทำไมพวกนก Glinthawk ถึงเข้ามาโจมตีหมู่บ้านอยู่ตลอดเวลา จนมาถึงตีนเข้า



 จัดการพวกนก Glinthawk ที่อยู่บริเวณนี้ให้หมดแล้วขึ้นไปบนเนินเขาจนพบซากสัตว์จักรกลมากมายอยู่ ใช้ Focus ตามรอยเท้าที่พบไปต่อด้วยการกด R1 เพื่อ Highlight track ตามรอยไปต่อ ปีนขึ้นไปด้านบนเขาเรื่อยจนถึงด้านบนสุดของเนินเขาจะพบพวกพรานล่าจรเข้ (Snapmaw Hunter) จำนวนมากสร้างที่พักอยู่ที่นี่


[Aloy] – ชั้นมาจากหมู่บ้านใกล้ๆนี่ ดูเหมือนพื้นที่การล่าของคุณจะทำให้พวก Glinthawk มากมายมาที่นี่เพื่อกินซากสัตว์ที่พวกคุณล่าเอาไว้นะ มันสร้างปัญหาให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นมากๆเลย
[Vashad] – ก็จริงนะ แต่พวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่มีปัญหานะ เพราะถ้าพวกเราหาหัวใจของ Snapmaw กลับไปให้นายจ้างเราไม่ได้ เราก็จะสูญเสียทุกอย่างเหมือนกัน
[Aloy] – สูญเสียทุกอย่างหรอ? ยังไง?
[Vashad] – ข้าไปขอยืมเงินมาเพื่อจะทำการเพาะปลูก แต่มันก็เกิดความล้มเหลวไปหมด จนพวกเจ้าหนี้มาทวงเงินที่ข้ายืมไปบอกว่าจะยึดบ้านและฟาร์มของข้าไปให้หมดถ้าไม่มีเงินคืนให้พวกมัน
[Aloy] – เรื่องนั้นชั้นก็เสียใจด้วย แต่พวก Glinthawk เข้าไปโจมตีหมู่บ้านจนเกิดความเดือดร้อนไปทั่วเพราะพวกคุณมาอยู่ที่นี่นะ 
[Vashad] – นั่นไม่ใช่ปัญหาของข้า พวกข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการก่อน
[Aloy] – ไหนพวก ?



[Vashad] – เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่กันแค่ 2 คนรึไง?
[Aloy] – (Compromise?)  งานนี้ไม่มีใครชนะหรอกถ้าเราสู้กันน่ะ น่าจะมีการพูดคุยกันได้บ้างนะ พวกคุณต้องการอะไรกันหรอ?
[Vashad] – พวกข้ามาหา Snapmaw Heart อยู่เพื่อเอาไปขายปลดหนี้ แต่หามาหลายวันแล้วยังไม่เจอซักอัน ถ้าได้มาซักอันก็คงพอจะช่วยปลดหนี้และช่วยบ้านของข้าได้แน่นอน
[Aloy] – แล้วถ้าชั้นไปหา Snapmaw Heart มาให้คุณตามต้องการแล้วพวกคุณสัญญาว่าจะไปจากที่นี่รึเปล่าละ?

[Omas] – ก็เป็นข้อตกลงที่นี่นะ เพราะ Ibasha พึ่งจัดการ Snapmaw ตัวเมื่อกี้ไปก็ยังไม่เจอชิ้นส่วนหัวใจของมันเลย
[Vashad] – ก็ได้ งั้นตกลงตามนั้น 
[Aloy] – ตกลงชั้นจะลองไปหามาให้ แต่จะช่วยพวกคุณแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ รออยู่ที่นี่เดี๋ยวมา




จากนั้นลงไปที่พื้นที่เป้าหมายของภารกิจที่ริมแม่น้ำอีกด้านของภูเขา จะพบ Snapmaw ฝูงนึงอยู่แถวๆนั้น เข้าไปจัดการพวกมันแล้วเก็บ Snapmaw Heart มาจากซากของพวกมันแล้วเอาไปให้ Vashad



[Aloy] – เอานี่ หัวใจที่พวกคุณต้องการ ไหนละสัญญาที่ตกลงกันน่ะ?
[Vashad] – สัญญาก็เป็นสัญญา พวกข้ามีเงินไปจ่ายหนี้แล้วคงไม่กลับมาที่นี่อีกแน่นอน
[Aloy] – ดี ไปไกลๆได้แล้ว 



[Talanah] – Aloy !! ....ยินดีด้วยนะที่ทำงานได้สำเร็จ ชั้นแค่ต้องการมาดูให้รู้เพื่อความชัวร์ว่าเธอจะรับมือกับเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้
[Aloy] – นี่คุณตามชั้นมาตลอดเลยหรอ?
[Talanah] – แน่นอน ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนชั้นหลายๆอย่าง อย่างนึงก็คือ Hawk จะไม่ทอดทิ้งคนที่เขาอุปถัมภ์แน่นอน 
[Aloy] – เดี๋ยวนะ คุณพูดแบบนี้ก็หมายความว่า ... คุณยอมรับให้ชั้นเป็น Thrush ของคุณแล้วใช่มั๊ย??
[Talanah] – ชั้นอยากจะเป็นคนอุปถัมภ์เธอให้เป็นสมาชิกของ THE LODGE นะแล้วเธอละจะว่ายังไง พร้อมที่จะออกล่าพวกสัตว์จักรกลเพื่อให้ได้มาซึ่ง Trophies และปลด Ahsis ออกจากตำแหน่งของมันได้รึยัง? 
[Aloy] – แน่นอน ตกลงสิ งั้นไปเจอกันที่ THE LODGE ก็แล้วกันนะ 

เดินทางกลับไปยัง Hunting Lodge อีกครั้งแล้วเข้าไปคุยกับ Talanah เพื่อจบภารกิจ รางวัลที่ได้ในภารกิจนี้สิ่งที่นึงที่อยู่ในกล่องรางวัลนอกจากไอเทมต่างๆแล้วก็ยังมีอาวุธใหม่อีกด้วย


นั่นคือ Terablaster หรืออาวุธที่ให้กำเนิดเครื่องเสียงที่สามารถทำให้ศัตรูเสียจังหวะและสับสนจนทำให้ได้เสียเปรียบในการต่อสู้ได้ สามารถใช้ได้ดีกับพวกศัตรูที่เป็นมนุษย์ และยังสามารถใช้ในการทำลายเกราะของพวกสัตว์จักรกลโดยไม่ต้องโจมตีได้ด้วย แต่อาวุธชิ้นนี้จะไม่สามารถปรับแต่งเพื่ออัพเกรดอะไรได้เลย เมื่อคุยกับ Talanah จนจบภารกิจแล้วก็จะทำให้ปลดล็อกภารกิจใหม่ออกมาคือ Errand Quest: DEADLIEST GAMES 



                              Errand Quest: DEADLIEST GAMES 






[Talanah] – วันนี้เป็นวันดีว่ามั๊ย?
[Aloy] – (Redmaw? ) อะไรคือ Redmaw ที่คุณพูดถึงคะ?
[Talanah] – ชั้นเองก็ไมค่อยเคยเห็นมันบ่อยนักหรอก ว่ากันว่ามันคือ Thunderjaw ที่กรำศึกหนักมาเป็นปีๆ ว่ากันว่ามันยังคงเหลือร่องรอยของพวกพรานที่เคยล่ามันกว่า 12 คนที่ด้านข้างลำตัวของมันด้วย ที่ผ่านมามีนักล่ามากมายเท่าไหร่ที่โดนมันฆ่าตายก็ไม่มีใครรู้หรอก เมื่อไหร่ที่มีกลุ่มนักล่าออกไปล่าแล้วไม่ได้กลับมา เราต่างก็โทษว่าเป็นฝีมือของ Redmaw ตลอด แต่สำหรับชั้น มันเป็นยิ่งกว่าตำนาน มันเป็นเครื่องจักรตัวเดียวที่จะทำให้ Ahsis ลงจากตำแหน่งได้ Tarkas ผู้อุปถัมปภ์ของชั้นเคยจะจัดการมันได้ครั้งนึงแต่ก็ไม่สำเร็จ Tarkas เองเป็นคนชักนำชั้นออกมาจากความภัคดีในครอบครัวของชั้น แต่เขาก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้ชั้นคิดถึงครอบครัวของชั้นเหมือนกัน อีกอย่างถ้ามองในฐานะสมาชิกคนนึงของ The Lodge ชั้นก็ต้องการโค่น Ahsis ด้วย

[Aloy] – (Ahsis?) จริงๆชั้นก็พอรู้นะว่าทำไมชั้นถึงเกลียด Ahsis ว่าแต่คุณละทำไมถึงไม่ชอบเขาด้วย 
[Talanah] – ครอบครัวของชั้นมักชอบคุยโม้โอ้อวดว่าเป็นคนของ The Lodge พ่อและพี่ชายของชั้นต่างก็เป็น Hawk Ahsis ทำให้การเสียสละของพวกเขาถูกหลงลืมไป 
[Aloy] – เสียสละอะไรหรอ?
[Talanah] – พวกเขาตายในตอนที่เกิดการฆาตกรรมหมู่ พวกเขาควรได้รับเกรียติในฐานที่เป็น Hawk แต่ Ahsis กลับไม่อนุญาติให้ใครสรรเสริญหรือกล่าวถึงพวกเขา

[Aloy] – (Family?) ครอบครัวของคุณเป็นสมาชิกของ The Lodge ได้ยังไงหรอ?
[Talanah] – ตระกูลที่สูงศักดิ์ในเผ่า Carja มักที่จะส่งลูกชายเข้ามาเป็นสมาชิกของ The Lodge รุ่นแล้วรุ่นเล่า เพราะพวกเขาต้องการตำแหน่งที่เป็นเจ้าคนนายคน ชั้นต้องการจะเปลี่ยนแปลงไอ้เรื่องพวกนี้ เรื่องที่ใครซักคนจะมีค่ากว่าใครอีกคนโดยไม่ต้องมีคุณธรรมก็ได้ ทุกๆคนคิดว่าชั้นไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรเพราะเป็นแค่ยัย Talanah ชั้นเกลียดอะไรแบบนี้มาก  
[Aloy] – ชั้นเข้าใจนะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาชั้นก็เป็นพวกนอกรีตของ Nora พวกเขามักจะบอกเสมอว่าชั้นไม่ใช่พวกเดียวกับเขา แต่ไม่นานเมื่อชั้นได้ออกเดินทางออกจากดินแดนของชั้น ผู้คนกลับเรียกชั้นว่า Aloy แห่ง Nora แทนที่จะเป็นเรียก Aloy เฉยๆโดยไม่ต้องมีคำว่ามาจาก Nora แปลกมั๊ยละ? 
[Talanah] – ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็จะจำไว้นะ Aloy แห่ง Nora



[Aloy] – (Massacre?) ที่คุณเรียกว่า การสังหารหมู่นั่น มันเกิดอะไรขึ้นหรอ?
[Talanah] – ในสมัยราชา Jiran ผู้เหี้ยมโหด มีครั้งนึงที่เริ่มวิตกจริตไม่ไว้ใจพวกที่รู้มาก เลยส่งพวกนั้นเป็นพันๆคนไปสังหารที่ Sun Ring เมื่อบรรดา Hawks จาก The Lodge รู้ข่าวก็พยายามเข้าไปห้ามการสังหารหมู่ครั้งนี้ พวกมันก็จับโยนพวก Hawks ให้ไปตายใน Sun Ring ด้วยเลย พอพวกสัตว์จักรกลที่เริ่มบุกเข้ามาฆ่าคนบริสุทธิ์ใน  Sun Ring บรราดา Hawks ที่เหลือก็โดดลงไปช่วยกันหมด แน่นอน พ่อกับพี่ของชั้นก็คือ 2 คนในกลุ่ม Hawk ที่ไปในวันนั้น

[Aloy] – (Sun Ring?) ชั้นเสียใจด้วยนะ ... มันเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนใน Sun Ring ?
[Talanah] – ทุกคน สู้กับพวกจักรกลจนตัวตาย ถ้าเธออยากรู้อย่างละเอียดลองไปถาม Ligan จะเหมาะกว่าเพราะเขาก็อยู่ที่นั่นในวันนั้นด้วย ในเช้าวันที่จะเกิดการสังหารหมู่ พ่อเรียกชั้นไปบอกว่าให้เตรียมตัวไปเจอกันที่นอกเมือง พ่อบอกมีพวกเขามีแผนที่จะหนีออกจากที่นี่ ชั้นเองก็รออยู่เป็นชั่วโมง จนกระทั้งได้รับข้อความจากพ่อ ว่าให้ชั้นหนีออกจากเมืองไปซะ ชั้นก็เลยต้องหนีเพราะไม่อยากขัดคำสั่งพ่อ ถึงตอนนี้ชั้นละอยากจะซัดพ่อจริงๆเลย
[Aloy] – เพราะเขาไม่ต้องการให้คุณตายไปพร้อมกับเขาไง 
[Talanah] – Nor ต้องการให้ผู้คนหลงลืมพวก Hawk ที่ออกไปปกป้องผู้บริสิทธิ์จนตัวตายในวันนั้น โดยเฉพาะชายที่ได้รับผลประโยชน์จากการตายของพวกเขา ไอ้ Ahsis !!

 [Aloy] – (What Now ?) แล้วตกลงชั้นต้องทำไงต่อ?
[Talanah] – เอาละ เธอในฐานะ Thrush พร้อมรึยังที่จะพิสูจน์กิตติศัพท์ของตัวเองด้วยการไปจัดการ Thundetjaw และ Stormbird รึยัง?
[Aloy] – แล้วเรื่อง Redmaw ล่ะ?
[Talanah] – ชั้นจะตามหามันจนกว่าจะพบ และเมื่อชั้นเจอตัวมันแล้ว ชั้นก็หวังว่าจะมีเธออยู่ที่นั่นตอนนั้นด้วยนะ 

หลังจากคุยจบ เมื่อเปิดแผนที่ดูจะมีจุดภารกิจสีเหลืองขึ้นในแผนที่ 2 จุด โดยแต่ละจุดคือจุดที่อยู่ของสัตว์จักรกลที่เป็นเป้าหมายที่จะต้องไปจัดการ ประกอบด้วย Thundetjaw และ Stormbird



สิ่งที่ต้องทำคือเข้าไปในพื้นที่เป้าหมายแล้วจัดการกับ Thundetjaw และ Stormbird และเก็บ Trophies ซึ่งเป็นคีย์ไอเทมจากพวกมันมา แล้วก็นำเอา Trophies กลับไปให้ Ligan ที่เมือง Meridian ได้เลย



[Ligan] – เจ้าได้ Trophies มาแล้วหรอ? ข้าจะเก็บทั้งหมดเอาไว้จนกว่า Sunhawk จะกลับมานะ
[Aloy] – แล้ว Ahsis กับ Talanah ไปไหนหรอคะ?
[Ligan] – Ahsis ได้ข่าวเรื่องของ Redmaw และกำลังเตรียมตัวไปล่ามัน แต่ทันทีที่ Talanah รู้เรื่องเธอก็รีบตามไปอีกคน
[Aloy] – พวกเขาต่างก็ไปคนเดียวหรอคะ?
[Ligan] – Ahsis ไม่ได้ไปพร้อม Thrush ของเขาหรอก ส่วน Talanah โชคดีหน่อย ข้าว่าข้าเห็นมีพวก Outlander ตามเธอไปด้วยนะ 
[Aloy] – ชั้นไม่ยอมให้ Ahsis มันใช้เลห์กลจนใครต้องตายอีกหรอก พวกเขาไปที่ไหนกันคะ ชั้นจะลองหาทางช่วยเท่าที่จะทำได้ 
[Ligan] – อืมม เจ้าก็พูดถูกนะ พวกเขาไปเดินทางไปทางใต้ของ Spearshafts น่ะ เจ้าควรจะรีบหน่อยก็แล้วกัน 

เมื่อจบเควส DEADLIEST GAMES แล้วก็จะทำให้ปลดล็อกเควสย่อยใหม่คือ Side Quest : REDMAW ออกมาให้ทำต่อ ...


             

                  

                                      Side Quest: REDMAW                       


กำหนดภารกิจที่ Side Quest: REDMAW แล้วมุ่งหน้าลงใต้ไปยังจุดหมายภารกิจสีเหลืองจนพบกับจุดที่  Talanah กำลังถูกพวก Outlander รุมโจมตีอยู่ เข้าไปจัดการศัตรูให้หมดแล้วคุยกับ Talanah



[Talanah] – ขอบคุณนะ ชั้นไม่เห็นเลยว่าพวกมันดักโจมตีอยู่ แน่นอนละ เขาคงจ้างพวกมันมาเพื่อถ่วงเวลาชั้นจาก Redmaw พวกเขาต้องตายเพื่อรางวัลที่เขาต้องการจริงๆ
[Aloy] – ตอนนี้ Ahsis อยู่ที่ไหน?
[Talanah] – เขาไปหา Redmaw ทางนี้ ตามมา รีบเลย !! 

[Talanah] –  อวดดี ! เขาต้องการจะจัดการ Redmaw คนเดียวเพื่อจะได้รางวัลและชื่อเสียงคนเดียวแทนที่จะจัดการกับ Thrush ของเขา คนอุปถัมภ์ชั้นก็ทำแบบนี้เหมือนกัน เข้าไปจัดการกับ Redmaw คนเดียว และก็ไม่ได้รางวัลอะไรติดมือกลับมา จนกระทั้งเขารู้ว่าเราต้องจัดการกับ Ahsis ให้หลุดจากตำแหน่งถึงจะถูก .... อ่ะ เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้นี่นา ชั้นไม่รู้แล้วว่า Ahsis กับ Redmaw ไปทางไหนแล้วเนี้ย !!?
[Aloy] – ทางนี้ Redmaw มันพังต้นไม้เป็นทางนี่ไง 
[Talanah] –  ชั้นกลัวว่าเราจะไปไม่ทันเวลาจริงๆ ตอนเกิดเรื่องกับ Tarkas ชั้นไปทันเวลาพอที่จะเห็นเขาก่อนที่เขาจะตายเพราะทนพิษของบาดแผลไม่ไหว แต่กับพ่อ ชั้นไม่ได้โชคดีแบบนั้น



ใช้ Focus สแกนดูร่อยรอยแล้วกด R1 เพื่อ Highlight Track แล้วตามร่องรอยไปจนถึงลานกว้างก็จะพบ Ahsis กับ Redmaw ที่กำลังสู้กันอยู่


ซึ่งก็เป็นอย่างที่ Talanah คิดไว้ Ahsis สู้ Redmaw ไม่ไหวจนโดนอัดกระเด็นไป ทำให้ Aloy กับ Talanah ต้องร่วมมือกันจัดการ Redmaw กันเอง


Boss Redmaw ก็คือ thunder jaw จุดอ่อนทั้งหมดก็จะเหมือนกัน สามารถใช้ธนูเจาะเกราะยิงทำลายปืน Disc Launcher ข้างๆลำตัวของมันให้หลุดออกเพื่อเอามาใช้ยิงมันได้  เมื่อจัดการมันได้แล้วก็เข้าไปคุยกับ Talanah อีกครั้ง แล้วขึ้นไปคุยกับ Ahsis ที่นอนบาดเจ็บอยู่บนเชิงเขา


[Talanah] –  พระเจ้า เราทำสำเร็จ !! สวยงามมาก เราเป็นทีมที่สุดยอดเลยว่ามั๊ย?
[Aloy] – ตอนนี้คุณก็เป็น Sunhawk แล้วสินะคะ?
[Talanah] –  เรื่องนั่นน่ะ ....



[Aloy] – Talanah ... ดูสิ เขายังไม่ตาย 
[Ahsis] – ไป ..ไปไกลๆเลย Nora โสโครก !!
[Talanah] – แกจบแล้วละ The Lodge จะได้เป็นอิสระจากอิธิพลของแกซะที   
[Ahsis] – ข้าเป็นคนทำให้ The Lodge รอดพ้นจากช่วงเวลาที่เลวร้าย !!
[Talanah] – ไม่ !! นายฝังมันไปพร้อมกับความทรงจำของพ่อชั้น 
[Ahsis] – ข้าน่าจะ ข้าน่าจะให้เจ้าสู้กับ Redmaw ก่อนจนมันหมดแรงแล้วค่อยเข้าไปจัดการมัน บ้าจริง !! ……..อ๊ากก ... 

        

[Talanah] – ตายอยู่ตรงน่ะดีแล้ว Sunhawk แห่ง Hunter Lodge เกือบจะได้อายเขาไปทั่วแล้วสิ 
[Aloy] – หลังจากเรื่องทั้งหมด คุณจะร้องไห้ให้เขารึเปล่าเนี้ย?
[Talanah] – ไม่แน่นอน แค่ไม่ต้องเห็นหน้าเขาตอนชั้นขึ้นเป็น Sunhawk นี่ก็ถือว่าดีแล้ว 
[Aloy] – โอเค ฮ่าๆ แล้วเราเอาไงต่อ
[Talanah] – ถ้าเธอว่างเมื่อไหรก็แวะไปหาชั้นที่ Hunter Lodge ได้ อยากจะต้อนรับในนามของ Sunhawk คนใหม่ซะหน่อยน่ะ


จากนั้นก็เดินทางกลับไปคุยกับ Talanah ที่ Hunter Lodge ในเมือง Meridian อีกครั้ง



[Talanah] – ดูสิ ทั้งหมดนี่คือสิ่งอนุสรณ์สำหรับเตือนความจำของพ่อ พี่น้องชั้น และทุกๆคนที่ตายที่ Sun Ring เธอทำให้มันเป็นจริงขึ้นมานะ Aloy ขอบคุณจริงๆ 
[Aloy] – (Sunhawk) เป็นไงบ้างการได้เป็น Sunhawk ?
[Talanah] – เหมือนเห็นตะวันขึ้นหลังจากคืนที่มืดมิด ชั้นเป็นหนี้บุญคุณเธอนะ คิดซะว่าที่นี่คือบ้านของเธอนะถ้าเธอต้องการ 
[Aloy] – (The Lodge) แล้วจากนี้ The Lodge จะเป็นยังไงต่อไปล่ะ
[Talanah] – ในฐานะของ Sunhawk ชั้นจะทำให้แน่ใจว่าพวกเราจะใช้ความสามารถที่มีเพื่อก่อให้เกิดเป็นอนาคตตามที่เราหวังไว้ การคัดเลือกสมาชิกที่จะเข้ามาเป็นฮันเตอร์ของ The Lodge นั้นต้องยึดจากพื้นฐานของทักษะและความมุ่งมั่นเป็นหลักโดยจะไม่คำนึงถึงว่าเขาคนนั้นจะเป็นสายเลือด Carja หรือไม่ก็ตาม The Lodge จะใช้ระบบการปกครองแบบเก่าอีกไม่นานหรอก 
[Aloy] – (Prayer) ก่อนจะขึ้นมาชั้นได้ยินเธอพูดถึงเรื่องการสวดอธิฐาน ชั้นไม่เห็นเคยได้ยินเลยอ่ะ? 


[Talanah] – โอ้ ดวงตะวันที่แสนยิ่งใหญ่ ข้าของทำสัญญากับดวงจันทร์เพียงเพื่อเวลาที่เหลือของเรายามค่ำคืนได้หลับเต็มตื่นอย่างเงียบงัน ให้โอกาสชุดเกราะที่ถูกท่านแผดเผายามกลางวันให้หายร้อนรุ่ม ให้แสงสว่างผ่านหอกของพวกเขาเปล่งประกายจากท้องนภาเพื่อนำทาง Hawk Gravid Khane Morza , Hawk Sirav Khane Pir , Hawk Yusalin Khane Jageer , Hawk Khulasiv Khane Sovaliy , Hawk Brativin Khane Padish พี่ชายที่รัก และ Sunhawk Talavad Khane padish พ่ออันเป็นที่เคารพยิ่ง  ขอให้ความทรงจำและการเสียสละของพวกเขาเป็นสิ่งนำทางให้กับฮันเตอร์และผู้คนทุกคนให้ดำเนินรอยตาม 



[Aloy] – ยินดีกับเธอด้วยนะ Talanah ชั้นคงต้องไปแล้วละ
[Talanah] – ขอบคุณมากนะ Aloy ไม่ใช่ Nora เสมอไป
[Aloy] – ฮ่าๆๆๆๆ
[Talanah] – ขอให้จงล่าเหยื่อได้เสมอนะ  


                                        Side Quest ที่เมือง Meridian





                                  Side Quest: HONOR THE FALLEN





[Namman] – เจ้าคือชาว Nora ใช่มั๊ย ? ข้าชื่อ Moumful Namman ต้องขอโทษด้วยนะที่ต้องมาเจอกันในเวลาแบบนี้
[Aloy] – เวลาแบบนี้? ทำไมหรอค่ะ
[Namman] – เวลาแห่งความโศกเศร้าเสียใจไง สิ่งที่เจ้าควรยึดถือเครื่องรางของขลัง...ดะ เดี๋ยว ขอโทษที เจ้าไม่ได้มาเรียกร้องค่าเสียหายใช่มั๊ย? มีคนของเจ้าหายสาบสูญไปที่ Sun – Ring หรอ?
[Aloy] – เอ่อ เปล่าค่ะ ชั้นรู้เรื่องเกี่ยวกับ Red Raid แต่คนของ Carja ไม่ได้ติดค้างอะไรกับชั้น
[Namman] – หรอ ? งั้นก็ดีเลย ข้าจะได้ขอความช่วยเหลือกับเจ้าได้อย่างเต็มที่หน่อยเจ้าคนต่างถิ่น จะเป็นบุญคุณกับข้ามากๆเลยจริงๆนะ ในยุคที่ผู้คนกำลังตามหาสิ่งที่พวกเขายึดเหนี่ยวและนับถือ พวกเขากำลังหลงทางอยู่กับเสียงของตัวเองมากกว่าที่จะเอ่ยคำสวดบูชาก้อนหินศักดิสิทธิ์แห่ง Carja เหมือนก่อน มันกลายเป็นอุปสรรคสำหรับชาวเมือง Meridian ในตอนนี้ แต่ดูเหมือนทุกคนจะไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย ภาระหนักก็ต้องตกอยู่กับนักบวชอย่างข้านี่แหละ 

[Aloy] – (Obstacles) อุปสรรค์ที่ว่าคืออะไรหรอคะ?
[Namman] – นักแสวงบุญคนแรกชาว Oseram ผู้แสวงหาที่กำลังออกไปเยี่ยมคารวะศาลเจ้าแห่งกษัตริย์ที่สุดถนนก่อนถึงเมืองเขารออยู่ที่นั่นเพราะถูกพวก Sun –Priest แก่กระโหลกกระลาไม่ยอมให้เข้าไปด้านในบอกว่าที่ไม่ให้เข้าเพราะเขาเป็นคนนอกศาสนา ส่วน Utaru พวกร่วมงานของเธอหายไปในบึงที่เต็มไปด้วยพวก Snapmaws เต็มไปหมด  และ เทวสถานที่เคยถูกสร้างมาเพื่อปกปักษ์รักษาผู้คนจากพวกเครื่องจักร  ประโยชน์ของมันก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ แต่พวก Banuk นักล่าที่ใช้พวกสัตว์จักรกลเป็นอาวุธ เข้ามาอาศัยอยู่แถวๆนั้นกลับทำเครื่องหมายบนภูเขา Sun’s Climb เพื่อเรียกวิญญาณของเหล่าเครื่องจักร ข้าเข้าใจว่าพวกเขาได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็ไม่ต่างอะไรกับการล่อให้พวก Glinthawks ที่อยู่บนยอดเขาลงมา
[Aloy] – สรุป จัดการพวกสัตว์จักรกลให้หมดจากศาลเจ้า 2 แห่งและหาทางเจรจาให้นักบวชผ่านเข้าไปที่ศาลเจ้าแห่งกษัตริย์ แล้วมีไรอีกมั๊ย? 
[Namman] – นั่นก็แล้วแต่เจ้าจะสงเคราะห์ ที่บอกไปคือเรื่องที่ข้าได้ยินมาเท่านั้น


[Aloy] – (Rituals) Namman พิธีกรรมและการอธิฐานไม่สามารถนำผู้ที่จากไปแล้วกลับมาได้นะ 
[Namman] – ไม่แน่นอน แต่มันทำให้ผู้ที่สูญเสียค้นพบตัวเอง การสวดภาวนาจะช่วยมอบความเข้มแข็งให้ และทำให้พวกเขามีความหวังอีกครั้งเหมือนตะวันของวันใหม่

[Aloy] – (Why ask an outlander for help?) ชั้นไม่คิดว่าพวกนักบวชเพื่อนคุณอยากให้คนต่างถิ่นอย่างชั้นมาช่วยหรอกมั้ง
[Namman] – ถ้าเพื่อดวงตะวันแห่งความภูมิใจเพียงอย่างเดียวของเรา จนถึงตอนนั้นกว่าความสำเร็จจะมาถึงข้าก็ไม่เหลือใครที่จะมาใส่ชุดนักบวชเพื่อให้ความทะเยอทะยานของข้าได้สมปราถนาอีกแล้ว และถ้าต้องการสิ่งที่มากกว่าแค่ผู้ศัทธรา ผ้าคลุมมีฮู๊ดสีแดงนี่มันก็แค่ของบังตาของเรา เราต้องทำอย่างประนีประนอมที่สุดเพราะ หัวหน้านักบวชในสมัยราชาคนเก่าชอบใช้คำสอนและการภาวนาด้วยการเข่นฆ่าฟัน
[Aloy] – การเข่นฆ่า คุณหมายถึงที่ Red Raids น่ะหรอ?
[Namman] – ใช่ และก็เกิดการสังเวยตามมาอีกมากมาย
[Aloy] – แล้วทำไมพวกนักบวชต้องให้การสนับสนุนการนองเลือดครั้งนั้นด้วยละ?
[Namman] – บางทีพวกเรา Carja ก็สนเรื่องประเพณีมากกว่าความถูกต้องยังไงละ
[Aloy] – อ่า ดูเหมือน Carja กับ Nora ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก

[Aloy] – (New Sun Priests?) คุณผิดหวังในนักบวช Sun Priests แล้วทำไมคุณยังเป็นนักบวชพวกเดียวกับเขาอยู่อีกละ?
[Namman] – ที่ผ่านมาข้าใข้เวลาทั้งหมดมองไปที่วิหาร เสียงของพี่น้องข้าก็ก้องสะท้อนมาจากบานประตู แม้พวกเขาจะไม่สามารถต้านทานความตั้งใจของข้าได้ และพวกเขาก็พยายามจนทำได้ในที่สุด พวกเขาพุดว่า เมื่อเราอยู่ท่ามกลางความรัก ชุดเสื้อคลุมของเราจะถูกย้อมด้วยสีแดง ตอนนี้พวกเขาทำให้กลายเป็นสีแดงเพราะเปื้อนเลือดไปแล้ว 
[Aloy] – มันเกิดขึ้นได้ยังไงค่ะ?
[Namman] – ชุดนักบวชของพวกเราส่วนใหญ่ส่วนใหญ่ถูกส่งมอบมาจากนักบวชรุ่นเก่าที่หนีไปก่อนที่จะถึงยุคของราชา Sun king องค์ใหม่ มันก็เหมือนพวกเขาทิ้งสัญลักษณ์แห่งบาปของพวกเขาให้เราสวมใส่ สำหรับข้า ถือว่าพวกเขาทิ้งภาระที่หนักหนามากเอาไว้ 

[Aloy] – (Your brother?) ตอนนี้พี่น้องของคุณไปไหนแล้วล่ะคะ?
[Namman] – เขาคงจะรอข้าอยู่ที่รอยทางแห่งแสงของตะวัน หวังว่าอ่ะนะ เขาบอกว่า ให้ออกมาต่อต้านการสังเวยเพื่อให้นักบวชตั้งคำถามไปยังราชา Sun King ว่าที่ผ่านมาการโทษของเขาเป็นสิ่งที่ผิด 
[Aloy] – คุณเองก็ต้องสูญเสียคนที่คุณรักไปเหมือนกัน ขอโทษด้วยนะที่ถาม
[Namman] –ไม่เลย ข้าไม่ได้เสียเขาไปไหน ทุกครั้งที่มองชุดๆนี้ ชั้นก็จะเห็นความทรงจำของเขาทุกครั้ง 
[Aloy] – ชั้นจะช่วยเท่าที่จะช่วยได้ เพื่อเป็นการไว้ทุกข์ให้พวกเขาก็แล้วกัน
[Namman] – ขอให้ความทรงจำอันเป็นเกรียติยศของเขาจะมาเป็นเกรียติยศของพวกเราทุกคนนะ



จากนั้นเปิดดูแผนที่จะพบจุดภารกิจสีเหลืองเพิ่มขึ้นมาในแผนที่ 3 จุดที่ต้องไป ซึ่งก็คือจุดที่เหล่านักบวชทั้ง 3 คนของ Namman ที่กำลังมีปัญหาอยู่ โดยจะไปจุดไหนก่อนก็ได้



                                      ที่ Shrine of King สุสานกษัตริย์ทางทิศเหนือ






[Brageld] – เจ้าเข้าไปด้านในไม่ได้หรอก ตาแก่หนังเหี่ยวในชุดนักบวชมันว่าอย่างงั้น 
[Aloy] – ชั้นว่าชั้นอาจจะพูดโน้มน้าวใจเข้าได้ แต่เผ่า Oseram มาสนใจอะไรกับศาลเจ้าของพวก Carja ล่ะ?
[Brageld] – เพื่อเตือนความจำถึงใครคนนึงที่จากไปเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ก็นะ เด็กวัยรุ่นอย่างเธอจะรู้จักความสูญเสียได้ไงว่ามั๊ย ?
[Aloy] – ก็ลองเล่าให้ชั้นฟังสิ 
[Brageld] – ข้าเคยมีคนรัก เขาทำงานเป็นช่างปั้นอนุสาวรีย์ของไอ้ราชาบ้านั่น จากนั้นเขาก็ให้พวกมันแสดงให้เห็นถึงเรื่องขนบธรรมเนียมอันดีงามที่ Sun Ring  พอพวก Carja คืนเขากลับมาแค่เศษกระดูกหักๆของเขามาให้ข้า พวกมันใช้เขาไปทำอะไร? พวกเขาสร้างมันขึ้นใหม่ไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถทำให้ผมยิ้มได้อีกแล้ว 
[Aloy] – แล้วคุณจะมาดูอนุสาวรีย์ของอดีตราชา Sun King ไปเพื่ออะไร?
[Brageld] – เพราะผมต้องการเห็นงานที่เขาเป็นคนทำอีกครั้งไง รูปปั้นที่เขาสร้างขึ้นมากับมือ เซ็ทอุปกรณ์ช่างของเขา ข้าเชื่อว่านั่นคือจิตวิญญาณของเขา แต่ก็นะ ไอ้นักบวชเฒ่านั่นมันไม่ยอมให้ผมเข้าไปใกล้รุปปั้นนั่นเลย
[Aloy] – เดี๋ยวจะลองพูดให้นะ




[Jahamin] – กลับไปซะ นังหนู ตอนนี้ Jahamin ผู้ตั่งมั่นปรารถนาจะหลบซ่อนตัวอยู่คนเดียวไปซักพัก
[Aloy] – ถ้าคุณอยากจะอยู่คนเดียวก็เชิญไปปลีกวิเวกที่อื่นเลย ที่นี่คนอื่นเขาต้องการใช้เป็นที่สวดอธิฐานกัน 
[Jahamin] – มันจะทำให้เสื่อมเสีย อีกหนึ่งความด่างพร้อยของสิ่งนึงที่เคยบริสุทธิผุดผ่อง จริงๆแล้วเผ่าของเราสูญเสียแสงนำทาง ราชาของเราทำในสิ่งที่ผิด วิหารของเราก็มีมลทิน ทหารก็ยังอ่อนแอ แม้ดวงตะวันยังต้องรีบเร่งโผล่ข้ามขอบฟ้าด้วยความอับอาย 

[Aloy] – (what was once pure?) อะไรหรอที่ครั้งนึงเคยบริสุทธิ คุณหมายความว่า Carja มีมลทินเรื่องอะไรงั้นหรอ ?
[Jahamin] – เมือง Meridian ไม่ได้มีความหมายที่ใครเป็นสร้างมันขึ้นมา แต่อยู่ที่ใครทำให้มันยิ่งใหญ่ต่างหาก ที่นี่มันเคยบริสุทธิจนพวกต่างถิ่นมานั่งมานอนกันไปทั่วแบบทุกวันนี้นี่แหละ 
[Aloy] – คุณหมายความว่า Meridian จะบริสุทธิผุดผ่องก็ต่อเมื่อพวกคนต่างถิ่นถูกจับอยู่ในคุกหรือตายในลานประลองของคุณงั้นหรอ?
[Jahamin] – ดวงตะวันต่างหากที่บริสุทธ์ผุดผ่อง แม่สาวน้อย ที่นี่เราไม่ตั้งคำถาม ทุกอย่างจะดำเนินไปตามคำทำนายที่ถูกกำหนดมาอยู่แล้ว 

[Aloy] – (your sun king is false?) ชั้นนึกว่าราชา Avad ขึ้นครองบัลลังย์ด้วยเจตจำนงแห่งด้วยตะวันนะเนี้ย?
[Jahamin] – ก็แค่เด็กน้อยที่ทำให้พ่อตัวเองต้องเสื่อมเสียเกรียติและนำมาซึ่งความอัปยศอดสูของพวกเราทุกคนที่บังอาจฆ่าราชา Sun King นำมาซึ่งคืนวันที่มืดมิดมาสู่พวกเรา
[Aloy] – แล้วจะต้องมีคนต้องตายอีกมากมายแค่ไหนที่ราชา Sun King บ้านั่นฆ่า ถ้าราชา Avad ไม่เข้ามาหยุดเขาไว้ 
[Jahamin] – ดวงตะวันเรียกร้องให้เกิดการนองเลือด ท่านไม่มีทางเลือกเลยต้องทำตาม 

[Aloy] – (your Temple is Corrupt?) คุณบอกว่าวิหารของคุณมีมลทินแล้วคุณเป็นหนึ่งในนักบวชทำไม?
[Jahamin] – พวกเขาเรียกตัวเองว่า Sun-Priests แต่ไม่ใช่นักบวชที่เชื่อถือได้หรอกพวกเด็กขี้ประจบสอพลอทั้งนั่นแหละ แล้วใครกันละที่ให้พวกมันทั้งหมดมารับใช้ดวงตะวันจนเป็นเรื่องที่น่าละอายใจจนไม่มีใครอยากสนใจจะรับรู้แบบนี้ 
[Aloy] – แล้วนี่อะไรเนี่ย ไม่พอใจหรอ? จะร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจหรอ?
[Jahamin] – เจ้าไม่รู้เรื่องพิธีกรรมของพวกเรา ยังจะกล้ามาสบประมาทข้าอีกเรอะ!

[Aloy] – (your Soldiers are weak?) แล้วทำใมคุณถึงบอกว่ากองทัพของคุณอ่อนแอลงละ เพราะคุณไม่ได้เข้าร่วมรบในสงครามด้วยงั้นหรอ?
[Jahamin] – ความเชื่อถือในราชบัลลังย์ของ Carja ถูกทำให้สกปรกแปดเปื้อนด้วยฝีมือของพวกทหารรับจ้าง มันเรียกว่า การปฎิวัติ !! ไม่ใช่การล้างบาปอะไรเลย ในขณะที่กองทหารอันศักดิ์สิทธิ์ของเราถูกขับไล่ออกจากเมืองบางก็ถูกเนรเทศไปยัง Sunfall หรือไม่ก็ดินแดนต้องห้ามทางตะวันตก เผ่าของเรากำลังร่ำไห้ เราจะเดินไปสู่แสงสว่างได้ยังไงถ้าตอนนี้เราถูกปกคลุมด้วยเงามืด 
[Aloy] – แต่นอกจากคุณที่ไม่พอใจ ดูเหมือนทุกคนเขาจะมีความสุขกันนะที่พวกทหารนั่นไปจากเมืองได้ เอาละชั้นขี้เกียจมาเสวนากับคุณแล้ว ตกลงจะหลีกทางไปหรือไม่ไป ไม่มีทางเลือกอื่นให้แล้วนะ 
[Jahamin] – ข้าอยู่ที่นี่ก็ด้วยเจตจำนงของดวงตะวันที่ยิ่งใหญ่ 



[Aloy] – (Change has already happen) ถ้าตราบใดที่คุณไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง สันติภาพที่คุณพยายามที่จะสร้างขึ้นมาด้วยความอาฆาตมันก็เหมือนคุณวางยาพิษตัวคุณเอง
[Jahamin] – ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาสงสารหรอกนะ !!
[Aloy] – ชั้นไม่ได้จะมาทำบุญทำทานอะไรให้คุณหรอกนะ แต่ถ้าคุณยอมหลีกทางให้หน่อยอย่างน้อยคุณก็ยังพอที่จะภาคภูมิใจในตัวเองได้อยู่ ในเมื่อมันสำคัญกับคุณมากนักอ่ะนะ 
[Jahamin] – คอยดูนะ ชั้นจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้าแน่นอน 
[Aloy] – คุณควรจะหนีไปให้ไกลเลยจะดีกว่านะ 




[Brageld] – เขาสร้างผลงานที่ดีที่สุดที่เขาทำได้ให้กับพวกมัน แต่ดูตอนนี้สิ?
[Aloy] – พวกเขาทำลายมันเพราะเกลียดในสิ่งที่เคยยึดถือ
[Brageld] – พวกมันทำลายสิ่งที่ทาสทุ่มเทชีวิตและตายเพื่อมัน เหล่าทาสที่ถูกลืมและไม่เคยถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์อีกเลย พวกสิ้นคิด !! ถ้าพวกมันคิดถึงดวงตะวันที่ตกที่สะพานนี้มากนักทำไมไม่โดดลงไปพร้อมกับมันเลยละ? แต่ยังไงข้าก็ขอบคุณเจ้ามากๆนะที่ช่วยนำศักดิ์ศรีที่ข้าต้องการกลับมาให้ 
[Aloy] – หวังว่าคุณจะได้รับความสงบสุขนะ
[Brageld] – อ่า สันติ หรอ ข้าไม่รู้จะหามันได้จากที่ไหน หลังจากที่เห็นพวก Carja มันทำ


                              ที่ Sun’ Climb ศาลเจ้าบนภูเขาทางทิศตะวันออก

เมื่อมาถึงที่หมายปีนเขาขึ้นไปชั้นบนสุดจัดการ Glinthawks 3 ตัวให้หมด นักบวชที่ซ่อนตัวอยู่ก็จะออกมา



[Kimik] – เจ้าเป็นฮันเตอร์ที่เก่งกว่าข้าเยอะ ในขณะที่ข้ากำลังขึ้นมาวาดสัญลักษณ์ จิตวิญญาณของพวก  Glinthawks ก็กลับมีชีวิตขึ้นมา
[Aloy] – มันจะยังตามมาอีกมากเลย แล้วรู้มั๊ยวามันมาจากไหน?




[Kimik] – รู้สิ มันก็เป็นวัฎจักรเหมือนเหล่าเครื่องจักรอีกมากมาย เมื่อเหล่าจิตวิญญาณได้พบร่างใหม่แต่สำหรับเรามันอาจนานเกินกว่าที่จะจำ เพราะแบบนั้นข้าถึงจะต้องหนีจากเรื่องนี้ซะที อนุสาวรีย์ของพวกหมอผีอย่างเรามันไม่มีหรอก พวก Carja ได้แต่ต้องรีดเอาความรู้ของเรา น้ำมันจากพวกเครื่องจักรที่เอามาวาดสัญลักษณ์จะช่วยปกปักษ์ความทรงจำของพวกเขา เพื่อป้องกันไม่ให้คนรุ่นหลังหลงลืมพวกเขาไป ขอบใจเจ้ามากนะ ฮันเตอร์


                                   ที่ Lake Shrine ศาลเจ้ากลางทะเลสาบทางทิศใต้

เข้ามาในพื้นที่เป้าหมายจัดการจระเข้ Snapmaw 2 ตัวในทะเลสาปให้หมดนักบวชที่ซ่อนตัวอยู่ก็จะออกมา


[Rea] – เมื่อตอนที่เราหนีออกมาจากคุกหลังจากมีการปฎิวัติชั้นก็รู้สึกเสียใจมาตลอดทุกครั้งที่นึกถึงเพื่อนที่ชั้นทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ตอนนั้นชั้นได้แต่วิ่งไม่เหลียวหลัง แต่โชคดีที่เธอยังอยู่ ต้องขอบคุณที่เธอยังปลอดภัยเพื่อรอชั้นกลับมา แม้จะเหลือแค่ซากศพก็ตามเถอะ
[Aloy] – ชั้นก็ไม่อยากเร่งรัดอะไรคุณหรอกนะ แต่ที่นี่มันไม่ปลอดภัยแบบนี้นานนักหรอก 
[Rea] – ชั้นเข้าใจค่ะ ชั้นทำธุระเสร็จพอดีเลย ลงไปในน้ำแล้วลองงมหาดุก็จะพบกำไลเก็บเมล็ดพืชที่เธอทิ้งไว้ก่อนตาย เมล็ดพันธ์ครึงนึงชั้นจะปลูกไว้ที่นี่ เพื่อให้ระลึกถึงเธอเมื่อชั้นมาที่ป่าแห่งนี้อีกครั้ง ชั้นจะบอกทุกคนว่าเธอตายอยู่ที่นี่ และกลายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านเกิดของตัวเอง แต่เธอและครอื่นๆจะยังอยู่กับชั้นเสมอในทุกๆครั้งที่เห็นเมล็ดพันธ์ได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ผ่านฤดูฝนจนถึงเวลาได้เก็บเกี่ยว ... โอ้.. 
[Aloy] – เป็นอะไรหรอค่ะ?
[Rea] – กำไลของเธอ ...ชั้นคิดว่าเธอกำลังมาอยู่ด้านหลังชั้น แต่มันคงเป็นเพราะชึ้นคิดไปเองมากกว่า ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนจริงๆนะ



            เมื่อทำภารกิจจาก 3 สถานที่จนครบแล้วก็เดินทางกลับไปหา Namman ที่เมืองอีกครั้ง ..




[Aloy] – แล้วตกลงคุณจะกลับไปที่วิหารอีกมั๊ยค่ะ?
[Namman] – ข้าถูกเชิญให้อยู่ต่อน่ะ พวกนักบวชรุ่นใหม่ต้องการให้ข้าแนะแนวทางเรื่องการปรองดองกับเผ่าต่างๆ พวกเขารับฟังข้าแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็รับฟังเสียที มันก็แค่ระยะห่างระหว่างหูกับพินัยกรรมที่คนรุ่นหลังทิ้งเอาไว้ 
[Aloy] – เพราะสิ่งที่เราทำงั้นหรอค่ะ?
[Namman] – สิ่งที่เจ้าทำต่างหาก
[Aloy] – แค่รับจ้างมาตามหาศพคนตาย ก็ถือว่าชั้นช่วยพวกเขาแล้วหรอ?  
[Namman] – เจ้านำพวกเขากลับมาตามเส้นทางเดิม เจ้าไม่มีทางล่วงรู้เลยว่าพวกเขาผ่านการเดินอะไรมาบ้าง แต่ตอนนี้เส้นทางเทวะลิขิตของนักบวช Sun priest กำลังถูกเล่าขานแบบปากต่อปากต่อไป บางทีข้าควรเอาชุดคลุมสีแดงให้เจ้าใส่นะ 
[Aloy] – ฮ่าๆ ไม่เหมาะกับชั้นหรอก แล้วอีกอย่าง วิหารของคุณก็ไม่ได้รับนักบวชหญิงไม่ใช่หรอไง?
[Namman] – เราคงจะร่ำรวยมากเลยถ้าเราทำ จงเข้าไปในแสง สหายข้า และให้ตะวันนำทางเจ้าสู่เส้นทางที่ควรไป
[Aloy] – ขอบคุณคะ Namman ไม่ว่าชั้นไปที่ไหนส่วนใหญ่ก็จะใช้แสงจากทุกอย่างที่มีเท่าที่จะหาได้นั่นแหละ 


                              Side Quest: A MOMENT ‘S PEACE






[Vilgund] – ว่าไง คนต่างถิ่น ข้าชื่อ Vilgund เจ้ามาในเมืองนี้เพื่อหางานเรอะ ? ที่นี่มีงานเงินดีนะ จะได้เอาไว้ซื้อของมากมายเท่าที่จะเจ้าต้องการไง 
[Aloy] – โอเค เงียบปากไปเลย ถ้าอยากจะคุยกันต่อ
[Vilgund] – ขะ ข้าก็แค่ ตื่นเต้นที่ได้เจอผู้หญิงรูปร่างหน้าดีแบบเจ้าน่ะ เอ่อ เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ข้าได้ยินข่าวลือถึงเรื่อง Banuk Camp เขาลือกันว่าพวกมันสามารถให้เครื่องจักรเชื่องได้ด้วย ข้าอยากรู้ว่ามันจริงมั๊ย ข้าเลยอยากจะจ้างให้คนเข้าไปสำรวจ แค่เข้าไปสำรวจเฉยๆแค่นั้น ไม่เป็นไรหรอกพวก Banuk นิสัยค่อนข้างอ่อนโยนมาก ข้าพร้อมจ่ายก่อนเลยครึ่งนึงเสร็จงานแล้วค่อยมารับอีกครึ่งไม่คืนคำแน่นอน 
[Aloy] – คุณอยากจะจ้างใครซักคนให้ออกไปค้นหาคนที่คุณจ้างไปก่อนหน้านี้ด้วยใช่มั๊ยละ?
[Vilgund] – ชิ พวกกระจอกพวกนั้นข้าไม่สนหรอก ข่าวลือที่ว่ามีค่าสำหรับข้ามากกว่าเยอะ 

[Aloy] – (tell me more about this rumor) คุณมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลของแค๊มป์ที่ว่านี่อีกมั๊ย? 
[Vilgund] – ฮ่ะๆ ไอ้กลุ่มล่าสุดนี่ต้องการจะรู้แต่ว่าค่าจ้างเท่าไหร่ เจ้านี่ฉลาดใช่เล่น แค๊มป์นี้ไมได้ใหญ่โตมาจนมีคนมารู้จักเยอะ ข้างบนนั่นเป็นพื้นที่ที่หิมะไม่มีวันละลาย ว่ากันว่าพวก Banuk ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกสัตว์จักรกลอย่างสงบสุข  พวกเขาเลี้ยงมัน ใช้งานมัน ฝึกมัน … ถ้ามันเป็นความจริง ถ้าเราเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาทำ คิดดูสิว่ามันจะมีประโยชน์แค่ไหนกับเผ่าต่างๆ 
[Aloy] – ที่คุณว่ามีประโยชน์นี่หมายถึงพวกเขาต้องซื้อจากคุณใช่มั๊ย?
[Vilgund] – ยัยหนู ข้าเองก็ต้องกินต้องใช้นะ 



[Aloy] – (The Banuk?) แล้วเรื่องพวก Banuk ล่ะ มีอะไรที่ชั้นต้องรู้อีกมั๊ย?
[Vilgund] – สาวๆชาว Banuk ไม่ต่างอะไรกับแม่มดแห่งแดนหิมะ สายตาเย็นชาไม่พอยังจะเย็นไปถึง ..อะ แอ้ม ! พวกเขาเลือกที่จะไปสร้างบ้านอยู่บนพื้นที่น้ำแข็งที่สูงชัน แยกตัวเองอย่างสันโดษจากผู้คน คบค้าสมาคมแต่กับพวกเครื่องจักร เพราะแบบนี้ไงข้าถึงยอมทุ่มเงินมากมายเพื่อข่าวลือที่ว่านี้
[Aloy] – แล้วถ้าเกิดพวกเขาไม่ได้การให้คนนอกล่วงรู้เกี่ยวที่อยู่ของเขาล่ะ?
[Vilgund] – พวกเขามีการกระทำที่ลึกลับ ไม่สนใจความเป็นเจ้าของหรือถือครองอะไรหรอก มันดูหรูหรานักรึไง กระท่อมที่ทำมาจากเศษไม้แบบนั้น คำถามคือพวกเขาสามารถใช้ชีวิตที่ยากลำบากบนภูเขาน้ำแข็งนั่นได้ยังไงมากกว่า 

[Aloy] – (You’re a merchant?) คุณเป็นพวกพ่อค้าหรอ? ไม่เห็นมีพวกสินค้าอะไรเลย
[Vilgund] – ข้าเป็นมากกว่านักเดินทาง จะเรียกนักสำรวจก็ได้ 
[Aloy] – แต่ชั้นว่าคุณส่งคนอื่นไปสำรวจแทนมากกว่านะ
[Vilgund] – อะ แอ้ม ! เออ ก็ได้ๆ ข้าเป็นนักฉวยโอกาส ยัยหนู สาวน้อย Nora อ่ะ แอ้ม !! นักล่า  เราอาศัยอยู่ในโลกแห่งโอกาสนะ โอกาสที่ต้องเสี่ยง ทำไมเราถึงจะไม่ใช่ความเสี่ยงกับสิ่งที่มันได้กำไรงามแบบข้าละ ? …. เออ ก็ได้ๆ ข้าเป็นแค่นักพนันแค่นั้นแหละ !

[Aloy] – (What do you need?) แล้วถ้าชั้นรับงานที่จะไปตรวจสอบเรื่องข่าวลือนั่นล่ะต้องทำไง 
[Vilgund] – เจ้าก็ต้องปีนๆๆขึ้นไปตามไหล่เขาจนถึงที่อยู่ของพวก Banuk ที่ต่ำกว่าดวงจันทร์ไม่เท่าไหร่ และก็ดูเหมือนเธอจะลู่ทางการเอาตัวรอดในเขตตะวันออกที่ป่าเถื่อน อ่ะ เอ่อ ทางตะวันออกนั่นเป็นอย่างดี ถ้าเจ้าพบกว่าเรื่องที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในแค๊มป์ร่วมกับเครื่องจักรอย่างสงบสุขโดยไม่มีความหวาดกลัวเป็นเรื่องจริง  ก็นะ เจ้าจะไม่อยากรู้เรื่องพวกเขาหน่อยหรอว่าเขาทำได่ยังไง ว่ามั๊ยล่ะ? กลับมาได้เมื่อไหร่ก็จ่ายเมื่อนั้น 


จากนั้นออกเดินทางไปยังจุดหมายของภารกิจสีเหลืองที่แค๊มป์ของพวก Banuk ในพื้นหิมะทางขวาบนของแผนที่ เมื่อเข้ามาถึงแค๊มป์แล้วเข้าไปคุยกับหัวหน้าของพวก Banuk




[Tikuk] – ยินดีต้อนรับ ชาว Nora ข้าคือ Tikuk เป็น หมอผีของที่นี่ 
[Aloy] – หมอผี (Shaman) หรอ ชั้นไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
[Tikuk] – แสงสีน้ำเงินทรงพลังมากที่นี่ คนของข้าเดินทางไกลมาจาก ยอดเขาสู่แห่ง Ban-Ur เพื่อเป็นประสบการณ์ใหม่ของตัวเขาเอง
[Aloy] – แสงสีน้ำเงินคือ?
[Tikuk] – แสงของวิญญาณของพวกเครื่องจักรยังไงละ อยู่ทั่วไปหมดรอคอยพวกเราให้นำไปใช้ก่อนที่มันจะกลายจะโกรธ 
[Aloy] – ชั้นรู้จักปัญหาเรื่องที่ถ้าพวกมันโกรธดี แต่ ชั้นไม่คิดว่าจะมีใครที่สามารถทำให้พวกเครื่องจักรสงบได้ตลอดนะ ที่นี่มันคืออะไรกันแน่ ?
[Tikuk] – เราไม่รู้อย่างแน่ชัดหรอก เราขับร้องเพลงและรับฟัง เพลงของเหล่าเครื่องจักร

[Aloy] – (Outlander?) Tikuk เมื่อเร็วๆนี้เคยมีคนต่างถิ่นผ่านมาทางนี้บ้างมียค่ะ?
[Tikuk] – เห็นมีพวก Oseram ผ่านมาบ้างคนสองคนนะ พวกเขามาบอกว่าพวกเครื่องจักรกำลังชำรุดต้องการซ่อมแซม ข้าคิดว่า ถ้าพวกเขาคิดว่าเครื่องจักรพวกนี้มันต้องการการซ่อมแซมจริงๆพวก Oseram พวกนี้เคยผ่านโลกมาน้อยเกินไปรึเปล่า? พวกเขากินอาหารกับพวกเราจนพอใจแล้วก็ไม่อธิบายอะไรจนพวกเขาเดินทางขึ้นเหนือต่อ

[Aloy] – (Machine song?) พวกเครื่องจักร ..ร้องเพลงให้พวกคุณงั้นหรอ? 
[Tikuk] – ซึ่งกันและกันนั่นแหละ เจ้าเป็นฮันเตอร์ เจ้าต้องได้ยินสิ! พวกเขาพยายามสื่อสารกับเราด้วยการฮัมเพลงและเสียงร้องไห้ เราไม่เข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไร แต่หมอผีอย่างข้าก็มีหน้าที่เป็นสื่อการในการอธิบายเสมือนเป็นล่ามให้กับพวกของข้าฟัง ถ้าเรารู้ว่าเพลงอะไรที่ทำให้พวกเขาโกรธจนทำให้พุ่งเป้ามาหาเรา เราก็หาบทเพลงที่มันปลอบประโลมพวกเขาแทน ส่งเสียงดนตรีไปในบรรยากาศของที่นี่และอยากให้ทุกๆที่ได้ยินและร่วมกันตระหนักรู้ว่า ...เราจะทำยังไงที่จะเยียวยาโลกของพวกเครื่องจักรกันดี?

[Aloy] – (The Thunderjaw?) แล้วอย่างเจ้ายักษ์ Thunderjaw ล่ะ มันฟังเพลงหรอ? 
[Tikuk] – ข้าเคยชักนำที่แห่งนี้จนพบความวุ่นวายมาแล้ว ตอนแรกข้าคิดว่าความเย็นที่แพร่กระจายมามันก็แค่ลม แบ่งแยกยอดเขาออกด้วยความหนาวเย็น แต่เปล่าเลย มันเกิดจากการร้องเพลงของ Thunderjaw ต่างหาก ข้าเจอมันแล้วหมอบเข้าไปดูใต้สะโพกของมัน ตอนนี้มันไม่เคลื่อนไหวอะไรแล้ว ข้าก็เลยเข้าใช้มันเป็นที่พักของข้าซะเลย พอพายุเบาลงเสียงร้องเพลงก็หายไป บางทีจิตวิญญาณอาจทิ้งมันไว้ให้เป็นที่กำบังที่แน่นหนา หรือไม่มันก็แค่อยู่ในสภาวะจำศีลและรอคอยบางอย่าง แต่เราก็ไม่ได้รื้อถอนหรือเก็บเศษซากต่างๆของมันเลยนะเราเก็บรักษาและดูแลมันเหมือนสมบัติส่วนตัวเลยมากกว่า

[Aloy] – (I’ll investigate) คุณจะว่าอะไรมั๊ย Tikuk ถ้าชั้นจะของเดินสำรวจรอบๆพื้นที่ดูหน่อย?
[Tikuk] – พูดคุย ทำการค้า และรับฟัง เชิญตามสบาย ที่นี่ไม่มีอันตรายใดๆกับเจ้าหรอกนะ
[Aloy] – ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นพวก Banuk ไม่ได้ทำ ก็แปลว่าที่นี่ต้องมีบางที่ผิดปกติ พวกเขาอาจไม่เห็น แต่ Focus ของชั้นคงจะเห็นแน่นอน



[Aloy] – เห็นพวกสัตว์จักรกลมาอยู่ใกล้ๆแบบนี้มัน …..
[Aluki] – ขี้ของพวก Grazer  
[Aloy] – ห๊ะ ! ว่าไงนะ?
[Aluki] – ขี้ Grazer แช่แข็ง ชั้นตามหาสิ่งนี้ แต่ก็โดน Ravager พาชั้นมาที่นี่ ชั้นไล่ตามมันมาในขณะที่ไล่ล่ากันหลังจากที่จัดการนักล่าแดนหิมะพวกนี้มาแล้ว 2 ตัว ชั้นยอมรับว่าที่ทำเพื่อเพราะอยากทดสอบฝีมือก็แค่นั้น จนเดินทางมาถึงที่แค้มป์นี้ ความโกรธของชั้นก็หายไปหมด
[Aloy] – แล้วมัน เอ่อ ...ดีรึเปล่าล่ะ?
[Aluki] – Tikuk บอกว่ามันเป็นของขวัญ ชิ !! ของขวัญอะไรกัน? มันจะเป็นของรางวัลได้ยังไงกันถ้าชั้นไม่ได้ต้องการมัน พวกเครื่องจักรมันกำลังท้าทายพวกเรา! แต่ตอนนี้ชั้นกลับมาติดอยู่ที่นี่กลายเป็นผู้พิทักษของพวกหมอผีไปซะแล้ว 



จากนั้นเข้าไปสำรวจในแค๊มป์ให้ทั่วๆโดยขึ้นไปที่ทางขึ้นเขาที่สุดทางด้านบนของแค๊มป์ใช้ Focus มองหาคลื่นสัญญาณที่ถูกส่งมาจากยอดเขาจนพบ แล้วหาทางปีนเขาตามสัญญาณขึ้นไปด้านบนจนสุดจะพบคนกลุ่มนึงอยู่ตรงบริเวณเครื่องส่งสัญญาณ



[Menuf] – Vilgund ส่งเจ้ามาใช่มั๊ย? ข้านึกว่าเงินสามารถซื้อความรู้ผิดชอบซะอีก
[Bajund] – แค่ผู้หญิงชาว Nora คนเดียวไม่เห็นเป็นไรเลย แกหยุดไม่ได้นะ ยังเหลืออีกเยอะ ทำต่อสิ ! พวกเราขึ้นมาที่นี่อย่างเปิดเผยไม่ได้มีอะไรปิดบังแล้วจะไปกลัวอะไร
[Menuf] – พวกคนขุดค้นคนอื่นๆลงคะแนนเสียงให้เอาของที่ขุดได้ไปขายที่ pitchcliff แต่มันมีขายเพียบอยู่แล้ว ใครๆก็มีอย่างกับของมันตกลงมาจากฟ้งงั้นแหละ
[Bajund] – เราพยายามหยุดพวกเขาไม่ให้ขุดออกมาอีก ถ้าไม่มีสิ่งนั่นอยู่ที่นี่พวก Banuk จะถูกฆ่าตายจนหมดแน่ๆ
[Aloy] – งั้นเดี๋ยวชั้นหยุดพวกเขาเอง พวกคุณทั้งคู่ออกไปจากที่นี่เถอะ ดูเหมือนพวกคุณจะบาดเจ็บมามากพอแล้ว 
[Bajund] – ตกลง.. ก็ยุติธรรมดี



[Aloy] – พวกนายทำอะไรกันน่ะ !?
[Dorgeld] – เจ้าเป็นใคร? เจ้าไม่ใช่พวก Banuk นี่
[Aloy] – จะสายเกินไปรึยังนะ ..หนีสิให้ชั้นดูหน่อย !!
[Dorgeld] – เดี่ยวๆ นี่มันที่ขุดเจาะของเรา เรายังทำงานไม่เสร็จเลย อยู่เจ้าก็จะเอาเสียเองเป็นบ้าอะไรเนี้ย??
[Gamud] – เฮ้ย ข้าไม่เกี่ยวด้วยนะ Dorgeld นี่มันความคิดของแกคนเดียวเลย นายเริ่มเองก็จบเองแล้วกัน!
[Dorgeld] – โอเคๆๆ เจ้านี่มันก็แค่เศษเหล็ก แต่มันก็มีค่าอ่ะนะแม้จะไม่มากมาย แต่ถามอีกทีเถอะ มันจะมีค่าอะไรสำหรับเจ้านักหนา 
[Aloy] – มันมีค่าสำหรับชั้นมากกว่าพวกนายแน่นอน พวกนายอยากจะเจรจาตกลงกันหน่อยมั๊ย?
[Dorgeld] – ลืมไปได้เลย ! ทั่วทั้งเขตตะวันออกทุกคนรู้จักข้าดีในนาม Black Toes !!



[Aloy] – พวกเขาพลาดครั้งใหญ่แล้วล่ะ .... นี่มัน ..สิ่งที่ให้กำเนิดภัยพิบัติที่เสียหาย คงอยู่ตรงนี้มานานแล้ว แต่มันก็ยังคงส่งสัญญาณออกมาได้อยู่ตลอด แต่สัญญาณก็เริ่มค่อยๆอ่อนลงเรื่อยๆแล้ว ชั้นคงต้องรีบกลับไปที่แค๊มป์แล้วล่ะ ก่อนที่พวกเครื่องจักรจะฆ่าทุกคนจนหมดเพราะไม่มีสัญญาณที่จะควบคุมพวกมันเหมือนเดิม !

เมื่อลงจากยอดเขาลงไปที่แค๊มป์ของพวก Banuk จะพบว่าพวกสัตว์จักรกลมากมายที่เคยอยู่ในอาการนิ่งสงบและเชื่องต่อพวก Bunuk ก็กลับก้าวร้าวและดุร้ายเหมือนเดิมจนพวก Bunuk ที่ไม่ได้ทันระวังตัวต้องบาดเจ็บเพราะถูกสัตว์จักรกลจำนวนมากที่เลี้ยงไว้แว้งมาทำร้าย เข้าไปจัดการพวกสัตว์จักรกลที่โจมตีพวก Banuk ให้หมดแล้วกลับไปคุยกับ Tikuk อีกครั้ง



[Tikuk] – ชาว Nora เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่มั๊ยว่าพวกจักรกลจะเปลี่ยนไปเจ้าเลยเดินทางมาที่นี่?
[Aloy] – ก็ไม่เชิงค่ะ ถึงแม้ชั้นจะรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นบนโลกของเรา แต่คราวนี้มันเป็นเรื่องที่คนต่างถิ่นรวมถึงพวก Oaeram คิด ....
[Tikuk] –พวก Oaeram ไม่ได้คิด พวกเขาไม่เขาใจเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างพวกเรา ระหว่างคนกับเครื่องจักรหรอก ตอนนี้แสงสีน้ำเงินได้หายไปแล้ว และเราก็สูญเสียงบทเพลงของเราไปมากมาย แต่เราก็รู้สึกโศกเศร้ามากกว่าที่จะรู้สึกขอบคุณ
[Aloy] – แล้วคุณจะเอาไงต่อละ กลับบ้านเกิดของพวกคุณรึเปล่า?
[Tikuk] – ก็คงจะเป็นอย่างนั้น แต่.. ก็เหมือนตอนที่เราสอนเด็กๆของเราให้เดินบนพื้นน้ำแข็งเป็นครั้งแรก เราสอนความลับในการเรียนรู้ไปทีละขั้นทีละขั้น บางทีวันนึงเราจะเข้าใจความลึกลับของพวกเครื่องจักรก็เป็นได้
[Aloy] – ชั้นก็หวังอย่างนั้นนะ โชคดี Tikuk


                       จากนั้นกลับไปหา Vilgund ที่เมือง Meridian อีกครั้งเพื่อจบภารกิจ



[Vilgund] – ไงคนต่างถิ่นเจอของดีตามข่าวลือรึเปล่า แต่เดี๋ยวนะ ทำหน้าแบบนี้รู้เลย เจ้ากลับมาแล้ว เราต้องจ่ายค่าเดินทางเจ้าเท่าไหร่?
[Aloy] – แพงมากๆ 
[Vilgund] – นั่นแหละที่ข้ากลัวเลย 
[Aloy] – เรื่องข่าวลือที่ว่ามีสัตว์จักรกลที่เชื่อง อยากที่จะอธิบายได้ชัดเจน  เอาเป็นว่ามันมีสัญญาณบางอย่างที่ถูกปล่อยออกมาแล้วทำให้พวกมันสงบลง อ่อ แล้วลูกน้องจอมโลภของคุณก็หนีไปแล้ว
[Vilgund] – พวกนักพนันชั้นต่ำมันก็ไม่สื่อสัตย์แบบนี้และสาวน้อย ข้าควรจะใช้งานพวกพ่อค้าอาวุธคงจะแน่นอนกว่านี้  เอานี่ เอาไปค่าจ้างของเจ้า ค่าให้ราคาครึ่งหนึ่งของค่าจ้างเจ้าสองตัวที่หนีไปเลย 
[Aloy] – ครึ่งนีงหรอ? ค่าทำงานสำเร็จนะ ไหนเจ้าบอกว่า ข้าจากที่จะให้มากพอที่จะเอาไปซื้อชุดใหม่ๆได้สบายไง?
[Vilgund] – เจ้าต้องการอะไรละสกิลของพวก Carja งั้นหรอ เอายกกระเป๋าเงินไปเลย จบนะ !!




                               Side Quest : ROBBING THE RICH





[Ravan] – เจ้าคือคนที่พวก Vanguard พูดกันรึเปล่าว่าเป็นชาว Nora ที่สามารถตามรอยพวกคนร้ายหรือคนทรยศด้วยตาที่สองอะไรนั่นน่ะ ถ้าเจ้าทำได้จริงก็ขอให้ช่วยข้าหน่อยเถะ ขโมยมันแอบเข้าบ้านและขโมยดาบของพี่ข้าไป 

[Aloy] – (Thief?) เล่ารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการถูกขโมยขึ้นบ้านหน่อยสิ
[Ravan] – มันไร้ยางอายและเป็นโจรมืออาชีพ พวกมันขโมยแต่ดาบที่เป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดสำหรับข้าไป ไอ้หัวขโมยมันหนีออกทางหน้าต่างโดยที่คนรับใช้ของข้าก็เห็นแค่เงาแว๊บๆ แถมมันยังไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ด้วยสิ 

[Aloy] – (Sword?) ทำไมต้องมาขโมยแค่ดาบด้วยล่ะ?
[Ravan] – มันเป็นดาบที่ไม่มีค่าอะไรหรอก แค่เอาเขากวาง Lancehorn มาขัดให้เป็นเงาแวววาวแล้วก็เอาหินฝังเข้าเป็นปุ่มๆเรียงกันไปจนถึง ....
[Aloy] – โอเคๆๆ เข้าใจแล้วล่ะ 
[Ravan] – เอ่อ ขอโทษด้วยนะ จริงๆมันก็ไม่ใช่ไม่มีค่าซะเลยหรอก มันเป็นดาบที่ Sun King ที่12 มอบเอาไว้ให้พี่ข้าเป็นรางวัลที่พี่ข้าเป็นทหารรักษาพระองค์รับใช้มานาน เขาถูกฆ่าตายตอนที่เกิดการปฎิวัติ เขากะว่าจะเก็บไว้เป็นมรดกส่งต่อให้หลานข้าเพื่อให้จดจำว่าพ่อของเขายืนหยัดสู้ตายกับพวก Shadow Carja ที่ Sunfall 

[Aloy] – (Nephew?) แล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ Sunfall หลานชายคุณเป็นไงบ้างล่ะ ?
[Ravan] – พวกนักบวชที่เคยสนับสนุนราชา Sun King คนก่อนหลังจากท่านสิ้นแล้วพวกเขาก็หนีออกจากอาณาจักรไปเพราะกลัวการถูกแก้แค้น  หลานของผมไม่มีทางเลือกก็เลยต้องหนีตามพวกนักบวชชั้นผู้ใหญ่ที่เขานับถือไปน่ะ ซึ่งตอนนี้พี่ข้าตายไปแล้วก็เหลือแต่หลานของข้านี่แหละที่เป็นผู้สืบทอดที่ต้องรับดาบไปแทน แต่หลังจากที่หลานช้าหนีไปก็ไม่เห็นเขาอีกเลย ถ้าข้าไม่รีบตามหาดาบนั่นมันก็จะหายไปตลอดเหมือนกัน 

[Aloy] – (I’ll investigate) ชั้นจะทำเท่าที่จะทำได้เพื่อหาตัวขโมยและหาทางเอาดาบของคุณคืนมาก็แล้วกันนะ
[Ravan] – ลองไปถามคนรับใช้ของข้าก่อนก็ได้เพราะเขาเป็นคนสุดท้ายที่เห็นไอ้หัวขโมยนั่นหนีไป ฟังนะ คือ ข้าต้องการดาบนั่นคืนจริงๆ ข้าเบื่อที่จะเถียงกับคนในเมืองและครอบครัวแล้ว ถ้าข้าได้กลับคืนมาก็ว่าจะอโหสิกรรมกันไป การแก้แค้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว 



[Aloy] – นายเห็นขโมยวิ่งหนีไปก่อนหน้านี้ใช่มั๊ย?
[คนรับใช้] – ข้าหันหลังให้พนัง เหมือนที่ท่านเห็นนี่แหละ แล้วไม่ทันมองว่าใครที่โดดออกมาจากหน้าต่าง แต่เห็นว่ามันใส่ชุดโทนสีเทาๆแล้วมือก็กำดาบเอาไว้ด้วย บอกตรงๆว่าตอนนั้นข้าตกใจมากๆเลยอ่ะ



หลังจากคุยกับคนรับใช้ที่กวาดหน้าบ้านอยู่เสร็จแล้ว ใช้ Focus สแกนที่หน้าต่างของบ้านแล้วกด R1 เพื่อ Highlight track ตามรอยเลือดของขโมยไปจนสิ้นสุดที่ร้านค้าในเมือง Aloy จึงลองเข้าไปสอบถามดูเผื่อเธอจะเห็นขโมยผ่านมาทางนี้


[Aloy] – โทษนะ คุณเห็นใครที่ถือดาบผ่านมาทางนี้บ้างมั๊ยค่ะ?
[Keadi] – เห็นค่ะ เขาถือห่อผ้าอะไรซักอย่างมายืนตรงนี้ซักพักแล้วก็วิ่งลงไปทางบันไดด้านหลังคุณนั่นแหละ เขาเลือดออกด้วย ชั้นก็คิดว่าเขาคงต้องการที่จะห้ามเลือด ชั้นก็เลยซื้อผ้าพันแผลให้เขา แพงด้วยนะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าชั้นจะยอมจ่ายขนาดนั้นเพื่อช่วยขโมย 

จากนั้นตามรอยต่อไปตามทางลงบันไดตามที่แม่ค้าบอกจนเจอผู้หญิงคนนึงที่ยืนอยู่แถวๆทางขึ้นบันได Aloy จึงลองเข้าไปสอบถามดูเผื่อเธอจะเห็นขโมยผ่านมาทางนี้ตามที่แม่ค้าเมื่อซักครู่บอกมา




[Aloy] – โทษนะ คุณเห็นใครที่ถือดาบผ่านมาทางนี้บ้างมั๊ยค่ะ?
[Rokasha] – เห็นสิค่ะ เขาเกือบจะชนชั้นด้วย เขาวิ่งไปลงลิฟต์ไปนานแล้ว ไม่มีทางที่เธอจะตามทันแน่นอน แต่ ชั้นไม่เห็นเขาถือดาบหรือถือของอะไรเลยนะ เห็นแต่วิ่งหนีอย่างกับมีไฟมาล่นก้นอย่างงั้นแหละ  
[Aloy] – หรือไอ้ขโมยนั่นจะซ่อนดาบเอาไว้ระหว่างทาง แต่ ที่ไหนล่ะ? อืมมม ..หรือมันอาจจะมีคนช่วย ยัยแม่ค้าร้านแผงลอยเมื่อกี้นั่นแหละเหมาะที่สุดที่มันจะทิ้งดาบเอาไว้ 

เมื่อเบาะแสที่ได้จากคนที่เห็นเหตุการณ์ล่าสุดที่สะพานไม่สอดคล้องกับคำให้การของแม่ค้าแผงลอยที่ผ่านมา Aloy จึงต้องไปเค้นความจริงจากเธออีกที



[Aloy] – นี่แม่ค้า เหมือนเจ้าขโมยจะหนีไปแล้วแต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ถือดาบไปด้วยอย่างที่เธอบอก ชั้นคิดว่ามันคงจะทิ้งดาบไว้ที่ไหนซักแห่ง บางทีอาจจะเป็นที่ร้านของเธอนี่แหละง่ายและเร็วที่สุด
[Keadi] – อะไรนะ ! จะบ้าหรอชั้นไม่ทำแบบนั้นหรอก !
[Aloy] – งั้นชั้นต้องเรียกการ์ดของเมืองให้มาสอบสวนถึงเรื่องนี้แทนดีมั๊ย? พวกเขาอาจต้องค้นร้านของเธอจนพังแล้วก็สอบสวนพวกลูกค้าของเธอด้วย ไม่ต้องขายของกันละที่นี้  เอามั๊ย?
[Keadi] – ดะ เดี๋ยวๆๆ ฟังก่อน มันมีอะไรมากกว่านั้น คุณเองก็มีชื่อเสียงน่าจะเป็นคนที่ฟังเหตุผลนะ คุณพูดถูก ชั้นได้ดาบนั่นมาแต่ชั้นฝากให้คนอื่นเอาไปขายต่อน่ะ มันก็ไม่ได้กำไรอะไรหรอกนะ ตอนนี้ใครๆก็ต้องการเงินกันทั้งนั้น
[Aloy] – เธอคิดว่าชั้นควรจะเชื่อเรื่องที่เธอพูดมั๊ย?
[Keadi] – ชั้นพิสูจน์ได้นะ ลองไปหาเพื่อนของชั้นที่กังหันวิดน้ำที่เมืองด้านล่าง พวกเขาจะอธิบายทุกอย่างเองนั่นแหละ ถ้าพวกเขาไม่ยอมบอกอะไรคุณก็ไปตามทหารมาจับชั้นได้เลยชั้นไม่หนีไปไหนหรอก 
[Aloy] – ไม่สำคัญหรอกเพราะถึงแม้เธอจะหนีไปชั้นก็จะตามหาเธอจนเจออยู่ดี แต่ก็เอาเถอะ เดี๋ยวชั้นลองไปตรวจสอบที่กังหันวิดน้ำดูก่อนก็แล้วกัน

หลังจากคุยกับ Keadi  แม่ค้าที่กลับมีส่วนเกี่ยวข้องในการเอาดาบที่ขโมยทิ้งเอาไว้ไปให้คนอื่นขายต่อจบ ก็เดินทางลงลิฟต์ไปที่เมืองด้านล่างเพื่อไปที่จุดหมายคือกังหันวิดน้ำนอกเมืองตามเบาะแสที่แม่ค้าบอก



[Kindiv] – บอกไว้ก่อนนะ Aloy มาคุยกับข้าอย่าคาดหวังว่าจะได้คำตอบอะไรตามที่เธอต้องการนะ ก็นะ มันไม่มีอะไรซักซ้อนหรอก เราก็แค่สะสมของมีค่า โดยการรับซื้อสิ่งของต่างๆจากคนทั่วไป ใครต้องการเงินก็เอาของที่ไม่ใช่แล้วมาขาย ส่วนใหญ่ก็เป็นคนยากจนที่ Sunfall ที่ไม่มีใครคิดจะช่วยเหลือพวกเขา 

[Aloy] – (Collect valuable object?) สะสมของมีค่านี่นายหมายถึงการขโมยมาใช่มั๊ย?
[Kindiv] – ถ้าเจ้าอยากจะเรียกแบบนั้น แค่เอามาจากพวกหมูสกปรก พวกคนรวย มันไม่ทำให้พวกมันจนลงหรอกน่า 
[Aloy] – สำหรับชั้น Ravan เขาไม่ใช่พวกหมูสกปรก 
[Kindiv] –พวกคนรวยมันก็มีกลิ่นเหมือนกันหมดนั่นแหละ ร่ำรวยและสุขสบาย ในขณะที่คนจนอีกมากมายต้องทุกข์ทรมานอดมื้อกินมื้อ 

[Aloy] – (The needy at Sunfall?) ใครกันแน่ที่ต้องการเงินที่ Sunfall?
[Kindiv] – ไม่ใช่พวกไอ้ชั่วที่ป้อมนั่นก็แล้วกัน พวกเราใช้เงินต่อเมื่อเรามั่นใจว่าเป็นคนจนที่ไร้ค่าในสังคม เพื่อแป็นค่าอาหารและยารักษาโรคหรือผ้าพันแผลยามพวกเขาบาดเจ็บ พวกเขาต้องเดินทางไปทางตะวันตกอย่างเดียวก็เพราะมันมีเหตุผลที่ต้องไปที่นั่น เชื่อเถอะข้ารู้ เพราะเมียของข้าก็เคยถูกจับไปพร้อมกับพวกทาสมาแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็อดตายกันทั้งกลุ่มทั้งๆที่ยังถูกจับล่ามโซ่มัดรวมกันอยู่นั่นแหละ 
[Aloy] – เสียใจด้วยนะ
[Kindiv] – ข้าก็เหมือนกัน

[Aloy] – (Sword?) แล้วตอนนี้ดาบอยู่ที่ไหน?
[Kindiv] – ยังอยู่ดี ข้ายังไม่ได้ขายมันหรอก 

[Aloy] – (So what now?) แล้วนายอยากให้ชั้นต้องทำไง เดินหนีไปงั้นหรอ?
[Kindiv] – ข้าก็อยากให้เจ้าช่วยเหลือหน่อย เห็นพวกเขาว่ากันว่าเจ้ามีความสามารถในการตามรอยเก่งเหมือน Stalker คือคนของข้าที่ชื่อ Nasan มันหายตัวไปใกล้ๆกับชายฝั่ง Branded Shore เขาถูกส่งไปที่ชายแดนเพื่อรับเสบียงอาหารที่ขนส่งมาทางเรือ ถ้าเจ้าหาเขาเจอก็เหมือนกับช่วยผู้คนอีกมากมายที่กำลังรอคอยอาหารอยู่ด้วย 
[Aloy] – จะลองคิดดูแล้วกันนะ .. แต่ ถ้านายเอาดาบที่ขโมยมาไปคืนให้กับ Ravan ละก็ชั้นตกลงรับงานทันทีเลย
[Kindiv] – กะแล้วว่าเจ้าต้องมาไม้นี้ ได้ๆ ก็ได้ ข้าจะเอาดาบเฮงซวยนี่ไปคืนเขาเองถ้าเจ้าทำงานสำเร็จ สถานที่ล่าสุดที่ Nasan มันติดต่อมาก็คือตรงแค๊มป์ไฟที่ทางแยกใกล้ๆกับ ชายฝั่ง Branded Shore นั่นแหละ ลองหาเบาะแสที่จุดนั้นก่อนก็ได้ แต่ก็ระวังพวกสัตว์จักรกลกับพวก Shadow Carja แถวๆนั่นให้ดีด้วยแล้วกัน 

จากนั้นเดินทางไปที่จุดหมายของภารกิจที่อยู่ทางตอนเหนือ ตรงแค๊มป์ไฟที่ทางแยกใกล้ๆกับ ชายฝั่ง Branded Shore  เข้าไปใช้ Focus สำรวจดูจะพบกองเสื้อผ้าของ Nasan ถูกทิ้งเอาไว้ ใช้ Focus สแกนที่กองเสิ้อผ้ากด R1 เพื่อ Highlight track ตามรอยของ Nasan ไปเรื่อยๆจนสุดทางที่ฐานของพวก Shadow Carja รอยเท้าของ Nasan นั้นถูกจับเข้าไปในฐานของพวก Shadow Carja Aloy ก็จำต้องลอบเข้าไปด้านในเพื่อตามหาตัว Nasan ให้ได้


Nasan นั้นถูกจับอยู่ที่ลานกว้างกลางพื้นที่ท่ามกลางพวก Shadow Carja จะลอบจัดการมันไปทีละคนจนถึงด้านในก็ได้ แต่เมื่อเข้ามาจนถึงจุดที่ Nasan ถูกจับอยู่ ตรงนี้ก่อนจะลุยกับพวก Shadow Carja มากมายที่อยู่ในฐานต้องวางแผนวางกับดักให้ดีก่อนจะเปิดฉากลุยด้วย เมื่อจัดการศัตรูที่ลานกว้างจนหมดแล้วก็เข้าไปช่วยแก้มัด Nasan ได้เลย



[Aloy] – Kindiv ส่งชั้นมาเพื่อช่วยนายหนีออกจากที่นี่
[Nasan] – ให้ตายเถอะ ข้าคิดว่าไอ้แก่ขี้เหนียวนั่นมันจะทิ้งข้าซะแล้ว กลับไปได้ข้าคงต้องติดหนี้เขาพร้อมได้ยินคำเสียดสียกใหญ่แน่เลย มาเถอะ ตามมา !

หลังจากช่วย Nasan ได้แล้วก็ตามเขาไปที่ด้านบนของกำแพงจะมีจุดที่สามารถเกาะปีนออกจากฐานของศัตรูได้ ก่อนหนีออกไปเก็บไอเทมให้หมด ส่วน Shadow Carja จะออกไปจัดการให้หมดหรือไม่ก็ได้ เพราะฐานของพวก Shadow Carja ไม่ใช่รังโจรป่าการกำจัดหมดไม่ได้ทำให้ยึดฐานของมันได้ เมื่อหนีออกจากฐานของศัตรูได้แล้วก็ไปหา Nasan ที่จุดเป้าหมายของภารกิจสีเหลืองที่ริมแม่น้ำได้เลย



[Aloy] – Kindiv บอกชั้นเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดแล้ว ตกลงคุณได้เสียเสบียงทั้งหมดไปรึเปล่า? 
[Nasan] – เปล่า ข้าซ่อนเสบียงทั้งหมดไว้ใกล้ๆนี่แหละ พวกคนที่กำลังหิวโหยที่ Sunfall เห็นมันแล้วต้องดีใจแน่นอนเลย 
[Aloy] – ดีแล้ว เอาละฟังนะ เมื่อคุณหนีไปจนถึงเมือง Meridian เข้าไปคุยกับขุนนางที่ชื่อ Ravan ให้ความเคารพเขาแล้วเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟังแล้วชั้นคิดว่าเขาจะช่วยคุณเอง
[Nasan] – พวกคนชั้นสูงแบบนั้นอ่ะนะจะช่วยข้า? แต่ หลังจากทุกๆอย่างที่เจ้าทำให้ข้า ข้าคงปฎิเสธที่จะไม่เชื่อไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้ข้าต้องรีบนำอาหารกลับไปให้คนที่ Sunfall ก่อน ขอให้เจ้าปลอดภัยนะ

หลังจากที่ช่วย Nasan จนปลอดภัยแล้วก็เดินทางกลับไปคุยกับ Ravan ที่เมือง Meridian เพื่อรับรางวัลและจบภารกิจนี้ได้เลย ..



                          Side Quest: WEAPON OF THE LODGE




[Aidaba] – พระเจ้า ไม่น่าเชื่อเลยว่าพระราชองค์การณ์ของ ราชา Sun-king Avad นั้นส่งผลจริงๆ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเห็นชาว Nora ที่นี่แถมเป็นผู้หญิงซะด้วย แล้ว เธอมีตราสัญลักษณ์ (Mark) มาให้ชั้นแล้วหรอ?
[Aloy] – คุณหมายถึงอะไรหรอ?
[Aidaba] – ตราสัญลักษณ์ที่ได้จากการทดสอบ Hunting Grounds ไง  อ่อ จริงสิเธอเป็นหน้าใหม่ของที่นี่นี่นา 

[Aloy] – (Edict?) พระราชองค์การณ์ที่ว่าคืออะไรหรอค่ะ?
[Aidaba] – ราชา Sun-king Avad ยืนกรานที่จะให้ Hunter Lodge ของเราต้อนรับทุกคนที่มาเยือ ผู้หญิง ผู้ชาย คนต่างถิ่นจากที่อื่น โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเผ่าไหนก็ตาม Ersa กัปตันของ Vanguard เป็นคนมาถ่ายทอดคำสั่งเองเลย เธอน่าจะอยู่ด้วยตอนนั้นมันเยี่ยมมาเลยจริงๆนะ แต่ก็ได้แต่มองหากันมาตั้งนานว่าทำไมถึงไม่มีคนต่างถิ่นหรือผู้หญิงคนไหนเลยมีมคุณสมบัติพอ จนเธอมานี่แหละ

[Aloy] – (Are you a member?) คุณก็เป็นสมาชิกด้วยหรอ?
[Aidaba] – ชั้นน่ะหรอ? เปล่าๆ พวก Carja แบบเราไม่สนับสนุนให้ลูกสาวมาเป็นฮันเตอร์ออกไปล่าเครื่องจักรกันหรอก แต่พอมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมันก็น่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับชั้นบ้างอ่ะนะ และชั้นก็คิดว่าพวก Oseram คงไม่รู้เรื่องการค้าขายกับ Carja นักหรอก ชั้นก็เลยเลือกที่จะทำการค้าขาย แต่เท่าที่ไปเป็นลูกจ้างให้พ่อค้าที่ชั้นไปทำงานกับเขาคนล่าสุด ชั้นนี่ยังขายดอกไม้ให้ผึ้งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พ่อค้าบอกว่าเมื่อก่อนเขาเป็นแค่ขี้เมาจนๆธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นเชื่อเถอะการค้าขายเป็นงานที่ดีที่สุดแล้ว ชั้นก็เลยตัดสินใจมาเปิดร้านของตัวเองเมื่อไม่นานมานี้เอง

[Aloy] – (Mark?) แล้วเธอต้องการตราสัญลักษณ์อะไรจากชั้นหรอ?
[Aidaba] – ก็เธอเป็นฮันเตอร์ ควรมีเอาไว้ ชั้นไม่สามารถไปเอามาจากพวกเขาได้หรอก แต่ให้อาวุธเป็นรางวัลให้เธอได้นะ ก็ลองคิดดูแล้วกันนะ ถ้าเธอผ่านการทดสอบทั้ง 3 การทดสอบจากทั้ง 5 Hunting ground ในอาณาจักรของเรา ก็เอาตราสัญลักษณ์ทั้งหมดมาขึ้นรางวัลกับชั้นได้เลย ชั้นมีอาวุธจะให้เธอเป็นรางวัล 3 อัน 1 อันสำหรับ 15 Half suns , 1 อันสำหรับ 15 full sun และ อีก 1 อันนี่เธอจะชอบเลยละ แลกกับ Blazing sun ทั้งหมด 

[Aloy] – (Give you my mark?) แล้วชั้นต้องทำยังไงถึงได้ตราพวกนี้มาละ?
[Aidaba] – ก็คือต้องผ่านการทดสอบทั้ง 3 บททดสอบจนได้ตรา Half suns, full sun และ Blazing sun จากทั้ง 5 สนามทดสอบมาให้ครบ 45 อัน แล้วเอาตราทั้งหมดมาให้ชั้น ชั้นก็จะให้ Hunter Lodge weapon อาวุธสุดพิเศษกับเธอยังไงล่ะ 


สิ่งที่ต้องทำคือ เข้าไปทดสอบที่ Hunting Grounds ตามจุดต่างๆที่มีในพื้นที่ทั้งหมด 5 หมด ใน 1 Hunting Grounds จะมีบททดสอบ 3 แบบแต่ละบททดสอบจะมีรางวัล 3 อย่างตามเวลาที่ผ่านการทดสอบคือ Half suns, full sun และ Blazing sun โดยต้องผ่านการทดสอบจนได้ตราทั้ง 3 การทดสอบให้ได้ทั้งหมดใน 1 Hunting Grounds


โดยแต่ละ Hunting Grounds จะมีตราสัญลักษณ์อย่างละ 3 รวม Hunting Grounds ทั้งหมด 5 ที่ก็จะมีตราสัญลักษณ์รวม
 Half suns 15 อัน
 full sun 15 อัน
 Blazing sun 15 อัน

 ซึ่งการเดินทางที่ผ่านตามบทสรุปจนถึงตอนนี้ก็จะผ่านการทดสอบ Hunting Grounds ไปแล้ว 4 จุดโดยจุดสุดท้ายจะอยู่บริเวณขวาล่างของเมือง Meridian
         


                              Hunting Grounds Quest : SPURFLINTS


ที่ Hunting Grounds  หรือสนามทดสอบนักล่าจุดที่ 5 นี้ ผู้ควบคุมการทดสอบคือ Spurflints Keeper ผู้มีความเชี่ยวชาญการใช้กลยุทธ์ในการลอบฆ่าสัตว์จักรกลเพื่อความปลอดภัยในการต่อสู้หรือ Steath Trials โดยมีบททดสอบ 3 บทคือ

1 Watch Out Trial ด่านนี้มีกฎคือ ตามหาและลอบฆ่า Watcher 4 ตัวภายในเวลาที่กำหนด


Trick – เริ่มการทดสอบ ก่อนโหนตัวลงไปที่สนามให้สแกนกำหนดตำแหน่งของ Watcher 4 ตัวในพื้นที่ให้ก่อน จากนั้นโดดโหนตัวลงไปตามเชือกเส้นทางขวา เข้าไปที่กอหญ้าแล้วเรียกให้ Watcher ตัวแรกที่ตามท้ายขบวน Shell-Walker อยู่มาจัดการ หันหลังจากกอหญ้ามาที่ถนนอีกด้าน Watcher จะเดินมาจากเนินฟังซ้ายเรียกมาฆ่าซะ วิ่งข้ามพงหญ้าไปทางเนินฝั่งซ้าย เรียก Watcher ตัวที่ 3 ที่อยู่หัวขบวน Shell-Walker มาจัดการ ตัวสุดท้าย Watcher ตัวที่ 4 อยู่ตรงที่อยู่ของ Stalker ที่อยู่ฝั่งซ้ายจากตัวที่ 3 ต้องลอบเข้าไปหาอย่างระมัดระวังไม่ให้โดนกับระเบิดของเจ้า Stalker ด้วย

ตราทอง ภายในเวลา 02 :00 นาที
ตราเงิน ภายในเวลา 03:00 นาที
ตราทองแดง ภายในเวลา 20:00 นาที ขึ้นไป

2. Stalker Trial ด่านนี้มีกฎคือ ตามหาและฆ่า Stalker 2 ตัว



Trick – เทคนิคไม่มีอะไรมาก โดดลงไปที่เชือกตรงกลางแล้วจัดการ Stalker 2 ตัวให้หมดโดยเร็วที่สุด ความยากง่ายของการทดสอบนี้ชึ้นอยู่กับระดับเลเวลของแต่ละคนด้วย

ตราทอง ภายในเวลา 02 :00 นาที
ตราเงิน ภายในเวลา 03:30 นาที
ตราทองแดง ภายในเวลา 20:00 นาที ขึ้นไป 

3. Sleight of Crate Trial กฎของด่านนี้คือ เก็บกระดองหรือ Contrainer (ลังใส่ไอเทม) ของ Shell-Walker 4 ตัวภายในเวลาที่กำหนด



Trick –   การเก็บ กระดองหรือ Contrainer ให้ครบ 4 อันนั้นต้องทำอย่างรวดเร็วเพราะ Shell-Walker จะถอดกระดองวางๆเก็บๆอยู่แบบแรนด้อมแล้วแต่โชค เมื่อเริ่มการทดสอบ โดดโหนเชือกลงมาที่ช่องตรงกลางจะเจอ Shell-Walker กลุ่มแรก 2 ตัว ปกติจะเจอมันวาง Contrainer ไว้ 2 อัน ถ้าโชคดีมันจะวางไว้ 3 อันกับพื้นเลย เก็บมาแล้วรีบวิ่งผ่าน Stalker มาทางด้านซ้ายตรงที่ Shell-Walker กลุ่มที่สองอีก 2 ตัวอยู่ เก็บ Contrainer มาให้ครบ 4 ถ้ามันวางไม่ครบก็แก้สถานการณ์โดยการเอาธนูระเบิดเกราะยิงทำลายให้ Contrainer หลุดจากตัวแล้วรีบเข้าไปเก็บ

ตราทอง ภายในเวลา 01:05 นาที
ตราเงิน ภายในเวลา 01:30 นาที
ตราทองแดง ภายในเวลา 20:00 นาที ขึ้นไป



หากทำให้สำเร็จตามเงื่อนไขภายในเวลากำหนด ก็จะได้รางวัลจากกรอบเวลาของรางวัลต่างๆ ดังนี้
ตราทองแดง ได้ กล่องรางวัล Half sun Box 
ตราเงิน ได้ กล่องรางวัล Full sun Box
ตราทอง ได้ กล่องรางวัล Blazing sun Box
ตราทองแดง 3 ครั้ง ได้ กล่องรางวัล All Half sun Box
ตราเงิน 3 ครั้ง ได้ กล่องรางวัล All Full sun Box
ตราทอง 3 ครั้ง ได้ กล่องรางวัล + 1 Skill Point

เมื่อได้ตรามาครบตามจำนวนแล้วก็นำทั้งหมดกลับไปขึ้นรางวัลกับ Aidaba ที่ THE LODGE ได้เลย Aloy จะถูกยกย่องให้เป็น Master Hunter of The Lodge และได้อาวุธประจำตำแหน่งจาก  Aidaba  เป็นรางวัล 3 ชนิดคือ


LODGE BLAST SLING
LODGE ROPECASTER
LODGE WAR BOW 
ภารกิจ Side Quest: WEAPON OF THE LODGE ก็จะจบลงพร้อมกับเคลียร์ Hunting Grounds ทั้ง 5 แห่งใน Carja



                                                CAULDRON XI




จุดที่ซ่อนของโรงงานร้างและ Cauldron Core สำหรับควบคุมสัตว์จักรกลอันที่ 10  ซึ่งเป็นอันสุดท้ายนั้น อยู่ใต้สุดของอณาจักร Carja จุด Cauldron ที่นี่แตกต่างจากที่อื่นเพราะมันคือรังใหญ่ของพวกคลั่งลัทธิ (Cultist) ฉะนั้นตั้งแต่ทางเข้าและระหว่างทางที่เข้ามาจะเต็มไปด้วยพวกศัตรูที่เป็นพวกคลั่งลัทธิเต็มไปหมด ระยะทางระหว่างโถงถ้ำต่างๆจนถึง Cauldron Core ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านในสุดนั้นจะเป็นเส้นทางที่ไม่ซับซ้อนแต่มีระยะทางที่ไกลซึ่งต้องวางแผนการลุยให้ดีเพราะจุดซ่อนตัวน้อยและศัตรูมีจำนวนมากตลอดเส้นทาง


เมื่อลุยจนถึงห้องที่เก็บ Cauldron Core จัดการพวกคลั่งลัทธิจนหมดก็สามารภเข้าไปปลดล็อก Cauldron Core ได้เลย จากนั้นก็ต้องหนีออกจากที่นี่ทางเดิม แต่ขากลับจะเต็มไปด้วยพวกสัตว์จักรกลที่บุกเข้ามาพร้อมๆกับกองหนุนของพวกคลั่งลัทธิตลอดทาง เมื่อออกมาจนพ้นปากถ้ำก็จะถือว่า จบภารกิจโดยสมบูรณ์  ซึ่งก็จะทำให้ Aloy ควบคุมสัตว์จักรกลที่เหลือได้ทั้งหมด ได้แก่
Glinthawk
Behemoth
Fire Bellowback
Freeze Bellowback
Stalker




     ------------------------------------------------------------------------------------------------------




                                           Vantage point 09 : Monument Valley

Bashar Mati: Apocashitstorm Tour: วันที่ 7 หลังจากผมออกจากสถานบำบัดมาได้ 3 เดือน ผมก็ออกมาตั้งแค๊มป์ที่นี่ Wyatt เข้าไปนอนก่อน มันจะเป็นเวลาของเราสองคนที่จะลุกขึ้นมานั่งชมฝนดาวตกไปด้วยกัน ก่อนที่เราจะคุยกับเรื่องดวงดาวและเทคโนโลยี่อวกาศ ทันใดนั้นผมก็เริ่มที่จะรู้ถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการทำในชีวิต 


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

             

                                 Side Quest: SUNSTONE ROCK  




ที่ค่ายทหาร Sunstone Rock ทางตะวันตกของอาณาจักร Carja เมื่อเดินทางเข้ามาที่หน้าหมู่บ้านจะเห็น Behemoth 2 ตัวกำลังบุกถล่มหมู่บ้านอยู่ เข้าไปจัดการมันให้หมดเพื่อช่วยชาวบ้านแล้วจะปลดล็อกเควสออกมาให้ทำ ตามเข้าไปคุยกับหัวหน้าทหารที่ด้านในค่ายได้เลย




[ทหาร] – ท่าน Warden Janeva ครับนี่คือคนนึงที่ช่วยเราปราบ Behemoth ครับ
[Janeva] – เจ้าคนต่างถิ่น ข้าประทับใจยิ่งนัก ข้าไม่ได้ประทับใจใครง่ายๆหรอกนะ บอกข้าหน่อย เจ้าเป็นนักล่ามืออาชีพที่ล่าพวกสัตว์จักรกลเลี้ยงชีพหรือเปล่า?
[Aloy] – แล้วทำไมคุณถึงไม่แจ้งฐานใหญ่ให้มาช่วยละ ทำไม?
[Janeva] – ตอนนี้มี 3 นักโทษอุกฉกรรจ์ที่หลบนี้ไป แล้วข้าก็ต้องการทหารทั้งมาช่วยที่นี่ เลยไม่มีคนพอที่จะออกไปตามหาพวกมัน และมันคงจะไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้มันหนีกลับไปทำชั่วอีกเหมือนเดิม นี่ถ้าใช้การลงโทษด้วยวิธีเดิมก็คงจะไม่เกิดปัญหาแบบนี้หรอก ข้าคิดว่าเราคงแก้ปัญหากันเองได้เพราะข้าเคยผ่านเรื่องพวกนี้มาแล้ว และ ...ตอนนี้ยังมีเจ้าอยู่ที่นี่แล้วด้วย

[Aloy] – (The old way?) การลงโทษวิธีเดิมนี่คือ ?
[Janeva] – เอาตัวฝังไว้เหลือแค่หัวแล้วทิ้งให้ดวงตะวันทรงพิพากษาน่ะสิ ! 
[Aloy] – เหมือนกัน ชั้นก็กำลังตัดสินสิ่งที่พวกมันทำกับชั้นอยู่
[Janeva] – ก็ไม่ใช่พวกอาชญากรทุกคนหรอกนะที่จะต้องถูกตัดสินแบบนั้นน่ะ

[Aloy] – (Dangerous prisonner?) นักโทษอุกฉกรรจ์พวกนี้มันเป็นใครกันหรอ?
[Janeva] – 3 นักโทษที่ถูกโทษขังเดี่ยว ไม่ต้องไปสงสารพวกมันหรอกนะ ที่มันยังไม่ตายก็เพราะราชา Sun King คนใหม่เขามีความกลัวต่อบาปน่ะ คนแรกคือไอ้ Rasgrund จอมวางกับดักแห่ง Oseram โรคจิตที่เกลียดพวก Carja เหนือสิ่งอื่นใด ชอบใช้ระเบิดฆ่าคนตายมานับไม่ถ้วน อีกคนก็ยัย Ullia นักรบชาว Tenakth ถ้ามันจะมีความหมายกับเจ้าอ่ะนะ
[Aloy] – ก็ไม่นะ เผ่าใหม่หรอ?
[Janeva] – พวกชอบปล้นสะดมจากทางใต้ พวกกระหายเลือด บ้างก็บอกว่าพวกมันชอบกินคน สุดท้าย  Gavan ไอ้คนทรยศที่ชอบลักลอบเอาอาวุธไปขายให้กับพวกที่ถูกเนรเทศ 
[Aloy] – ถ้าเทียบกับสองรายแรกคนหลังนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเลวร้ายเท่าไหร่นะ 
[Janeva] – ตอนเกิดสงครามกลางเมืองมันกวาดทรัพย์สินไปซะเกลี้ยง

[Aloy] – (Do you Know Nil?) คุณรู้จักเอ่อ ฮันเตอร์ที่ชื่อ Nil รึเปล่า? เห็นเขาพูดให้ชั้นฟังเรื่องที่นี่
[Janeva] – Nil เขาบอกตัวเองชื่อนี้หรอ? … เขาเป็นคนดีรึเปล่าล่ะ
[Aloy] – ก็ไม่เชิงอ่ะค่ะ 
[Janeva] – เขาเกิดในยุคมืดก็จริง แต่เขาไม่เคยใช้อาวุธโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนราชา Sun King องค์ก่อนหรอกนะ เขาเป็นคนมีเกรียติถึงแม้จะแต่งตัวย้อนยุคเชยๆไปหน่อย แต่ตอนที่เขายังอยู่ที่นี่ก็เป็นคนเลือดร้อนไม่ใช่เล่นเลยนะ

[Aloy] – (Sunstone Rock?) ปกติที่นี่เป็นที่คุมขังพวกอาชญากรของพวก Carja หรอค่ะ ?
[Janeva] – เรามีหมดนั่นแหละตั้งแต่ขโมยกระจอกๆจนถึงพวกอดีตหน่วย kestrels ที่เคยรับใช้ราชา Sun King Jiran บ้านั่น  ราชาองค์ใหม่เองก็เชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลง ก็แน่นอนละ บางอย่างก็เริ่มเปลี่ยนจริงๆ มันก็ทำให้บางคนเปลี่ยนสีได้เหมือนกิ่งก่า ข้าคิดว่าอาชญากรแบบไหนมันก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะงั้นมั้งองค์ราชาถึงมอบหน้าที่ให้ข้าเป็นผู้บัญชาการณ์ที่ Sunstone Rock แห่งนี้ เพื่อให้ศึกษาพวกมันให้ชัดเจนไปเลย 

[Aloy] – (Sound quite the honor ?) ฟังดูคุณได้รับเกรียติอย่างมากนะ ชั้นหมายถึง ชั้นไม่ค่อยได้เห็นผู้หญิงของ Carja ในชุดเกราะแบบนี้ซักเท่าไหร่
[Janeva] – ไม่ใช่ ข้าไม่ใช่พวกเด็กสาวอย่างที่เจ้าว่าหรอกนะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถสวมใส่ชุดเกราะของ Carja ได้ ข้านะเลือกที่จะเป็นทหารมาตั้งแต่เด็กแล้ว แล้วก็เป็นได้ดีพอขนาดเป็นถึงทหารรักษาพระองค์มาแล้วด้วย อย่าเพิ่งเชื่อที่ข้าพูดนะให้ข้าลองหักแขนเจ้าเพื่อเป็นการทดสอบก็ได้ เอามั๊ยล่ะ
[Aloy] – ชั้นก็แค่รู้สึกว่ามันแปลกก็แค่นั้น ไม่เห็นต้องเริ่มชวนทะเลาะกันเลยนี่
[Janeva] – ก็ว่างั้นเหมือนกัน

[Aloy] – (I’ll Find your fugitive ?) แล้วคุณต้องให้ช่วยหาตัวพวกนักโทษที่หนีไปกลับมามั๊ยล่ะ?
[Janeva] – ไม่ต้อง ข้าต้องการให้เก็บมันได้เลย ข้าเดาว่าเจ้าคงรู้สึกว่าข้าไม่ให้ทางเลือกกับพวกมันเลย แต่เชื่อเถอะพวกมันได้รับโอกาสจากราชา Sun king มามากพอแล้ว ตอนนี้พวกมันต้องเจอกับข้าที่กำลังจะล่าหัวพวกมัน Ullia แห่ง Tenakth , Rasground แห่ง Oseram แล้วก็ไอ้ Gavan คนทรยศ 
[Aloy] – ถ้าอยากจะให้ชั้นช่วย ก็ต้องบอกเบาะแสของพวกมันให้ด้วยสิ
[Janeva] – Ullia หล่อนก็ไปทั่ว Sundom ไม่มีหลักแหล่ง แต่เราเจอเธอล่าสุดที่รังโจรป่า ชั้นว่าเธอน่าจะกลับไปที่นั่นนะ ส่วน Rasground เรารวบตัวมันได้ที่หุบเขา Dusk mesa ถ้าเกิดมันจะหาวัตถุดิบในการทำระเบิดของมันก็คงจะต้องกลับไปเอาที่นั่นแหละ ที่เหลือ ไอ้ Gavan คงพยายามหาทางข้ามทะเลสาบ ข้าพนันได้เลยว่ามันไปที่เมืองท่าเรือ Brightmarket แน่นอน 




จากนั้นเมื่อกดดูแผนที่จะเห็นจุดหมายของภารกิจสีเหลือง 3 จุดของพวกนักโทษที่หนีไปทั้ง 3 คนตามจุดต่างๆคือ



-Ullia ที่ Blackwing Snag อยู่ทางตะวันออกของ Sunstone Rock ซึ่งสถานที่เป้าหมายคือ Bandit Camp ร้าง เมื่อเข้ามาในพื้นที่จะพบ Ullia ยืนอยู่ด้านบนของแค๊มป์ สามารถเข้าไปจัดการเธอได้เลย


[Aloy] – งานนี้ไม่มีทางที่เราจะพูดคุยกันได้เลยหรอ ห๊า?
[Ullia] –  ที่ผ่านมา Carja พูดมามากพอแล้ว ! พูดจนหลั่งเลือด พูดจนข้าถูกจับใส่โซ่ตรวนแบบนี้ แต่เจ้าเลือกที่จะสู้เยี่ยง Tenakth ข้าจะให้ลูกๆของงข้าแก่เจ้าให้ช่วยดูแล
[Aloy] – อยู่ๆคุณจะเอาลูกมาให้ชั้นไม่ได้นะ 
[Ullia] –   ผู้ที่แข็งแกร่งย่อมได้ทุกอย่างจากผู้ที่อ่อนแอ ยิ่งเราได้ถูกแย่งชิงเอาไปมากเท่าไหร่ มันก็จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ่นไปอีก ข้าจะจดจำพวกเขาตลอดไป ฟังนะ เด็กๆ ความร่ำรวย การมีชีวิตอยู่ และผืนแผ่นดินสำหรับการอยู่อาศัย ทุกๆอย่างที่ว่ามามันเป็นของค่าเสมอ ให้พวกเด็กมาดื่มเลือดของข้า แล้วพวกเขาจะคงอยู่ตลอดไป
[Aloy] – ไม่ Ullia ชั้นน่ะ เอ่อ ฟังเรื่องราวต่างๆของคุณมามากพอแล้ว ชั้นแบกรับเรื่องราวต่างๆของใครอีกไม่ได้แล้วล่ะ 

จุดที่ 2 จุดที่ซ่อนตัวของ Resgrund ที่ป่าทางทิศเหนือของ ค่ายทหาร Sunstone Rock ซึ่งเมื่อเดินทางเข้ามาจนถึงเขตซอกเขากลางป่า ทางเข้าด้านหน้าจะเริ่มพบระเบิดทำมือฝีมือของจอมกับดัก Resgrund ระเบิดทักทายเวลาเข้าไปใกล้ๆมัน พอเข้ามาในซอกเขาได้ไม่นานก็จะพบเจ้า Resgrund แหกปากเยาะเย้ยมาจากเนินเขาด้านบน


[Resgrund] – เฮ้ ข้าอยู่บนนี้ !! โธ่เอ้ย นึกว่าจะเอาทหารมาตามจับข้าซะอีก ! อะไรกันข้าคิดว่าอาณาจักร Carja สุดยิ่งใหญ่จะมีเงินมากมายจริงๆแล้วยากจนหรอเนี้ย น่าเศร้าใจจัง แต่ก็ช่างเถอะ นักล่าค่าหัวก็ดีเหมือนกันเพราะที่นี่ก็เป็นที่ตายเสมือนที่พักแห่งสุดท้ายของพวกนักล่ามานักต่อนักแล้วล่ะ ขอต้อนรับสู่หุบเขาแห่งความตายของข้านะ ! ซาดิสม์ ฆาตกร หรือ เจ้าแห่งกับดักก็เรียกมาเหอะ นั่นแหละพวกมันถึงชอบเอามาไว้ที่หลุมแก๊สไข่เน่าพวกนี้ และใช่ อย่าแปลกใจว่าทำไมข้าถึงมีของเล่นมากมายที่ทำให้ข้าเพลินจนลืมความเจ็บปวดไปจนหมดสิ้น 

พยายามปีนตาม Resgrund ขึ้นไปตามทางปีนขึ้นเขาท่ามกลางกับระเบิดมากมายที่มันวางไว้ เมื่อขึ้นไปจนถึงด้านบนสุดจนสุดแต่กลับไม่พบเจ้า Resgrund ให้วิ่งย้อนกลับมาตรงที่ปีนขึ้นมาแล้วมองไปตรงบ่อน้ำด้านล่างด้านขวา เมื่อโดดลงไปจะเป็นช่องเขาด้านในสุดซึ่งจะพบ Resgrund ยืนอยู่บนแท่นเสาหินด้านบน หาทางปีนไปพร้อมกับหลบระเบิดจนไปถึงตัวมันได้เลย



[Resgrund] – เจ้าจับข้าได้แล้ว !! ไม่มีกับดักแล้ว บอก Janeva ด้วยว่าข้าสำนึกผิดแล้วต่อไปจะเป็นเด็กดีนะ 
[Aloy] – แกคิดว่าชั้นจะเชื่อแกรึไง แล้วในมือนั่นอะไร ?!!
[Resgrund] – โอ้ เนี้ยหรอ ? มันก็แค่ .....อุ๊ย ! หลุดมือ 




ด้วยกลโกงของ Resgrund ทำให้มันสามารถใช้ระเบิดที่มีอยู่ทำให้เกิดการระเบิดขึ้นจนทำให้ Aloy ต้องโดดหนีเอาตัวรอดจากเหตุการณ์เฉพาะหน้า ส่วนเจ้า Resgrund หลังจากควันจากแรงระเบิดจางลงไปมันก็หายตัวไป Aloy ทำได้แค่คาดเดาในใจว่าไอ้ Resgrund มันได้ตายไปพร้อมสิ่งที่มันรักไปแล้ว ......

จุดที่ 3 ที่ซ่อนตัวของ Gavan อยู่ที่เมือง Brightmarket เข้ามาในพื้นที่แล้วเข้าไปสอบถามเจ้าของโรงแรมในเมือง หลังการพูดคุยเจ้าของโรงแรมอ้างว่าไม่รู้จักชื่อของ Gavan จากที่ Aloy ได้ถามไป หลังจากไม่ได้ความอะไรจากปากผู้คน Aloy จึงต้องเริ่มค้นหาหลักฐานที่จะเชื่อมโยงไปถึง Gavan ด้วยตัวเอง


หลังจากคุยกับเจ้าของโรงแรมจบออกมาสำรวจที่หน้าโรงแรมจะพบกุญแจมือถูกถอดทิ้งเอาไว้ เมื่อเอา Focus สำรวจดูก็จะรู้ว่ามันเป็นของ Gavan ที่ถอดทิ้งไว้ และ Aloy ยังมั่นใจอีกว่า Gavan คงทำไม่ได้ถ้าไม่มีใครคอยช่วยมัน จากนั้นใช้ Focus สแกนที่กุญแจมือแล้วกด R1 Highlight track เพื่อสะกดรอยตามรอยเท้าของ Gavan ไปต่อเรื่อยๆจนถึงที่โกดังข้างๆเมือง

Aloy จะพบว่า Gavan ถูกจับอยู่โดยเพื่อนคู่ค้าที่ตอนนี้กลายเป็นศัตรูและดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่พอใจที่เห็น Gavan กลับมาเพราะการแหกคุกที่ Sunstone Rock มาจะทำให้พวกมันอาจต้องซวยไปด้วยหากมีทหารตามมาจับกุมตัว


[Hashiv] – แกยังไปไหนไม่ได้ Gavan ข้ายังไม่เสร็จธุระกับแก ! ถ้าแกเก่งพอที่จะแหกคุกที่ Sunstone Rock มาได้ง่ายๆแบบนั้น แสดงว่าแกก็คงจะต้องมีเทคนิคอะไรที่ปิดบังไว้บ้างละจริงมั๊ย? โกหก !! แกไม่ได้แหกคุกหรอก ไอ้หัวขโมย แต่แกถูกปล่อยตัวออกมาเพื่อให้ทหารมาล่อจับพวกข้าล่ะสิ ช้าจะจัดการกับแกยังไงน่ะหรอ รอดูได้เลย !!


จัดการพวกพ่อค้าของเถื่อนที่จับตัว Gavan เอาไว้ให้หมดแล้วเข้าไปคุยกับ Gavan ได้เลย



[Gavan] – พวกเขาส่งให้เจ้ามาจับข้ากลับ Sunstone ใช่มั๊ย?
[Aloy] – พวกเขาไม่ได้สั่งให้มาจับเป็น
[Gavan] – อืมม ไอ้ Hashiv มันเกือบจะแย่งงานของเจ้าซะแล้ว 
[Aloy] – Janeva บอกว่าแกเป็นพวกค้าของเถื่อนแลกกับเงินจริงรึเปล่า?
[Gavan] – ข้าจะบอกอะไรเจ้าอย่างนึงนะ ข้าทำเพราะแม่ป่วย ทำไปเพราะยากจน
[Aloy] – แกโกหก 
 [Gavan] – ในปีที่ผ่านมาข้าใช้เวลาทั้งหมดในคุกไปกับความเสียใจที่เคยฆ่ายามคนนึงไปเพราะข้าถูกเขาจับได้ เจ้าจับข้ากลับไปที่ Sunstone ได้เลย ......

เมื่อจัดการกับนักโทษทั้ง 3 ที่หนีจากคุกได้จนหมดแล้ว จากนั้นเดินทางกลับไปหา Janeva ที่ Sunstone เพื่อรายงานผลการทำงานได้เลย



[Janeva] – เจ้าได้ช่วยอาณาจักร Carja ในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งแบบนี้ช่างน่าชมเชยยิ่งนัก แต่ ข้าอยากจะบอกกับเจ้าอย่างเป็นทางการในฐานะเจ้าหน้าที่ทหารเลยนะ ข้าคงจะบอกว่าเจ้าทำงานสำเร็จเพียงแค่เห็นหน้าเจ้ากลับมาแค่นั้นไม่ได้หรอกนะ 
[Aloy] – 2 คนตายเอง ส่วนอีกคนตายเพราะพยายามจะต่อสู้ขัดขืน ต่อสู้จนตัวตาย  
[Janeva] –ไม่ว่าจะเพราะฝีมือเจ้าหรือเปล่า พวกอื่นก็ต้องจัดการพวกมันอยู่ดี
[Aloy] – จะบอกกับตัวชั้นเองเอาไว้ก็แล้วกัน
[Janeva] – เอาละ แม่คนฉลาด เดาว่าเราคงได้เจอกันอีกแน่นอน ขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัยก็แล้วกัน




                   Side Quest: CAUSE FOR CONCERN - FAREWELL






ภารกิจนี้จะปลดล็อกออกมาเมื่อทำการเคลียร์จุด Bandit Camp ยึดรังโจรป่าจนหมดทุกจุดแล้ว จากนั้นเข้าไปคุยกับ Nil ที่จุดหมายของภารกิจได้เลย



[Nil] – มันช่างหวานชื่นเสมือนยิ้มตอนที่เลือดออกตามไรฟันจริงๆ
[Aloy] – เป็นอะไรหรอ ? เหมือนคุณยังดูผิดหวังอยู่เลย 
[Nil] – พวกโจรพวกนั้นถูกทลายไปหมดแล้ว ข้ารู้เพราะได้ยินพวกมันพูดกันว่ากำลังหนีไปที่ที่ราบทางใต้กันหมด ข้าก็แค่สงสัยว่า พวกมันจะเป็นยังไงต่อจากที่เราทำลายมันลงไป 
[Aloy] – แล้วที่เราต้องเสียเลือดเสียเนื้อทำกันมามันเพื่ออะไร? ก็เพื่อหยุดการคุกคามจากพวกโจรนั่นไม่ใช่หรอ 
[Nil] – แต่ ตอนนี้มันไม่เหลือพวกมันให้เราฆ่าอีกแล้ว ...เว้นแต่ว่า .. ไม่ ไม่ใช่น่ะสิ  
[Aloy] – ชั้นนึกว่านี่จะเป็นการร่ำลากันครั้งสุดท้ายสำหรับเราแล้วนะเนี้ย 
[Nil] – หลังจากที่เราร่วมงานกันมา มันไม่ใช่เพื่อมาล่ำลากันแบบนี้หรอก ที่หุบเขา spearshafts ทางใต้ของเมือง Meridian .. ไปเจอข้าที่นั่นแล้วก็รู้เองว่าเราควรจะร่ำลากันแบบไหน


จากนั้นเดินทางไปยังพื้นที่ทางใต้ของแผนที่ตามจุดเป้าหมายของภารกิจก็จะพบ Nil รออยู่ที่บนเนินเขา spearshafts




[Aloy] – Nil ชั้นนึกไม่ออกจริงๆว่าคุณจะให้ชั้นมาที่นี่ทำไม คงไม่ลวงชั้นมาฆ่าหรอกนะ ถ้าแบบนั้นละน่าดูแน่ 
[Nil] – ทำแบบนั้นแล้วมันจะสนุกตรงไหนกันล่ะ ? … ยังเหลือพวกโจรอีกเยอะที่นอนเหยียดแข้งเหยียดขาสบายใจอยู่นอกอาณาเขตของเรา เรื่องนั้นปล่อยมันไปก่อน แต่สิ่งที่เราจะทำกันมันเจ๋งกว่า แต่มันจะ ดราม่า ดราม่า หน่อยๆนะ แล้วเจ้าจะว่ายังไงล่ะ ถ้าเราจะหาอย่างอื่นมาฆ่าแทน ?

[Aloy] – (What) เดี๋ยวๆ คุณขอให้ชั้นมาที่นี่เพื่อมาสู้กับคุณเนี่ยนะ ?
[Nil] – ความตายน่ะ มันน่าค้นหาน่ะ เพราะรสชาติของมันนั้นเรารับรู้ได้แค่ครั้งเดียว 
[Aloy] – บอกตรงๆ ... ชั้นก็ไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน ..อืมมม 


ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับมโนธรรมของคุณเอง 
ผมจะไม่กดดันคุณเพื่อให้พบสัจธรรมหรอก 
โดยเฉพาะเรื่องสัจธรรมของ ความตาย ที่เป็นความจริงแท้และแน่นอน 




                                     ตรงนี้สามารถเลือกตอบได้ 2 อย่าง คือ

Accept duel ตกลงรับข้อเสนอ Aloy ต้องสู้กับ Nil และเมื่อเอาชนะเขาได้ Nil ก็จะได้พบสัจธรรมแห่งความตายอย่างที่เขาต้องการ แน่นอนว่า คุณจะไม่ได้พบเขาอีกแล้วจนจบเกม 




Decline duel ไม่ตกลงรับข้อเสนอ Aloy จะไม่ยอมที่จะสู้กับ Nil ซึ่งทำให้ Nil ใจสลาย แต่เขาก็จะได้อยู่ต่อไป และ คุณจะพบกับเขาได้อีกครั้งหลังการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเกม 




ถึงตอนนี้จะเหลือ ภารกิจหลัก ที่ต้องทำค้างอยู่ 2 ภารกิจคือ
1. Main Quest: THE CITY OF THE SUN  ภารกิจหลักของเนื้อเรื่องในการตามหา Olin ที่กำลังได้เบาะแสใหม่มาจากการค้นบ้านพักของ Olin ที่เมือง Meridian ทำให้รู้ตำแหน่งการเดินทางล่าสุดของเขา
2. Main Quest: THE FIELD OF THE FALLEN ภารกิจหลักจากข้อร้องของ Erend เพื่อให้แกะรอยตามหาคนที่ฆ่า Ersa พี่สาวของเขาที่ Red Ridge pass




กำหนดภารกิจ Main Quest: THE FIELD OF THE FALLEN เพื่อทำภารกิจช่วยเหลือ Erend ปิดคดีฆาตกรรม Ersa พี่สาวของเขาที่ Red Ridge pass เพื่อจบ Set ภารกิจของเมือง Meridian




                         Main Quest: THE FIELD OF THE FALLEN



เดินทางไปที่จุดหมายของภารกิจที่ Red Ridge pass เมื่อเข้าไปในพื้นที่จะเห็น Erend กำลังถูกพวกสัตว์จักรกลโจมตี เข้าไปช่วยเขาจัดการศัตรูให้หมดแล้วเข้าไปคุยกับ Erend ตามที่นัดกันไว้



[Aloy] – ทำไมคุณออกมาที่นี่คนเดียว แล้วคนของคุณล่ะ? 
[Erend] – ข้าไม่อยากให้พวกเขาต้องมาเสี่ยงชีวิต ข้าไม่แค่ที่จะเอาชีวิตที่ไร้ค่าของข้าไปเสี่ยงแต่ไม่ใช่กับพวกเขา และขอโทษด้วยที่ลากเจ้าเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย 
[Aloy] – ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มันก็เหมือนวันธรรมดาของชั้นแหละ จัดการพวกเครื่องจักร ตามรอยพวกฆาตกร อะไรแบบนี้ 
[Erend] – งั้นก็ดี ข้าก็ไม่อยากเจอเช้าที่วุ่นวายพร้อมกับเจ้าเหมือนกัน เอาละ เราจะเริ่มกันได้รึยัง?

[Aloy] – (do I to worry about you?) ว่าแต่คุณเธอ ตอนนี้โอเคนะ?
[Erend] – ก็โอเค ผมก็ดูปกติดี ....อ่า จริงๆก็ ... ไม่ ผมไม่โอเคเลย
[Aloy] – แหม่ ชั้นดีใจนะที่ในที่สุดคุณก็ยอมรับออกมาตรงๆ 
[Erend] – ข้าก็ไม่คุ้นที่ตัวเองเป็นแบบนี้เหมือนกัน 

[Aloy] – (What happened to your sister?) บอกชั้นมาตรงๆเถอะว่าเกิดเรื่องอะไรกับน้องของคุณกันแน่ เอาตั้งแต่แรกเลยนะ 
[Erend] – ไม่มีใครรู้แน่นอนหรอก เธอออกจากเมืองไปในตอนกลางดึกกับทหารที่ดีที่สุดในทีมสองสามคน
[Aloy] – ทหารที่ดีที่สุดในทีมหรอ? ทำไมเธอไม่พาคุณไปด้วยล่ะ?
[Erend] – วันนั้นข้า .. เมามากไปหน่อย หรือบางทีเธออาจคิดว่า ..บ้า เอ๊ย ! ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน มันทำให้ข้าคาใจจนถึงทุกวันนี้เลย หน่วยลาดตระเวนไปพบศพของพวกเขาในวันถัดมา และก็พบศพของไอ้พวก Shadow Carja รวมอยู่ด้วย พวกมันคงลอบโจมตีตามสไตล์ของพวกขี้ขลาดแบบพวกมัน Shadow Carja พวกมันคือสัตว์ป่า เธอถูกพวกมันทำร้ายจนยับ เราแทบมองไม่เห็นหน้าของเธอในก่อนจะฝังศพเธอเลยด้วยซ้ำ
[Aloy] – ชั้นเสียใจด้วยนะ Erend …
[Erend] – อืมม และหลังจากหาไอ้ฆาตกรที่ทำได้มันก็จะต้องเสียใจเหมือนกัน

[Aloy] – (Why she left?) คุณรู้มั๊ยว่าทำไมเธอถึงต้องรีบออกเดินทางไปกลางดึกแบบนั้น?
[Erend] – ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าพวกเขารีบออกเดินทาง เหมือนจะมีรายงานเกี่ยวกับการคุกคามของพวก Shadow Carja ข้าก็ไม่แน่ใจ 

[Aloy] – (Shadow Carja?) ทำไมพวก Shadow Carja ถึงต้องทำแบบนั้นล่ะ?
[Erend] – เพราะพวกมันเกลียดพวกเรายังไงล่ะ โดยเฉพาะกับ Ersa ที่เธอนำกองกำลังทหารสนับสนุนราชา Avad ทำการปฎิวัติและขับไล่พวกมันออกจากเมืองไปยังไงล่ะ พวกมันต้องหนีไปเลียแผลตัวเองเกือบ 2 ปีจนตอนนี้พวกมันคงจะมาแก้แค้นเธอ 
[Aloy] – โอเค งั้นพาชั้นไปจุดที่ Ersa ตายหน่อย เผื่อชั้นจะช่วยหาเบาะแสอะไรได้บ้าง 
[Erend] – ได้สิ ตามมา !


จากนั้นวิ่งตาม Erend ไปจนถึงจุดที่พบศพของ Ersa แล้วใช้ Focus สำรวจให้ทั่วพื้นที่จนพบร่องรอยเบาะแสที่ซ่อนอยู่




[Aloy] – กองลูกธนูที่กระจัดกระจายไปทั่ว เหมือนเป็นของใหม่ยังไม่เคยใช้ มีหยดเลือดที่ไม่ใช่เลือดจากศพ เหมือนพวกเขาทำเลอะเอาไว้ มีหอกของพวก Shadow Carja ตกอยู่ มันยังคมอยู่เลยไม่เคยได้ใช้ แล้วก็ชุดเกราะของพวก Shadow Carja นี่ก็ไม่มีรอยขีดข่วนอะไรเลย  มีใครบางคนเคลื่อนย้ายศพจากตรงนี้ไป รอยเลือดที่หยดเป็นทางนี่ เหมือนมันไหลลงมาจากขอบอะไรซักอย่าง อาจจะเป็นรถลากหรือเกวียน เห็นมั๊ย นั่นรอยล้อรถ ชั้นคิดว่าใครบางคนเคลื่อนย้ายศพจากที่นี่ จากนั้นก็ทำให้ศพกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่
[Erend] – เดี๋ยว เจ้าพูดว่าศพคนตายที่เราเจอที่นี่ถูกฆ่ามาจากที่อื่นงั้นหรอ? แต่ พวก Shadow Carja จะทำแบบนั้นไปทำไมกัน?
[Aloy] – ประเด็นที่ชั้นจะพูดก็คือ เรื่องนี้ Shadow Carja ไม่น่าจะเกี่ยวข้องต่างหาก 
[Erend] – พวกมันต้องเกี่ยวแน่นอน !
[Aloy] – งั้นก็ลองตามรอยล้อรถนี่ไปต่อเพื่อหาคำตอบเรื่องนี้กัน
[Erend] – ข้าสงสัยว่า ทำไม ถ้าพวกมันต้องการจะฆ่า Ersa ให้ตาย แต่ทำไมต้องจัดฉากการสุ่มโจมตีด้วย 
[Aloy] – มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่นอน เราต้องคิดให้ออก 


ใช้ Focus สำรวจตรงร่อยรอยล้อรถแล้วกด R1 – Highlight track แล้วตามรอยของล้อรถไปจนถึงจุดสิ้นสุดเบาะแสจุดที่สอง



                 [Erend] – พวกมันไม่ใช่ Shadow Carja  ! พวกมันเป็นเผ่า Oseram เหมือนกับข้า !!





ร่วมมือกับ Erend จัดการพวกศัตรูที่ดักซุ่มโจมตีอยู่ให้หมด จากนั้นศัตรูจะใช้เครื่องเรียกสัตว์จักรกล เรียก Ravager 2 ตัวให้บุกเข้ามาโจมตีต่อ จัดการมันให้หมด !




[Erend] – Oseram ไม่ใช่ Shadow Carja จริงๆด้วย ดูเหมือนข้าจะเข้าใจผิดมาตลอด ..แบบนี้ตลอด ... เอาล่ะ ได้โปรด ช่วยใช้ตาที่สองของเจ้าตรวจสอบดูหน่อยว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ 
 [Aloy] – จะลองดูก็แล้วกัน 




                         

                            จากนั้นใช้ Focus หาเบาะแสที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ให้ทั่วๆ



[Aloy] –  ตรงก้อนหินนั่นเป็นรอยแตก มีบางอย่างมันมากระแทกจนแตกบางอย่างที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน มีเลือดมากเลย มีคนตายมากมายตรงนี้ เป็นการฆาตกรรมหมู่  ตรงนั้นเหมือนจะเป็นอาวุธของหน่วย Vanguard ไม่มีรอยเลือดเลยแสดงว่า Ersa และคนของเธอไม่ได้ตอบโต้กลับ แล้วพวกสายรัดที่เป็นหนังนั่นมันอะไร? อืมม มันเป็นสายรัดสำหรับสวมใส่อาวุธ และตรงก้อนกินนี่มีรอยเลือดอยู่  บนเนินเขาด้านบนนั่นเป็นเครื่องล่อเหยื่อที่ล่อให้พวกสัตว์จักรกลเข้ามาโจมตีพวกเราเมื่อกี้  ตรงนั้นมีการติดตั้งอุปกรณ์บางอย่าง ..,มันเป็นขาตั้งสำหรับใช้ Power cell 



[Erend] – นี่เป็นหมวกของ Ersa ข้าคิดว่านางตายที่ทุ่งด้านล่างนั่น แต่ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ กลลวงแบบนี้ทำไปเพื่ออะไรกัน มันทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดมากๆเลย 
[Aloy] –  ชั้นมีทฤษฎีจะอธิบายให้ฟัง แต่มันต้องอาศัยจินตนาการนิดนึงนะ
[Erend] – ทฤษฎีของเจ้ามันไปไกลเกินกว่าความจริงที่ผู้คนอื่นๆจะรับได้จริงๆ
[Aloy] –  เอาละ ชั้นคิดว่า พวก Oseram ลอบสังหาร Ersa ด้วยอาวุธใหม่ พวกเขาตั้ง 3 ขาไว้ด้านบนนั่น แล้วยิงมันลงมา อาจจะเป็นคลื่นเสียง มันทำให้หินตรงนี้แตกละเอียด ชั้นคิดว่าอาวุธนี่มันจะทำให้เป้าหมายเป็นอัมพาตมากกว่าที่จะฆ่า มันถึงพาหน่วย Vanguard มาที่นี่ได้ ไม่มีรอยเลือดหรือร่องรอยการต่อสู้ 
[Erend] – ทำไมต้องทำให้พวกเขาเป็นอัมพาตเพียงเพราะจะล่อพวกเขามาที่นี่ด้วย 
[Aloy] –  เพราะพวกเขากำลังซ่อนอะไรบางอย่าง ดูตรงนี้สิ ก้อนหินที่เปื้อนเลือด
[Erend] – นั่นแสดงว่าพวกมันต้องการเล่นงาน Ersa แบบซึ่งหน้า 
[Aloy] –  หรือไม่ก็อาจเป็นคนอื่น ..ดูเข็มขัดหนังที่ตกอยู่ มันมีรอยการใช้มีดตัดออกจากเกราะใครซักคน
[Erend] – เป็นไปไม่ได้ ก็ข้าเห็นร่างของ Ersa นอนอยู่ที่เมือง Meridian



[Aloy] –  คุณบอกเองไม่ใช่หรอว่า ศพไม่สามารถจำใบหน้าได้ บางทีพวกมันอาจสลับร่างของเธอกับศพคนอื่นแล้วตัดเอาเกราะของเธอไปสวมใส่แทน เป็นศพใครคนนึงที่มีขนาดเท่าๆกันแล้วทำให้เสียโฉมเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็น Ersa  ..คุณรีบกลับไปที่ Meridian แล้วลองตรวจสอบศพดูอีกที ถ้ามันเป็นศพของ Ersa จริงๆชั้นก็ผิดเอง แต่ถ้าชั้นพูดถูกล่ะ ?

[Erend] – งั้น Ersa ก็อาจยังมีชีวิตอยู่ !!  โอเค งั้นข้าต้องรีบกลับก่อนนะ ถ้าเป็นไปได้เจ้าตามไปหาข้าทีเมืองด้วยนะ!


หลังจากจบภารกิจนี้จะได้รับภารกิจหลักใหม่คือ Main Quest: INTO THE BORDERLAND ซึ่งเป็นภารกิจต่อเนื่องในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตอันเป็นปริศนาของ Ersa พี่สาวของ Erend



กำหนดภารกิจหลัก Main Quest: INTO THE BORDERLAND แล้วเดินทางกลับไปหา Erend ในพระราชวัง Palace of the Sun ที่เมือง Meridian



                           Main Quest: INTO THE BORDERLAND





[Blameless Marad] – ยินดีต้อนรับ Aloy ข้าเป็นที่รู้จักในนาม  Marad ผู้ไร้มลทิน ได้โปรดตามข้ามา เจ้าได้รับเชิญให้เข้าเฝ้าองค์ราชา Sun King เพื่อเข้าร่วมประชุมปรึกษาหารือเรื่องสำคัญ
[Aloy] –  คุณหมายความว่าไง? แล้ว Erend ไปไหนล่ะ?
[Blameless Marad] – เขาอยู่ข้างใน เข้าเฝ้าราชา Sun King อยู่ แล้วเราก็ควรจะเข้าไปข้างในด้วยจะได้ไม่สายเกินงาม ได้โปรดตามข้ามาทางนี้



[Aloy] –  พวกประชาชนที่มาทั้งหมดนี่เพื่อต้องการเห็นองค์ราชา Sun King งั้นหรอ?
[Blameless Marad] – ส่วนใหญ่มาชื่นชมพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ อาจจะขัดหูขัดตาฝ่ายต่อต้านไปบ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องการเมืองอ่ะนะ อย่าไปสนใจพวกมันเลย พวกขุนนางขี้แงที่ไม่มีใครคอยป้อนขนมหวานให้เหมือนเมื่อก่อน ราชา Sun King มีความประสงค์ที่จะพบเจ้าอย่างมาก ท่านอยากทราบรายละเอียดเรื่องเครื่องเหยื่อล่อพวกเครื่องจักรกำลังเป็นที่สนใจของพระองค์มากพอๆกับกังวลถึงอันตรายที่ร้ายแรงที่จะเกิดจากมัน
[Aloy] – ชั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อแผนร้ายอะไรหรอกนะ 
[Blameless Marad] – สายไปแล้วล่ะ ยังเจ้าก็ต้องไปอธิบายเรื่องราวกับองค์ราชาเอาเอง
[Aloy] –  แล้วองค์ราชา Sun King ท่านโปรดปรานสิ่งใด
[Blameless Marad] – ข้าว่าเจ้าสนแต่ในเรื่องที่ท่านไม่โปรดจะดีกว่านะ พระบิดาของพระองค์ไง เอาเถอะ เดี๋ยวเจ้าก็เห็นเองแหละว่าพระองค์เป็นคนที่มีเหตุผลมากๆคนนึงเลยล่ะ 




[Sun King Avad] –  ขอต้อนรับ Aloy แห่ง Nora หญิงแกร่งผู้ที่สามารถมองหาในสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็น หวังว่าข้าคงตอนรับเจ้าอย่างสมเกรียตินะ Erend เล่าให้ข้าฟังในสิ่งที่เจ้าค้นพบ 
[Erend] – ข้าตรวจสอบหลุมศพของ Ersa ตามที่เจ้าแนะนำแล้ว เจ้าพูดถูกร่างนั้นไม่มีแผลที่หัวเข่า แปลว่าศพนั่นไม่ใช่นางแน่นอน เพราะรอยนั้นเป็นรอยที่ข้าทำเองในสมัยที่เล่นต่อสู้ด้วยดาบไม้ในตอนเด็กๆ
[Sun King Avad] –  ซึ่งถ้าศพนั่นไม่ใช่ Ersa จริงๆพวกเราก็คาดว่าเธอต้องยังมีชีวิตอยู่ และข้าจะไม่มีวันทิ้งนางแน่นอน 
 [Aloy] –  เรารู้แค่ว่าเธอน่าจะถูกจับตัวไป แต่ไม่รู้ว่าใครทำค่ะ




[Blameless Marad] – เรื่องนั้นข้าอาจช่วยได้ ศัตรูของ Ersa หนึ่งเดียวตลอดมาก็คือ Warlord ของเผ่า Oseram ที่ชื่อ Dervahl 
[Erend] – หลังการปฎิวัติทุกกลุ่มในเผ่าต่างก็ไล่ล่ามัน มันน่าจะตายไปแล้วนะ
[Blameless Marad] – พวก Oseram บางคนอาจจะใช้เรื่องของ Dervahl เป็นเหตุจูงใจเพื่อเป็นเหยื่อล่อให้ Ersa ไปติดกับดักแน่นอน ข้าเดาว่ามันคงจะหลบซ่อนตัวอยู่แถวๆเขตชายแดนนั่นแหละ ตอนนี้ข้าได้ส่งหน่วยทหารลาดตระเวนเข้าไปค้นหาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขารอรายงานผลอยู่ที่ Pitchcliff ครับ
[Sun King Avad] –  เราคงส่งกองทหารเข้าไปในพื้นที่โดยยังไม่ได้พิสูจน์ว่าพวก Oseram มีความผิดไม่ได้หรอกนะ แต่ข้าก็ได้ส่งหน่วย Vanguard ไปตรวจสอบจำนวนนึงแล้ว และบางทีอาจจะดีกว่าถ้าได้พรสวรรค์พิเศษจากชาว Nora ช่วยอีกแรง  เอาละ Erend , Marad ขอข้าอยู่กับนางเป็นการส่วนตัวหน่อยนะ 



[Aloy] –  (You and Ersa) ดูเหมือน Ersa มีความสำคัญมากสำหรับพระองค์นะ
[Sun King Avad] –  ถ้าไม่ได้หน่วย Oseram Vanguard ของนาง ข้าคงปฎิวัติเปลี่ยนแปลง Meridian จากความบ้าคลั่งของพ่อข้าไม่ได้แน่นอน จากนั้นข้าก็เริ่มสานสัมพันธ์กับเผ่าต่างๆด้วยสันติภาพและ Ersa ก็เป็นหนทางนึงที่จะส่งต่อความตั้งใจจริงของข้าไปสู่เผ่าต่างๆได้อย่างดี ก็อย่างที่เห็นข้าต้องการให้นางกลับมาข้างกายข้าให้เร็วที่สุด 

[Aloy] –  (Dervahl) เอาจริงๆแล้ว Dervahl เขาเป็นใครกันแน่ค่ะ?
[Sun King Avad] –  ถ้าเจ้าอยากเข้าใจคนอย่าง Dervahl เจ้าก็ต้องเข้าใจคนแบบพ่อข้าก่อน อุดมการณ์เดียวกันเลย มันคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง เป็นเทพเจ้า Sun God มันบ้าไม่ต่างจากพ่อข้าหรอก  มันเชื่อว่าการใช้ความรุนแรงและการนองเลือดคือหนทางแก้ปัญหาจึงคิดที่จะโจมตีทุกเผ่าให้ราบคาบเพื่อให้ยอมจำนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเผ่า Oseram ของมันเอง Dervahl รวบรวม อาวุธและไพร่พลที่มีตอบโต้กลับด้วยความโหดเหี้ยมอมหิตกับเผ่า carja ของเรา แต่พ่อของข้าตอบโต้กลับได้อมหิตกว่าด้วยการจับเมียและลูกของ Dervahl มาฆ่าทิ้งเพื่อสังเวยให้ราชา Sun 

[Aloy] –  (Why kidnap Ersa) แล้วทำไม Dervahl ถึงต้องจับตัว Ersa ที่เป็นเผ่าเดียวกันไปละค่ะ?
[Sun King Avad] –  มันคิดว่า Ersa ทรยศมันน่ะสิเพราะนางสู้เคียงข้างข้าจน Meridian ได้ชัยชนะ ทำให้มันไม่ได้นำกองทัพของมันบดขยี้คนของข้าอย่างที่มันตั้งใจไว้ และ Ersa ก็เข้าข้างข้า พวกเราร่วมกันต่อสู้กับคนของ Dervahl จนสามารถขับไล่พวกมันไปได้พร้อมๆกับปฎิวัติ Meridian จากพ่อของข้าได้สำเร็จ ทำให้ Dervahl คิดแก้แค้นพวกเราตลอดมารวมทั้งคนของมันทุกคนที่มาเข้าร่วมเป็นพัทธมิตรกับเราด้วย มันเป็นศัตรูคนสำคัญของข้าที่ข้าคิดว่ากำจัดมันไปได้แล้ว แต่ข้าคิดผิด 

[Aloy] –  (Time is Shot) ข้าคิดว่าข้าคงต้องทูลลาไปก่อนนะค่ะ
[Sun King Avad] –  อืมม ข้ารู้ ....พวกเขาว่าราชาต้องไปอ้อนวอนขอสิ่งใด แต่ ได้ดปรดเถอะช่วยตามหาตัว Ersa ให้เจอจะขอบคุณมาก 
[Aloy] –  ใครกันที่บอกท่านแบบนั้นค่ะ?
[Sun King Avad] –  Marad คนนึงล่ะ แล้วถ้าเจ้าลังเลหรือสงสัยเรื่องอะไรก็ถาม Erend หรือ Marad ได้ตลอดเวลาเลยนะ 




[Erend] –  ข้าคิดว่า Ersa ตายไปแล้วและก็คิดว่า Dervahl ตายไปแล้ว คนตายไม่ได้มีความหมายเหมือนเดิมหรือข้ามันโง่ไปเองกันแน่ แต่ก็ช่างเถอะ ทั้งหมดที่รู้ตอนนี้คือพยายามหาตัวพี่สาวข้าให้เจอและแก้แค้นคืนหวังว่า เบาแสะของ Marad จะพอเชื่อถือได้นะ 
[Aloy] –  (Ersa and Dervahl?) แล้ว Ersa เคยบอกคุณเรื่อง Dervahl บ้างรึเปล่า?
[Erend] –  เราต่างก็เคยเป็นลูกน้องในหน่วยของ Dervahl มาก่อน เหมือนว่าเราช่วยเขานำทัพทหารใหม่ของเขาในการโค่นล้มอำนาจราชา Sun King คนก่อนด้วยซ้ำ แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเกลียดชัง Ersa แบบจริงๆจังๆ แบบที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันอีก ถึงแม้ว่า Ersa จะไม่ได้ใส่ใจอะไรแต่ดูเหมือน Dervahl มันจะไม่ยอมเลิกรา นี่ยังไม่ได้พูดถึงความจริงที่เราต่างก็รู้กันดีนะว่า Dervahl มันต้องการฆ่า Carja เฉพาะแต่คนชั่วหรอก มันต้องการฆ่า Carja ให้หมดทุกคนมากกว่า

[Aloy] –  (Sun-King Avad ?) ดูเหมือนพระองค์จะมุ่งมั่นในการตามหาพี่สาวของคุณมากนะ
 [Erend] –  อืมม 2 คนนั่นค่อนข้างเข้ากันได้ดี บางคนบอกว่าเหมาะสมกัน แต่ข้าว่าไม่นะ ข้าว่าท่านผอมไปสำหรับเธอ โอเค ไม่อยากจะนึกภาพต่อแล้ว เรามาโฟกัสเรื่องตามหาเธอแล้วเล่นงานไอ้ Dervahl ให้สาสมกันดีกว่า 
[Aloy] –  งั้นชั้นคงต้องรีบไปก่อนนะ
[Erend] –   อย่าปล่อยให้ข้ารอเก้อที่ Pitchcliff ละ โอเคมั๊ย Ersa ต้องการพวกเราให้ไปช่วยนะ



จากนั้นเดินทางไปยังหมู่บ้าน Pitchcliff ทางตอนเหนือของพื้นที่จะพบ Erend รออยู่ที่นั่น



[Erend] –  ไม่มีวี่แววคนของ Marad เลย เขาคงมีงานยุ่งละมั้ง  
[Aloy] –  เดี๋ยวจะลองมองหาเขาดู 
[Erend] –  ชัวร์ล่ะ



ใช้ Focus สแกนที่ตัวของ Erend จะเจอเบาะแสว่า มีคนเคยมาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ก่อนจะรีบหนีไปเสียก่อน กด R1 Highlight track เพื่อตามรอยไปจนพบศพของคนของ Marad ที่นัดไว้นอนตายอยู่




[Erend] –  นี่คงเป็นคนของ Marad ที่นัดเอาไว้ ลูกน้องของ Dervahl มาถึงก่อนก็เก็บเขาเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เหลือร่อยรอยสาวไปถึงที่อยู่ของพวกมันได้ 
[Aloy] –  บางทีเขาอาจจะพบบางอย่าง ดูนี่สิ เหมือนเขาจะใช้เลือดวาดแผนที่ไว้ที่พื้น 
[Erend] –  เป็นแผนที่แบบที่ว่าคนที่รู้เท่านั้นถึงจะเข้าใจด้วย 
[Aloy] –  ตรงนั้นน่าจะเป็น Pitchcliff ส่วนอีกจุดอยู่ทางเหนือขึ้นไปจากที่นี่ ต้องเป็นที่ซ่อนตัวของ Dervahl แน่นอน 
[Erend] –  เยี่ยม เจ้าล่วงหน้าไปก่อนได้เลย คนของข้าตรึงกำลังรออยู่ด้านนอกของหมู่บ้าน ข้าจะไปรวบรวมพลทั้งหมดก่อนแล้วไปเจอเจ้าที่นั่นก็แล้วกัน 





ออกจากหมู่บ้าน Pitchcliff แล้วเดินทางขึ้นเหนือไปตามตำแหน่งจุดมายของภารกิจจนถึงที่แค๊มป์ของพวก Outsider ที่เป็นที่ซ่อนตัวของ Dervahl


[Aloy] – พวกสัตว์จักรกลนี่ เหมือนพวกมันจะล่ามเอาไว้
[Erend] – พวกนั้นเป็นทหารช่างของไอ้เจ้า Dervahl คงจับพวกสัตว์จักรกลมาเพื่อทดลองหรือใช้ชิ้นส่วนของมัน 



[Aloy] – บางทีชั้นอาจจะใช้มันสร้างปัญหาให้พวกเจ้า Dervahl ได้ รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ถ้าชั้นเริ่มเปิดฉากโจมตีเมื่อไหร่พวกคุณก็ลุยได้เลย 


ที่รังของพวก Outsider จะมีคนของมันอยู่ในแค๊มป์มากมายพร้อมกับพวกสัตว์จักรกลที่พวกมันกักขังเอาไว้ใช้งาน สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกก่อนจะตามหาตัว Ersa และจัดการกับ Dervahl ก็คือ ต้องจัดการศัตรูและสัตว์จักรกลในแค๊มป์ให้หมดก่อน

ก่อนเริ่มลุยเข้าไปด้านใน ในขณะที่ศัตรูยังไม่รู้ตัวพวกสัตว์จักรกลจะยังคงถูกล่ามโซ่เอาไว้ แต่ทันทีที่ศัตรูเจอตัวหรือทันทีที่เปิดฉากโจมตีพวกศัตรูจะเริ่มปล่อยพวกสัตว์จักรกลออกมาโจมตี Aloy สามารถ Overide พวกมันมาเป็นพวกช่วยต่อสู้ได้


ทันทีที่จัดการศัตรูและสัตว์จักรกลจนหมดก็เริ่มเข้าไปสำรวจแค๊มป์ได้เลย ในแค๊มป์จะมีประตูทางเข้าอยู่ที่เดียวซึ่งถ้าใช้ Focus สำรวจดูจะเห็น Sonic Device อยู่ด้านใน เมื่อ Aloy เปิดเข้าไปจะพบทางลงไปห้องใต้ดินแต่ทันทีที่ก้าวเท้าลงบันไดไปเครื่องกำเนิดคลื่นโซนิคก็จะเริ่มทำงานทันที เครื่องส่งคลื่นเสียงโซนิคใส่จน  Aloy เสียหลัก เพราะความเจ็บปวดแก้วหู ก่อนที่ชาว Oseram ร่างใหญ่พร้อมปืนกลหนักจะตามขึ้นมายิงถล่มโจมตี


 “Dervahl ฝากบอกให้เจ้ากินไอ้นี่ซะ !!” Oseram ลั่นไกปืนกลหนักยิงถล่ม Aloy ทันทีที่ออกมาพ้นประตู จัดการมันให้ได้แล้วลงไปสำรวจที่ห้องใต้ดินต่อ

ในห้องใต้ดิน Erend จะพบ Ersa ถูกขังอยูในห้องพร้อมทั้งยังถูกเครื่องยิงคลื่นโซนิคตรึงเอาไว้ที่ด้านนอก ทันทีที่ Erend ทำลายเครื่องยิงคลื่นโซนิคจนพังก็รีบเข้าไปดูอาการของ Ersa ทันที


[Ersa] – Erend หรอ? Dervahl พยายามเก็บพี่เพราะไปรู้แผนการชั่วของมัน
[Erend] – ผมควรจะอยู่กับพี่ ทำไมต้องมาที่นี่เพื่อผมด้วย ? ผมรู้ว่าผมมันใช้ไม่ได้ ขี้เมา แต่ ..
[Ersa] – ไม่ เจ้าโง่เอ้ย พี่ได้ข้อความจาก Dervahl บอกว่าต้องการเจรจาสงบศึก พี่ไม่ได้มาเพราะเจ้าเพราะพี่รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นกับดัก พวกมันคงทำร้ายเจ้าไม่ได้หรอก แต่พี่หวังว่าอาจจะจัดการกับมันได้ เอาล่ะฟังนะ Dervahl กำลังมีแผนใหญ่ที่ Meridian มันบอกว่า มันจะทำให้กองทัพของราชา Avad เห็นควันปกคลุมดวงตะวันสุดที่รักของพวกมันจนมืดมิด ตอนนี้องค์ราชาต้องการเจ้าน้องข้า ไม่มีเวลาเล่นในสนามเด็กเล่นอีกแล้ว เจ้าต้องรีบเติบโตและแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด 



[Erend] – ข้าสัญญา ข้าสัญญา
[Ersa] – เจ้าจะต้องเก่งกวานี้ น้องข้า 
[Erend] – Ersa ? ….ไม่ๆ ได้โปรด  Ersa !!!!!!! ..... ข้า จะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง ข้าสัญญา 




[Aloy] – Erend ข้าเสียใจด้วยนะ
[Erend] – เราต้องหาตัว Dervahl ให้เจอให้ได้ แต่ Meridian นั้นก็กว้างใหญ่เหลือเกิน 
[Aloy] – ชั้นจะลองสำรวจในห้องนี้ดูเผื่อจะได้หลักฐานที่ทำให้เป้าหมายมันแคบลงได้บ้างนะ



           จากนั้นสำรวจห้องเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติมที่บันทึกของ Dervahl ที่วางอยู่ที่มุมห้อง




                                             Dervahl’s Journal






                                   ถึง Aelund Forgeman ลูกค้าผู้ซื่อสัตย์ของข้า 

ข้าหวังว่าแผนของเจ้าที่เมือง Meridian คงกำลังคืบหน้าไปด้วยดี พวกข้าเป็นเกรียติอย่างยิ่งที่เจ้าเลือกพวกเราในการจัดหาระเบิด (blaze) ให้ตามที่เจ้าต้องการ พวกเราได้รับค่าตอบแทนในการส่งสินค้าล็อตที่ 3 แล้ว และเราขอบคุณอย่างสูงที่จ่ายเงินตรงเวลาอย่างรวดเร็ว ต้องขอโทษด้วยที่ฮันเตอร์ของเราต้องเสียเวลาในการดิ้นรนต่อสู้กับพวกศัตรูที่ขัดขวางระหว่างทางเพื่อปกป้องสินค้าทำให้ต้องเสียเวลาในการเดินทางมากกว่าเดิม ทางเราต้องขอโทษด้วยที่ต้องสงสินค้าล่าช้า แต่การขนส่งที่มีสินค้าจำนวนมากแบบนี้ย่อมเป็นการสั่งซื้อที่ไม่ปกติธรรมดาสำหรับเรา อีกไม่นานเรายืนยันว่าจะหาสินค้ามาส่งมอบไปที่โกดังของท่านจนครบถ้วนได้ตามสัญญาอย่างแน่นอน 

ด้วยความนับถือยิ่ง 
Hunt master 
กำลังสำคัญในการสร้างเครื่องจักร และผู้ดูแลกฎบัตรระหว่างเผ่า17.A.21


[Aloy] – ชั้นเจอเบาะแสบางอย่างที่พอจะช่วยได้แล้ว เรากลับไปที่พระราชวังกันก่อนเถอะ
[Erend] – เจ้าล่วงหน้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าตามไป ไม่นานหรอก ขออยู่กับพี่สาวข้าต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน 

                                       
หลังจากจบภารกิจนี้จะได้รับภารกิจหลักใหม่คือ Main Quest: INTO THE BORDERLAND ซึ่งเป็นภารกิจต่อเนื่องในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตอันเป็นปริศนาของ Ersa พี่สาวของ Erend จนพบเรื่องราวที่แท้จริงจนนำมาซึ่งความสูญเสียเนื่องจากการตายของ Ersa ที่ถูกคนร้ายจับตัวไป แต่ก็สามารถนำพาไปหาความจริงถึง Dervahl ตัวการร้ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดซึ่งเป็นอดีตแม่ทัพของเผ่า Oseram และด้วยความสามารถของ Aloy จึงทำให้ล่วงรู้ถึงแผนร้ายที่ Dervahl มันกำลังจะดำเนินการด้วย ทำให้ปลดล็อค Main Quest: THE SUN SHALL FALL ออกมาซึ่งเป็นภารกิจต่อเนื่องทีมีเป้าหมายอยู่ที่เมือง Meridian 



                        Main Quest: THE SUN SHALL FALL





[Avad] – ข้าดีใจมากที่เจ้ากลับมา ข้าเพิ่งจะเสีย Ersa ไปหลังจากที่เพิ่งรู้ข่าวว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ..มันช่างโหดร้ายสิ้นดี 
[Erend] – เธอไม่ต้องการให้เราเสียเวลารอก่อนจะบอกท่านนะครับ เธอต้องการจะให้เรารีบหาตัว Dervahl ให้เจอก่อน เพราะเธอรู้ถึงแผนของมันที่ว่ามันจะนำความมืดมิดมาปิดบังพระอาทิตย์ของเรา Aloy ลองบอกพวกท่านเรื่องบันทึกของมันที่เธอเจอสิ 
[Aloy] – บันทึกนั่นบอกถึงระเบิดจำนวนมากที่ถูกวางเอาไว้ที่โกดังในเมืองนี้ ในบันทึกของ Dervahl ชั้นพบชื่อของ Aelund Forgeman อยู่ในนั้นด้วย ชื่อนี้มันมีความหมายอะไรกับพวกคุณหรือเปล่าค่ะ?
[Marad] – อืมมม ฟังดูคุ้นๆนะ ใช่ๆ มันเป็นเจ้าของที่ดินชาว Oseram ที่มาชื้อที่และสร้างสิ่งปลูกสร้างใกล้ๆเมืองนี้แหละ ชื่อนี้มีคนเดียวแน่นอน เดี๋ยวนึกก่อนนะ ....  ที่นั่น.. มันอยู่ใกล้ๆกับวัด เคยทำเป็นร้านค้ามาก่อนตอนนี้เปลี่ยนเป็นโกดังเก็บของแล้ว Dervahl มันคงใช้ชื่อ Aelund เป็นชื่อปลอมเพื่อใช้ในการซื้อที่นั่นแน่นอน 
[Erend] – งั้นข้าจะนำทหารของข้าบุกไปที่นั่นเลยแล้วกัน 
[Marad] – เดี๋ยวก่อน Erend จำไว้นะว่า ไม่มีใครเกลียด Dervahl มากไปกว่าคนในเผ่าของเจ้า พวกของมันจะยอมแพ้ทันทีที่จัดการกับมันได้ 
[Erend] – จะให้ไว้ชีวิตมันงั้นหรอ? จะเก็บมันไว้หาพระแสงอะไรอีก ท่านไม่ได้พูดจริงๆใช่มั๊ย?
[Avad] – ทหารของเราประจำอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว เมื่อได้จังหวะดีๆเมื่อไหร่ทันทีที่มันปรากฏตัวออกมาก็จะสามารถจับตัวมันได้ จับเป็นมัน นี่เป็นคำสั่ง …. Aloy ข้าขอควบด้วยหน่อยสิ


[Avad] – เมื่อกี้ที่ข้าพูดไป Erend ยังลังเลอยู่ว่าจะทำตามหรือไม่ เพราะเรื่องที่ Ersa ตายทำให้เขาไม่เข้าใจเหตุผลใดๆอีกแน่นอน แต่มันก็ยังมีเรื่องคาใจขาอยู่ เจ้าอยู่ที่นั้นด้วยตอน Ersa ตาย ข้าอยากรู้ว่าตอนนั้นเธอตายอย่างทรมานหรือเปล่า? 
[Aloy] – (She thought of You) ตอนนั้นเธอไม่ห่วงเรื่องการบาดเจ็บของตัวเองเลย เธอห่วงน้องของเธอและเธอห่วงท่านด้วย 
[Avad] – ขอบคุณมาก Aloy ข้านึกว่าข้าคิดไปเองซะอีก ที่ผ่านมาข้าอยากรู้มาตลอดว่านางมีใจให้ข้าเหมือนกับที่ข้ามีให้นางหรือเปล่า เอาละ ไปตามจับตัว Dervahl แล้วนำมันกลับมาให้ข้า มันจะต้องมีคำตอบถึงเรื่องงอาชญากรรมที่มันก่อไว้ 

จากนั้นออกเดินทางไปที่เป้าหมายของภารกิจที่ด้านใต้ของเมืองซึ่งเป็นโกดังที่ Dervahl เคยใช้ชื่อปลอมซื้อเอาไว้เพื่อเตรียมทำแผนร้ายของมัน แต่ทันทีที่ Aloy พร้อมทั้ง Erend กับกำลังทหารของเขาเข้าไปถึง Erend จึงรีบพังประตูเข้าไปเพื่อหมายจะทำให้ Dervahl แปลกใจก่อนจะเข้าจับกุมตัว


แต่ด้านในบ้านกลับไม่พบใครแต่เต็มไปด้วยระเบิดมากมายที่ Dervahl มันสร้างและกักตุนเอาไว้ เข้าไปใช้ Focus สำรวจที่ระเบิดที่ชั้นล่างแล้วขึ้นไปชั้นบนจะพบระเบิดที่ถูกวางไว้อีกจุดที่ข้างหน้าต่าง Aloy จะรู้ทันทีเลยว่าแผนร้ายของ Dervahl ที่จะทำให้ควันสีดำปกคลุมพระอาทิตย์ของพวก Carja ก็คือระเบิดโกดังนี้เพื่อทำให้เกิดไฟไหม้เผา Meridian เมืองหลวงของ Carja จนเป็นจุลนั่นเอง 


เข้าไปใช้ Focus สำรวจกองระเบิดที่อยู่ริมหน้าต่างของชั้นบนจะพบตะขอเกี่ยวหน้าต่างที่สามารถเปิดได้อยู่ Aloy จะคิดแผนออกมาว่าจะเปิดหน้าต่างออกแล้วดันระเบิดออกไปตกที่ด้านนอกอาคารเพื่อไม่ให้ไประเบิดพร้อมกับระเบิดที่อยู่ชั้นล่างก็จะทำให้ลดความเสียหายที่  Dervahl มันตั้งใจเอาไว้ได้ ทันทีที่เปิดหน้าต่างได้ Aloy ก็รีบเรียก Erend มาเสริมแรงเพื่อดันระเบิดลงไประเบิดที่ด้านนอกอาคารก่อนที่ทั้งคู่จะรีบหนีออกมาได้สำเร็จ


[Erend] – เราทำสำเร็จ แผนที่ดีที่สุดของมันพัง Meridian รอดพ้นจากหายนะแล้ว
[Aloy] – มันยังไม่จบแค่นี้หรอก! เพราะ Dervahl มันบอกว่าต้องการให้ราชา Avad ดูให้สาสมด้วย 
[Erend] – ไม่มีทางหรอก มันจะทำงั้นได้ไง ถ้ามันจะออกจากที่นี่ก็ต้องผ่านทหารของข้าที่อยู่เต็มไปหมดให้ได้ 
[Aloy] – คุณไปตรวจดูเพื่อความชัวร์อีกรอบเดี๋ยวชั้นจะลองตรวจสอบรอบๆตรงนี้อีกที บางที่คนของ Dervahl อาจทิ้งร่องรอยเอาไว้ตอนที่มันวางระเบิดก็ได้
[Erend] – ได้เลย ไม่ต้องห่วง ถ้าพวกมันพยายามหนีออกจากเมืองมันเสร็จพวกข้าแน่ !



คุยจบใช้ Focus สำรวจที่พื้นด้านหน้าตึกจะพบร่องรอยของพวก Dervahl กด R1 Highlight track ตามรอยพวกมันไปจนสุดทางที่ที่อาคารแห่งนึงในเมืองที่เป็นที่ซ่อนอีกแห่งของพวก  Dervahl ลงบันไดไปชั้นล่างจะพบห้องที่ Aloy คาดว่ามันเป็นห้องประชุมก่อนที่พวกมันจะวางระเบิดเพราะมีกำแพงที่ถูกเปิดไว้เพื่อเป็นช่องทางสำหรับการหนีด้วย 



เมื่อผ่านรอยแตกของกำแพงออกมาด้านนอกจนถึงสะพานที่เป็นเส้นทางจะไปที่ท้องพระโรงก็จะพบ Dervahl และพวกกำลังวิ่งไปที่ท้องพระโรงเพื่อจับตัวราชา Avad ตามแผนที่สองของพวกมันหลังจากการระเบิดสำเร็จ 

จากนั้นปีนหน้าผาโดดข้ามไปที่สะพานเพื่อปีนขึ้นไปด้านบนแล้ววิ่งตามพวก Dervahl ไปติดๆจะพบว่ามันเป็นเส้นทางด้านใต้ของท้องพระโรง ที่นี่จะมีลูกน้องของ Dervahl บางส่วนที่คอยลาดตะเวณอยู่ จัดการพวกมันให้หมดแล้วรีบขึ้นไปด้านบนจนถึงห้องท้องพระโรงก็จะพบ Dervahl กำลังทำร้ายองค์ราชา Avad พอดี 


[Dervahl] – ดูเจ้าสิ Avad ..บังอาจมาแย่งสิทธิ์ในการฆ่าพ่อของเจ้า ข้าก็จะมาคิดบัญชีกับเจ้า ด้วยการเผา Carja ให้มอดไหม้ และยิ่งกว่านั้นข้าจะให้เจ้ามารอดูความล่มสลายของอาณาจักรเจ้าพร้อมๆกัน บอกลา Meridian ของเจ้าซะ Avad และจงเตรียมสูดดมกลิ่นมอดไหม้และเถ้าถ่านให้สำลักปอดได้เลย


[Dervahl] – มีอะไรผิดปกติแล้ว ! ข้าไม่ ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงระเบิดเลย !!
[Oseram Outlander] – ดูนั่นสิ มีควันตรงที่ mera’s edge !!
[Dervahl] – ไม่ !!! มันต้องระเบิดเป็นลูกไฟใหญ่สิว่ะ ! ไม่ใช่ควันจากเตาเผาถ่านแบบนั้น

หลังจากที่ Dervahl กับคนของมันหนีไปด้านในแล้ว เข้าทำลายเครื่องกำเนิดคลื่นโซนิคเพื่อช่วยองค์ราชา Avad ก่อนแล้วค่อยตามพวกของ Dervahl เข้าไปด้านใน


[Dervahl] – อะไรอีกล่ะ ? โอ้ ..เจ้าคงเป็นชาว Nora ที่ลอบโจมตีแค็มป์ของข้า 
[Aloy] – แล้วก็ทำลายแผนวางระเบิดของแกด้วย
[Dervahl] – อ่อหรอ แกทำงั้นหรอ? ก็ดี จะมีระเบิดหรือไม่มีก็ช่างเหอะ ข้าจะละเลง บัลลังก์ของ Carja ด้วยเลือด เริ่มจากเจ้าก่อนจากนั้นก็ไอ้ราชา Avad


จากนั้นกำจัด Dervahl และลูกน้องของมันให้หมด โดยเจ้า Dervahl จะมีทีเด็จคือปืนคลื่นเสียงโซนิคเป็นอาวุธที่สามารถยิงอัดกระแทกจากระยะไกลทำให้สามารถเข้าถึงตัวมันได้ยากเพราะสถานที่ต่อสู้นั้นเป็นพื้นที่แคบ  



[Dervahl] – อั๊ก .. มันยังไม่จบหรอกยัย Nora ให้ความเป็นเลิศทางด้านช่างของชาว Oseram แสดงให้เจ้าเห็นก็แล้วกัน ข้ามีแผนสำรองเอาไว้เสมอแหละน่า !!


ทันทีที่โดนโจมตีจนพ่ายแพ้ Dervahl ก็งัดแผนสุดท้ายออกมาสู้คือเอาเครื่องเหยื่อจักรกลออกมากดใช้เพื่อเรียกพวก Glinthawks ให้บุกเข้ามาโจมตีใส่ Aloy จัดการฝูงนกยักษ์ Glinthawks ให้หมดแล้วเข้าไปคุยกับ Dervahl อีกครั้ง


[Erend] – ข้าอยากให้ Ersa อยู่ที่นี่เพื่อเป็นคนลงมือฆ่าแกจังเลย แต่ถ้าจะให้ข้าจัดการฆ่าแกแทนเธอข้าก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ
[Dervahl] – ก็เอาสิ ! ข้าไม่กลัวหรอก โดยเฉพาะแก Erend ! แกทำลายแผนของข้าจนพังปี้ป่นหมด !
[Erend] – ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวอะไร ? กลัวการเป็นนักโทษคนสำคัญที่จะถูกขังลืมยังไงล่ะ เพราะทุกเผ่าที่ต้องการให้เจ้าตายเขารู้ดีว่าจะทำให้แกเจ็บยังไง พวกเขาจะตัดสินเองว่าแกควรจะได้รับโปรโมชั่นอะไรนะ
[Dervahl] – เหมือนกับที่แกจะได้รับจากคนที่แกฆ่าใช่รึเปล่า ?
[Erend] – หุบปากไปเลย ที่แกยังรอดอยู่ได้ก็เพราะพระเมตตาของราชา Sun King นะรู้ตัวไว้ด้วย

หลังจากจับตัว Dervahl ได้แล้ว จะมีจุดเป้าหมายขึ้นมา 3 จุดที่ต้องไปคุยกับ Dervahl ที่คุกและ Erend กับราชา Avad ที่ท้องพระโรง



          [Dervahl] – กะว่าจะมาดูข้าด้วยความสะใจใช่มั๊ยยัย Nora ก็อย่างที่เห็น ข้ากำลังยุ่งอยู่



[Erend] – Aloy ข้าคิดถึงเรื่องของ Ersa ข้ารู้เลยว่าเธอน่ะสามารถจะฆ่า Dervahl ได้ทันทีตั้งแต่ที่เจอครั้งแรก แต่ทำไมเธอต้องรอเพื่อให้มันพาไปที่รังของมันก็เพราะเธอต้องการจะจัดการพวกมันที่นั่นให้หมดในทีเดียว และเธอก็ยังบอกอีกด้วยว่าให้ข้าเติบโตขึ้นให้มากกว่านี้ มันเป็นคำพูดที่แทงใจข้ามากแต่ข้าก็พยายามที่จะจำมันไว้ให้ขึ้นใจ ข้าคิดว่าคำว่าเติบโตขึ้นที่เธอบอกคงหมายถึง จงกล้าที่จะตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำในเหตุการณ์เฉพาะหน้า จริงมั๊ย?
[Aloy] –ถามชั้นเนี้ยนะ ? ชั้นมั่นใจว่ามันเป็นคำสั่งที่คุณได้รับมามากกว่านะ
[Erend] – ข้ารู้ ...แล้วที่ผ่านมาข้าไม่ได้ทำรึไง?
[Aloy] – ข้ารู้แค่ว่าคุณทำแล้วกับไอ้เจ้า Dervahl นั่นไง 
[Erend] – อย่ามาให้เครดิตข้ามากนักเลย ข้าก็แค่รอจนถึงตอนที่เหมาะๆเพื่อจะเข้าไปบีบคอมันให้ตายคามือมากกว่า
[Aloy] – แต่คุณก็ไม่ทำ นั่นเพราะคุณเป็นกัปตันที่ดีไงล่ะ
[Erend] – ไม่เอาน่า พอเหอะ เจ้าจะทำให้ข้าซึ้งจนร้องไห้เปล่าๆ 

[Aloy] – (So what Now?) แล้วต่อจากนี้คุณกับหน่วย vanguard จะเอาไงต่อ?
[Erend] – ข้าจะกลับดินแดนของข้าหลังจากติดต่อผ่านการส่งข่าวสารมานาน และเราจะได้นำเอาร่างของ Ersa ไปพักในที่ที่เธอควรอยู่ ส่วนข้าก็จะทำเหมือนที่เธอเคยต้องการซะที หมายถึงเลิกคุยเจาะแจะเลิกเมาหัวราน้ำซะที 

[Aloy] – (Dervahl?) แล้วคุณคิดว่าทางเผ่า Oseram จะเอาไงกับ Dervahl ล่ะ?
[Erend] – ก่อนอืนเลย พวกเขาก็คงเถียงกันยาวแน่นอน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดยังไง มันก็คงต้องใช้เวลาไม่เร็วนักหรอก ข้าทนอยู่กับเรื่องพวกนี้ได้อยู่แล้วล่ะ อันที่จริง ข้าอยากจะเอามันไปขังคุกที่ Sun Ring เพื่อเตือนให้มันรู้ว่ามันต้องเจออะไรต่อจากนี้ 
[Aloy] – งั้นชั้นก็คง..
[Erend] – ข้ารู้ เจ้าต้องไปแล้ว ต้องตามรอยพวกนักฆ่าเจ้าแห่งเครื่องจักรก่อนมือเที่ยง เจ้ารู้มั๊ย เมื่อตอนที่เราเจอกันใหม่ๆ ข้าคิดว่าข้าโคตรโชคดีเลยที่ได้คุยกับสาวสวยที่อยู่ท่ามกลางดินแดนเถื่อนแบบนั้น 
ถึงตอนนี้ข้าคิดว่าข้าโชคดีมากๆเลยที่เจ้ายอมเสียสละเวลาไม่กี่นาทีนั้นคุยกับข้า ยังไงก็อย่าลืมข้าเร็วนักล่ะตอนเจ้าเดินทางออกไปเปลี่ยนโลกน่ะ
[Aloy] – ไม่เป็นไรชั้นยอมสละเวลา 1 นาทีให้คุณได้อยู่แล้ว ให้เต็มที่ 2 นาทียังได้เลย 
[Erend] – 2 นาทีเลยหรอ ฮ่าๆ เห็นมั๊นเจ้าเริ่มชอบข้าแล้ว 



[Avad] – Aloy ข้าไม่มีรู้ว่าจะขอบคุณเจ้ายังไงถึงจะคู่ควรกับสิ่งที่เจ้าทำ เจ้าช่วยชีวิตข้า ช่วย Meridian เมืองของข้า และเพราะเจ้าที่ทำให้ความยุติธรรมกลับคืนมาให้ Ersa ที่ถูกฆาตกรรม  เราสามารถรู้ความจริงโดยไม่ทำให้เธอต้องตายฟรี มันคงยากที่เราจะทำได้หากไม่มีเจ้าช่วย ข้าจะไม่พยายามจะยื้อเจ้าแต่ก็หวังว่าเจ้าลองคิดดูว่าอาจจะอยู่ที่ Meridian ต่ออีกหน่อย 

[Aloy] – (Consider staying?) ทำไมท่านถึงต้องการให้ชั้นอยู่ที่ Meridian ต่ออีกล่ะ?
[Avad] – ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจดีอยู่แล้วนะ
[Aloy] – ชั้นไม่เข้าใจอ่ะคะ?
[Avad] – เจ้าช่วยเมืองนี้เอาไว้จากการถูกเผาจนมอดไหม้ เจ้าแข็งแกร่ง ว่องไว เฉียบแหละด้วยสติปัญญา ข้าอยากได้หญิงอย่างเจ้ามาอยู่เคียงข้างข้า 

[Aloy] – (I need to go my own way) ขอบคุณสำหรับข้อเสนอของท่านนะคะ แต่ชั้นก็ไม่คิดว่าจะเป็นท่านถ้าหากชั้นจะตัดสินใจแบบนั้นจริงๆ แต่ยังไงตอนนี้ชั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ ชั้นคงต้องเดินทางอีกไกลถึงจะเจอสิ่งที่ชั้นค้นหา และมันทำให้ชั้นต้องจาก Meridian ไปอีกไกลเลย
[Avad] – แน่นอน ข้าเข้าใจ ข้าก็แค่พูดเผื่อๆวก็เท่านั้นเอง เจ้าเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นตัวเองสูง ไม่ต่างจาก Ersa เลย แต่ได้โปรดจำไว้ว่าที่นี่ต้อนรับเจ้าเสมอ ข้าหวังว่าวันนี้คงไม่ใช่วันที่เราต้องเอ่ยคำลากันก็พอ

[Aloy] – (You and Ersa) แล้วท่านกับ Ersa คือแบบ ...
[Avad] – ข้าก็บอกไม่ถูกหรอกว่าข้าเอ่อ ...ว่าข้าคิดยังไงกับนาง นางเองก็บอกความเห็นของนางเหมือนกัน ที่แน่ๆคือข้ารู้สึกว่านางทำให้ข้ารู้สึกแข็งแกร่งขึ้น แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันความสัมพันธ์ระหว่าง carja กับ Oseram ใน Meridian ก็คงไม่มั่นคงเหมือนตอนนี้ แต่ความสามัคคีกันระหว่าง Sun King กับนักรบของ Oseram นำมาซึ่งการก่อกบฏในเมืองและเป็นไปได้มากที่จะเกิดสงครามระหว่างเผ่าตามมา 
[Aloy] – แล้วมีใครรู้เรื่องนี้บ้างมั๊ย? 
[Avad] –มีคนเดียวที่รู้ ไอ้ Dervahl มันต้องการ Ersa แต่ถูกนางปฎิเสธ และความริษยาก็กระตุ้นความรู้สึกเกลียดชังของ Dervahl ขึ้นมา 

[Aloy] – (Dervahl?) แล้วท่านจะเอาไงกับเจ้า Dervahl ล่ะ
[Avad] – ตอนนี้มันก็คงต้องหน้าละห้อยติดคุกที่ในคุกเก่าที่ Sun Ring ใน Meridian ไปก่อน ส่วนเรื่องต่างๆที่จะเกิดหลังการเจรจากับทาง Oseram เรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดน ข้าก็ยังไม่อยากไปคิดถึงมัน พ่อข้าเป็นคนที่หัวคิดสร้างสรรค์มากโดยเฉพาะการลงโทษคนอย่างทรมาน แต่เขาก็กลับคิดไม่ถึงว่าความเจริญก้าวหน้าในเรื่องเครื่องยนต์กลไกต่างๆของทาง Oseram นั้นเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าที่เขาคิดเอาไว้เยอะ เสียดายความฉลาดของ  Dervahl ข้าสงสัยมากว่าเขาจะประสบความสำเร็จได้ยังไงถ้าไม่ใช่เพราะความโหดเหี้ยมของพ่อข้า 
[Aloy] – ชั้นคงต้องไปก่อนแล้วนะคะ
[Avad] – แน่นอน ข้าหวังว่าเจ้าจะพบสิ่งที่เจ้าตามหานะ แต่ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็จะรีบไปช่วยโดยเร็วไวอย่างแน่นอนเสมือนกับตะวันขึ้นในวันใหม่ของอีกวัน 



เมื่อจบเรื่องที่ Meridian จากนั้นกำหนดภารกิจที่ Main Quest: THE CITY OF THE SUN  ซึ่งเป็นภารกิจหลักของเนื้อเรื่องในการตามหา Olin ที่กำลังได้เบาะแสใหม่มาจากการค้นบ้านพักของ Olin ที่เมือง Meridian ทำให้รู้ตำแหน่งการเดินทางล่าสุดของเขา



                        Main Quest: THE CITY OF THE SUN






เมื่อเข้ามาจนถึงจุดเป้าหมายจะพบว่าเป็นแค๊มป์ของพวกคลั่งลัทธิในพื้นที่ในการขุดค้นวัตถุโบราณแห่งนึงโดยมี Olin เป้าหมายที่ Aloy ไล่ล่ามากำลังช่วยพวกคลั่งลัทธิขุดค้นสัตว์จักรกลที่บ้าคลั่งออกมาจากใต้ดินเพื่อหวังเอามาใช้งาน


[Olin] – ท่านตั้งใจจะปลุกชีพเจ้าสัตว์จักรกลโบราณนั่นขึ้นมาให้มีชีวิตอีกจริงๆหรอ?
[ผู้นำพวกพวกคลั่งลัทธิ] – เราใช้งานพลังของพวกมันได้
[Olin] – ทะ ท่านจะใช้พวกจักรกลปีศาจที่อยู่ใต้ดินหรอ? ฝันร้ายชัดๆ
[ผู้นำพวกพวกคลั่งลัทธิ] – ฝันร้ายงั้นหรอ? ช่ายเลย ฝันร้ายของศัตรูของพวกข้าจะได้มาถึงจริงๆซะที
.............  ช่ายยย ... ตื่นขึ้นมา !!



[Aloy] – ไอ้สิ่งนี้มันจะทำลายพวกเราทั้งหมดนั่นแหละ ..
[ผู้นำพวกพวกคลั่งลัทธิ] – พวกมันเท่านั้นที่จะสามารถทำลายศัตรูของพวกเราจนสิ้นและนำเราให้สามารถกลับมาในดินแดนที่เคยเป็นของเราอีกครั้ง  ....อ๊ากกกกกก !!!!
[Olin] – อ๊ากกกกกก !!!! เสียงบ้าอะไรเนี่ย ? Focus ของข้าใช้งานไม่ได้เลย 
[ผู้นำพวกพวกคลั่งลัทธิ] – ออกตามหาให้ทั่วพื้นที่เรามีผู้บุกรุกแล้ว !



[เสียงจากชายปริศนา] – เจ้ามาไกลจากวิหารของเจ้ามากเลยนะ Aloy
[Aloy] – คุณ ? ..คุณทำอะไรลงไปนะ?
[เสียงจากชายปริศนา] – ข้าปิดการทำงานของระบบ Focus มันจะช่วยเจ้าได้มาก แต่ข้าไม่รู้นะว่าจะใช้ได้นานแค่ไหน จะทำอะไรก็รีบๆหน่อยก็แล้วกัน
[Aloy] – ดะ เดี๋ยว คุณเป็นใครกันแน่เนี้ย?


                 จากนั้นจัดการพวกคลั่งลัทธิ์และ Corruptor ให้หมด แล้วลงไปคุยกับ Olin



[Olin] – อย่าๆ ข้าสัญญาจะบอกเจ้าทุกเรื่องที่เจ้าอยากรู้เลย
[Aloy] – ชั้นรู้  มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
[Aloy] – (The Killers?) พวกนักฆ่าที่เข้ามาตามหาข้าในงานทดสอบผู้กล้า พวกมันเป็นใคร !
 [Olin] – พวกอุปราคา (The Eclipse) เสมือนพวกนักรบศักดิ์สิทธิ์ พวกคลั่งลัทธิของ Shadow Carja 
[Aloy] – มันเป็นพวก Shadow Carja หรอ?
[Olin] – พวกมันไม่เหมือนพวก Carja ที่ข้ารู้จัก พวกมันไม่นับถือดวงอาทิตย์แต่พวกมันบูชาปีศาจ 
[Aloy] – ชั้นไม่สนเรื่องความเชื่อของพวกมัน 
[Olin] – มันไม่เรื่องความเชื่อ แต่มันเป็นปีศาจจริงๆ ที่มีทั้งนามและเสียง เสียงที่น่ากลัวและพวกมัน....พวกมันเป็นคนอัญเชิญปีศาจนั่นมา 

[Aloy] – (The Devil?) ปีศาจที่คุณว่าพวกอุปราคามันบูชามันคืออะไร ชื่ออะไร ?
 [Olin] – Hades ! ..  พวกมันเรียกไอ้ปีศาจนั่นว่า Hades 
[Aloy] –แล้วคุณได้ยินตอนที่ไอ้เจ้า Hades มันพูดด้วยหรอ ?
[Olin] – สาบานเลย ข้าได้ยินจริงๆ ครั้งนึง ตอนที่มันเห็นเจ้านั่นแหละ มันเป็นเสียงที่เย็นยะเยือกน่ากลัว ฟังดูเหมือนเสียงโลหะกระทบกันด้วยความรุนแรง เหมือนกับมันสามารถบดขยี้กระดูกของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ คว้านใส้พุงของเจ้าออกมากอง มันทำให้กลัวจนขี้หดตดหายได้ง่ายๆเลยละ ! มันเป็นเสียงของโลหะที่ไม่เหมือนที่เราเคยขุดขึ้นมาจากพื้นดินหรือสร้างมาจากโรงตีเหล็กที่ไหนๆเลย 
[Aloy] – แล้ว มันพูดว่ายังไง ?
[Olin] – “ตรวจพบภัยคุกคามในระบบ” มันพูดแค่นี้แหละ แต่ด้วยเสียงของปีศาจที่น่ากลัวมากๆ

[Aloy] –  (The Eclipse) แล้วนอกจากชั้นแล้ว พวกอุปราคา (The Eclipse) มันยังมีเป้าหมายอะไรอีก?
[Olin] – พวกมันไม่เคยบอก นอกจากเรื่องการก่อสงครามกลางเมืองกับพวก Carja เพื่อโค่นล้มราชา Sun King Avad และ ยึดเอาเมืองหลวง Meridian กลับคืนมา
[Aloy] –  แล้วชั้นจะหยุดมันยังไง?
[Olin] – ข้าไม่รู้ !!!!
[Aloy] – แล้วตอนที่พวกมันบุกเข้าโจมตีตอนงานทดสอบผู้กล้า ไอ้ตัวใหญ่ๆบึกๆที่เข้ามาจับชั้นมันคือใคร?
[Olin] – มันชื่อ Helis มันเป็นชายที่น่ากลัวที่สุดภายใต้ดวงตะวัน ฉายาของมันคือ Stacker of Corpse  พวกเรา Oseram เรียกมันแบบนี้ในสมัยที่มันเป็นแชมป์การประลองของราชา Sun king บ้า ว่ากันว่ามันตายไปพร้อมกับราชาบ้าองค์นั้น แต่ตอนนี้มันกลับมาเป็นผู้นำพวกอุปราคา (The Eclipse) ข้าจะบอกจะเลยว่า มันเป็นตัวอันตรายที่สุด 

[Aloy] –  (Why were you recruited?) ทำไมพวกมันถึงต้องใช้งานคุณ ชั้นรู้ว่าพวกมันจับตัวเมียและลูกของคุณไปเป็นตัวประกันแต่ ทำไมต้องไปคุณด้วย?
[Olin] – ข้าเคยเป็นขโมยพร้อมๆกับเป็นนักขุดค้นหาสมบัติในที่ที่ไม่ใครเขากล้าเข้าไป นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าทำได้ดีที่สุด พวกมันคงรู้ว่าอาจจะใช้งานข้าได้ในฐานะสายลับเพื่อสอดแนมในที่ต่างๆ ตอนนั้นข้ากำลังขุดค้นในพื้นที่ใกล้ๆ Maker’s End พอโผล่ขึ้นมาก็เจอพวกมันรออยู่ ข้าหัวเราะแทบตายตอนเห็นชุดนักบวชของพวกมัน แต่ทันทีที่ข้าเห็นเจ้า Helis ออกมาข้าก็ขำไม่ออกอีกเลย พวกมันให้อุปกรณ์ Focus กับข้าเพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวของข้าให้ปฎิบัติตามคำสั่งของพวกมัน
[Aloy] –  คุณเองก็เข้าออกเมือง Meridian ได้ แล้วทำไมพวกมันถึงมันให้คุณจัดการราชา Avad ล่ะ? 
[Olin] – ข้ามันต่ำต้อยเกินไปที่จะเข้าพบองค์ราชาอย่างเป็นทางการได้ไงล่ะ พวกอุปราคา (The Eclipse) มันทั้งเห็นและได้ยินทุกๆอย่างผ่าน Focus ของข้า เพราะงั้นข้าถึงเตือนเจ้าไม่ได้ และถ้าข้าไม่ทำมันก็จะฆ่าครอบครัวข้าด้วย 

[Aloy] –  (Why ancient machines?) ทำไมพวกอุปราคาถึงต้องขุดหุ่นยนต์โบราณขึ้นมา พวกมันจะใช้งานมันได้ยังไง?
[Olin] – ข้าก็ไม่รู้ ตอนแรกนึกว่าพวกมันจะเอาอะไหล่ต่างๆมาใช้งานแต่ปรากฎว่าพวกมันชุบชีวิตให้ไอ้หุ่นโบราณพวกนั้นได้เฉยเลย พวกมันใส่อุปกรณ์บางอย่างไปในซากของหุ่นพวกนั้น แล้ว Hages ก็จะสามารถสั่งการพวกมันโดยเรียกพวกที่เหลือขึ้นมาจากหลุมได้
[Aloy] –  ชั้นเคยสู้กับพวกหุ่นแบบนั้นมาก่อน แล้วพวกมันยังมีอีกรึเปล่า?
[Olin] – มีอีกสิ เจ้าหุ่นพวกนีที่เจ้าเห็นมันเรียกว่า Corrupter มีมากมายหลายขนาด บางตัวก็ใหญ่มหึมาเหมือนจะเป็นอาวุธจากยุคโบราณ พวกมันเรียกว่า Deathbrigers ข้าเคยเห็นพวกมันถูกฝังมานานแล้วไม่คิดว่ามันยังมีชีวิต แต่ตอนนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ  
[Aloy] –  สำหรับชั้นคิดว่ามันกำลังจะสร้างกองทัพ
[Olin] – ถ้าเป็นงั้น โลกก็คงกำลังล่มสลายและข้าก็เป็นคนช่วยขุดหลุมฝั่งซะด้วย

[Aloy] –  (The Mysterious Woman?) พวกอุปราคา (The Eclipse) มันพยายามจะฆ่าชั้นเพราะชั้นหน้าเหมือนผู้หญิงอีกคน เธอดูแก่กว่า น่าจะ 2 เท่า ผมสั้น เธอเป็นใครกันแน่?
[Olin] – ข้าไม่รู้ Focus ของข้าก็เคยเจอนางมาครั้งนึง ที่โบราณสถานที่ Maker’s End บางที่เจ้าอาจจะเจอเบาะแสอะไรที่นั่นก็ได้นะ 
[Aloy] –  คุณพบภาพของเธอที่นั่นหรอ ยังไง?
[Olin] – มันเหมือนเป็นประตูที่มีเครื่องจักรโบราณบางอย่างติดอยู่ มันแสดงภาพผู้หญิงคนนั้นออกมา เครื่อง Focus ของช้าบันทึกพิกัดเอาไว้แล้ว เจ้าเหมือนนางมาก นางเป็นแม่เจ้าหรอ?
[Aloy] –  ชั้นคนเดียวที่จะเป็นคนตั้งคำถาม !
[Aloy] –  ชั้นฟังมามากพอแล้ว ถึงเวลาต้องจบเรื่องนี้ซะที 
[Olin] – ชีวิตข้า ข้าไม่ห่วงหรอกแต่ถ้าเจ้ายังมีความเมตตาอยู่บ้าง ก็ขอให้ไปช่วยครอบครัวของข้าด้วยเถอะ ได้โปรด
[Aloy] –  พวกเขาถูกจับไปไว้ที่ไหน?
[Olin] – Focus ของช้าบันทึกพิกัดเอาไว้แล้ว ที่นั่นมีคนของพวกมันเฝ้าอยู่เพียบเลย แต่ข้าคิดว่าเจ้าคงเอาอยู่แน่ๆ



[Aloy] –  (Redeem yourself)  จงทำดีเพื่อชดเชยอาชญากรรมที่คุณทำ 
[Olin] – เจ้าจะปราณีข้าหลังจากที่ข้าทำเรื่องทั้งหมดหรอ?
[Aloy] –  ใช่ Olin ชั้นจะให้โอกาศคุณเพื่อใช้ชีวิตใหม่ และจงทำให้มันดีกว่าที่ผ่านมา 
[Olin] – จากวันนี้ไปจนวันตายข้าก็จะไม่ลืมหนี้ชีวิตที่เจ้าให้ในครั้งนี้แน่นอน 
[Aloy] –  คุณล่วงหน้าไปที่ที่พวกมันจำครอบครัวของคุณก่อนแล้วกันรอชั้นที่นั่น เราจะทำให้ชีวิตของพวกเขาเป็นชีวิตแรกที่คุณได้ช่วยเอาไว้ 
[Olin] –  ชีวิตข้าไม่มีค่าสมควรให้ได้รับความเมตตาหรอก แต่ข้าจะต้องช่วยครอบครัวข้าให้ได้แม้จะต้องตายก็ยอม มันอาจทำให้ชีวิตข้ามีค่าขึ้นมาบ้างก็ได้ ข้าจะรออยู่ที่นั่นก็แล้วกัน

หลังจากจบภารกิจนี้จะได้ภารกิจใหม่มา 2 ภารกิจคือ
Main Quest: MAKER’S END ภารกิจตามหาผู้หญิงปริศนาที่เป็นเบาะแสสำคัญในเรื่องของตัวตน Aloy
Errands Quest: COLLATERAL ภารกิจย่อย ในการช่วยเหลือครอบครัวของ Olin ที่ถูกพวกอุปราคาจับตัวไป


                               Errands Quest: COLLATERAL



กำหนดภารกิจที่ Errands Quest: COLLATERAL เพื่อเดินทางไปช่วยครอบครัวของ Olin ที่ถูกจับเอาไว้



เมื่อเดินทางมาถึงเป้าหมายของภารกิจจะมีจุดทางเลือกของภารกิจ (Optional) เพิ่มขึ้นมาอีกจุด นั่นคือ สามารถเข้าไปที่จุดภารกิจแรกแล้วจัดการศัตรูให้หมดแล้วช่วยครอบครัวของ Olin ออกมาได้เลย หรือจะเข้าไปที่จุดทางเลือกโดยเข้าไปคุยกับ Olin ที่รออยู่ใกล้ๆจุดเป้าหมายเพื่อชวนให้ Olin เข้าไปช่วยในการต่อสู้กับพวกศัตรูได้


[Olin] – Aloy ! เจ้าเป็นผู้หญิงที่รักษาคำพูดจริงๆด้วย 
[Aloy] –  ครอบครัวของคุณ ชั้นเห็นจากจดหมายขู่จาก Helis คุณมีภรรยากับลูกอีก 1 คนใช่มั๊ย?
[Olin] – ถ้าเราพยายามช่วยพวกเขาให้ปลอดภัยได้สำเร็จ คำขู่ของมันก็ไม่มีความหมาย 
[Aloy] –  นี่เป็นโอกาสของคุณแล้วนะ มัวรออะไรอยู่อีกล่ะ ?
[Olin] – ข้าทำแน่ ถ้าเด็กๆจะไม่ได้รับบาดเจ็บ
[Aloy] –  ทั้งคู่ถูกจับอยู่ด้วยกันรึเปล่า?
[Olin] – ใช่ อยู่ที่ฟาร์มร้างอีกด้านของก้อนหินใหญ่นั่น ตามมาข้าจะนำทางไปเอง



[Olin] – ที่นี่แหละ แต่ข้าพาเข้ามาใกล้ได้แค่นี้นะ  
[Aloy] – แค่นี้ก็มากพอแล้วล่ะ แล้วพวกอุปราคาที่ดูแลที่นี่อยู่มีกี่คน? 
[Olin] – เท่าที่ข้าเห็น ก็พอตัวอยู่นะ อาวุธครบมือด้วย มีมือธนูเฝ้าดูอยู่บนเนินหิน แต่ไม่มีพวกสัตว์จักรกล

[Aloy] – (How do we get in?) เท่าที่คุณรู้มีทางไหนที่สามารถลอบเข้าไปได้ดีที่สุดล่ะ?
[Olin] – ถ้าเจ้าให้ข้าคิดแผนก็เตรียมรับมือความวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้วยนะ ..เอางี้ เราจะลุยแม่งเข้าไปทางด้านหน้าเลยตามสไตล์ Oseram ของเขา หรือจะเข้าโจมตีโอบจากด้านข้าง จะโจมตีมาจากสันเขาด้านบนก็ดีนะ หรือเจ้าจะลอบลงไปจากบนหลังคาโกดัง แต่ข้าคงอ้วนเกินไปที่จะปีนตามไปด้วยอ่ะนะ
[Aloy] – ต้องลงงานนี้จะให้ชั้นทำคนเดียวหรอ?
[Olin] – ไม่ต้องเดาเลยว่าเจ้าทำคนเดียวได้แน่นอน แต่กับพวกอุปราคาเจ้าจำเป็นต้องมีคนระวังหลังให้จะดีที่สุด ข้าจะระวังหลังให้เองถ้าเจ้ายอมให้ข้าไปด้วยนะ 


สามารถเลือกได้ว่าจะให้ Olin ร่วมลุยเข้าไปด้วยหรือไม่ ระหว่าง
 Come with me (มากับชั้น) 
 I’ll work alone (ชั้นจะทำงานนี้คนเดียว)
** การเลือกไม่มีผลใดๆกับเนื้อเรื่องของเกม แต่หากต้องการจะควบคุมแผนในการลุยให้ได้ดีก็ควรจะลุยเดี่ยว เพราะถ้าเลือกให้ Olin ไปด้วยเขาจะพาลุยเข้าไปทางประตูหน้าทันที **


จากนั้นเข้าไปจัดการพวกอุปราคาที่เฝ้าโกดังอยู่ให้หมดแล้วเก็บกุญแจโกดังที่จะตกจากศพของศัตรูตัวใดตัวนึงเอามาไขเปิดประตูโกดังเข้าไปก็จะเจอเมียและลูกชายของ Olin ถูกจับอยู่ด้านใน


[Aloy] – โอ้ เมียข้า ลูกข้า !!  Aloy ข้าเป็นหนี้เจ้า 3 เท่าเลยที่นี้ 
[Enasha] – ขอบคุณดวงตะวัน เจ้าหาพวกเราจนพบ
[Olin] – ข้าได้เจอกับคนๆนึงที่กล้าหาญมาก เจ้าควรจะขอบคุณนางมากกว่านะ และตัวข้าก็ต้องสารภาพด้วยว่า ข้าดันไปตกลงทำสัญญากับพวกปีศาจที่ยอมจ่ายงามๆให้
[Enasha] – เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือไง? ข้าได้ยินพวกมันพูดกันหมดแล้ว
[Olin] – เจ้ารู้มั๊ยที่ผ่านมามือข้ามันเคยเปื้อนแต่ดินแต่ตอนนี้มันเปื้อนเลือดด้วย
[Enasha] – งั้นก็จงเอาลูกของเราไปอุ้มซะสิ แล้วกลับมาอยู่ได้กันแบบพร้อมหน้าอีกครั้งเถอะนะ
[Aloy] – คุณควรเชื่อที่เมียคุณบอกนะ Olin
[Olin] – แต่ Helis และพวกปีศาจของพวกมันล่ะ ! ข้าก็อยากช่วยเจ้าจัดการพวกมันนะ Aloy ถึงแม้ค่าจะเป็นแค่นักพนันคนนึงก็เถอะ
[Aloy] – Olin ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองติดหนี้อะไรกับใครอยู่  จะกับพวกมันหรือกับชั้นก็เถอะ คุณไม่ได้เป็นหนี้ใครอีกแล้วนะ ไปอยู่กับครอบครัวเถอะนะ แล้วแสดงให้ลูกเมียเห็นว่าคุณเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีก็พอ 
[Olin] – งั้นก็ลาก่อนนะ Aloy ข้าหวังว่าเจ้าจะพบแม่ของเจ้าก่อนพวกมันก็แล้วกันนะ 


จากนั้นเดินทางขึ้นเหนือเพื่อไปยังจุดเป้าหมายของ Main Quest: MAKER’S END เมื่อเดินเข้ามาที่เขตตะวันตกของเขตเหนือระหว่างทางก่อนที่จะถึงเมือง Sunfall เสียงของผู้ติดต่อลึกลับก็ดังขึ้นในเครื่อง Focus ของ Aloy


[ผู้ติดต่อลึกลับ] – ข้าคงจะเตือนเจ้าซะหน่อยก่อนที่เจ้าจะเดินทางเข้าไปยังเมือง Sunfall 
[Aloy] – คุณอีกแล้วหรอ?
[ผู้ติดต่อลึกลับ] – พวกมันคิดว่าสามารถฆ่าเจ้าได้สำเร็จแล้วตั้งแต่ที่เจ้าตกหน้าผ้าที่พิธีทดสอบผู้กล้า แต่ถ้าเจ้าเปิดเผยตัวกับพวกทหารที่ Sunfall ที่เจ้ารอดมาได้โดยที่พวกมันไม่รู้ก็จะหมดความหมาย 
[Aloy] – แหม่ ลางร้ายชัดๆแบบนั้นคงจะไม่ดีแน่นอน 



ที่แค๊มป์ที่พักของผู้ลี้ภัยใกล้ๆกับเมือง SUN FALL จะพบจุด เครื่องหมาย ! สีเขียวที่มีอีก 1 ภารกิจย่อยให้ทำ

                             Errands Quest: HEALER’S DEATH 




[Aloy] – ตัวเธอซีดมากๆเลย เธอไม่สบายรึเปล่า ?
[Abas] – ใช่ เธอไมสบายมาก แต่เธอก็ใจสู้นะแม้ไข้จะขึ้นมาจนตัวร้อนจี๋ ตอนนี้ไข้ยังไม่ลดเลย เธอชื่อ Shianah เป็นน้องสาวข้าเอง
[Aloy] – แล้วคนที่ Sunfall ไม่มีใครคิดจะช่วยเลยรึไง?
[Abas] – เราเป็นผู้ลี้ภัย เรารู้ตัวเองดีและคนที่สามารถรักษาเราได้ในค่ายนั้นก็มีหมอแค่คนเดียว แถมเขายัง ... ใจดำมากๆ ชื่อว่าหมอ Ghaliv เขาฉลาดมากๆแต่ไม่ค่อยสนใจที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน บางทีก็เอาแต่เดินทางเพื่อค้นคว้าเรื่องยาของเขาแค่นั้น ข้ารู้ว่ายังไงเขาก็ไม่ช่วยคนอย่างพวกเราหรอก
[Aloy] – งั้นหรอ เดี๋ยวชั้นจะลองพูดให้ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะ?
[Abas] – ล่าสุดได้ยินว่าเขาเดินทางไปที่ค่ายทหารที่ Blazon Arch น่ะครับ



จากนั้นเดินทางไปที่จุดหมายต่อไปของภารกิจที่จุดเหลืองในแผนที่ ไปยังเมือง Blazon Arch ทางใต้ของ Sunfall เพื่อเข้าไปคุยกับหมอ Ghaliv



[Aloy] – คุณใช่ หมอ Ghaliv รึเปล่าค่ะ?
[Ghaliv] – ข้าใช้เวลาทั้งวันเลยเพื่อที่จะตรวจสอบและควบคุมในพื้นที่ของพวกที่ถูกเนรเทศ ข้าต้องขอโทษจริงๆ แต่เจ้าไม่ได้มาจาก Sunfall น่าสนใจจริงๆ 
[Aloy] – ชั้นมาจากค่ายที่พักของผู้อพยพ มีเด็กหญิงคนนึงป่วยอยู่พี่ชายเธอพูดถึงชื่อของคุณ 
[Ghaliv] – คำตอบคือ ไม่ นั่นแหละ ข้าไม่มีทางจะแบ่งยาไปให้คนพวกผู้อพยพนั่น และไม่มีเวลามัวรักษาพวกนั้นด้วย เพราะการค้นคว้าของข้ากำลังดำเนินไปด้วยดี มันจะทำให้ชุดข้าเปื้อนเปล่าๆ

[Aloy] (Why Not?) ทำไมคุณถึงไม่ยอมช่วยล่ะ?
[Ghaliv] – ในมุมมองของข้านะ สถานการณ์แบบนี้ข้าคงไม่สามารถนำยาซึ่งเป็นของมีค่าไปใช้พร่ำเพื่อเพราะมันผิดกฎหมายแถมยังราคาแพงมากอีกด้วย ตั้งแต่เจ้า Behemoth มันบุกเข้ามาที่ค่ายจนทำให้ความต้องการยามีมากจนของไม่เพียงพอที่จะส่งไปให้ทางวิหาร พวกหน่วย Kestrels ของท่าน Helis ก็เข้มงวดกับเรื่องนี้มากๆด้วย แต่ในกรณีของพวกขุนนางต่างๆก็ไม่มีปัญญาพวกเขาสามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อยาได้อันนี้ข้ายินดี  
[Aloy] – แต่ในมุมมองของชั้น เด็กนั้นกำบัวป่วยหนักนะ!
[Ghaliv] – ข้าคิดว่า ...เราน่าจะมีทางออกสำหรับเรื่องนี้ได้อยู่นะ

[Aloy] – (What if I make you?) แล้วจะให้ชั้นทำยังไงคุณถึงจะยอมรักษาให้บอกมา !
[Ghaliv] – เพราะข้าเป็นสาเหตุใช่มั๊ยเนี้ย .. เจ้าคงจะไม่ทำอันตรายหมอของ Shadow Carja ที่เก่งที่สุดที่มีอยู่คนเดียวในตอนนี้ใช่มั๊ย? 
[Aloy] – เราเพิ่งรู้จักกันเองนะหมอ แต่ก็ ใช่ ถ้ามีอะไรล่อใจนะ 
[Ghaliv] – เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องของ มหาวิหาร พวกเขาจะเป็นคนตัดสินเองว่าใครจะอยู่ใครจะไป ไม่มีอะไรที่เจ้าจะทำได้เพื่อให้ข้ายาในล็อตสุดท้ายกับเด็กน้อยที่เต้นท์ผู้อพยพหรอกนะ 

[Aloy] – (you really won’t help?) เฮ้ออออ คุณนี่แม่งเป็นหมอที่ห่วยแตกมากรู้มั๊ย?
[Ghaliv] – คนเป็นหมอน่ะ ไม่มีทางที่จะไม่มีความรู้สึกผิดชอบขั่วดีหรอก แต่งานนี้ ข้าทำเพราะต้องการสร้างภูมิคุ้มกันให้คนอื่นๆ แต่ เอาล่ะ ถ้าเจ้ายืนยันแข็งขันที่จะช่วยเด็กนั่น บางทีเราอาจพอตกลงกันได้ ตอนนี้ข้าต้องการ หัวใจของ Thunderjaw 



ถ้าหากมีมี ไอเทม Thunderjaw Heart อยู่ก็จัดการไปล่า Thunderjaw แล้วเก็บเอาหัวใจของมันซะ หรือถ้ามีอยู่แล้วก็สามารถนำมันให้กับ Ghaliv ได้เลย เมื่อเอา Thunderjaw Heart ให้กับ หมอ Ghaliv แล้วเขาก็จะยอมเดินทางไปรักษาเด็กให้ จากนั้นก็เดินทางกลับไปคุยกับ  Abas ที่เต้นท์ของผู้ลี้ภัยอีกครั้งได้เลย

[Abas] – เจ้าเองหรอ? เจ้าทำได้ไงเนี้ย ข้าสมควรที่จะได้รับการรักษาหรอ? ไม่ๆ ข้าไม่ถามดีกว่า แค่ให้เรื่องร้ายๆนี่มันผ่านไปได้ก็พอ 
[Ghaliv] – ฉลาดมากไอ้หนุ่ม
[Aloy] – คุณจะช่วยรักษาอย่างเต็มที่ใช่มั๊ยหมอ?
[Ghaliv] – แน่นอน ถ้าไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิข้าอ่ะนะ



[Ghaliv] – เธอชื่ออะไร?
[Abas] – Shianah ครับ 
[Ghaliv] – ข้าเคยเจอ Shianah ครั้งนึงนะ ตอนเธอร้องเพลงอยู่ในโรงแรมเล็กๆแห่งนึง น้องของเจ้าอยากเป็นนักร้องงั้นหรอ?
 [Abas] – เอ่อ ..เธอชอบเล่นบอลน่ะ แล้วก็อยากเป็นทหารด้วยครับ
[Ghaliv] – โอ้ ช่างน่าเสียดายเนอะ 



                                           UPDATE 18 / 8 / 2017