วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Assassin's Creed Chronicles: Russia



ตัวเอกของภาค Chronicles: Russia นั้นคือ Nikolai Orelov ชื่อเต็มว่า Nikolai Andreievich Orelov เป็นนักฆ่าในสังกัดภาคีรัสเซียในฐานะตัวเอกที่มีเรื่องราวอยู่ในนิยายภาพเรื่อง Assassin's Creed: The Fall และ Assassin's Creed: The Chain ซึ่งเป็นเรื่องราวการต่อสู้ปกป้องครอบครัวของเขาและแย่งชิง “Staff of Eden” ที่เป็น Piece of Eden รูปแบบหนึ่งจากพวก Templar ในยุคศตวรรษที่ 19 โดยเล่าเรื่องผ่านเครื่อง Animus ทาง DNA ของ Daniel Cross ที่เป็นบรรพบุรุษผู้สืบเชื้อสายในยุคปัจจุบันของ Orelov  
 
                           



                                               Assassin's Creed: The Fall

ในปี ค.ศ 1888 เช้าวันนึงที่ Nikolai ตื่นจากฝันร้ายในเรื่องการตายของ  Aleksandr Ulyanov เพื่อนรักของเขาเมื่อในอดีต เขาปรับทุกข์กับ Anna ภรรยาของเขาเหมือนทุกครั้งก่อนจะควบม้าออกไปไล่ตามรถไฟที่เป็นขบวนโดยสารของราชวงศ์เพื่อปฏิบัติภารกิจนึงที่ Nikolai ได้รับมอบหมายให้ไปสังหารพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 (Tsar Alexander III) ในฐานะเป็นพันธมิตรของพวก Templar

           

ก่อนที่ Nikolai จะควบม้าโดดขึ้นรถไฟบุกยิงแหลกตามสไตล์ของเขาจนสามารถเข้าถึงตัวของพระเจ้าซาร์ที่ 3 ได้ การต่อสู้ผ่านไปด้วยการพลัดกันรุกและรับก่อนจะจบลง จากผลที่  พระเจ้าซาร์ที่ 3 งัด Staff of Eden ออกมาสู้ซึ่งถึงแม้ว่า Nikolai จะเป็นนักฆ่ามากฝีมือที่พอจะจัดการกับ พระเจ้าซาร์ที่ 3 ที่มี Staff of Eden ได้ไม่ยาก แต่ในสายตาของภรรยาและลูกของ พระเจ้าซาร์ที่ 3 ที่มองมาทำให้ Nikolai ไม่สามารถปลิดชีพเป้าหมายต่อหน้าครอบครัวของเขาได้ ทำให้ พระเจ้าซาร์ที่ 3 ตนเองมีชัยเพราะ Staff of Eden จึงตัดสินใจปล่อยให้ Nikolai หนีไปเพราะไม่อยากสังหารใครต่อหน้าครอบครัวเช่นกัน ทำให้ Nikolai ต้องถูกตราหน้าจากภาคีว่าปฏิบัติภารกิจที่ล้มเหลว ในเวลาต่อมาลูกของ Nikolai ถูกจับหายตัวไปหลังจากเกิดได้ไม่นานทำให้ Nikolai โกรธแค้นและคิดไปว่าอาจเป็นฝีมือของภาคีของเขาเองจากการที่เขาทำงานพลาด Nikolai จึงออกไล่ล่าและตามหา Staff of Eden ที่เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมของเขาอย่างจริงจังตั้งแต่นั้น

     

ซึ่งเหตุการณ์ที่ Nikolai บุกเข้าไปโจมตีขบวนรถไฟโดยสารเพื่อลอบสังหารพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 จนเกิดความวุ่นวายนั้นก็ตรงกับเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ในวันที่ 29 ตุลาคม ปี 1888 ด้วย ซึ่งขบวนรถไฟที่กำลังเดินทางจาก Crimea ไปที่ Saint Petersburg ซึ่ง จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซียและครอบครัวโดยสารมาเกิดตกรางพลิกคว่ำก่อนถึงสถานี Borki ในเมือง Kharkov ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 20 กว่ารายและผู้บาดเจ็บอีกมากมายโดยที่ พระเจ้าซาร์ที่ 3 และครอบครัวไม่ได้รับการาดเจ็บแต่อย่างใด ซึ่งเหตุการณ์นี้รู้จักกันในชื่อ The Borki train disaster นั่นเอง

อ้างอิงข้อมูลจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Borki_train_disaster

ต่อมาในปี ค.ศ 1908 ผลของการที่ครอบครัวของ Nikolai ถูกคุกคามอันเป็นผลมาจาก Staff of Eden สิ่งของเจ้าปัญหาที่ Nikolai ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยว่ามันคืออะไรจนได้พบเจอกับตัวเมื่อครั้งลอบไปสังหารพระเจ้าซาร์ที่ 3 ทำให้ Nikolai ตามหาความลับของ Staff of Eden ตลอดมาจนวันนึงก็สามารถจับตัว Dolinsky ซึ่งเป็นคนของ Templar ได้ก่อนที่ Nikolai จะจับมาทรมานอย่างหนักเพื่อเค้นเอาความลับที่ซ่อนของ Staff of Eden จาก Dolinsky จนมันคายความลับเบาะแสของ Staff of Eden ออกมาได้ในที่สุดว่ามันอยู่ที่โรงงานลับแห่งหนึ่งใน ไซบีเรีย ทำให้ Nikolai ต้องเดินทางไปที่ไซบีเรียทันทีโดยผ่านทางทุ่งราบริมแม่น้ำ Tunguska ซึ่งก่อนเดินทางอาจารย์ของ Nikolai ก็ขอให้ช่วยนำเครื่อง Tesla coil ของ Nikola Tesla ที่ถูกขโมยไปกลับมาพร้อมกับ Staff of Eden ด้วย จนเมื่อ Nikolai เดินทางมาถึงโรงงานลับของพวก Templar ที่ไซบีเรียแล้ว เขาและพวกก็ได้บุกลุยเข้าสังหารพวก Templar และพวกนักวิทยาศาสตร์จนหมดแต่เมื่อ Nikolai เข้าไปจนพบ Staff of Eden ได้แล้วก็พบว่า Staff of Eden ได้ถูกพวก Templar นำไปกระตุ้นด้วยพลังงานไฟฟ้าจาก Tesla coil ของ Nikola Tesla เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ Nikolai กำลังเข้าไปคว้า Staff of Eden มาไว้แต่เสี้ยววินาทีนั้นการระเบิดก็ระเบิดขึ้น พลังของ Staff of Eden ที่ Nikolai สัมผัสทำให้เขาเห็นช่วงเวลาต่างๆความเป็นมาต่างๆของโลกทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต มากมายเข้ามาในหัวก่อนที่ทุกอย่างรอบตัว Nikolai ถูกทำลายจนไม่เหลือซากพร้อมๆกับ Staff of Eden แต่ก็โขคดีที่ Nikolai รอดชีวิตออกมาได้แค่คนเดียว 

 


 ก่อนที่ Nikolai จะกลับบ้านไปพร้อมความผิดหวัง แต่เขากับ Anna ก็ตัดสินใจมีลูกสาวด้วยกันอีกครั้งในเวลาต่อมาและให้ชื่อว่า Nadya เป็นแก้วตาดวงใจแทนลูกคนแรกที่หายสาบสูญไป


                                


ซึ่งเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ที่ Tunguska นี้ก็เป็นเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ด้วย โดยเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ปี 1908 ได้เกิดเหตุการณ์ระเบิดปริศนาขึ้นที่ทุ่งราบริมแม่น้ำ Tunguska ทางตะวันออกของไซบีเรีย การระเบิดนี้มีความรุนแรงเทียบเท่ากับ 1,000 เท่าของระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิม่าประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว การระเบิดเกิดขึ้นกลางอากาศที่ความสูงประมาณ 5-10 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนแผ่ออกเป็นวงกว้าง ทำลายต้นไม้ประมาณ 80 ล้านต้น กินอาณาบริเวณถึง 2,150 ตารางกิโลเมตร และด้วยการระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นในอดีตจึงเกิดเป็นที่ถกเถียงกันเรื่อยมาถึงสาเหตุที่แท้จริงจนถึงปัจจุบัน แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ได้วิเคราะห์เบื้องต้นได้ว่า มันเป็นคล้ายกับการระเบิดของคลื่นอัดอากาศจากการแตกตัวของอุกกาบาตหรือดาวหางขนาดใหญ่ก่อนจะถึงผิวโลก และยังเชื่อว่า การระเบิดที่ทุ่ง Tunguska นี้เป็นการปะทะของอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์กันเลย ซึ่งเราจะรู้จักกันดีในชื่อว่า การระเบิดที่ตุงกุสคา หรือ Tunguska event นั่นเอง 

              


Cr. อ้างอิงข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Tunguska_event
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%84%E0%B8%B2


                   


ปี ค.ศ. 1917 ในช่วงที่รัสเซียในการปกครองของ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียกำลังเริ่มระส่ำระสาย จากความเกลียดชังจากที่พระองค์ชีวิตที่หรูหราสุขสบายท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ จนเมื่อมีประชาชนออกมาประท้วงเพราะความทุกข์ยากที่เกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก็ทรงสั่งให้ปราบปรามด้วยความโหดเหี้ยม  เรื่องที่ทรงให้รัสปูตินเข้ามามีบทบาทในราชสำนักมากจนเกินไป และท้ายที่สุดคือ การเข้าร่วมใน สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวรัสเซียได้ทนทุกข์ทรมานเนื่องจากเศรษฐกิจและการปกครองเดิมๆ มาเป็นเวลานานแล้ว ในรัชสมัยของพระองค์ยังได้เกิดเหตุซ้ำเติมความศรัทธาต่อระบอบกษัตริย์จนถึงขีดสุด ทำให้ วลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) หัวหน้าพรรคบอลเชวิก (Bolsheviks) ที่มีความเชื่อมั่นในระบอบสังคมนิยม จึงคิดวางแผนรวบอำนาจมารวมไว้ในพรรคคอมมิวนิสต์ จึงส่งจดหมายไปให้ Nikolai มาจัดการกับ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เพื่อทำลายลัทธิจักรวรรดินิยมให้หมดสิ้นไปซะ แน่นอนว่า Nikolai เต็มใจที่จะรับงานนี้ทันเพราะ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สองเป็นพวก Templar  ซึ่งเมื่อ Nikolai ลอบเข้าไปสังหารพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2  เขาก็ได้รู้ว่ามันได้ครอบครอง Staff of Eden อีกอันเอาไว้แต่โชคดีที่มารู้ว่าที่มันเป็นของปลอม


                        

ก่อนจะคุยโตว่าของจริงนั้นต้องมีแสงจากด้านในและผู้ใดได้มองมันจะทำให้ เห็นช่วงเวลาต่างๆความเป็นมาต่างๆของโลกทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทำให้ Nikolai นึกถึงภาพต่างๆที่เขาได้รับมาตอนเหตุรถไฟตกรางที่ Tunguska ทันที เขารีบทำลาย Staff of Eden ของปลอมทิ้ง ก่อนที่ Nikolai จะตัดสินใจไว้ชีวิต พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เพราะเห็นแก่ความเป็นพ่อที่มีลูกเหมือนกัน ทำให้พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 บอกความลับเรื่องสร้อยคอที่ รัสปูตินห้อยอยู่ว่าเป็นวัตถุดิบแบบเดียวกับ Staff of Eden ปล่อยให้เขาถูกเก็บโดยนักฆ่าคนอื่นแทนก่อนที่ Nikolai จะหนีออกจากวังไป

Nikolai ตามเบาะแสของ รัสปูติน จนมาถึงที่เมือง ครัสโนยาสค์ (Krasnoyarsk) ในคุกร้างที่เป็นที่คุมขังตัว Khioniya Guseva หญิงชาวบ้านที่เป็นผู้ติดตามของ รัสปูติน ก่อนที่เธอจะพยายามจะลอบสังหารเขาเพื่อทดสอบศรัทธราในคำอ้างของรัสปูตินว่าตัวเองเป็นอมตะแล้วถูกรัสปูตินจับมาขังลืมที่นี่ ทำให้ Nikolai ได้ข้อมูลจาก Guseva เรื่องหลุมศพของรัสปูติน แต่ Nikolai ก็ต้องสังหาร Guseva ด้วยมีดสั้นของเขาเพื่อเป็นการปลดปล่อยเธอจากความทรมาน สุดท้าย Nikolai มาที่สุสานของรัสปูตินและค้นหาสร้อยคอที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 กล่าวถึงจนเจอ ก่อนที่จะเดินทางกลับไปหา Anna ที่บ้านทันที

ปี 1918 หลังจากเกิดการประท้วงจากประชาชนและการยึดอำนาจของ วลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) หัวหน้าพรรคบอลเชวิก พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และพระราชวงศ์ถูกนำไปกักบริเวณจนการปฏิวัติเสร็จสิ้นพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และพระราชวงศ์ทั้งหมดก็ถูกนำตัวไปที่บ้านอิมพาเทียฟก่อนจะถูกพวกบอลเชวิกปลงพระชนม์ที่นี่ ในวันที่ 17 กรกฎาคม 1918 ปิดฉากกษัตริย์องค์สุดท้ายของรัสเซียนับแต่นั้น



1 เดือนหลังจากการปฏิวัติปิดฉากลงพร้อมราชวงศ์แห่งรัสเซีย Nikolai ตัดสินใจที่จะออกจากภาคีนักฆ่าแล้วพาครอบครัวหนีออกจากประเทศทันทีที่รู้ว่าพรรคบอลเชวิก ของ เลนิน นั้นจริงๆแล้วเป็นพวก Templar ก่อนที่ Nikolai จะทำภารกิจสุดท้ายในบ้านเกิดของเขาด้วยการช่วยเหลือเจ้าหญิง Anastasia ธิดาของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ที่ยังรอดชีวิตจากการไล่ล่าของพรรคบอลเชวิกและนำชิ้นส่วนของ Staff of Eden จากสร้อยคอของรัสปูตินไปให้ไกลจากเงื้อมมือของพวก Templar




                                        บทสรุป  Assassin's Creed Chronicles: Russia



By Decibel per oxide




หัวหน้าภาคี – นานเท่าไหร่แล้ว Nikolai ที่เจ้าทำงานให้ข้า แต่ข้าชอบเจ้านะ และดีใจที่พวกนั้นส่งเจ้ามาในขณะที่ข้ากำลังได้รับอันตราย สายข่าวของเรารายงานว่า คนของราชวงศ์โรมานอฟได้เก็บของสิ่งนึงเอาไว้ กล่องของเอซิโอ้ กล่องที่บรรจุสิ่งของมีค่าที่เรามั่นใจว่ามันคือ ชิ้นส่วนของ “Piece of Eden”  และตอนนี้ครอบครัวของพระเจ้าซาร์ก็ถูกคุมขังไว้ที่  อีปาเทียฟ เฮาส์ ในเมือง Yekaterinburg ท่ามกลางการคุมกันของทหารมากมาย เจ้าต้องลอบเข้าไปที่นั้นเพื่อสืบหาความจริง เพราะถ้ากล่องที่ว่านั้นมีอยู่จริงพวกเทมพลาก็ต้องกำลังพลิกแผ่นดินตามหามันเหมือนกันแน่นอน เจ้าต้องระวังพวกมันเอาไว้ให้ดีด้วย
Nikolai – อย่าห่วงเลย ข้าเคยจัดการพวกมันได้มาแล้ว 




Nikolai – ข้าคิดว่างานนี้คงเป็นงานสุดท้ายของข้าแล้ว ข้าคิดถึง Anna และ Nadya ลูกเมียข้าเหลือเกิน 

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

ระบบการบังคับเบื้องต้น
L – บังคับการเคลื่อนไหว
R – บังคับการมุมกล้อง / กดลงตรงๆใช้ Eagle Vision
A – กระโดด / ใช้ร่วมกับแกน L ในการเปลี่ยนที่ยึดเกาะ
X – โจมตีเบา / ลอบสังหาร / กดค้างด้านหลังศัตรูล็อกคอให้สลบ
Y – โจมตีหนัก
B – บล็อกการโจมตี / แบบศพศัตรู / ยกเลิก / กด B ค้างในการขโมย

** การขโมยไอเทม ** อเทมที่ได้จากศัตรูนั้นมีทั้งไอเทมทั่วไปเช่นพวกกระสุนต่างๆจนถึงคีย์ไอเทม โดยปกติจะได้ไอเทมจากพวกมันได้จากการค้นเอาจากศพหรือได้แบบอัตโนมัติหลังจากโยนร่างพวกมันใส่ที่ซ่อนแล้ว ก็ยังสามารถขโมยไอเทมจากตัวศัตรูได้ด้วยโดยการกด B ค้างจากด้านหลังของศัตรูในขณะที่พวกมันกำลังคุยกัน ในขณะเดินไปมา หรือ รัดคอให้สลบแล้วค้นเอาไอเทมเอาก็ได้

LB – เล็งอาวุธเสริม
RB – ใช้เชือกตะขอเกาะขึ้นไปบนเพดาน
LT – ย่อง / สไลด์ (กดในขณะวิ่ง) กด RT ขณะย่องเพื่อเพิ่มความเร็ว
RT – วิ่ง
ปุ่มทิศทาง – ใช้เลือกอาวุธเสริม
บน – ผิวปาก  การผิวปากนั้นจะมีรัศมีการได้ยินซึ่งสามารถกด LB เพื่อเตรียมผิวปากจากนั้นใช้แกน L ปรับรัศมีให้กว้างขึ้นได้ ใช้สำหรับล่อศัตรูเข้ามาใกล้ๆเพื่อหาจังหวะเปลี่ยนตำแหน่งหนี
ซ้าย – Winch  ตะขอกว้าน ใช้สำหรับดึงสิ่งของต่างๆ ด้วยการกด RB ในการยิงตะขอไปยึดเกาะแล้วกด A ย้ำๆในการดึงเป้าหมาย
ขวา – ปืนไรเฟิ่ล ใช้ยิงศัตรูจากระยะไกล (ในสถานการณ์ที่กำหนด) ด้วยการกด LB เพื่อ Zoom เป้าหาย และกด RB ในการยิงปืน
ล่าง – ระเบิดควัน ใช้สำหรับพรางตาศัตรู ด้วยการกด LB เพื่อเตรียมเล็งใช้แกน L ปรับรัศมี  และกด RB ในการขว้าง

**ระบบการเล่นหลัก **
ระบบการเล่นนั้นก็คือการเดินทางด้านข้างแบบ 2D โดยต้องบังคับ Nikolai ไปตามจุดหมายกำหนดโดยใช้ความสามารถในการลอบเร้นและลอบฆ่าในการผ่านศัตรูตามทางไปให้ได้ โดยใช้จุดตัวช่วยต่างๆตามทางเช่น การหลบตามเสา หลบตามช่องประตู โหนเกาะตามพนัง และการใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆเป็นตัวช่วยในการเดินทาง

อุปสรรคตามทางก็มีทหารเทมพลาหลากหลายประเภทที่คอยขัดขวาง ซึ่งศัตรูแต่ละตัวนั้นจะมีระยะการมองแสดงให้เห็น โดยมีลักษณ์การแสดออกตามเกทความสนใจตั้งแต่ สีขาวไม่เห็นอะไร สีเหลืองเริ่มสงสัย และ สีแดงเริ่มโจมตี นอกจากนี้ยังมีอุปสรรค์ตามทางต่างๆทั้งกรงเสือ กระดิ่ง ที่สามารถทำให้ศัตรูรู้ตัวได้เมื่อเข้าใกล้ด้วย

ถึงแม้จะสามารถต่อสู้กับศัตรูได้ แต่การลักลอบซ่อนเร้นเพื่อผ่านทางไปยังเป้าหมายที่ต้องการโดยศัตรูไม่รู้ตัวนั้นเป็นทักษะหลักที่ควรต้องทำในเกมนี้ การลักลอบหรือการลอบฆ่าที่แนบเนียนนั้นนอกจากทำให้เดินทางโดยสะดวกขึ้นแล้วยังสามารถทำให้ได้แต้ม Style grades เป็นรางวัลด้วย

** Style grades **
สำหรับเกม Assassin Creed นั้นทักษะการลอบเร้นนั้นสำคัญกว่าการต่อสู้ ซึ่งหากระหว่างทางของแต่ละฉากนั้นสามารถลักลอบผ่านศัตรูได้อย่างมีชั้นเชิงตามอุปกรณ์ตัวช่วยตามทางที่มี หรือลอบฆ่าได้อย่างแนบเนียน โดยสามารถผ่านแต่ละช่วงของฉากได้โดยศัตรูไม่รู้ตัวก็จะได้ Style grades Point เป็นแต้มรางวัล และในแต่ละฉากจะมีคะแนนการอัพเกรดที่ใช้เพิ่ม Skill ด้านต่างๆกำหนดไว้ เช่น เพิ่มเกทพลังชีวิต เพิ่มการโจมตี เพิ่มความเร็วและกระสุนต่างๆให้มากขึ้น ซึ่งถ้าสามารถทำให้คะแนนของ Style grades Point ถึงตามจำนวนที่กำหนดไว้ก็จะได้ความสามารถต่างๆที่แต่ละฉากกำหนดไว้มาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถของตัวเอง ซึ่งหากผ่านฉากแบบลุยแหลกเลอะเทอะแบบไม่มีการใช้ทักษะที่มีให้เหมาะสมก็จะไม่สามารถเพิ่มความสามารถด้านต่างๆของตัวละครได้เลยถึงแม้จะทำภารกิจผ่านแล้วก็ตาม

--------------------------------------------------------------------------------------
                 

                              MEMORY SEQUENCE 1 – Dawn of the Tsars 

-Upgrade- 
เพิ่มเกทพลังชีวิต – 1500 Point
เพิ่มความเร็วในการล้วงกระเป๋าศัตรู – 3000 point
-plus game Mode Upgrade -
Skill Pass Though Bullet – 5500 Point

-Secondary objective -
– ขโมยเอกสารสำคัญจากทหารศัตรู 3 อัน

กรกฎาคม ปี 1918 เมือง Yekaterinburg …เป้าหมายของ Nikolai ก็คือเดินทางไปยัง อีปาเทียฟ เฮาส์ (Ipatiev House) ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังของครอบครัวของ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เพื่อค้นหาและแย่งชิงกล่องลับที่บรรจุ “Piece of Eden”  มา แต่ก่อนอื่นก็ต้องเดินทางลอบหลบทหารเทมพลาที่อยู่ตามทางให้ได้เสียก่อน 
- ช่วงแรกใช้ความสามารถในการหลบหลีกทหารศัตรูเข้ามาตามทาง ซึ่ง Nikolai จะมีอาวุธเฉพาะตัวคือ ปืนไรเฟิ่ล และ กว้านตะขอมือจับ ที่สามารถใช้ปืนยิงไฟและมือจับกว้านดึงทำลายสิ่งของต่างๆได้จากระยะไกล เมื่อเข้ามาจนถึงตึกแรกใช้โทรศัพท์โทรลงไปชั้นล่างเพื่อล่อทหารศัตรูเดินมาฝั่งขวา เข้าไปสำรวจเปิดลิฟต์แล้วกดปุ่มทิศทางซ้ายเพื่อใช้กว้านตะขอยิงไปจับแผงควบคุมในช่องลิฟต์แล้วกด A รัวๆให้คันโยกตกลงมาทำให้ลิฟต์ขึ้นมาชั้นบน ลงไปชั้นล่างจัดการศัตรูที่ทางเดินซะแล้วเข้ามาใช้กว้านตะขอจับที่ช่องหน้าต่างแล้วกด A รัวๆดึงทำลายให้พังเพื่อมุดออกไปด้านนอกต่อ
-ลอบเข้าไปถึงหลังคา ใช้การหลบตามปล่องควันจนถึงขบวนรถไฟ ขึ้นไปบนหลังคารถเดินทางต่อจนถูกทหารกั้นทางไว้ ปีนเสาแล้วใช้การผิวปากล่อให้ทหารมองขึ้นบนแล้วลอบเข้าไปด้านในช่องหน้าต่าง หลบทหารหลับเข้าไปขโมยระเบิดควันจากทหารด้านในแล้วลอบออกไปด้านบน ใช้ระเบิดควันกับทหารที่มีรัศมีสีเหลืองที่เฝ้าอยู่ก็จะสามารถหลบไปต่อ ผ่านท่าเรือจนถึงสะพานใหญ่ที่มีทหารมากมายยืนเฝ้าอยู่ ต้องใช้ กว้านตะขอดึงเอาที่ปีนด้านบนมาใช้โดดเกาะข้ามกลุ่มทหารบนสะพานไป จนถึงจุดโดดขึ้นขบวนรถไฟอีกฝั่งได้
-เข้ามาจนถึงหน้าตึกใหญ่เรียนรู้การใช้ปืนไรเฟิ่ล ที่จุดกำหนดตรงโต๊ะแดงเพื่อยิงทหารศัตรูที่หน้าตึกให้หมด แล้วเดินข้ามไปด้านหน้าตึกเดินต่อจนถึงจุดที่มี กับดักระเบิด ที่เป็นไฟกระพริบที่พื้น ซึ่งเป็นอุปสรรคแบบใหม่ของภาคนี้ ซึ่งสามารถผ่านได้โดยใช้การเดินตามทหารศัตรูผ่านไปเซ็นเซอร์ก็จะไม่ระเบิด หรือ อาจใช้การยิงจากระยะไกลในบางโอกาสได้
-เข้ามาถึงหน้าตึกใหญ่ต่อมาจะเจอจุดยิงปืน ใช้ไรเฟิ่ลยิงจัดการศัตรูและกับระเบิดที่พื้นหน้าตึกตรงข้ามให้หมด โดยการยิงศัตรูนั้นต้องอย่าให้ศัตรูอื่นเห็นศพของศัตรูที่ยิงตายด้วย แล้วค่อยข้ามไปที่หน้าตึกจนสามารถเข้ามาจนถึงตึก อีปาเทียฟ เฮาส์ ได้สำเร็จ



Nikolai – งี่เง่า ! ข้าไม่สนการปฎิวัติบ้าๆนี่หรอก และจะไม่ขอเข้าไปยุ่งอะไรทั้งนั้นนอกจากภารกิจ 
ทหาร – ดูแลพวกราชวงศ์ไว้ อย่าพวกผู้ประท้วงเข้ามาวุ่นวายในตึกได้ ชั้นไม่อยากให้บ้านถูกรื้อค้นจนกว่าเราจะหากล่องนั่นเจอ !!
Nikolai – พวก Templar เรอะ ?? 




                                       ** อีปาเทียฟ เฮาส์ (Ipatiev House) **  




ปี 1918 หลังจากเกิดการประท้วงจากประชาชนและการยึดอำนาจของ วลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) หัวหน้าพรรคบอลเชวิก จากพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เป็นผลสำเร็จ ในครั้งแรกทางพรรคบอลเชวิกต้องการจะนำพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และราชวงศ์ทั้งหมดไปขึ้นศาลในการพิจรณาคดีความผิด แต่ด้วยความที่กลัวตัวแปรคือกลุ่มต่อต้านที่อิงระบอกกษัตริย์จะสามารถบุกเข้ามาแล้วใช้ ราชวศ์โรมานอฟเป็นฐานเพื่อเรียกความเชื่อมันกลับมาหากพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ยังมีชีวิตอยู่ พรรคบอลเชวิก จึงตัดสินใจที่จะประหารชีวิต พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และราชวงศ์โรมานอฟทั้งหมด โดยใช้ตึกอีปาเทียฟ เฮาส์เป็นที่ทำพิธีประหารโดยเรียกอย่างสวยหรูว่า  “บ้านแห่งความมุ่งหมายสุดพิเศษ” (The House of Special Purpose) แต่สำหรับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัว ตึกแห่งนี้คือที่สุดท้ายของชีวิตและเป็นจุดจบของราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซียอีกด้วย 


ทหาร – ฟังนะ ทรมานพวกมันจนกว่ามันจะยอมพูดอะไรออกมา จากนั้นค่อยฆ่าพวกราชวงศ์นั้นให้หมดทุกคน
Nikolai – แปลกมาก ทำไมพวก Templar ถึงต้องฆ่าล้างโคตรตระกูลโรมานอฟด้วย ปกติพวกมันไม่เคยฆ่าเด็กนี่ แบบนี้มันอดที่จะกังวลไม่ได้แล้ว ข้าต้องรีบหากล่องนั่นให้เจอแล้วพาลูกเมียหนีออกจากเรื่องบ้าๆในประเทศนี้ให้เร็วที่สุดแล้วล่ะ ! 



                              MEMORY SEQUENCE 2 – Red Fury 


-Upgrade- 
เพิ่มความแข็งแกร่งของกว้านตะขอ – 2600 Point
เพิ่มจำนวนของระเบิดควัน – 4000 point
-plus game Mode Upgrade -
เพิ่มเกทพลังชีวิต – 7400 Point

-Secondary objective -
– ขโมยเพชรจากตู้เซฟหลังรูปภาพมาให้หมด 2 เซฟ - 400 point

17 กรกฎาคม ปี 1918  เมือง Yekaterinburg , Ipatiev House

-เข้ามาในบ้านส่วนหน้า เรียนรู้การใช้ทำลายหม้อไฟเพื่อทำให้ไฟดับโดยใช้กว้านตะขอยิงไปยึดที่แผงไฟสีแดงด้วยการกด RB จากนั้นกด RB อีกครั้งเพื่อชาร์ทกระแสไฟทำให้หม้อแปลงระเบิด เมื่อไฟดับก็จะทำให้ระยะการมองของศัตรูสั้นลงรวมถึงศัตรูที่มีรัศมีรับรู้สีเหลืองตาบอดมองไม่เห็นไปเลย หลบศัตรูไปออกหน้าต่างล่างขวาออกไปด้านนอก ปีนขึ้นไปเข้าหน้าต่างชั้น 2 จัดการศัตรูแล้วใช้กว้านทำลายหม้อแปลงบนเสาให้ไฟดับซะแล้วเข้าไปโซนต่อไป
-ลอบเข้าไปที่ส่วนระหว่างบ้านแล้วมุดเข้าไปด้านใน ใช้กว้านตะขอทำลายหม้อแปลงสีแดงด้านในขวาแล้วกลับออกมาปีนเข้าหน้าต่างบ้านทางขวาต่อ ในบ้านนี้จะมีช่องในพนังให้ซ่อนตัว ผิวปากล่อทหารมาทางซ้ายแล้วรีบมุดช่องไปเข้าช่องด้านบนเพื่อไปออกที่หน้าต่างทางขวาสุดออกมานอกบ้าน
-ปีนขึ้นชั้น 2 ทางฝั่งซ้าย หลบทหารที่หน้าต่างเกาะอ้อมไปอีกด้านของบ้าน ปีนเข้าหน้าต่างเข้าห้องแรกมาจะมีรูปภาพอยู่ สามารถใช้กว้านดึงให้เปิดออกเพื่อเก็บเพชรด้านในซึ่งเป็น  Secondary objective ได้ ด้านในจะมีประตูทางผ่านที่ถูกล็อกไว้ ซึ่งต้องใช้ Eagle Vision มองหาตัวหัวหน้าทหารที่เป็นสีเหลืองซึ่งจะเดินไปมาระหว่าง 2 ชั้นของบ้าน จัดการขโมยเอากุญแจมาจากมันซะแล้วเอามาไขประตูขวาล่างไปต่อแล้วออกหน้าต่างบ้านฝั่งขวามาด้านนอกจะมีทางปีนขึ้นชั้น 2 ต่อไป
-หาจังหวะหลบทหารเข้าด้านในหน้าต่าง ใช้กว้านยิงแผงไฟสีแดงทางซ้ายให้ไฟดับแล้วรีบกด RB ใช้ตะขอเกาะขึ้นไปหลบบนเพดานต่อให้เร็วที่สุด แล้วมุดเข้าช่องพนังลอบมาออกที่หน้าต่างขวาเพื่อเกาะอ้อมบ้านมาอีกด้าน
-เข้าหน้าต่างชั้นบน ใช้โทรศัพท์ล่อทหารไปทางขวาเพื่อให้มีเวลาไขเปิดประตูไปมุดแอบที่ช่องใต้พนังมุดมาออกช่องทางขวา ออกมาใช้กว้านทำลายหม้อไฟสีแดงกลางทางเดินให้สายไฟที่ปิดหน้าต่างหายไปจะปีนออกหน้าต่างได้แล้วผิวปากล่อทหารมาทางขวาจากหน้าต่างซะก็จะโดดออกมานอกบ้านได้


                               

เมื่อโดดเข้าไปในบ้านต่อไปที่หน้าห้องที่มีรอยเลือดจะได้ยินทหารคุยกันว่าพวกมันได้ฆ่า พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และลูกเมียไปแล้ว เหลือแต่เจ้าหญิง Anastasia ที่หนีออกไปได้พร้อมกล่องของเอซิโอ้

                              

17 กรกฎาคม ปี 1918  พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัวทั้งหมดถูกกองกำลังตำรวจลับบอลเชวิคต้อนมาที่ห้องแห่งหนึ่งใน อีปาเทียฟ เฮาส์ ก่อนจะใช้ปืนระดมยิงจนเสยชีวิตทั้งหมด ปิดฉากตระกูลโรมานอฟและกษัตริย์ซาร์องค์สุดท้ายแห่งรัสเซียไปพร้อมๆกัน  

- ปีนขึ้นไปห้องด้านบนจัดการทหารซะในห้องจะมีเซฟที่อยู่ใต้รูปจุดที่ 2 เก็บเพชรมาแล้วไปลงที่ทางลงชั้นใต้ดินสุดทางเดินขวาต่อ ลงมาด้านล่างต้องใช้ความมืดของไฟที่ติดๆดับๆซึ่งทำให้ศัตรูมองไม่เห็นในการลอบเข้าไปด้านในทางซ้ายจนพบเจ้าหญิง Anastasia ที่กำลังหนีไปพร้อมกล่องของเอซิโอ้ ต้องรีบไปช่วยเธอโดยจัดการศัตรูที่ออกมาให้หมดก็จะสามารถช่วยเจ้าหญิง Anastasia เอาไว้ได้สำเร็จพร้อมกล่องที่กำลังตามหาด้วย



Anastasia – อย่า ! ได้โปรด !!
Nikolai – ใจเย็น ข้าไม่ได้มาทำร้ายเจ้าข้าแค่ต้องการกล่องนั่นเท่านั้น
Anastasia – อะไรนะ ! แล้วแสงที่ออกมาจากสร้อยคอท่านมันคืออะไร แล้วท่านเป็นใครกันแน่ !
Nikolai – ได้โปรดแม่หนู ส่งกล่องมาข้าเถอะ 
Anastasia – ไม่ !!
Nikolai – ขอโทษนะ ข้าคงได้แย่งไปละ ไม่มีเวลามาอธิบายแล้ว


ทันทีที่ Nikolai เข้าไปแย่งกล่องจาก Anastasia สร้อยคอที่บรรจุชิ้นส่วนของคฑาแห่งอีเดนก็มากระทบเข้ากับกล่องของเอซิโอ้จนเกิดแสงสว่างจ้าขึ้นมา ทำให้ความทรงจำเรื่องราวการต่อสู้ต่างๆของ Shao Jun นักฆ่าสาวจากภาคีนักฆ่าจีนผู้ที่รับกล่องมาจากเอซิโอ้ก็เข้ามาในความรับรู้ของ Anastasia ทันที 

Anastasia – อะไร นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี้ย !! ท่านทำอะไรกับข้า 
Nikolai – เปล่า ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ 
Anastasia – ไม่จริง ท่านทำอะไรกับข้า คำสาปหรอ จากสร้อยคอนั่น ภาพในหัวชั้น ชั้นไม่เคยฆ่าใคร ไม่กล้าถือปืนด้วยซ้ำ
Nikolai – ฟังก่อนแม่หนูน้อย ชั้นช่วยเธอได้นะ ชั้นมี เอ่ออ เพื่อนอยู่ พวกเขารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ตามชั้นมาเธอยังอย่างมีชีวิตรอด 
Anastasia – ไม่ ขอบครัวของชั้นถูกจับไป ชั้นต้องตามหาพวกเขาก่อน



Nikolai – เสียใจด้วยนะ แต่พวกเขาตายหมดแล้วละ 
Anastasia – ไม่ ไม่จริง มาเรีย .. ทาเทียน่า !!!
Nikolai – มันสายไปแล้วละเธอแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว หนีเอาตัวรอดก่อนดีกว่า ชั้นจะคุ้มครองเธอเองชั้นให้สัญญา   


                                    **Grand Duchess Anastasia Nikolaevna **





 เจ้าหญิงอนาสตาเซีย  ธิดาพระองค์เล็กของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งราชวงศ์โรมานอฟ  ซึ่งหลังจากราชราชวงศ์ถูกประหารอย่างโหดเหี้ยมทั้งครอบครัวไปในหลังฝ่ายกบฏรัฐประหารสำเร็จโดยใช้ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นตัวเร่งเชื้อไฟ เรื่องราวของเจ้าหญิงอนาสตาเซียก็เริ่มถูกเล่าปากต่อปากว่า เธอเป็นพระธิดาองค์เดียวที่ทรงรอดมาได้จากการถูกประหารเพราะขณะที่ฝ่ายบอลเชวิคยิงใส่ครอบครัวเธอนั้นกระสุนได้กระทบกับเครื่องประดับ ที่เป็นอัญมณีและกระเด้งหายไปและเธอก็ทรงแกล้งตาย บางก็ว่า ไม่พบศพของเธอตอนถูกประหร จนเป็นเรื่องที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทำให้มีหญิงสาวมากมายออกมาอ้างตัวว่าเป็น เจ้าหญิงอนาสตาเซียอยู่เสมอๆ จนใน ค.ศ. 1991ได้มีการค้นพบศพ 2 ศพ หนึ่งเป็นของ ซาเรวิช อเล็กเซย์ พระโอรสองค์เล็ก และอีกศพซึ่งได้รับการยืนยันจากนักวิชาการว่าคือพระศพของเจ้าหญิงอนาสตาเซียโดยทั้ง 2 พระศพมิได้ถูกฝังร่วมกับพระบิดา พระมารดา และพระภคินี แต่ถูกเผาโดยกลุ่มคนที่ไม่ทราบแน่ชัดในป่าข้างๆ สุสาน ซึ่งบางกระแสก็ว่าอนาสตาเซียไม่ใช่คนในราชวงศ์โรมานอฟแต่เป็นแค่หญิงสาวบ้านธรรมดาคนนึง ถึงตอนนี้ เรื่องเล่าของ เจ้าหญิงอนาสตาเซียก็ยังดำเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้

Cr. http://romanova.exteen.com/20061207/entry



                              MEMORY SEQUENCE 3 – Power from the past


-Upgrade- 
เพิ่มความเร็วของการรีโหลดกระสุนปืนไรเฟิ่ล – 2000Point
เพิ่มจำนวนของกระสุนปืนไรเฟิ่ล – 2900 point
-plus game Mode Upgrade -
เกท Helix Bar เพิ่มขึ้น – 5200 Point

-Secondary objective -
– ตามหามรดกของครอบครัว 3 อัน - 400 point

เมื่อสร้อยคอที่บรรจุชิ้นส่วนของคฑาแห่งอีเดนของ Nikolai มากระทบเข้ากับกล่องของเอซิโอ้ที่อยู่ในมือของเจ้าหญิงอนาสตาเซีย พลังของ Shao Jun นักฆ่าสาวจากภาคีนักฆ่าจีนผู้ที่รับกล่องมาจากเอซิโอ้จากอดีตก็ได้ถ่ายทอดเข้ามาในความทรงจำของอนาสตาเซีทันที ทั้งหน้าตาและท่าทางที่เปลี่ยนไปของเธอรวมถึงความแข็งแกร่งและความชำนาญต่างๆก็เพิ่มพูนขึ้นในเวลาไม่กี่นาที Nikolai รู้ดีว่าเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาจึงให้มีดกับอนาสตาเซียเพื่อใช้เอาตัวรอดออกจากที่นี่โดยที่ Nikolai จะแยกตัวไปเพื่อต้านพวกศัตรูและคุ้มกันให้ระหว่างทาง

** ตอนนี้จะได้บังคับเจ้าหญิงอนาสตาเซียที่ตอนนี้ก็ทีสกิลความสามารถไม่ต่างจากนักฆ่าคนนึงที่ทำได้ทุกอย่างทั้งปีนป่ายและลอบฆ่ายกเว้นแบกศพไปซ่อนอย่างเดียวที่เธอทำไม่ได้ โดยจะมีตัวช่วยแค่การผิวปาก พลัง Helix มีดสั้นและเชือกตะขอไว้ปีนเท่านั้น **  

-บังคับ อนาสตาเซีย ไปตามทางโดยใช้การผิวปากเป็นตัวช่วยในการลักลอบผ่านศัตรูไปจนระหว่างทางสกิลของเธอก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนสามารถใช้พลัง Helix ได้ทั้งแบบ Blind โดยการกด Y เพื่อหายตัวและการ Dash ระหว่างที่หลบซ่อนโดนศัตรูมองไม่เห็น และเมื่อลอบเข้าไปถึงห้องด้านในก็จะได้ Rope Dart อาวุธสำหรับยึดเกาะเพดานด้วยการกด RB เพิ่มมาอีกอัน เมื่อขึ้นมาจนถึงบนหลังคาตึกก็จะพบทหารยิงปืนกลมาจากด้านล่าง
-จากนั้นจะสลับมาบังคับ Nikolai ที่อยู่ด้านล่างจะเป็นฝ่ายเข้ามาช่วยจัดการกับปืนกลให้ โดยการหาจังหวะหลบตามเสาให้พ้นกระสุนจนเข้าไปใกล้ที่สุดแล้วใช้ปืนยิงมันได้เลย
- อนาสตาเซีย เดินทางต่อจนถึงบนหลังคาตึก ย้อนลงมาทางขวาก่อนเข้าหน้าต่างเข้าไปในตึกใช้ Eagle Vision มองหาตัวหัวหน้าทหารและกล่องไอเทมสีเหลืองที่อยู่ทั้ง 2 ชั้น จัดการทหารเอากุญแจมาแล้วไปเปิดหีบไอเทมเก็บ มรดกของครอบครัวมา 2 ชิ้น แล้วค่อยกลับขึ้นไปดาดฟ้าเดินทางไปทางซ้ายต่อจนถึงทางเข้าห้องใต้หลังคา อย่าเพิ่งเข้าไป ไปทางซ้ายต่อจนพบกลุ่มทหาร 3 ทหารคนที่อยู่ซ้ายสุดทางมี มรดกของครอบครัวอยู่ 1 ชิ้นลอบเข้าไปจัดการมันมาซะก็จะได้ครับ 3 ชิ้นแล้วค่อยกลับไปเข้าห้องใต้หลังคา
-โดดลงมาในห้องด้านล่าง อนาสตาเซีย จะได้ยินพวกทหารคุยกันถึงตอนฆ่าครอบครัวของเธอกันอย่างสนุก ทำให้เธอโกรธแค้นมากจนอยากจะฆ่าพวกมันให้หมดซึ่งเป็นเพราะพลังนักฆ่าของ  Shao Jun ที่อยู่ในจิตเธอเป็นตัวชี้นำด้วย จากนั้นก็ลอบจัดการทหารทั้ง 6 คนในห้องให้หมดแล้วไขประตูหน้าออกจากตึก
-แต่อนาสตาเซียจะเจอพวกทหาร Templar มาดักโจมตีแต่ก็โชคดีที่ Nikolai มาช่วยเธอเอาไว้ได้เสียก่อน โดยต้องใช้ปีนไรเฟิ่ลยิงจัดการศัตรูที่บุกเข้ามาเพื่อคุ้มครอง อนาสตาเซียให้วิ่งไปที่ประตูทางออกอย่างปลอดภัยก่อนที่ทั้งคู่จะโดดเกาะรถไฟหนีไปด้วยกัน



Nikolai – ลุกขึ้นเราต้องหนีต่อ
Anastasia – มีบางอย่างผิดปกติ ชั้นรู้สึกไมดีเลย
Nikolai – เดี๋ยว มีทหารมา ข้าจัดการมันเอง !!
ทหาร – นั่นใครนะ ยกมือขึ้น !! พวกแกเป็นใคร ? .. อั๊ก !! อ๊ากกก !!
Anastasia – กล้าดียังไงมาผลักข้า ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้ไม่ต่างจากพวกมันหรอกนะ
Nikolai – ใจเย็นก่อนแม่หนูน้อย




Anastasia – หนูน้อยเรอะ !!  ข้าคือ Shao Jun จากภาคีนักฆ่าแห่งประเทศจีน ถ้าเจ้าไม่สวมชุดของภาคีละก็ ข้าฆ่าเจ้าไปนานแล้ว เจ้าอยู่ข้างไหนกันแน่ !!
Nikolai – ตั้งสติหน่อยเธอคือเจ้าหญิง Anastasia Nikolaevna ต่างหาก !
Anastasia – ชั้นชื่อ .. อนา .. อนาสตาเซีย ? 
Nikolai – ใช่ !  … ตามมา ข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง ..




กันยายน ปี ค.ศ 1918 ในขบวนรถไฟที่กำลังเดินทางไปยังเมือง Kazan ...




Anastasia – มันรู้สึกเหมือนกับว่าชั้นได้ผ่านเข้าไปในชีวิตของเธอ ได้เผชิญหน้ากับพวกศัตรูที่มีอยู่ 6 คนเรียกว่าพวก Tiger ก่อนที่ชั้นจะฆ่าพวกมันจนหมดและช่วยอนาจักรของชั้นเอาไว้ได้ 
Nikolai – นี่ไม่ใช่ความทรงจำของเธอ แล้วเธอก็ไม่ใช่ Shao Jun ทุกอย่างเกิดจากพลังของสิ่งที่อยู่ในกล่องนี่ เธอต้องตั้งสติให้ดี Anastasia เธอต้องปิดกั้น Shao Jun เอาไว้ 
Anastasia – ท่านจะช่วยทำให้ชั้นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า ?
Nikolai – เราจะทำเท่าที่จะทำได้แน่นอน ก่อนอื่นต้องไปที่ Kazan ก่อนเพื่อให้เพื่อนของข้าช่วยให้เดินทางต่อไปที่ Moscow ต่อ คนของภาคีข้าต้องช่วยเจ้าได้แน่นอน  
Anastasia – เพื่อนของท่านคือ Narodnaya Volya พวกเขาเกลียดครอบครัวของชั้นแล้วทำไมต้องมาช่วยชั้นด้วย
Nikolai – ข้าเองก็มีลูกสาว งานของพวกเราไม่เคยฆ่าพวกเด็กๆหรอก
Anastasia – เสียงนั่น !! มีทหารกำลังบุกเข้ามาในรถไฟแน่เลย
Nikolai – เจ้ารออยู่นี่นะ แล้วอย่าให้ Shao Jun ครอบงำเธอได้ เดี๋ยวข้ากลับมา ข้าสัญญา 


                        MEMORY SEQUENCE 4 – The Train of Revolution  


-Upgrade- 
ทำให้ปืนไรเฟิ่ลยิงได้เงียบมากขึ้น – 1500 Point
เพิ่มเกทพลังชีวิต – 2000 point

-Secondary objective -
– ขโมยข้อมูลมาจากทหาร 3 อัน - 400 point 

-สิ่งที่ต้องทำในภารกิจนี้คือเข้าไปจัดการทหารศัตรูให้หมดทั้งขบวนซึ่งมีทั้งหมด 25 คน โดยใช้เทคนิคต่างๆในการจัดการพวกมันทั้งการทำลายแผงไฟและผิวปากล่อศัตรูให้มาตรงประตูโบกี้ที่มีสายไฟฟ้ากั้นอยู่ให้ศัตรูเข้ามาโดนจนโดนไฟช็อตตายได้ ระหว่างการปีนนอกรถต้องระวังเสาข้างทางที่ผ่านมาด้วย เมื่อจัดการทหารศัตรูจนครบ 25 คนแล้ว ก็จะมีรถไฟของพวก Templar ส่งทหารกองหนุนอีกมากมายที่บุกขึ้นรถไฟไปพร้อมกับยิงถล่มเข้ามา ทำให้ Nikolai เริ่มเป็นห่วง Anastasia มากขึ้นเพราะหากพวกศัตรูเข้าไปเจอเธอพวกมันคงจะฆ่าเธอทันทีเพราะไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่ Nikolai คงไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้แน่นอน


** -Secondary objective – ที่ต้องขโมยข้อมูลมาจากทหารนั้นต้องใช้ Eagle Vision มองหาทหารที่มีสัญลักษณ์ ! ก็เข้าไปขโมยมาจากตัวมันได้เลย ** 




- ท่ามกลางความวุ่นวายของการถูกโจมตีรถไฟ Anastasia ก็อยู่นิ่งเฉยไม่ได้อีกต่อไปเธอจึงต้องรีบหนีไปสมทบกับ Nikolai ที่หัวขบวนให้เร็วที่สุด ในขณะที่ปืนกลจากรถไฟศัตรูยิงถล่มเข้ามา ต้องวิ่งหลบสิ่งกัดขวางให้เร็วที่สุดก่อนทุกอย่างที่ระเบิดไล่หลังมาจะตามมาทันจนถึงหัวขบวนก็จะพบ Nikolai ใช้ปืนกลยิงถล่มใส่รถไฟศัตรูจนทั้งคู่หนีมาได้อย่างปลอดภัยจนถึงที่หมายที่เมือง Kazan ..


Nikolai – ไปไงบ้าง ?
Anastasia –ชั้นไม่เป็นไร ขอบคุณที่ท่านรักษาคำพูด



 

 เมืองคาซาน Kazan ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ สาธารณรัฐตาตาร์สถาน Republic of Tatarstan สาธารณรัฐปกครองตนเองในเขตสหพันธ์วอลกา Volga Federal District 1 ใน 7 เขตสหพันธ์ (federal districts) ของประเทศรัสเซีย โดยในอดีตนั้นในช่วงเดือนกันยายน ปี 1918 ที่ตรงกับในเกมนั้นเป็นช่วงที่กองทัพแดง (Red Army ) ของรัสเซียบุกเข้ามาที่นี่เพื่อจัดการกับฝ่ายต่อต้านในยุคสงครามกลางเมืองโดยเรียกปฏิบัติการณ์นี้ว่า Kazan Operation



 ปัจจุบันคาซานเป็นเมืองใหญ่อันดับสามในรัสเซีย รองจาก มอสโคว และเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ตัวเมืองคาซานนั้นตั้งอยู่บนจุดบรรจบของแม่น้ำโวลก้า Volga และแม่น้ำคาซานก้า Kazanka River เมืองคาซาน เป็นเมืองหลวงของชาวตาร์ต้า ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามเป็นหลัก สถาปัตยกรรมของคาซานโดยมากจึงเป็นแบบมุสลิม แปลกตา แตกต่างจากรัสเซียที่คุ้นเคยกันที่สังเกตุได้ชัดคือ ที่คาซานนั้นแทนที่จะมีโบถส์อย่างเดียว ก็จะมีมัสยิดสลับกับโบถส์คริสต์ออโธดอกซ์เป็นระยะๆด้วย

Cr.อ้างอิงข้อมูลจาก 
https://web.facebook.com/PlanetBlue.Russia/?fref=nf
https://en.wikipedia.org/wiki/Kazan_Operation
http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?id=27774





                              MEMORY SEQUENCE 5 – A Friendly Hand 


-Upgrade- 
ทำให้การลอบฆ่าเงียบมากขึ้น – 3100Point
เพิ่มจำนวนเกท Helix – 4500 point
-plus game Mode Upgrade -
เพิ่มความแข็งแรงของกว้านตะขอ( Winch)  – 8300 Point

-Secondary objective -
– ทำลายโปสเตอร์ประกาศจับ 3 อัน - 400 point



กันยายน ปี ค.ศ 1918 เมือง Kazan … 




Nikolai – รออยู่นี่ก่อนนะ ข้าต้องลอบเข้าไปหาเพื่อนที่ชื่อ Leon Trotsky เพื่อให้เขาหาทางพาเราไปพบกับกลุ่มภาคีของเราที่ Moscow 
Anastasia – เขาเป็น Assassin เหมือนท่านหรอ?
Nikolai – เปล่า เขาไม่ได้เป็นทาง Assassins และ Templar นั่นแหละ เธอต้องระวังตัวแล้วแอบอยู่ที่นี่ก่อน เอากล่องนี่ รักษามันให้ดีด้วย 
Anastasia – คืนกล่องนั่นมาทำไม ? ท่านจะไม่กลับมาแล้วหรอ 
Nikolai – ที่ผ่านมาข้าเคยผิดคำพูดหรือเปล่าละ ซ่อนตัวให้ดีแล้วรอข้ากลับมา

-ผ่านเข้ามาช่วงแรกที่หอนาฬิกาลงไปจัดการทหารด้านล่างก่อนเพื่อฉีกโปสเตอร์ประกาศจับแผ่นแรกแล้วค่อยปีนไปด้านในต่อ เข้าไปใต้พื้นไม้ใช้ปืนยิงเชือกที่มันแผ่นไม้ออกแล้วค่อยเอากวานตะขอดึงให้แผ่นไม้เปิดออกเพื่อไปต่อ
-เข้ามาด้านในจะพบหัวหน้าทหารกำลังส่งข่าวไปยัง Leon ที่บ้านพัก ที่ต้องทำคือจัดการทหารนำข่าวก่อนที่มันจะเข้าประตูขวาสุด เข้าไปตามทางต่อจนถึงสถานีรถไฟ ต้องหลบสปอร์ตไลท์ข้ามไปอีกฝั่ง อย่าลืมเข้าไปฉีกโปสเตอร์ประกาศจับแผ่นที่ 2 ในโบกี้รถไฟด้วย
-โดดผ่านเข้ามาในรั้ว เดินตามทหารผ่านกับระเบิดไปเพื่อเข้าไปด้านในต่อ จนพวกศัตรูเจอตัวเลยต้องวิ่งหนีไฟสปอร์ตไลท์ที่ศัตรูยิงไล่หลังมาให้พ้นจนสามารถเข้าไปในอาคารได้
-ด้านในจะพบ Janis Judins หัวหน้าหน่วยไรเฟิ่ล Latvian Rifleman กำลังจะนำข่าวเข้าไปให้ Leon ที่บ้านพัก ซึ่งต้องตามไปจัดการมันก่อนที่มันจะเข้าประตูทางขวา โดยสามารถวิ่งหลบทหารคนแรกในขณะที่มันหันหลังไปจัดการมันได้เลยอย่างรวดเร็ว และอย่าลืมฉีกโปสเตอร์ประกาศจับใบสุดท้ายที่ประตูมาด้วย



Janis Judins ในประวัติศาสตร์นั้นเขาเป็นหัวหน้าหน่วยไรเฟิ่ล Latvian Rifleman ที่มีความบทบาทสำคัญมากในปฏิบัติการณ์ Kazan Operation ในเมือง Kazan ช่วงสงครามกลางเมืองของรัสเซียด้วย
Cr.อ้างอิงข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/J%C4%81nis_Judi%C5%86%C5%A1

-เข้ามาจนถึงท่าเรือ ที่นี่ต้องหลบแสงไฟและสายตาของทหารด้วยการหลบเข้าไปที่เรือแล้วใช้กว้านตะขอยิงที่เสาเพื่อดึงเรือไปฟังตรงข้ามโดยต้องก้มหลบไฟค้นหาและสายตาของทหารด้วย
-เข้ามาในตึกแล้ว ในห้องลิฟต์ที่ทหารหลับอยู่และตอนนี้ลิฟต์จะยังไม่ทำงานเป้าหมายคือลอบขึ้นไปที่ห้องด้านขวาบนเพื่อใช้กว้านช็อตแผงไฟแล้วไปลงลิฟต์ที่ห้องด้านซ้ายตรงที่เข้ามาตอนแรกเพื่อขึ้นไปชั้นบนดาดฟ้าต่อก็จะสามารถโหนเชือกเข้าในบ้านของ Leon ได้แล้ว


Nikolai – Trotsky 
Leon – ว่าไง Kolya ฮ่าๆ นายทำชั้นตกใจแทบตายแนะ
Nikolai – ดีใจที่เจอนายนะเพื่อน
Leon – จริงหรือเปล่าที่เขาว่านายได้ตัวลูกสาวของพระเจ้าซาร์น่ะ 
Nikolai – ใช่ ชั้นกำลังจะให้นายช่วยหาทางให้พาเธอไป Moscow เนี้ย 
Leon – นายพาตัวเธอมาด้วยใช่มั๊ย ? นำตัวเธอมานี่ซะ ชั้นคงช่วยอะไรไม่ได้ถ้านายยังยืนอยู่ 2 ข้างแบบนี้นะ 
Nikolai – เธออยู่ในการดูแลของชั้นนะ




Leon – โทษที Kolya เราคงยอมให้เด็กนั่นไปกับนายไม่ได้หรอก
Nikolai – เดี๋ยวก่อน นายกำลังทำพรากครั้งใหญ่เลยรู้มั๊ย Leon 
Leon – ชั้นไม่สนเรื่องการต่อสู้กับ Templar ของภาคีนายหรอก Nikolai ชั้นเป็นคนของคณะปฎิวัติ ภารกิจของชั้นสำคัญกว่า และเจ้าหญิงนั้นเป็นสัญลักษณ์ของระบบเก่า ซึงทำให้รำเป็นต้องฆ่าเธอซะ !! 




Leon Trotsky ลีออง ทรอสกี้ เป็นทั้งนักการเมืองโซเวียต นักปฏิวัติและนักทฤษฎีมาร์กซิสต์ และผู้ก่อตั้งและผู้นำคนแรกของกองทัพแดง เขาเข้ากับพรรคบอลเชวิคทันทีก่อนการปฏิวัติตุลาคม ค.ศ. 1917 และภายหลังได้เป็นผู้นำในพรรค ระหว่างปีแรก ๆ แห่งสหภาพโซเวียต เขารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศคนแรก และภายหลังเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บัญชาการกองทัพแดงในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการทหารและกิจการกองทัพเรือ เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนสนับสนุน วลาดิมีร์ เลนิน (Vladimir Lenin) หัวหน้าพรรค บอลเชวิก (Bolsheviks) ในการปฎิวัติรัสเซียและเพื่อใช้ต่อต้านกองทัพขาว (White Army) ฝ่ายต่อต้านการปฎิวัติจนทำให้บอลเชวิคชนะในสงครามกลางเมืองรัสเซีย (ค.ศ. 1918-20) (ช่วงเวลาเดียวกับในเกม) จนเมื่อมีการจัดตั้งระบบรัฐบาลในสหภาพโซเวียตเขากีถูกปลดออกจากอำนาจสำเร็จ ขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ เนรเทศออกจากสหภาพโซเวีตยและถูกลอบสังหารตามคำสั่งของสตาลินที่เม็กซิโก ด้วยฝีมือของ รามอน เมียร์คาเดียร์ เจ้าหน้าที่โซเวียต



Cr.อ้างอิงข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Leon_Trotsky
https://th.wikipedia.org/wiki/เลออน_ทรอตสกี




กันยายน ปี ค.ศ 1918 เมือง Kazan …



Anastasia – แปลกจัง เขาควรจะกลับมาได้แล้วนะ เกิดอะไรขึ้นแน่ๆเลย ชั้นก็ออกจากที่นี่ไม่ได้ซะด้วย พวก Red Army อยู่เต็มถนนไปหมด …. นอกเสียจากว่า เธอจะช่วยชั้น !!
Shao Jun – ชั้นคือคมดาบในเงามืด เยื่องย่างอยู่ในความมืดมิดพิชิตศัตรู ... !! 

     




                       MEMORY SEQUENCE 6 – The Two – Faced Girl 


-Upgrade- 
เพิ่มความเร็วในการไขประตู – 2000 Point
เพิ่มเกทพลังชีวิต – 3000 point
-plus game Mode Upgrade -
ลดเสียงจากการลอบฆ่าให้น้อยลง  – 5500 Point

-Secondary objective -
– ช่วยเหลือนักโทษที่ถูกจับไว้ 3 คน - 400 point

-เริ่มเดินทางเข้ามายังตึกของผู้อพยพภัยสงครามใช้กลุ่มคนในการซ่อนตัวและผ่านทหารไปที่ทางออกด้านขวาจนออกมานอกตึก Anastasia จะได้ยินทหารคุยกันถึงที่คุมขังของ Nikolai มา จากนั้น เดินทางต่อจนถึงรถไฟ ขึ้นรถไฟไปจนมันถูกทหารสั่งหยุด ต้องลงรถลอบหลบทหารไปทางขวาเพื่อสับคันโยกแล้วขึ้นรถไฟเดินทางต่อ
-เมื่อรถไฟถึงที่หมาย ลงมาจากรถแล้วเข้าไปช่วยนักโทษที่ตึกทางซ้ายก่อนแล้วค่อยเข้ามาในตึกใหญ่ทางขวา เป้าหมายคือทำให้ลิฟต์ขวาบนสุดทำงานด้วยการลอบเข้าไปกดสวิตซ์ในตึกนี้ให้หมด 3 จุด โดยต้องใช้ Eagle Vision มองหาทหารที่มีรหัสระเบิดที่เมื่อขโมยมาจากมันแล้วจะทำให้เดินผ่านกับระเบิดไปกดสวิตซ์ด้านซ้ายบนได้ จากนั้นรอให้ทหารออกมาจากประตูหน้าห้องสวิตซ์ซ้ายล่าง เข้าไปขโมยกุญแจจากมันแล้วไขประตูไปหมุนคันโยกในห้อง จากนั้นก็กลับไปขึ้นลิฟต์ที่ชั้นบนเพื่อลงลิฟต์มาออกที่ถนนฝั่งขวาของตึกต่อได้
-ระหว่างการเดินทาง Anastasia จะได้รับความสามารถใหม่คือ Helix Blade ที่สามารถฆ่าศัตรูโดยทำให้ศพหายไป ด้วยการแทงศัตรูแล้วกด Y จากนั้นเข้าไปด้านในต่อจนถึงตึกที่ Nikolai ถูกขังอยู่ในห้องชั้นล่างสุดซึ่งที่นี่การลอบเข้าไปช่วยจะโดนทหารศัตรูเจอตัวไม่ได้เลยเพราะจำทำให้ Nikolai ถูกฆ่าตายก่อน จึงต้องลอบฆ่าด้วย Helix Blade ที่ทำให้ศพหายไปโดยไม่ทำให้ทหารคนอื่นเห็นนั่นเอง จัดการศัตรูให้หมดแล้วเข้าไปที่ห้องด้านล่าง ขโมยกุญแจจากทหาหน้าประตูด้านซ้ายแล้วไขเข้าไปช่วย Nikolai ที่ถูกขังอยู่ได้เลย



Nikolai – Anya นั่นเธอหรอ ? เธอตามมาช่วยได้ไง
Anastasia – อย่าเพิ่งถามมากเราต้องรีบหนีกันก่อน
Nikolai – เดี๋ยว นี่ข้ากำลังพูดอยู่กับ Shao Jun รึเปล่า ?
Anastasia – นี่ชั้นเอง Nikolai แต่ เธอเป็นคนช่วยชั้นถึงมาช่วยท่านได้ เราต้องรีบแล้ว
Nikolai – มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่เนี้ย
Anastasia – พวก Bolsheviks บุกเข้ามาที่เมืองนี้เพื่อยึดคืนจากพวกกลุ่มต่อต้านนะสิ ท่านเดินไหวมั๊ย วิ่งได้ก็ดีเลยนะ !! 

  

Nikolai – เอาล่ะ งั้นเราต้องรีบหนีออกจากเมืองนี้แล้ว พวก Templar มันออกไล่ล่าเรา 2 คนเต็มกำลังแน่ๆ เราสองคนต้องแยกกันเพื่อหนีให้เงียบและไวที่สุด
Anastasia – จะทิ้งชั้นหรอ ?
Nikolai – เปล่า ข้าจะคุ้มครองเจ้าจากดาดฟ้าตึกให้เจ้ามีช่องทางหนีต่างหาก  
Anastasia – แล้วเราจะไปไหนต่อละ ?
Nikolai – เราจะหนีไปที่ Volga โดยทางเรือ 
Anastasia – ขอให้ท่านปลอดภัยนะ
Nikolai – เจ้าก็เช่นกัน Anya …




ปฏิบัติการณ์ Kazan Operation ในเมือง Kazan




เหตุการณ์ที่ Nikolai กำลังจะพา Anastasia หนีออกมาจากเมืองนั้น เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์จริงเมื่อตอนที่เกิดปฎิวัติในรัสเซีย ซึ่งเมือง Kazan ที่เปนเมืองยุทธศาสตร์สำคัญได้ถูกกลุ่มต่อต้านการปฎิวัติที่เรียกว่า กองทัพขาว (White Army) ร่วมกับกองทัพประชาชน Kamuch ได้รวมกำลังกันเพื่อลุกขึ้นมาต่อต้านการปฎิวัติของพรรคบอลเชวิก (Bolsheviks) จน Leon Trotsky ต้องออกมาสั่งการด้วยตัวเองด้วยการสั่งให้ กองทัพแดง (Red Army) ของฝ่ายปฎิวัติบุกเข้าโจมตีเมือง และใช้เวลาถึง 3 วันถึงสามารถยึดเมืองคืนมาจากฝ่ายต่อต้านได้สำเร็จ
Cr.อ้างอิงข้อมูลจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Kazan




                                 MEMORY SEQUENCE 7 – Reunited 


-Upgrade- 
เพิ่มความงียบในการยิงปืนไรเฟิ่ล – ทำเวลาให้เร็วกว่า 13.20 นาที
เพิ่มจำนวนกระสุนปืนไรเฟิ่ล  – ทำเวลาให้เร็วกว่า 10.00 นาที

-ภารกิจนี้จะต้องบังคับทั้งคู่สลับกันไปมาในการเดินทาง โดย Nikolai จะเป็นคนยิงคุ้มกันให้ Anastasia ไปพร้อมๆกับเคลื่อนที่เร็วไปยังจุดยิงต่อไปให้ทันเพื่อคุ้มครองเธอ ส่วน Anastasia ก็มีหน้าที่หนีไปตามตึกต่างๆตามทางด้วยแล้วสร้างโอกาสให้ Nikolai ยิงช่วยเธอ จนถึงจุดสุดท้ายที่สะพาน Nikolai ก็จะเป็นคนยิงทหารที่ตามไล่หลังมาเพื่อคุ้มครอง Anastasia จนเธอสามารถเอาถังดินปืนมาตั้งกลางสะพานเพื่อให้ Nikolai ยิงมันให้ระเบิดรถบรรทุกที่ตามมาไปพร้อมๆกับสะพานจนทั้งคู่สามารถหนีลงเรือได้สำเร็จ



Anastasia – โลกของชั้นเปลี่ยนไปแล้ว อณาจักรก็ล่มสลาย ครอบครัวก็ตายจนหมด
Nikolai – แต่เธอก็ยังอยู่รอดและแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกับ Shao Jun
Anastasia – ชั้นรู้ดีว่าชั้นคงไม่มีโอกาสทำได้ขนาดนี้ถ้าไม่ได้พลังของ Shao Jun คอยช่วยเหลือ เธอช่วยทำให้ชั้นพัฒนาขึ้น ทำให้ชั้นรู้ว่าตัวเองเป็นยังไงและทำอะไรด้แค่ไหน ชั้นรู้ว่าชั้นไม่ใช่เธอ แต่เธอก็ทำให้ชั้นรู้ถึงเป้าหมายในอนาคตในชะตากรรมที่ชั้นเลือกเองในโลกใหม่ที่  Shao Jun ไม่มีโอกาสได้เห็น และตัวชั้นเองก็ไม่อาจเป็นส่วนหนึ่งของโลกใหม่นี้ได้เช่นกัน ... 

     


กันยายน ปี ค.ศ 1918 เมือง Moscow … Nikolai พา Anastasia หนีมาถงที่มอสโคว์สำเร็จก่อนจะเข้าไปหา Sergei เพื่อนในภาคีนักฆ่าอีกคนที่อยู่ในฐานะนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญคนนึงของภาคี เพื่อหาทางปรึกษาและแก้ไขเกี่ยวกับพลังที่ Anastasia ได้รับมาจาก Shao Jun นักฆ่าจีนในอดีต ...



Sergei – Nikolai .. ดีใจนะที่นายมาไกลขนาดนี้ได้ ทางภาคีรู้เรื่องวีรกรรมของนายหมดแล้ว นั่นคงเป็นเจ้าหญิงองค์นั้น แล้วไหนละกล่องนั่น
Nikolai – นี่ไง 
Anastasia – คุณคือ Sergei หรอ คุณมีทางรักษาชั้นได้มั๊ย ?
Sergei – ข้าช่วยเจ้าไม่ได้หรอกแม่หนู แต่ Mentor ของพวกเราไม่แน่ เราจะพาเธอไปหาท่าน ส่วนนาย Nikolai นายต้องกลับไปรายงานตัวกับองค์กรเพื่อรายงานเรื่องทั้งหมดก่อน 
Nikolai – แต่ ข้ารับปากนางไว้ว่าจะปกป้องนางนะ
Sergei – เธอจะปลอดภัยหากอยู่กับพวกเรา Nikolai รับรองไม่มีอันตรายใดๆมาถึงเธอได้แน่นอน 



กันยายน ปี ค.ศ 1918  ที่ฐานใหญ่ของภาคีนักฆ่าใน Moascow ..




??? - เด็กโรมานอฟหรอ ใครเป็นคนพานางมาจนถึงที่ Kremlin นี่ 
??? - เธอมีพลังความทรงจำในอดีตที่ได้จากการสัมผัสของในกล่องนั่น เธอก็ไม่ต่างจากนักฆ่าในอดีตที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้นั่นแหละ
??? - แล้วเราจะทำอะไรได้ ?? 
???- ความทรงจำของเธอมีประโยชน์ เราอาจดึงมันออกมาใช้ได้ แต่ไม่แน่ใจว่าเธอจะทนไหวหรือเปล่านี่สิ 
??? – ดี !!  งั้นพาเธอไปที่ห้องทดลองในถ้ำนั่นแล้วจัดการทำในสิ่งที่ต้องทำซะ 
Nikolai – ไม่ พวกเขาจะทำแบบนั้นกับเธอไม่ได้ ข้าต้องหยุดพวกเขาให้ได้ ..!! 


                       MEMORY SEQUENCE 8 – In Safe Hand  


-Upgrade- 
เพิ่มเกทพลังชีวิต – 3100 Point
เพิ่มเกทพลัง Helix – 4700 point
-plus game Mode Upgrade -
เพิ่มพลังโจมตีให้อาวุธ Malee  – 8900 Point

-Secondary objective -
– ขโมยข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองจากพวกนักฆ่า  3 คน - 400 point

กันยายน ปี ค.ศ 1918  Moascow

-ภารกิจนี้จำเป็นต้องทรยศต่อภาคีของตัวเองเพื่อช่วยเหลือ Anastasia ในช่วงแรกที่ลอบเข้าไปด้านในจะสามารถทำเงื่อนไข + Bonus ด้วยการไม่ฆ่าพวกเดียวกันได้ด้วย โดยจัดการพวกนักฆ่าตามทางด้วยการรัดคออย่างเดียว ในห้องแรกจะต้องขโมยกุญแจจากหัวหน้าทหารในพื้นที่เพื่อไขประตูขวาล่าง โดยมีปลั๊กไฟสีแดงเป็นตัวช่วยแบบใหม่ โดยการยิงกว้านตะขอไปยึดไว้แล้วกด RB เพื่อช็อตไฟฟ้าผ่านไปยังศัตรูที่ยืนอยู่หน้าปลั๊กที่ไกลออกไปได้ด้วย ลอบออกไปจนออกนอกตึกฝั่งซ้ายจะพบทหารกลุ่มนึงยืนอยู่ เรียนรู้การใช้กว้านยึดยิงไปที่พื้นใกล้ๆพวกมันแล้วกด RB ช็อตไฟใส่พวกมันจนล้มเป็นกลุ่มได้เลย จากนั้นค่อยเข้าไปที่ตึกชั้นล่าง ลอบเข้าไปขโมยกุญแจจากทหารหน้าประตูแล้วไขออกมาด้านนอก
-ออกมาที่แถวทางรถไฟ ต้องยิงทำลายแผงไฟควบคุมการสื่อสารให้หมด 3 จุด โดยจุดแรกจะมีกับระเบิดอยู่ที่พื้นต้องขึ้นไปจัดการทหารแล้วเอารหัสมาก่อนถึงจะทำให้ระเบิดไม่ทำงาน ทำลายให้หมดแล้วหลบแสงไฟข้ามทางรถไฟไปต่อ
-เข้าไปจนถึงรถไฟ โดยสารรถไฟไปบนหลังคาแล้วโดดข้ามสิ่งกดขวางกับก้มหลบสะพานระหว่างทางที่รถวิ่งไปจนถึงที่หมาย จากนั้นจะเริ่มพบกับพวก Master Assassins ที่ซุ่มโจมตีอยู่ในประตูเขียว ต้องหาทางหลบมันไปโดยไม่ผ่านประตูหรือไม่ก็ใช้ระเบิดควัน รีบลอบผ่านศัตรูไปให้ถึงรถบรรทุกให้ทันเพื่อเกาะโดยสารไปต่อจนผ่านออกไปด้านนอกได้ จากนั้นหลบไฟและศัตรูข้ามทางไปจนถึงทางลงท่อระบายน้ำสุดทาง
- ลอบหลบทหารด้านในท่อระบายน้ำข้ามไปจนถึงทางขึ้นไปบนถนนอีกฝั่งจะพบกับ Ilia เพื่อในภาคีอีกคนที่ Nikolai ไว้ใจ


Ilia – Kolya นี่รู้ตัวมั๊ยนายทำอะไรลงไป อยากตายมากรึไง ?
Nikolai – พวกนั้นวางแผนจะฆ่าเธอ ข้ายอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก !
Ilia – นี่มันสงครามนะ นายช่วยชีวิตทุกคนไว้ไม่ได้หรอก
Nikolai – ใช่ แต่ข้าช่วยชีวิตเธอได้ 
Ilia – เอานี่ รหัสผ่านเข้าห้องทดลอง ...
Nikolai – ขอบใจมาก 

-คุยจบผ่านประตูเข้าไปด้านในต่อจะเห็นรถบรรทุกกำลังเดินทางไปแล้ว ต้องรีบปีนป่ายเพื่อตามมันไปให้เร็วที่สุดเพื่อโดดเกาะรถที่สุดทางก่อนที่มันจะแล่นออกไป Nikolai ก็จะสามารถเดินทางไปกับรถบรรทุกที่กำลังมุ่งหน้าไปที่ห้องทดลองลับ โดยในใจ Nikolai ก็ได้แต่หวังว่า Anastasia จะอดทนไหวไม่ตายเสียก่อนที่เขากำลังจะตามไปช่วยอย่างเต็มกำลัง ....


                                 MEMORY SEQUENCE 9 – Dark Secret   


-Upgrade- 
เพิ่มจำนวนการพกระเบิดควัน – 3200 Point
เพิ่มความเร็วในการไขประตู – 5000 point

-Secondary objective -
– ฆ่านักวิทยาศาสตร์ที่ทดลอง Anastasia  3 คน - 400 point

-ในตึกแรกที่เข้ามาลอบเข้าไปในหน้าต่างชั้นบน ขโมยเอารหัสกับระเบิดมาจากทหารด้านในก่อน ระหว่างทางเดินจะมีประตูเขียวที่มี Master Asassins ดักอยู่ บนเพดานก็ขึ้นไม่ได้เพราะที่กั้นไฟฟ้า ต้องมุดหน้าต่างกลางออกมาด้านนอกก่อนแล้วมุดผ่านกับระเบิดไปทางขวาไปยิงหม้อแปลงก่อนจากนั้นย้อนกลับเข้ามาในตึกก็สามารถปีนเพดานหลบนักฆ่าที่ดักอยู่ในประตูเขียวได้
-เข้าไปถึงตึกที่ 2 ลอบหลบทหารมาออกหน้าต่างฝั่งขวาปีนขึ้นด้านบนต่อไปเข้าหน้าต่างชั้น 2 ปีนเพดานหลบนักฆ่าที่ดักอยู่ในประตูเขียวเข้าไปจัดการกับทหารทางขวาสุดเอารหัสกับระเบิดมาเพื่อผ่านกับระเบิดไปออกหน้าต่างขวาไปปีนอ้อมตึกไปชั้นบนต่อจนถึงห้องลิฟต์ ใส่โค๊ดที่ได้มาเข้าไปลิฟต์ก็จะลงไปชั้นล่างต่อ
-ระหว่างที่ลิฟต์จอดระหว่างทางต้องปีนไปหลบด้านบนลิฟต์ด้วยจนถึงชั้นล่าง จากนั้นจะต้องไปจัดการกดสวิตซ์ที่แท่นควบคุมลิฟต์ทางฝั่งขวาเพื่อให้ลิฟต์เดินต่อ โดยเริ่มจากใช้กว้านตะขอดึงช่องระบายอากาศเข้าไปในฝั่งซ้ายก่อน มุดหลบไอน้ำไปจนถึงทางลง ใช้กว้านตะขอยิงไฟช็อตใส่หม้อแปลงทางซ้ายสุดให้ไฟดับจากนั้นก็ขโมยรหัสระเบิดจากทหารวิทยุมาแล้วลอบมุดช่องทางขวาผ่านห้องลิฟต์ไปที่ฝั่งขวาต่อ ขโมยรหัสระเบิดจากทหารวิทยุของฝั่งขวามาก็จะสามารถยืนตรงกับระเบิดเพื่อแผงควบคุมลิฟต์ได้
-ลงลิฟต์ต่อมาถึงชั้นล่างสุด จะเข้ามาที่ห้องพยาบาลซึ่งเป้าหมายคือไปเอารหัสจากทหารด้านในเพื่อไปใส่แผงควบคุมประตูห้องทดลองด้านขวาเพื่อเข้าไปช่วย Anastasia โดยเริ่มจากหลบตรงเสาแล้วลอบไปขโมยรหัสกับระเบิดที่ตัวทหารวิทยุมาก็จะสามารถเดินผ่านกับระเบิดที่ทางเดินฝั่งซ้ายเข้าไปด้านในได้ ในห้องด้านในจะมีทหาร 2 คนในห้อง ไม่ต้องฆ่ามันแอบตรงเสาเขียวรอให้มันไปเข้าประตูให้หมดแล้วใช้โทรศัพท์ล่อให้ทหารกลางห้องมารับโทรศัพท์แล้วรีบไปขโมยรหัสจากมันมาแล้วออกไปที่ทางเดินทางขวาเพื่อเอาไปเปิดประตูห้องทดลองทางขวาเพื่อเข้าไปช่วย Anastasia ได้เลย
 

               
- เมื่อช่วย Anastasia ได้แล้ว Nikolai จะแยกตัวไปคุ้มครองเธอจากอีกด้านอีกครั้ง จากนั้นก็ต้องบังคับ Anastasia ลุยต่อโดยเริ่มจากจัดการพวกนักวิทยาศาสตร์ที่จับเธอมาทดลองก่อนเลย ห้องแรกเข้าไปไขประตูห้องซ้ายที่นักวิทยาศาสตร์อยู่แล้วใช้โทรศัพท์ล่อให้มันเดินไปทางซ้ายเข้าไปจัดการมันซะทหารทางขวาจะไม่เห็นศพ จากนั้นฆ่าทหารแล้วออกไปทางเดินด้านในต่อ ขึ้นไปที่ทางเดินบนจะพบนักวิทยาศาสตร์อีกคนอยู่ในห้อง หลบทหารในม่านสีเขียวแล้วจัดการมันซะแล้วเข้าไปฆ่านักวิทยาศาสตร์ได้เลย แล้วค่อยเดินทางย้อนมาด้านหน้าอีกครั้ง
-ลอบเดินทางต่อไปจนถึงห้องไอน้ำ หลบไอน้ำเข้าไปทางขวาต่อจนถึงจุดที่มีท่อขนาดยาวที่มีไอน้ำร่วมเต็มไปหมดผ่านไปไม่ได้ จะเปลี่ยนมาบังคับ Nikolai ที่อยู่บนห้องด้านบนเพื่อลอบไปทางขวาสุดเพื่อหมุนคันโยกให้แผ่นเหล็กบนท่อเลื่อนมาใกล้ Anastasia จากนั้นก็ต้องบังคับ Anastasia เดินตามแผ่นเหล็กที่กั้นไอน้ำไว้ไปทางซ้ายต่อ เข้ามาตามทางจนระหว่างทาง Anastasia ก็จะเดินเข้าไปติดกับดักห้อง แก็สพิษจะเปลี่ยนมาบังคับ Nikolai ที่อยู่บนห้องด้านบนต้องเดินทางแข่งกับเวลาเพื่อไปช่วย Anastasia ต้องหลบทหารมากมายที่กำลังวิ่งมาตามทางเดินด้วยการหลบตามเสาเขียวและปีนขึ้นเพดานหลบนักฆ่าที่ซุ่มอยู่ในประตูเขียวเข้าไปจนสุดทางก็จะเจอวาล์วแก็สที่ต้องปิดเพื่อช่วย Anastasia ได้สำเร็จ


- Anastasia หลังจากรอดแล้ว บังคับเธอวิ่งหนีตึกที่กำลังระเบิดให้เร็วที่สุดจนถึงทางออกจากตึกซึ่งก็จะพบ Nikolai รออยู่ แต่ในขณะที่ทั้งคู่ยังไม่ได้ทันยินดีที่รอดมาได้ รถถึงขนาดใหญ่ก็บุกเข้ามา ทำให้ Nikolai ต้องเอาตัวเองเป็นตัวล่อรถถังเอาไว้เพื่อให้ Anastasia หนีไปอีกทางเพื่อความปลอดภัย

                        

Mark V Tank รถถังมาร์ค 5 สัญชาติอังกฤษถูกพัฒนาต่อจาก Mark IV ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1918 สมรรถภาพการรบสุดยอดด้วยระบบเฟืองเกียร์ที่เดินหน้าฝ่าสิ่งกีดขวางได้อย่างทรงพลังแถมยังสามารถขับได้ด้วยทหารเพียงคนเดียวอีกด้วย ที่ประเดิมใช้กับแทรกแซงของพันธ์มิตรในเหตุการ์ณสงครามกลางเมืองของรัสเซียจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 




                           MEMORY SEQUENCE 10 – A Race of Freedoms 


-Upgrade- 
เพิ่มความเร็วในการรีโหลดกระสุนปืนไรเฟิ่ล – ทำเวลาให้เร็วกว่า 07.20 นาที
เพิ่มพลังโจมตีสำหรับอาวุธ Melee   – ทำเวลาให้เร็วกว่า 06.30 นาที

-ภารกิจนี้ต้องหนีตายจากการไล่ล่าของรถถัง Mark V อย่างเดียว โดยในช่วงแรกนั้นจำเป็นต้องใช้การวิ่งผสมกับการกระโดดไปข้างหน้าด้วยไม่งั้นไม่ทันแน่นอน เมื่อหนีมันไปจนถึงลานกว้างแล้ว Nikolai ก็จะเปิดฉากสู้ตายกับมัน



โดยการต่อสู้ต้องใช้ปืนยิงจากจุดยิงแต่ละจุดโดนยิงไปที่จุดอ่อนคือถึงน้ำมันสีแดงบนตัวรถถังให้ระเบิดให้หมด 3 จุดก็จะสามารถทำลายมันลงได้

 


Anastasia – คุณทำสำเร็จแล้ว ปัญหาคือตอนนี้ชั้นจะหนีออกจากประเทศนี้ได้ยังไง
Nikolai – ข้ามีเอกสารหนังสือเดินทางที่ทำไว้ให้กับเมียของข้า Anna แต่เธอคงไม่ได้ใช้มันแล้ว เอาไปใช้ผ่านทางหนีออกนอกประเทศได้เลย
Anastasia – ... แอนนา แอนเดอร์สัน ฟังดูอเมริกันจ๋าดี น่าจะใช้ได้ถ้าใช้ที่เยอรมัน




Nikolai – ข้า ขอโทษด้วยนะ ที่ตอนนี้คงช่วยเหลือได้เท่านี้ ข้ากลัววา เจ้าจะหายสาบสูญไปอีกคน 
Anastasia – คุณทำให้ชั้นมากพอแล้ว ไปเถอะ ไปทำเพื่อครอบครัวของคุณบ้าง รีบนั่งเรือหนีไปอเมริกาซะ ชั้นจะไม่มีวันลืมในสิ่งที่คุณทำให้ชั้นนะ Nikolai
Nikolai – เธอจะไม่เป็นไรหรอกนังหนู เธอเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว
Anastasia – อย่าห่วงเลย ชั้นแข็งแกร่งขึ้นแล้ว จะ Shao Jun หรือพลังอะไรที่อยู่ในตัวชั้นมันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ชั้นรู้ดีว่าชั้นเป็นใคร 
Nikolai – เธอรู้หรอ ?
Anastasia – ตอนนี้ชั้นคือ แอนนา แอนเดอร์สัน !! 


   


หลังจากวันที่ครอบครัวในราชวงศ์ถูกประหารแต่ยังไม่พบศพของ Anastasia ทางบอลเชวิคก็พยายามตามล่าอย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่ได้ผลคืบหน้าจนสุดท้ายเรื่องราวก็ถูกกลืนหายไปตามกาลเวลา ...


 ..

                                  จนกระทั่งผ่านไป 2 ปีก็มีข่าวลือขึ้นมาว่า ..


               

หญิงผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อในหนังสือเดินทางว่า แอนนา ไชคอฟสกี้ ได้พยายามโดดน้ำตายที่กรุงเบอร์ลินในวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ 1920 แต่มีผู้ช่วยเธอเอาไว้ได้ หลังรอดตายหญิงผู้นี้ได้อ้างว่าที่แท้ตนเองนั้นก็คือ เจ้าหญิง อนัสตาเซีย แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ผู้รอดมาจากการประหารหมู่ครั้งนั้น ข่าวนี้ก่อความตื่นเต้นให้กลับคืนมาอีก บางคนก็เชื่อ แต่บางคนก็คิดว่าเธอโกหก เธอได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นดังนี้

หลังถูกยิง เธอจำได้คร่าวๆ ว่าถูกหามขึ้นเกวียนเส้นผมชุ่มไปด้วยโลหิต เธอยังไม่หายจากความหวาดผวาต่อการประหารหมู่ที่เห็นกับตา เสียงร้องโหยหวนของพ่อแม่พี่น้อง เมื่อกลับพื้นคืนสติอีกครั้งเธอก็พบว่าตนอยู่ในความดูแลของบุคคลแปลกหน้า 4 คน คนผู้หญิงวัย 40 กว่า ชื่อ มาเรีย เป็นมารดาของอีก 3 คน คือ อเล็กวานเดอร์, เซอร์ไก และ เวโรนิกา สกุลของพวกเขาคือ ไชคอฟสกี้ และเป็นเรดการ์ดของเมืองอีคาเตรินเบิร์ก

เธอนึกได้ลางเลือนว่าถูกนำตัวเดินทางไปไกล ผ่านป่าสนทึบ ผ่านไปบนถนนสายยาวอันเปล่าเปลี่ยวนานนับเดือน บางครั้งไข้ขึ้นสูง ศีรษะปวดรวดร้าวแผลที่แขนระบม รวมทั้งใบหน้าและปากด้วย บ่อยครั้งที่ถูกเอาลงจากเกวียนอันกระเทือนและใช้วิธีอุ้มแทนความรู้สึกของเธอเหมือนตายมากกว่าเป็น ยามเมื่อพายุหิมะกระหน่ำ เธอจะถูกห่อหุ้มร่างด้วยผ้าหนา ๆ และอาจต้องขอกระท่อมชาวนาพักชั่วคราว แม้จะหวาดผวาต่อการถูกติดตาม และการหลักหลังจากผู้ที่พวกเธอไปขอความช่วยเหลือผู้ที่ได้พบเห็นการลี้ภัยระหกระเหินครั้งนี้มีอาทิ

ฮาสเซ็นสไตน์ นายทหารเยอรมันผู้เฝ้ารักษาการ์ณฝั่งแม่น้ำบัก เขาได้อนุญาตให้คณะลี้ภัยข้ามแม่น้ำไปได้ ซาชา เกรกกอเรียน ชาวอเมริกัน ผู้อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดนีสเตรอะ บันทึกไว้ว่า "...ก่อนข้ามแม่น้ำจากฟากรัสเซียไปสู่โรมาเนีย (5 ธ.ค. 1918) ผมได้ยืนเคียงข้างกับเจ้าหญิงอนัสตาเซียแห่งโรมานอฟผู้รอดมาได้โดยความช่วย เหลือของเรดการ์ด..." และเมื่อถึงแม่น้ำเรสินา คณะลี้ภัยก็ได้รับความช่วยเหลือจากอดีตองครักษ์ของซาร์ผู้หนึ่ง ซึ่งช่วยนำไปส่งจนถึงนครบุคาเรสท์ และที่นี่เองทุกคนจึงเริ่มปลอดภัยจากเงื้อมมือของพวกบอลเซวิค

เธอขายสร้อยไข่มุกเพื่อนำเงินมายังชีพ และแต่งงานกับอเล็กซานเดอร์ มีลูกด้วยหนึ่งคน แต่การแต่งงานนี้ทำให้สถานภาพของเธอเปลี่ยนแปลงไปเธออาจไม่เป็นที่ยอมรับจาก ราชวงศ์ต่าง ๆ ของยุโรปแต่เธอก็ตัดสินใจแล้วหากเคราะห์ของเธอกลับทรุดหนักลงอีก อเล็กซานเดอร์สามีถูกตำรวจลับบอลเชวิคลอบสังหารสิ้นชีพกลางถนน เซอร์ไกพาเธอระหกระเหินต่อไปยังนครเบอร์ลิน ลูกของเธอถูกนำไปฝากเลี้ยงยังสถานเด็กกำพร้า จากนั้นเซอร์ไกก็หายตัวไป เธอสิ้นหวังในชีวิตและโดดน้ำตายในที่สุด

เรื่องของเธอเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ผู้คนพากันมาซักไซ้ไต่ถาม เสาะหาความจริง จนในที่สุดเธอก็ทนไม่ได้จึงปิดปากสนิท ไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ อีก ต่อไป หลายอาทิตย์หลังการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอลิซาเบ็ธ เธอก็ถูกโยกย้ายไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิตดอลล์ดอร์ฟ ที่นั่นเธอถูกระบุว่าเป็นบ้า! วันนั้นคือวันที่ 30 มีนาคม 1912 ชีวิตในโรงพยาบาลโรคจิตเป็นไปด้วยความขมขื่น แวดล้อมด้วยคนไข้ที่สติไม่สมบูรณ์ เธอนอนซมอยู่บนเตียงเกือบตลอดเวลา

คลารา มาเรีย พุทเฮิร์ท อดีตแม่บ้านแห่งราชวังของซาร์เผอิญถูกส่งมารักษาตัวที่นี่ด้วย นางจำได้ทันทีว่าเธอคือธิดาองค์หนึ่งของซาร์ แต่จำผิดว่าเป็นทาเทียนา ถึงช่วงนี้ข่าวของเธอก็ไปถึงหูของบอลเชวิค ตำรวจลับเริ่มเข้ามากรุยกรายสืบข่าวเธอ และแล้ว บารอนเนส อิซา บักซ์โฮฟเดน อดีตนางสนองพระโอษฐ์ซาร์ก็ถูกเจ้าหญิงไอรีน แห่งปรัสเซีย ป้าของอนัสตาเซีย ส่งตัวมาเยือนนางไชคอฟสกี้ เพื่อหาข้อเท็จจริง หากว่าบารอนเนสไม่สามารถจำเธอได้ นั่นเป็นเพราะเป็นความลำบากแสนสาหัสในเคราะห์กรรมได้เปลี่ยนโฉมเจ้าหญิงสาว สวยให้กลายเป็นหญิงที่แก่เกินอายุจริง 21 ปี ของเธอ ฟันหน้าทั้งแถบนั้นถูกกระสุนไรเฟิลกระจุยไม่เหลือ ทำให้แก้มของเธอตอบ การไม่ยอมรับของบารอนเนสครั้งนี้ทำให้เรื่องของเธอถูกลดความเชื่อถือไปอีกมาก

อยู่ที่โรงพยาบาลดอลล์ดอร์ฟสองปี เธอก็ออกมาพำนักอยู่กับบารอน ไคลส์ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของรัสเซีย หลังจากนั้น กรุนเบิร์ก ตำรวจเยอรมันผู้ถูกสั่งให้สืบสวนชีวิตของเธอ ก็ได้มาชวนให้เธอไปพักอยู่ด้วยกันกับเขาในคฤหาสน์ชนบท

มาถึงตอนนี้ ผู้ที่สนใจในเรื่องของนางไชคอฟสกี้ก็แบ่งออกเป็น 2 ค่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อ ฝ่ายหนึ่งไม่เชื่อแต่น่าประหลาดยิ่งที่เชื้อพระวงศ์แห่งรัสเซีย ซึ่งน่าจะสามารถพิสูจน์เธอได้อย่างง่ายดายกลับวางเฉย ปิดปากเงียบ หญิงผู้อ้างตนเป็นอนัสตาเซียก็ปราศจากความยินดียินร้ายในเรื่องใดๆ เสียแล้วเธอปฏิเสธที่จะสนทนาหรือรับความช่วยเหลือใด ๆ

ในส่วนของเจ้าหญิงไอรีน ได้ทรงให้ความเห็นว่า
"ผม หน้าผาก และตา เป็นของอนัสตาเซียแต่ปากและคางไม่ใช่ ฉันไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าไม่ใช่เธอ
ก็แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อปากและคางของเธอนั้นถูกกระสุนไรเฟิลทำลายป่นปี้ โอกาสของอนัสตาเซียหมดไปอีก และนับจากวันนั้นเจ้าหญิงไอรีนก็ปฏิเสธที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง ถัดจาก นั้นไม่นานก็พบว่าเธอเป็นวัณโรคที่ทรวงอกและที่ข้อศอกซ้าย ซึ่งเป็นโรคประจำตระกูลของซาร์ ร่างกายของเธอก็เลยยิ่งโทรมลงไปอีกรวมทั้งจิตใจ

เชื้อพระวงศ์โรมานอฟผลัดกันมาเยือนเธอทีละ คนสองคน แต่เธอก็ไม่ยินดีต้อนรับเสียแล้ว ทุกคนไม่อาจยืนยันแน่ชัดลงไปได้ ข้อหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ให้สงสัยก็คือ เธอพูดอังกฤษไม่ได้ ในขณะที่ภาษาอังกฤษนั้นใช้พูดกันเป็นธรรมดาในวังซาร์ เธอไม่ยอมพูดหรือเขียนภาษารัสเซียด้วย ใช้แต่เยอรมันโต้ตอบแต่ตำรวจลับรัสเซียก็วางกับดักพิสูจน์ได้ง่าย ๆ โดยแกล้งพูดคุยกันเป็นภาษารัสเซีย และสังเกตทีท่าของเธอ เขาพบว่าเธอเข้าใจดีในทุกคำพูดนั้น!

รายละเอียดรูปลักษณ์ของเธอถูกรายงานไปให้ แกรนด์ยุค เออร์เนสต์ ลุงของเธอ ดังนี้
1. ตาปลาที่ นิ้วเท้าทั้งสองเท้า โดยเฉพาะเท้าขวา (อนัสตาเซียก็มี รูปพรรณตรงกัน)
2. แผลเป็น เล็ก ๆ สีขาวที่ไหล่ (อนัสตาเซียก็มีเช่นกัน)
3. รอยปูดที่ โคนนิ้วกลางมือซ้ายเกิดจากประตูรถหนีบ
4. แผลเป็น ที่ขมับขวา (อนัสตาเซียจะหวีเกษาปิดแผลเป็นขมับขวา เสมอ)
5. รอยแผล เป็นหลังใบหูขวาอันเนื่องมาจากกระสุนปืน

คำตอบจากท่านแกรนด์ยุคก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีธิดาองค์ใดของซาร์เหลือรอด

การที่ท่านดยุคปฏิเสธนี้ อาจมีสาเหตุจากการที่แอนนาเคยอ้างว่าได้พบกับท่านดยุคในปี 1916 ซึ่งความจริงช่วงนั้นรัสเซียกับบาวาเรียกำลังทำสงครามกัน การเอ่ยอ้างของแอนนาทำให้ท่านดยุคถูกหาว่าลอบไปเจรจาลับกับศัตรู นั่นทำให้ท่านดยุคต้องมัวหมอง

ต่อมา แอนนาก็เริ่ม "จำ" ชีวิตวัยเด็กได้ทีละน้อย สิ่งสำคัญที่เธอบันทึกไว้ก็คือ

"ฉัน แกรนด์ดัชเชส อนัสตาเซีย นิโคลาเยฟนาธิดาองค์เล็กและองค์เดียวของซาร์นิโคลาสที่ 2 กับเจ้าหญิงอเล็กซานดรา แห่งรัสเซีย ผู้ล่วงลับไปแล้วขอประกาศว่า หลังจากราชวงศ์ของเราจากปีเตอร์สเบิร์กมาอยู่ไซบีเรีย และก่อนหน้าที่เสด็จพ่อและคนอื่น ๆ จะถูกปลงพระชนม์หมู่ เสด็จพ่อได้ตรัสว่าก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง พระองค์ได้ฝากเงินไว้ให้ธิดาทั้ง 3 องค์ เป็นเงินองค์ละ 5 ล้านรูเบิล ณ ธนาคารแห่งอังกฤษ"

แต่ธนาคารแห่งอังกฤษปฏิเสธในเรื่องนี้โดย สิ้นเชิง และต่อมา แอนนาก็ได้กล่าวแก้ข้อเขียนของเธอว่า จำชื่อธนาคารที่ถูกต้องไม่ได้ แต่เงินนั้นมีแน่ ๆ

หลัง ค.ศ.1920 แอนนาเดินทางไป อเมริกาหลายครั้ง และเปลี่ยนชื่อเป็นนางแอนนา แอนเดอร์สันและระหว่างที่อยู่อเมริการะยะหนึ่ง สมาชิก 12 องค์แห่งราชวงศ์โรมานอฟที่เหลืออยู่จากเชื้อพระวงศ์ซาร์ทั้งหมด 44 องค์ ก็ได้ร่วมกันลงชื่อประกาศในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าไม่ยอมรับข้ออ้างของแอนนา ซึ่งก็แน่นอนอีกเช่นกัน ในเมื่อทั้ง 12 องค์นี้มีสิทธิในผลประโยชน์ของซาร์ในอังกฤษ และคงไม่ประสงค์ให้ใครมาแบ่งเอาไป

ในบั้นปลายแห่งชีวิต แอนนา แอนเดอร์สันได้เดินทางมาพำนักยังกระท่อมทหารเก่าที่แบล็คฟอเรสท์ ,เยอรมนี อยู่เงียบ ๆ ตามลำพังกับเพื่อนหนึ่งคน ในปี 1974 เธอจึงแต่งงานใหม่กับชาวอเมริกัน แล้วกลับไปพำนักอย่างถาวรในสหรัฐ

Cr. อ้างอิงข้อมูลจาก
http://board.postjung.com/694142.html



ทางด้าน Nikolai  หลังจากหนีออกประเทศได้สำเร็จ Nikolai กับ Anna ภรรยาและลูกสาว Nadya เดินทางข้ามพรหมแดนทางเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกาด้วยการคุ้มครองของพลังของเศษชิ้นส่วนของ Staff of Eden ระหว่างเดินทาง Anna ก็ได้ให้กำเนิดลูกชายอีกคนชื่อ Innokenti

                  


ปี ค.ศ. 1919 เข้ามาอาศัยอยู่ในค่ายอพยพผู้ลี้ภัยจากต่างแดนที่เมือง Hartford รัฐ Connecticut ในอเมริกา แต่ครอบครัวของ Nikolai ก็ยังต้องคอยหนีผู้ตรวจการแผ่นดินที่คอยจับผู้อพยพที่ผิดกฎหมายอยู่ตลอด จนวันนึงก็หนีไม่รอดครอบครัวของ Nikolai ก็ถูกทางการบุกจับ Nikolai และ Innokenti พยายามที่จะต่อสู้ แต่ Anna และลูกสาว Nadya ก็ถูกทางการจับตัวส่งกลับรัสเซียไปในที่สุด ทำให้ Nikolai ต้องพยายามหาทางตามไปช่วยภรรยากับลูกสาวของเขาให้ได้


                           

2 ปีต่อมา Nikolai ตามร่องรอยของลูกเมียมาที่ค่ายผู้อพยพจนได้ข่าวมาว่าผู้อพยพก่อนหน้าได้ถูกส่งตัวไปที่ฟินแลนด์ประเทศที่กำลังทำสงครามกับรัสเซียแทน Nikolai ก็ไม่รอช้าที่จะลุยต่อไปที่ฟินแลนด์เพื่อช่วยลูกเมียของเขาและยังหวังลูกๆว่าทั้งคู่จะยังรอดชีวิตอยู่ แต่เมื่อข้ามพรหมแดนรัสเซียไปแล้ว Nikolai ก็ไม่ได้ร่องรอยของ Anna และลูกสาว Nadya อีกเลย เขาเลยต้องยอมตัดใจเพราะมั่นใจว่าลูกเมียเขาคงตายกันไปหมดแล้ว

                                 



                                                      Assassin's Creed: The Chain

ปี ค.ศ. 1920  Nikolai และลูกชาย Innokenti ตัดสินใจกลับไปอาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่าที่เมือง Manchester รัฐ Connecticut ในอเมริกาอีกครั้ง ทั้งคู่ตัดขาดจากสังคมแล้วใช้ชีวิตท่ามกลางป่าเขาอย่างสงบจนถึงปี ค.ศ 1926 ก็ได้พบกับร่องรอยของ Sergei คนของภาคีนักฆ่าที่ถูกส่งให้มาตามหาเขาจนได้ ซึ่งเป้าหมายของ Sergei ก็คือมาตามทางสิทธิ์ของเศษชิ้นส่วนของ Staff of Eden และความรู้ต่างๆที่ Nikolai ได้รับมาตอนเหตุการณ์รถไฟตกรางที่ Tunguska ตามคำสั่งของหัวหน้าภาคีนั่นเอง ก่อนที่ Sergei จะเริ่มโจมตีใส่ Innokenti จนทำให้ Nikolai ต้องเข้าไปช่วยจนจัดการฆ่า Sergei จนตายได้ และเมื่อเขาพบตราของ FBI ในกระเป๋าของ Sergei ด้วย Sergei ก็รู้ทันทีว่าตอนนี้ภาคีได้ออกตามล่าหมายหัวเขาอย่างจริงจังแล้ว สิ่งแรกที่เขาคิดได้คือต้องเตรียมหาทางเตรียมรับมือให้ได้



2 ปีต่อมา Nikolai ฝึกฝน Innokenti ลูกชายอย่างหนักในด้านการต่อสู้และการเอาตัวรอดเพื่อรับมือกับพวกภาคีนักฆ่าที่อาจตามมาเจอเขาในซักวัน จนสุดท้าย Innokenti ก็สามารถเอาชนะพ่อเขาได้ในที่สุดทำให้ Nikolai รู้ทันทีว่าลูกชายของเขาพร้อมแล้วที่จะเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งพอจะป้องกันตัวเองได้จากพวกภาคีที่กำลังจะตามมาไล่ล่าพวกเขา

สุดท้ายวันนั้นก็มาถึง กลุ่มนักฆ่า 5 คนที่ทางภาคีส่งมาก็บุกเข้ามาระเบิดภูเขาเผากระท่อม 2 พ่อลูกทันที  โชคดีที่ Nikolai และ Innokenti ได้เตรียมทั้งฝีมือและแผนการรับมือเอาไว้แล้ว ทั้งคู่ร่วมกันต่อสู้และช่วยเหลือซึ่งกันและกันจนนักฆ่าที่บุกเข้ามาล้มตายไปทีละคน แต่สุดท้ายก็ต้องหนีเพราะสู้อาวุธครบมือของนักฆ่าที่มาพร้อมปืนไม่ไหว Nikolai และ Innokenti ถอยล่นเข้าไปจนถึงส่วนลึกของภูเขาท่ามกลางนักฆ่าของภาคีที่ยิงกราดไล่หลัง จนในที่สุด Nikolai ก็ถูกยิงที่ขาทั้ง 2 ข้างจนบาดเจ็บ ทันทีที่เขาถูกจับตัวได้ Nikolai ได้แต่ตะโกนลั่นสั่งเสียให้ Innokenti รีบหนีไป แต่นักฆ่าที่จับตัวไว้แสร้งตะโกนบอก Innokenti ถึงเรื่อง Nadya พี่สาวของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ Nikolai รีบตะโกนบอกให้ลูกชายจงเข้มแข็งและอย่าหลงเชื่อกลลวงของศัตรู ก่อนที่ Nikolai จะจับตัวนักฆ่าเอาไว้แล้วสั่งให้ลูกชายจบเรื่องทั้งหมดทันที Innokenti เข้าใจในคำสั่งเสียของพ่อก่อนจะจำใจเหนียวไกยิงทะลุร่างของ Nikolai ผู้เป็นพ่อกับนักฆ่าผู้เป็นศัตรูไปพร้อมๆกัน

 



Innokenti เข้าไปร่ำลาศพของพ่ออย่างโศกเศร้า แต่ก็ต้องกร่ำกลืนคำสั่งเสียว่าให้เข้มแข็งจากพ่อเป็นครั้งสุดท้าย

   

  ก่อนจะเก็บ Hidden Blade จากศพของพ่อไปแล้วเดินจากไปภายใต้ท้องฟ้ายามเย็นของวันแห่งโศกนาฎกรรมที่เขาจะไม่มีวันลืม


   


Cr.อ้างอิงข้อมูลและภาพประกอบจาก
 http://assassinscreed.wikia.com/wiki/Nikolai_Orelov
http://assassinscreed.wikia.com/wiki/Innokenti_Orelov
http://assassinscreed.wikia.com/wiki/Assassin%27s_Creed:_The_Fall
http://assassinscreed.wikia.com/wiki/Assassin%27s_Creed:_The_Chain


หลังจากกล่าวถึงเรื่องราวของ Nikolai Orelov ตัวเอกของ Assassin’s Creed Chronicles: Russia ซึ่งเป็นเรื่องราวการเดินเรื่องในยุคอดีตกันไปแล้ว จากนี้จะกล่าวถึงเรื่องราวของผู้อยู่เบื้องหลังความทรงจำที่ผ่านอดีตมาจนถึงปัจจุบันของ Nikolai กันบ้าง 

             



ซึ่งผู้ที่ใช้เครื่อง Animus ในการสิงร่างผ่านเวลาไปหาเรื่องราวของ Nikolai ก็คือ Daniel Cross  ชายที่คุ้นหน้าเพราะเขาเคยบุกเข้าไปฆ่า Desmond ในภาค 3 มาแล้วนั่นเอง ซึ่งการดำเนินชีวิตของเขานั้นก็จะเกิดขึ้นสลับไปพร้อมๆกับเรื่องราวของ Nikolai Orelov ตลอดทั้งเรื่องราวของนิยายภาพ   Assassin's Creed: The Fall และ Assassin's Creed: The Chain รวมทั้งในเกม Assassin’s Creed Chronicles: Russia ด้วย 
       
 


 ชีวิตของ Daniel Cross  ในฐานะหลานของ Innokenti Orelov ลูกชายของ Nikolai Orelov นั้นค่อนข้างอัปยศมากเพราะความทรงจำในเรื่องราวของบรรพบุรุษนักฆ่ารัสเซียที่ฝั่งลึกอยู่ใน DNA ของเขานั้นก็เป็นเสมือนทุกข์ลาภสำหรับเขาด้วย เพราะจริงๆแล้ว Daniel ไม่เคยจำอะไรเกี่ยวกับตัวเขาได้เลยเพราะถูกบริษัท Abstergo จับไปทดลองในโครงการ Animus Project ในฐานะร่างทดลองหมายเลข 4 หรือ Subject 4 ตั้งแต่ยังเด็กจนถูกขุดค้นความทรงจำของ Nikolai Orelov บรรพบุรุษนักฆ่ารัสเซียที่เป็นปู่ทวดของเขาจนทำให้เกิดอาการ Bleeding Effect ที่ทำให้เห็นภาพหลอนประหลาดติดหัวมาตลอด สภาพของคนที่ความจำเสื่อมและมีอาการเห็นภาพหลอนอยู่ตลอด Subject 4 จึงมีสภาพไม่ต่างกับคนบ้าหรือคนติดยาที่สติไม่ค่อยดีในสายตาของคนทั่วไปในสังคมมาตลอด
   

 โดยอาการ Bleeding Effect ของ Subject 4 นั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่มันทำให้เขาสามารถย้อนดูความทรงจำของบรรพบุรุษได้เมื่อหลับโดยไม่ต้องพึ่ง Animus เลยด้วยซ้ำ ซึ่ง Dr. Warren Vidic หัวหน้าโครงการของ Templar นั้นได้ฝังคำสั่งในความทรงจำของ Subject 4 ไว้ว่า ให้แฝงตัวเข้าไปในภาคีนักฆ่าเพื่อให้ฆ่าหัวหน้าของภาคีนักฆ่าทันทีหากมีโอกาส ก่อนจะปล่อยตัวให้ออกมาในโลกภายนอกภายในชื่อใหม่ว่า Daniel Cross  และในขณะที่ Daniel กำลังพบกับชายคนนึงที่กำลังจะช่วยเหลือเขา Daniel ก็เตรียมจะใช้มีดฆ่าชายคนนี้แต่โชคดีที่ Hannah Mueller ซึ่งเป็นคนของภาคี Assassins มาห้ามไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะช่วยเหลือ Daniel แล้วพาเข้าไปเป็นสมาชิกของภาคี Assassins โดยไม่รู้ว่า Daniel เป็นสายลับสองหน้าที่ Templar จัดฉากเอาไว้



Daniel ใช้เวลาถึง 2 ปีในการแทรกซึมเข้าไปทำงานกับภาคีนักฆ่าจนประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำงานจนเป็นที่ไว้ใจถึงขนาดหัวหน้าภาคีจะมอบหมายตำแหน่งหัวหน้าคนต่อไปให้ Daniel เลยทีเดียว แต่ในขณะที่หัวหัวหน้าภาคี Hidden Blade ของเขาให้ คำสั่งฆ่าที่ฝังอยู่ในหัวของ Daniel ก็ทำให้เขาใช้ Hidden Blade ที่ได้มาแทงหัวหน้าภาคีนักฆ่าจนตายคาที่ทันที ซึ่ง Daniel Cross จึงกลายเป็นไม้ตายเด็ดของ Templar ที่ทำให้ภาคี Assassins เกือบจะล่มจมจนได้กลายเป็นชื่อตอนของ The Fall ในคอมมิคนั่นเอง




ชะตาชีวิตของ Daniel Cross ยังคงดำเนินต่อภายใต้บทใหม่ของคอมมิคที่ชื่อ Assassin's Creed: The Chain และการดำเนินชีวิตในอดีตของ Nikolai Orelov ในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่กำลังฝึก Innokenti Orelov ลูกชายให้แข็งแกร่งเพื่อสู้กับ Templar อยู่ในป่าหิมะ

           


ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสายลับ 2 หน้าจนสามารถฆ่าผู้นำของภาคี Assassin ลงได้   Daniel ก็ถูกนำตัวกลับมายัง Abstergo  และถูกกักตัวอยู่ในเครื่อง Animus มาตลอดหลายปีเพราะอาการ  Bleeding Effect ของเขานั้นหนักหนาจนต้องพึ่งพาเครื่อง Animus ในการเยียวยาทำให้เขาสงบจากการเห็นภาพหลอนจากอดีตอยู่ตลอด จน Dr.Sung ผู้ดูแลโครงการคนใหม่เข้ามาควบคุม เธอจึงพยายามช่วยเหลือ Daniel มาตลอด ทำให้เขารู้ว่ารู้ตัวเองว่าเขามีความสามารถพิเศษที่สามารถเห็นอดีตได้โดยไม่ต้องเข้าเครื่อง Animus ด้วยซ้ำ ทำให้ Daniel ไม่ต้องพึ่งเครื่อง Animus อีกต่อไป




ทำให้พลังความสามารถของเขาพัฒนาจนสามารถก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่ง Inner Sanctumในองค์กร Templar ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ Daniel จะได้รับภารกิจให้ไปตามหาเอกสารลับของภาคี Assassin  ที่ซ่อนอยู่ในซ่อนอยู่ในโรงละคร Bolshol กรุง Moscow


                              

จนพบซึ่งมันก็คือ บันทึกของ Ezio Auditore และข้อความคำทำนายที่ส่งจากผู้มาก่อนกาลที่ส่งถึงชายที่ชื่อ Desmond Miles !! 




หลังจากที่ Daniel Cross ใช้ความสามารถของเขาสร้างชื่อให้ตัวเองมากมายจนทำให้ Dr. Vidic ไว้วางจนช่วยผลักดันให้ขึ้นเป็น Master Templar ได้ในที่สุด ก่อนที่ในปี 2011 Daniel ก็เริ่มฉลองตำแหน่งใหม่นำพวก Templar บุกเข้าไปที่ซ่อนลับของภาคี Assassins ที่เขาเคยแฝงตัวเป็นสายลับเข้าไปแล้วทำลายจนราบคาบพร้อมทั้งได้ลงดาบสังหาร Hannah Mueller ที่เคยช่วยเหลือและพาเขาเข้าภาคี Assassins ด้วยมือตัวเอง จากนั้นในปี 2012 Daniel ก็เริ่มพุ่งเป้าหมายไปที่ Desmond Miles ตามที่เขาเห็นข้อความที่ส่งจากผู้มาก่อนกาลก่อนหน้านี้



 ทำให้ Daniel แกะรอยตาม Desmond จากบลาซิลจนมาถึงที่บริษัท Abstergo สาขาโรมที่อิตาลี ตอนที่ Desmond กำลังนำเอา Apple of Eden มาแลกตัวพ่อของเขาที่โดน Dr. Warren Vidic จับเอาไว้ ตามเนื้อเรื่องในเกม Assassins Creed 3 ก่อนที่ Daniel จะเกิดอาการ Bleeding Effect ขึ้นจนต้องรีบหนีไปทำให้ Desmond สามารถตามไปเสียบจนตายได้ในที่สุด

“ปลดปล่อยผม ปลดปล่อยผมไปซะที เสียงในหัว เสียงในหัวผมคุณต้องหยุดมัน คุณต้องทำให้มันเงียบลงซักที ได้โปรด !! ได้โปรด “


ซึ่งฉากการตายในเกมของ Daniel นั้นกลับถูกตัดออกไป แต่ก็สามารถฟังบทพูดตอนตายของ Daniel ได้ที่นี่ครับ 

                  https://www.youtube.com/watch?v=3OG_CgPU0U0

จากนั้น Desmond ก็สามารถบุกขึ้นไปใช้พลังของ Apple of Eden ฆ่า Warren Vidic จนสามารถช่วยพ่อของเขาออกมาได้ ในตอนท้ายของเกมในภาคที่ 3 นั่นเอง ...............


---------------------------------------------------------------------------------

Cr – อ้างอิงการแปลข้อมูลและภาพประกอบทั้งหมดจาก
 http://assassinscreed.wikia.com/wiki/Nikolai_Orelov
http://assassinscreed.wikia.com/wiki/Innokenti_Orelov
http://assassinscreed.wikia.com/wiki/Assassin%27s_Creed:_The_Fall
http://assassinscreed.wikia.com/wiki/Assassin%27s_Creed:_The_Chain
http://assassinscreed.wikia.com/wiki/Daniel_Cross
ข้อมูลเสริมบางส่วนของคุณ The_Viper จากบทความ Assassin’s Creed Story รวมเรื่องราวตำนานนักฆ่าจาก https://dks.in.th/forum/viewtopic.php?f=30&t=5510 ที่ใช้ข้อมูลมาจาก คุณ dadvader และ หนังสือ Future Gamer เดือนพฤศจิกายน 2012

-----------------------------------------------------------------------------


                                                 Secret Epilogue

ใครที่เล่น Assassin's Creed Chronicles มาครบทั้ง 3 ประเทศแล้วคงจะคุ้นกับสัญลักษณ์ของ Assassin ที่เห็นอยู่ตามพนังในที่ต่างๆกัน ซึ่งเมื่อใช้ Eagle Vision มองดูแล้วก็จะเห็นตัวเลขออกมา มันคือ secret codes โดยเมื่อรวบรวมของแต่ละภาคที่เจอมาให้ครบ แล้วเอาไปใส่ในคำสั่ง Code ในเมนู Option ของภาครัสเซียก็จะทำให้เห็น ฉากจบลับ ออกมา โดยให้ใส่โค๊ดดังนี้





0322 – 2021 - 2002
1021 – 3011 - 2103
3102 – 1121 -  3330




ห้องทำงานของ Laetitia England, Philadelphia ปี 2015 ...




Otso Berg – เรียกผมหรอ ?
Laetitia – ใช่ ชั้นเรียก 
Otso Berg – หวังวามันจะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนและสำคัญนะ
Laetitia – กล่องของผู้มาก่อน (Precursor box) ที่คุณเอามาจาก Shay Cormac เมื่อปีที่แล้วน่ะ ตอนที่พวก Assassins พยายามจะขโมยมันไป ตอนนี้เรารู้ตำแหน่งของมันแล้ว ชั้นต้องการให้คุณไปนำมันมาให้ Dr. Gramatica 
Otso Berg – ที่ไหน ?
Laetitia – เป็นสถานที่ลับ ชั้นเองก็ไม่รู้ เดี๋ยว  Dr. Gramatica จะประสานงานกับคุณอง ....อ่อ คุณ Berg จะต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้นะ เข้าใจมั๊ย 
Otso Berg – ผมเข้าใจแล้ว ..




Dr. Gramatica – ว่าไง คุณ Berg !! … นั่นมัน กล่องของผู้มาก่อน (Precursor box) ใช่มั๊ย ???
Otso Berg – ส่งตรงจากองค์กรเลย มาสเตอร์ Gramatica ท่านมีแผนจะทำอะไรกับมันหรอครับ ??
Dr. Gramatica – ผมหวังว่าเจ้าสิ่งนี้มันจะทำให้เราเชื่อมโยงอะไรหลายๆอย่างกับบรรดา Piece of Eden ต่างๆที่เราได้มาได้มากขึ้น 
Otso Berg – ตอนนี้คุณกำลังทดลองอะไรอยู่กันแน่ Dr. Gramatica
Dr. Gramatica – Project Phoenix  คุณ Berg .. Project Phoenix !!!