วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Horizon Zero Dawn :The Frozen Wilds [DLC]



               Horizon Zero Dawn :The Frozen Wilds [DLC]


                                                   BY Decibel per oxide



                               อรัมบทถึง Banuk ชนเผ่าลึกลับ แห่งแดนดินถิ่น Ban-Ur




Banuk ชนเผ่าเร่ร่อนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในภูมิภาค Ban-Ur ดินแดนที่แยกตัวออกจากทุกเผ่า ตั้งอยู่ในที่ราบทางตอนใต้ของธารน้ำแข็ง Yellowstone ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักร Sundom ของ Carja หรือ ทางตอนเหนือสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่ง Nora Banuk คือชนเผ่าลึกลับจากยุคโบราณที่ถูกหลอมรวมขึ้นจากเรื่องราวที่เล่าขานในความเป็นนักล่าที่กล้าบ้าบิ่นและศาสตร์ของหมอผีอันแสน ลึกลับ 

ชาว Banuk มีชีวิตที่เรียบง่ายทั้งการดำเนินชีวิตและเรื่องความเป็นอยู่โดยดูจากที่พักที่สร้างอย่างเรียบง่าย แต่กระนั้น ชาว Banuk เองก็ยังยึดติดในความอิสระ ความเป็นปัจเจคและมีความส่วนตัวสูง โดยในหนึ่งเผ่าใหญ่จะแยกเป็นครอบครัวย่อยที่เป็นกลุ่มนักล่าขนาดเล็กต่างๆที่เรียกกันว่า Weraks และแต่ละกลุ่มจะขึ้นตรงกับหัวหน้าที่แต่ละกลุ่มคัดเลือกกันขึ้นมาเอง



ความโดดเด่นด้านวัฒนธรรมของชาว Banuk คือเสื้อผ้าที่เน้นสีสรรประดุจภาพวาดบนพื้นหิมะที่ขาวโพลนและความสามารถด้านการออกแบบเรขาคณิตจากการที่ต้องออกแบบที่พักให้เขากับถิ่นที่อยู่ที่เป็นภูเขาที่ไม่มีความแน่นอนของพื้นที่ และมีความหมายทางจิตวิญญาณไปพร้อมๆกัน กับอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือ เรื่องของภูมิปัญญาในเรื่องเวทย์มนต์ที่สืบทอดกันมาแบบปากต่อปากจากยุคโบราณโดยพวก หมอผี ที่มีอธิพลหลักในการเป็นผู้นำในสังคมของชาว Banuk ทั้งในล่าและเรื่องความรู้ทางการแพทย์และเวชกรรม สังเกตุได้จากการนำเอาชิ้นส่วนเครื่องจักรมาเย็บติดตามผิวหนังของร่างกาย  



ทางด้านความสัมพันธ์กับต่างเผ่า ในมุมมองของเผ่าอื่น Banuk ก็ถูกมองว่าเป็นเผ่าที่ลึกลับ ล้าหลังและป่าเถือนเหมือนกัยเผ่า Nora แต่ Banuk ก็ยังเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นโดยสังเกตุจากพวกพ่อค้าที่เดินทางไปซื้อขายแลกเปลี่ยนกับทาง Carja ที่เมือง Meridian อยู่บ่อยครั้งแถมยังตอนรับ คนต่างถิ่นที่มาเยือนถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเน้นให้ผู้มาเยือนสร้างที่พักและหาอาหารช่วยเหลือตัวเองตามอัธยาศัยโดยไม่ได้ดูแลสนใจอย่างเป็นทางการ หลายครั้งที่มีนักเขียนและนักเดินทางที่ต้องการหาความรู้พยายามจะเดินทางเข้ามาที่ Banuk เพื่อเรียนรู้ในเรื่องวัฒนธรรมโบราณแต่ส่วนมากก็จะแพ้ภัยกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นและประเพณีแปลกๆของพวกเขา แต่ก็ยังมีบางคนที่แสวงหาความท้าทายเดินทางเข้ามาสู่ดินแดนหิมะที่แสนอันตรายเพื่อเป้าหมายในประเพณีโบราณของเผ่า Banuk เฉกเช่นกัน

http://horizonzerodawn.wikia.com/wiki/Banuk


                                          Traveler skill tree 

                                [Skill ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาใน DLC The Frozen Wilds]




1.Mounted Pickup [ต้องการ SP 1] สามารถเก็บไอเทมได้ในขณะขี่สัตว์จักรกลโดยไม่ต้องลงมาเก็บ
2. Shard Salvager  [ต้องการ SP 1] เมื่อทำการแยกชิ้นส่วนไอเทมต่างๆ (Disassemble Multiple) จะทำให้มูลค่าที่เปลี่ยนเป็น Metal shard เพิ่มขึ้นไป 50 % และหากไอเทมเต็มช่องสามารถขายไอเทมระหว่างโดยไม่ต้องมาที่ร้านค้าโดยการกดปุ่มค้างที่ไอเทมที่ต้องการจะขาย
3.Mount Repair  [ต้องการ SP 2] สามารถซ่อมแซมความเสียหายของสัตว์จักรกลที่กำลังใช้ขี่ได้โดยใช้ Metal shard
4.Expert Carver  [ต้องการ SP 2] ทำให้เก็บวัตถุดิบจากซากสัตว์และซากจักรกลได้จำนวนมากขึ้น
5.Machine Repair  [ต้องการ SP 3] สามารถซ่อมแซมความเสียหายของสัตว์จักรกลที่ครอบงำ (Overide) ได้โดยใช้ Metal shard
6.Hoarder  [ต้องการ SP 3] เพิ่มพื้นที่ของช่องเก็บไอเทมวัตถุดิบในเมนู Resources อีก 20%
7.Dismount Strike [ต้องการ SP 3] สามารถโดดโจมตีสัตว์จักรกลและศัตรูได้ในขณะขี่สัตว์จักรกลด้วยการกดสี่เหลี่ยมขณะเข้าใกล้
8. Mount Repair +[ต้องการ SP 3] สามารถซ่อมแซมความเสียหายของสัตว์จักรกลที่กำลังใช้ขี่ได้รวดเร็วมากขึ้น


กล่าวถึง ณ.สุดเขตตอนเหนือสุดของดินแดนแห่ง Carja ที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี เหนือไปจาก  ‘Grave Hoard’ สถานที่ฝังกลบความลับมากมายจากในอดีต ที่กีดขวางทางเข้าสู่ แดนดินถิ่นของเผ่า Banuk เพียงภูเขาหิมะกัน ทวีปอันหนาวเหน็บและเต็มไปด้วยความลับที่ไม่ค่อยมีใครมากนักได้ย่างกรายมาพบเจอ 



เมื่อ Aloy เดินทางมาถึงดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Carja เลย ‘Grave Hoard’ ติดกับภูเขาใหญ่ทางด้านขวาของแค้มป์ของเผ่า Banuk  เมื่อเข้าใกล้จะเห็นจุดเครื่องหมาย ! สีฟ้าเป็นไกด์บอกทางในแผนที่ ทันที่ที่ Aloy พบผลึกสีฟ้าตรงบันไดสำหรับปีนขึ้นหน้าผาใกล้ๆกับแค้มป์ไฟ เธอก็รู้ดีว่า มันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอาณาเขตของเผ่า Banuk เมื่อปีนขึ้นไปตามทางจนถึงช่องเขาด้านบนจะได้ยินเสียงทักทายของหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับแค้มป์ไฟ “ดูเหมือนเธอจะหลงทางนะ Hunter” Aloy จึงรีบเข้าไปสนทนา 



Aloy - เหมือนเธอจะเดินทางไกลมาจากที่ไหนซักแห่ง เธอตามรอยอะไรมาถึงที่นี่งั้นหรอ?
Yarki – ชั้นหรอ? ชั้นเพิ่งเดินทางลงใต้มาจากดินแดนของพวก Banuk กำลังผ่านไปที่ ‘Grave Hoard’ ....  รู้สึกเหมือนกับ  Banukai กำลังเฝ้ามองชั้นอยู่อย่างงั้นแหละ ... นี่มันเป็นทางลัดที่จะออกห่างจาก The Cut ให้เร็วที่สุดโดยไม่ต้องผ่านอาณาเขตของเผ่า Oseram เธอเองก็ต้องการจะหาทางออกจาก The Cut ให้เร็วที่สุดเหมือนกันละสิ?
Aloy - The Cut .. ชั้นยังไม่เคยเดินทางไปที่นั่นเลยด้วยซ้ำ แล้วเพราะอะไรเอถึงต้องรีบหนีออกจากที่นั่นหรอ?
Yarki – มันมีสัตว์จักรกลประหลาดๆเข้าโจมตี ที่นั่นมันภูเขาต้องสาป เป็นเหตุผลที่มากพอแล้วที่ทำให้ชั้นต้องเผ่นหนีไป Meridian ให้เร็วที่สุด

Aloy – [Meridian] เธอจะไปที่ Meridian งั้นหรอ?
Yarki – ใช่ ชั้นเคยมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะอุปทูตของราชสำนักขององค์ราชาแห่ง Carja มาก่อน ที่ Meridian เป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครเค้าอยากทำกันหรอก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก ก็แค่ต้องบรรยายถึงบทเพลงแห่ง Ban-Ur เหมือนเป็นการร่ายมนต์เล็กๆน้อยให้พวกเขาได้สนุกสนานก็แค่นั้นแหละ ชั้นบอกพวกเขาถึงเรื่องพวกสัตว์จักรกลที่เริ่มเกรี้ยวกราดมากขึ้นและองค์ราชาแห่ง Carja อยากจะทรงให้คำแนะนำและช่วยเหลือ ก็มีแต่พวก Banuk เท่านั้นแหละที่ไม่ยอมรับข้อเสนอของเรา

Aloy – [Strange machines and a curse] แล้วไอ้สัตว์จักรกลประหลาดๆที่เธอว่ามันเป็นสัตว์แบบไหนแล้วเรื่องคำสาปนั่นด้วย คำสาปอะไรหรอ?
Yarki – ชั้นได้ยินมาว่า มันเป็นเครื่องจักรที่แข็งแกร่งและบ้าคลั่งแบบที่เราชาวใต้ไม่เคยเห็นมาก่อนแถมยังมีควันพุ่งออกมาจากภูเขาอย่างกับกองไฟเผาศพที่พวยพุ่งออกมาทั้งวันทั้งคืนนั่นอีก ก็อย่าที่บอกแหละชั้นเลยต้องรีบเผ่นออกมานี่ไง

Aloy – [The Cut?] แล้วที่ที่เธอเรียกว่า The Cut นั่นมันคืออะไร?
Yarki – มันคือหน้าผาที่เป็นเหวขนาดใหญ่ เป็นจุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง จุดสิ้นสุดของ Ban-Ur จุดสิ้นสุดของเทอกเขาและ จุดสิ้นสุดของทุกอาณาเขตของทุกเผ่า ความทุกข์ทรมานที่เกิดในสงครามกับ Carja ยังเทียบไม่เท่าความทุกข์ทรมานของที่แห่งนั้น มันเป็นที่ทดสอบของทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นั่น ที่ต้องอยู่รอดในจุดที่สิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง
Aloy – ฟังแล้วไม่ค่อยจะเป็นที่ที่อบอุ่นเหมือนบ้านเราเท่าไหร่เลย เข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงต้องหนีออกมา
Yarki – หึ หึ .. บ้านหรอ มันก็คือทุกอย่างที่ชั้นแบกสะพานหลังมานี่แหละ
Aloy – ยังไงก็ขอบคุณที่เตือนนะ แต่ชั้นก็ชักจะสนใจไอ้สัตว์จักรกลประหลาดๆตัวนั้นขึ้นมาแล้วล่ะสิ
Yarki – ชั้นเตือนแล้วนะ จำให้ขึ้นใจล่ะกัน แต่ชั้นก็เข้าใจ พวกนักผจญภัยก็เป็นแบบนี้กันทุกคนแหละ โชคดีก็แล้วกัน 


                                   Side Quest : INTO THE FROZEN



Sylens – เจ้ากำลังจะทำอะไรน่ะ Aloy เส้นทางนั้นมันจะพาไปยัง The Cut ในดินแดนของพวก Banuk ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรกับปริศนาลึกลับที่เรากำลังตามหาอยู่เลยนะ พวก Eclipse ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยตอนที่เจ้ากำลังเล่นหิมะอยู่ที่นี่นะ กลับเข้าสู่เส้นทางของเจ้าเถอะน่า
Aloy – แปลกใจนะเนี้ยที่คุณยังตามตรวจสอบชั้นอยู่อีก นึกว่าเดินทางไปไกลแล้ว
Sylens – ก็ต้องขอโทษด้วยนะ ที่ข้ายังห่วงชะตากรรมของโลกนี้อยู่
Aloy – แต่ชั้นคิดว่า ... พวกหมอผีของ Banuk ต่างก็ฝังสายเคเบิ้ลสีฟ้าๆเล็กลงในผิวหนังใช่มั๊ย? บังเอิญมันเหมือนกับใครคนนึงที่เรารู้จักเลยว่ามั๊ย? บางทีเหตุผลที่คุณพยายามไม่ให้ชั้นไปที่ดินแดนของ Banuk คงเพราะคุณไม่อยากเปิดเผยอดีตของตัวเองก็ได้มั้ง 
Sylens – ไม่ใช่เรื่องข้าอดีตหรอกของข้าหรอกที่เจ้าต้องห่วง Aloy อนาคตมากกว่าที่น่าห่วง บางทีมันอาจจะไม่เหลืออยู่อีกก็ได้ ทำไมเจ้าไม่หลุดพล่ามแล้วกลับไปทำอะไรที่มันดีกว่านี้ล่ะ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของเจ้าอยู่แล้วอ่ะนะ ที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองอยู่ตลอดแบบนี้ 
Aloy – อืมม ชี้งอลซะด้วย 

จากนั้น ปีนเขาขึ้นไปตามทางจนถึงด้านบนสุดจะเริ่มพบกับสัตว์จักรกลรูปแบบใหม่ที่ชื่อ Scorcher ที่เดินอยู่ในพื้นที่ Scorcher คือสัตว์จักรกลแบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน DLC นี้



มันคือหมาป่าหิมะผสมกับเสือชีตาร์ ที่แม้มันจะเป็นหมาป่าในเขตหิมะแต่มันสามารถโจมตีด้วยไฟที่รุนแรงได้แถมยังต้านไฟแต่ดันแพ้น้ำแข็งอีก จัดการมันซะแล้วเข้าไปตามทางต่อ ตามผลึกสีฟ้าเรืองแสงไปเรื่อยๆจนผ่านทางเข้าถ้ำทะลุเข้ามาด้านใน ระหว่างทาง Aloy จะพบภูเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปแต่ก็พ่นควันและเถ้าถ่านพุ่งกระจายปกคลุมหมู่บ้านจนแสงอาทิตย์ไม่อาจส่องถึง



Aloy – ควันมากมายออกจากภูเขานั่นมาปกคลุมถึงหมู่บ้านนี้ด้วย เพราะอะไรกันนะ? จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ที่ร้ายแรงขึ้นแน่ๆเลย ชาวบ้านถึงหนีออกจากหมู่บ้านนี้จนเกือบหมด 



เดินทางเข้าไปจนถึงด้านในหมู่บ้าน Song’s Edge ของเผ่า Banuk และพบว่ากลุ่มนักล่ามากมายกำลังดูพวกหมอผีแห่งเผ่า Banuk กำลังทำพิธีกันอยู่


Burgrend – เตรียมชมภาพหาชมยากได้เลยนะ Nora ข้าชื่อ Burgrend เป็นคนส่งเสบียงในยามฉุกเฉิน หลายครั้งแล้วที่ชาว Banuk ต้องทำพิธีเผาศพคนตาย แต่ไม่เหมือนแบบวันนี้





Aloy – เพราะครั้งนี้ไม่มีการพบศพใช่มั๊ย?
Burgrend – อืมม เป็นอะไรที่โหดร้ายมาก พวกนั้นมีแต่นักรบระดับเทพๆทั้งนั้น หายสาบสูญหมด พวกเขาเลยต้องทำพิธีที่แตกต่างจากเดิม



Aratak – จับหอกของพวกเจ้าขึ้นมาเหล่านักรบของข้า !! แล้วจงไปฆ่ามัน  เพื่อเหล่านักล่าแห่ง Banukผู้ล้มตายที่อาสาออกไปล่าเครื่องจักรร้าย ให้ดวงวิญญาณพวกเขาล่องลอยไปสู่ท้องฟ้าสีครามอย่างสุขคติในอาณัติแห่งออร่าสีฟ้าที่เราบูชา เรื่องราวของพวกเขานั้นจบสิ้นลงแล้ว …แต่การต่อสู้ของพวกเรายังไม่จบ !! อีกไม่นานเราจะออกล่าอีกครั้ง เราจะลุกขึ้นสู้กับไอ้ปีศาจเครื่องจักรบ้าที่มันรุกรานเรา ก่อนอื่น ข้ามีบางอย่างจะถามพวกเจ้า .. พวกเจ้าพร้อมที่จะเรียกความกล้าออกมาจากตัวพวกเจ้าเพื่อพี่น้องเราที่ตายไปหรือเปล่า ? พวกเจ้ากล้าที่จะสู้และตายอย่างที่พวกเขาทำหรือเปล่า ?!!
Signutai – ความกล้าหาญของข้า ! หอกของข้า !!
Ruatuk – เลือดของพวกเรา เป็นของท่าน Aratak !!
Aratak – เราคือ Banuk ศัตรูของเราคือเหยื่อในการล่าของพวกเรา !! 




Aloy – ปีศาจ ? .. นั่นหมายถึงสัตว์จักรที่บ้าคลั่งหรือเปล่า?
Burgrend – พวกเครื่องจักรมันก็บ้าคลั่งจอมทำลายล้างไปตามประสาของมันอยู่แล้ว แล้วดูพวกเขาสิกำลังคิดจะทำอะไรกัน ? ยังจะเสนอหน้ากลับขึ้นไปที่นั่นกันอีก โง่เง่าสิ้นดี ข้าจะแนะนำให้ฟรีๆเลยนะ ... อ่า?
Aloy – Aloy 
Burgrend – อ่า Aloy ..ข้ามาอยู่ที่นี่มา 2 หน้าหนาวแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจพวก Banuk เลย เรื่องวุ่นวายมันเริ่มจาก 1 ในพวกหมอผีของ Banuk ที่ชื่อ Ourea ไปทำพิธีบางอย่างกับบ่อน้ำพุที่เป็นความเชื่อเรื่องวิญญาณและปีศาจบนภูเขาไฟ Thunder Drum พวกเขาเดินแถวขึ้นไปบนภูเขานั่น จากนั้นครึ่งหนึงของทั้งหมดก็ถูกพวกเครื่องจักรฆ่าตายหมด หลังจากพวกของ Ourea หายสาบสูญไป ข้าคิดว่าพวกนั้นมันบ้ามากเลยที่ติดตามเธอขึ้นไปที่นั่น แต่เปล่าเลย เพราะตอนนี้มีคนที่โง่กว่าเพราะ Aratak กำลังจะเตรียมตัวที่จะขึ้นไปที่นั่นกันอีก !



Aloy – [Ourea] แล้วหมอผี Ourea คือคนนึงที่พูดถึงเรื่อง ปีศาจ นั่นหรอ?
Burgrend – ใช่ แล้ว Ourea ก็ยังมาบอก Aratak และคนอื่นๆว่าเจ้าปีศาจนั่นมันอยู่บนภูเขานั่นแล้วพวกเขาก็ดันเชื่อเธอซะด้วยนะ
Aloy – แต่คุณไม่เชื่อ ?
Burgrend – ฟังนะ ข้าไม่สนหรอกว่า Ourea จะไปพบอะไรบนนั้น เพราะพวกหมอผีไม่ยอมบอกอะไรกับคนต่างถิ่นอย่างข้า แต่ที่แน่ๆพวกสัตว์จักรกลที่ The Cut มันดุร้ายมากๆ เพราะงั้นเขาถึงเรียกพวกมันว่า ปีศาจ หรือไม่พวกหมอผีนั่นก็คงเป็นพวกประสาทไม่ดีล่ะมั้งถึงคิดแบบนั้น Ourea ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยจะได้อธิบายให้ฟังได้ อยู่ๆเธอก็ออกเดินทางไปโดยไม่มีใครรู้เลยว่าทำไม

Aloy – [Aratak] แล้ว Aratak กำลังรวมพลพวกนักรบอยู่แถวๆนี้หรอ?
Burgrend –  Aratak เขาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ความเห็นของเขาจึงเป็นที่น่าเชื่อถือของคนอื่นๆในคณะมากๆ ที่เจ้าได้ยินมาน่ะยังน้อย ผู้คนมักจะเรียกคนอยากเขาว่า ชายสมชาย ที่แม้ความตายก็ไม่ไหวติง
เห็นเป็นคนเงียบๆแบบนั้นแต่ตอนที่เขากับ Qurea เข้ามาที่เมืองกับกลุ่มของพวกเขา เขาชักนำชาว Banuk จากต่างถิ่นเข้ามาที่เมืองนี้มากมายอย่างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แล้วเจ้ารู้มั๊ยข้าเห็นอะไร ช่องทางหาเงินเล็กน้อยๆ ของๆข้าจะได้ขายยาวไปจนรายได้เป็นกอบเป็นกำเอาไปยืนยันคนที่เผ่าข้าได้ไงละ แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางไปเป็นเหยื่อคำเขี้ยวของพวกจักรกลจนตายหมด ช่างเป็นกลุ่มลูกค้าที่ดีจริงๆ 

Aloy – [Sylens] แล้วคุณรู้จักคนที่ชื่อ Sylens บางรึเปล่าล่ะ สูงๆ หน้าตาจริงจังๆหน่อย แล้วก็ฝังพวกสายเคเบิ้ลตามร่างกายเหมือนพวกหมอผีของที่นี่อ่ะ
Burgrend –  อ่า เหมือนข้าจะเคยได้ยินชื่อนี้ครั้งสองครั้งอ่ะนะ ได้ยินกิตติศักดิ์เขามาตลอดแหละ เหมือนเป็นผีไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง แล้วพวก Babuk ก็เหมือนจะไม่อยากจะจดจำอะไรเกี่ยวกับเขาด้วย แต่ข้าก็ประทับใจในตัวเขานะที่กล้าทำความลำบากใจให้สภาของเผ่าได้ หรือสภาทำความลำบากใจให้เขาก็ไม่รู้นะ 
Aloy – สภาเผ่าหรอ ?
Burgrend –  ก็พวกหมอผีระดับสูงทั้งหมดใน Ban –Ur นั่นแหละ มีมาตั้งแต่ยุคโบราณมาแล้ว ข้านึกไม่ออกจริงๆว่าพวกเขาใส่ไอ้ที่สวมหัวบ้าๆนั่นแล้วจะมุดเข้าเต็นท์ที่พักได้ยังไง เห็นว่าเขาเคยไปงานเลี้ยงของ Ourea ด้วย แต่พอชั้นถามเธอว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เธอกลับทำท่าหยาบคายใส่ข้าซะอย่างงั้นแหละ

Aloy – [Daemon] ชั้นอยากจะได้ข้อมูลของเจ้าปีศาจนั่นเพิ่มหน่อย 
[Burgend] – พูดบ้าๆน่า Aloy 
Aloy – หรือไม่ก็อะไรก็ได้ที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของเจ้าเครื่องจักรนั่นก็ได้



[Burgend] – งั้นเจ้าก็คงต้องไปถาม Ourea แล้วล่ะ ก่อนอื่นเจ้าก็ต้องไปตามหาตัวเธอก่อน มีคนเห็นเธอล่าสุดว่าเธอเดินทางไปที่ภูเขาที่ชื่อ Icerasps ข้าได้ยินมาว่ามีแต่พวกหมอผีเท่านั้นแหละที่รู้เส้นทางในการปีนไปถึงยอดภูเขาน้ำแข็งนั่นได้ อืมมม ...ข้าพอรู้และว่าจะให้เจ้าไปเรียนรู้เส้นทางจากไหน Naltuk เขามักจะเดินทางไปทางเหนือของแม่น้ำเพื่อตามหาเบาะแสของข่าวลืออยู่บ่อยๆ
Aloy – ข่าวลืออะไรหรอ ?
[Burgend] – ข่าวไม่ดีนักหรอก ว่ากันว่ามันมีการลอบโจมตีจากสัตว์จักรกลรูปแบบใหม่ที่ไม่มีใครเห็นมาก่อน
Aloy – เอาละ ตอนนี้ชั้นชักจะสนใจเรื่องสัตว์นั่นอย่างจริงๆจังๆขึ้นมาแล้วสิ ขอบคุณที่คุยด้วยนะ Burgend ..ก่อนอื่น ถ้าหาก Aratak มีข้อมูลเกี่ยวกับ Ourea หรือภูเขา Thunder’s Drum ก็อาจจะทำให้ชั้นเหนื่อยน้อยลงก็ได้


หลังจบเหตุการณ์จะได้ภารกิจใหม่มาคือ Side Quest : THE SHAMAN’S PATH แต่ก่อนจะเข้าไปดำเนินภารกิจต่อไป ที่หมู่บ้าน Song’s Edge จะมีพ่อค้าที่มีอาวุธและชุดรูปแบบใหม่ที่เพิ่มเติมมาใน DLC The Frozen Wilds อยู่ ซึ่งจะสังเกตเห็นเป็นสัญลักษณ์รูปพ่อค้าสีน้ำเงินในแผนที่


                    ชุดใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาใน DLC The Frozen Wilds นี้ประกอบด้วย


-Banuk Werak Runner (ค่อยๆฟื้น HP ทีละนิดขณะเดินทาง) [ใช้ Desert Glass x10 / Slagshine Glass x10 / 1000 Metal Shards]
-Banuk Ice Hunter Master [ใช้ Bluegleam 14 ก้อน]
-Carja Blazon Master [ใช้ Bluegleam 16 ก้อน]
-Nora silent Hunter Master [ใช้ Bluegleam 18 ก้อน]




                    อาวุธใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาใน DLC The Frozen Wilds นี้ประกอบด้วย



-Bunuk Champion Bow [ใช้ Bluegleam 12 ก้อน]
-Bunuk Powershot Bow [ใช้ Bluegleam 14 ก้อน]
- Banuk Striker Bow [ใช้ Bluegleam 16 ก้อน]


ของสะสมที่เพิ่มเติมเข้ามาใน DLC The Frozen Wilds นี้ประกอบด้วย
-Animal Figurines
-Pigment
- Bluegleam



Bluegleam คือผลึกสีฟ้าหายากที่เป็นไอเทมพิเศษสำหรับใช้แลกซื้อของพิเศษต่างๆที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ใน DLC The Frozen Wilds โดย Bluegleam จะอยู่ตามที่ต่างๆเฉพาะในเขตหิมะของเผ่า Banuk เท่านั้น


นอกจากนี้ Bluegleam ยังมีอยู่ใน Treasure Boxes ในเซ็ท Banuk Bluegleam Boxes (กล่องสีม่วงเรืองแสง) ที่มีขายตามร้านค้าต่างๆอีกด้วย (ร้านค้านอกพื้นที่ Banuk ก็มีขาย)



สัญลักษณ์พ่อค้าที่อยู่ด้านบนสุดของหมู่บ้านก็คือที่อยู่ของ Sekuli ศิลปินสาวชาว Banuk ที่ทำหน้าที่วาดภาพฝาพนังตามก้อนหินต่างๆด้วยสีสรรต่างๆนานาอย่างสวยงาม


 โดยเธอจะเป็นแม่ค้าที่รับแลก Pigment หรือสีย้อมที่เก็บได้ตามที่ต่างๆกับ Treasure Boxes ในเซ็ทของ Collectable Pigment


และเพื่อความสะดวกในการค้นหาไอเทมสะสมทั้ง 3 ชนิดก็ควรหาซื้อแผนที่ระบุตำแหน่งของ Animal Figurines , Pigment และ Bluegleam ได้ในเมนู Spaecial Item ในร้านค้า



                ซึ่งจะทำให้สามารถเห็นจุดของไอเทมสะสมทั้ง 3 ชนิด ในแผนที่ได้โดยง่าย



Banuk Shaman – เมื่อครั้งที่คนยุคก่อนเพิ่งตายลงใหม่ เนื้อหนังพวกเขายังสดใหม่ในสุสาน ฝองเรานั้นยังเยาว์ก็ได้เธอพูดนั้นนำทางเรามายังดินแดนหิมะแห่งนี้ พวกเราจำกันได้ถึงเผ่า Ravenous 
ที่แสนตะกละ ที่พึ่งพอใจอย่างมากในการกัดกินไขจากกระดูกที่แตกหักของพวกเรา ไม่ว่า Banukai และกลุ่มของเธอจะหลบหนีไปที่ไหน พวก Ravenous ที่แสนตะกละก็ยังคอยตามไม่เคยห่าง Banukai จึงไม่รอช้าที่ต้องหาทางที่จะกำจัดพวกมัน และในคืนนึงที่เธอหลับฝันท่ามกลางคืนที่หนาวเหน็บ เธอฝันถึงแสงที่นำพาเธอไปยังอีกฝั่งของโลก สถานที่ที่เงียบสงบที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งที่เป็นผลึกสีน้ำเงิน และเธอก็ได้เห็นบางอย่างที่แปลกใหม่ เธอเห็นฝูงเครื่องจักรที่เติมเต็มผลึกสีฟ้าให้แก่กัน จนเมื่อเธอตื่นขึ้น Banukai ก็ออกตามหาสถานที่แห่งนั้นในทันที เธอเดินทางผ่านคืนผ่านวันอยู่นานจนพบพานกับวิหารที่แวววาวดุจน้ำแข็ง และที่หน้าทางเข้าของวิหารเธอก็พบเครื่องจักรที่เธอเห็นในฝัน แถมยังก้มคำนับเธอก่อนจะพาเธอเข้าไปด้านใน

ด้านใน Banukai เห็นผลึกสีน้ำเงินมากมายที่ผุดขึ้นมาจากหลุม “ท่านสั่งให้ข้ามาที่นี่หรอ” Banukai พูดออกไป “คนของข้าต้องการความช่วยเหลือ ท่านจะช่วยได้หรือเปล่า ?” เครื่องจักรกระซิบตอบ Banukai “เราจะไปยังที่ที่อับแสงเพื่อคนที่ถูกเลือก” ความมืดที่เกาะกินจิตใจเจ้าอาจทำให้ครอบครองแสงเอาไว้ได้ไม่นาน จงนำมันไปให้คนของเจ้าหากเจ้าต้องการ  แต่เจ้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน Banukai ไม่รอช้าที่จะเดินลุยลงไปในหลุม แสงมากมายลอยขึ้นมาเกาะฝังตามผิวหนังจนทำให้ร่างกายเธอลอยขึ้นมา Banukai ไม่ได้กรีดร้องแม้จะทรมาน เธอไม่ได้หมดสติ แต่ก็ทำให้เธอถึงกับแขนขาสั่น จนเธอคลานขึ้นมาจากหลุม แสงไฟสีฟ้าฝังเต็มอยู่ทั่วร่างกาย Banukai รีบเดินทางกลับไปหาคนของเธอพร้อมด้วยเครื่องจักรที่ตามเธอมาติดๆ เธอเดินทางท่ามกลางแสงที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้หลุดออกจากร่างกายเธอโดยมีเครื่องจักรที่ตามมาคอยช่วยเหลือ จน Banukai ต้องเย็บร่างกายของเธอด้วยสายเคเบิ้ลก่อนเสริมด้วยแผ่นเศษเหล็กเข้าไปเพื่อเก็บแสงให้อยู่ในร่างกายเธอ 

เมื่อเธอเดินทางมาถึงก็ได้เห็น เผ่า Ravenous ที่แสนตะกละกำลังล้อมแค้มป์ที่พักของคนของเธอ แสงมากมายนับพันที่เธอกักเก็บไว้ในร่างกายก็ถูกปล่อยออกมาด้วยพลังที่รุนแรงพร้อมกับการโจมตีของพวกจักรกลใส่พวกเผ่า Ravenous จนทำให้พวกมันต้องตายลงมากมาย คนของ Banukai ที่อยู่ในค่ายจึงรีบเข้ามาร่วมต่อสู้กับ Ravenous ด้วยอาวุธที่ได้จากซากของเครื่องจักร จนคนของ Banukai สามารถชำระแค้นเหล่านักรบของเผ่า Ravenous ที่แสนตะกละลงได้ในที่สุด เมื่อทุกอย่างจบลง Banukai ก็หมดแรงล้มลง เหล่าเครื่องจักรก็โค้งคำนับให้ ส่วนคนของ Banukai เองก็ร่ำไห้ด้วยความเสียใจ แสงสีฟ้าที่ติดตัวเธอมามากมายก็ล่องลอยขึ้นสู้ฟากฟ้า และก่อนที่วิญญาณของ Banukai จะแตกสลาย เธอก็รู้ถึงความจริงแห่งแสงสีฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย และตายอย่างสุขคติ พวกเราจึงจดจำ Banukai ผู้นำคนแรกที่ยอมคลานขึ้นมาจากถ้ำที่ต่ำตมเพื่อนำความหวังและเครื่องจักรมาสู่เรา และเมื่อเราเอ่ยถึงชื่อของเผ่าเรา “Banuk” เราก็จะจดจำและนึกถึงเธอไม่มีวันลืม 


นอกจากนี้ ที่หมู่บ้าน Song’s Edge ยังมีจุดเครื่องหมาย ! สีเขียวซึ่งเป็นจุดของชาวบ้านที่มี Side Quest ให้ทำ 2 ภารกิจ คือ
- Side Quest: WATERLOGGED รับจาก Laulai
-Errands Quest A SECRET SHARED จาก Kamut



                                            Side Quest: WATERLOGGED





Aloy – เธอดูเศร้าจังคนแปลกหน้า ชั้นได้ยินเธอพูดถึงเรื่องน้ำท่วมมีอะไรหรอ?
Laulai – ใช่ มันเกิดน้ำท่วมขึ้นอย่างฉับพลันโดยไม่มีฝนตกหรืออะไรมาอธิบายได้เลย ข้าชื่อ Laulai เป็นมือกลองแห่ง Deep Din หรืออย่างน้อยก็เคยเป็นก่อนทุกอย่างจะจมอยู่ใต้น้ำนั่นแหละ
Aloy – Deep Din คือ ??
Laulai – มันคือโพรง หลุม ที่คนยุคก่อนสร้างไว้สำหรับกักเก็บน้ำและเป็นห้องซ้อมดนตรีที่แรกในชีวิตของชั้นด้วย ชั้นคงจะอธิบายได้ดีกว่านี้ถ้าได้เล่นให้เจ้าฟัง ถ้าทำได้อ่ะนะ แต่เครื่องดนตรี ท่อพวกมันมันจมน้ำมันแล้วนะสิ 

Aloy – [Musical Instrument] เครื่องดนตรีหรอ? มันคืออะไรอ่ะ
Laulai – ท่อพวกนั้นมันให้เสียงที่ดีมากๆเลย ยิ่งถ้าดังผ่านในห้องที่มีน้ำเสียงมันออกมามหัศจรรย์มากๆ ที่นั่นเป็นสิ่งก่อสร้างของคนยุคก่อนที่ยอดเยี่ยมมากมันสามารถสร้างสรรค์เสียงดนตรีเพราะมันทำให้เสียงดนตรีกระจายไปได้ไกลมาก แม้ระหว่างสงครามพ่อของชั้นยังเล่นดนตรีจากท่อพวกนั้นในการปลุกขวัญนักรบ Banuk ในการรบกับ Carja เลย ตอนนี้ชั้นเป็นมือกลองแทนพ่อแล้ว สงครามมันจะมีต่อไปมั๊ยก็ยังไม่แน่แต่ที่แน่ๆชั้นเล่นดนตรีเพราะมันมีความสุขและมันทำให้นึกถึงครอบครัวของชั้นได้ดีที่สุด ถ้าน้ำไม่ลดลงชั้นก็คงไม่มีอะไรที่ทำให้มีความสุขหรือไม่มีอะไรให้จดจำอีกมั๊ยล่ะ?

Aloy – [Sudden Deluge] น้ำมันท่วมอย่างรวดเร็วมากเลยหรอ?
Laulai – จากที่แห้งๆอยู่ แค่วันเดียวน้ำก็เอ่อขึ้นมาจากใกล้ๆแม่น้ำแล้วทุกอย่างก็ถูกท่วมหมดทันที ชั้นไม่เข้าใจจริงๆ ไม่มีฝนตกด้วย ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลย
Aloy – [Where is this place?] น้ำท่วมโดยที่ไม่มีฝนตกงั้นหรอ แปลกมากเลย ที่ที่ว่ามันอยู่ตรงไหนหรอเผื่อชั้นผ่านไปแถวนั้นจะได้แวะดูซะหน่อย 
Laulai – ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน เข้าไปดูหรืออยากจะทำอะไรก็ทำตามใจเจ้าได้เลย เพราะน้ำมันก็ท่วมอยู่เหมือนเดิม ใครจะไปบอกให้น้ำมันลดได้กันล่ะ ?

จากนั้นเดินทางไปยังเป้าหมายของภารกิจที่เป็นลำธารที่เต็มไปด้วยพวก Daemonic Snapmaw
อยู่เต็มไปหมด ที่นี่คือสถานที่ที่ Laulai บอกว่ามันเคยเป็นที่ซ้อมดนตรีของเธอจนมีน้ำเข้ามาท่วมเต็มไปหมด เดินสำรวจต่อไปโดยขึ้นไปด้านบนที่ต้นแม่น้ำเรื่อยๆจะพบว่ามันคือเขื่อนขนาดใหญ่ที่ชื่อ GREYCATCH


                                                เขื่อน GREYCATCH

มุดเข้าไปด้านในทางเข้าแล้วปีนขึ้นไปด้านบนจนถึงห้องควบคุมหลักของเขื่อน สำรวจให้ทั่วๆจะพบประตูทางขวาที่แผงควบคุมการเปิดนั้นมีแกนหมุนรหัสที่หายไป 1 อันและ แผงควบคุมหลักกลางห้องที่ไม่มี Power Cell สำหรับให้พลังงาน ในขณะนั้นจะได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกให้ช่วยจากห้องด้านในฝั่งซ้าย เข้าประตูซ้ายที่เปิดได้ไปจะพบทางลงบันไดไปด้านล่างก็จะสามารถเปิดประตูจากอีกด้านให้ชายที่ถูกขังอยู่หลุดออกมาได้


Gildun – เจ้า ..เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าทำให้ข้ามีความสุขแค่ไหน ฮ่าๆ ข้านึกว่าจะหนาวได้เพราะเตาหลอมมันพังซะแล้ว ฮ่าๆ แต่ยัง ยัง ตาแก่ Gildun ยังไม่ตายง่ายๆเว้ยยย
Aloy – ด้วย ..ด้วยความยินดี ...อ่า เดี๋ยวๆ เอาแต่แรกเลยนะ เล่าหน่อยทำไมคุณถึงมาติดอยู่ในนี้อ่ะ
Gildun – โอ้ ข้าต้องขอโทษด้วยลืมไปเลย เวลาเราที่คนเราพูดกับตัวเองมากไป เราก็จะสามารถเล่าเรื่องที่เราต้องการเมื่อไหร่ก็ได้  ... ที่นี่มันก็เหมือนห้องเก็บวัตถุโบราณขนาดใหญ่และข้าก็ได้สิทธิ์ที่จะถือครองที่นี่อย่างไม่ยากเลยละ ถ้าไอ้ประตูบ้านั่นจะเลื่อนมาปิดขังข้าซะก่อน แต่มันก็ทำให้ข้ามีเวลามากพอที่จะขุดค้นที่นี่ ข้าค้นหาจนทั่วแล้ว ทุกที่ที่เข้าได้ แต่ก็ โชคยังไม่เข้าข้างเท่าไหร่ เพราะดันไปกดปุ่มนั่นเข้า ก็บอกแล้วว่าโชคไม่ค่อยดี มันก็เลยทำให้ห้องทั้งห้อง ...น้ำท่วมไปหมด ก็ ไม่ท่วมเยอะหรอก ... แต่พอข้ากดปุ่มนั่นอีกครั้ง นึกว่ากดน้อยไป จากนั้นก็เกิดไฟช็อต ไฟไหม้ควันคลุ้งไปหมด ...ก็รู้แล้วนะว่าข้ามาที่นี่เพราะต้องการสำรวจที่นี่ ..แต่ถึงยังไงก็คงต้องการความช่วยเหลือบางนิดหน่อยในการเลื่อนสะพาน ก็ถ้าสะพานมันเลื่อนลงได้ ข้าก็จะได้ทำงานสะดวกขึ้นกว่านี้  แต่ข้าก็ไม่ละความพยายามหรอกนะ แต่ไอ้ประตูบ้านี่ก็ดันมาปิดขังข้าอีก นั่นแหละคือทั้งหมดที่ทำให้ข้าต้องมาอยู่ตรงนี้ 

Aloy – [Artifact?] คุณพูดถึงชิ้นส่วน สิ่งประดิษฐ์โบราณ มันคืออะไรหรอ? 
Gildun – ใช่แล้ว ที่นี่เป็นเหมือนที่เก็บสมบัติจากคนยุคก่อนไว้มากมาย แต่มีอยู่อันนึงที่ข้าต้องการมากที่สุด มันเป็นสิ่งของสิ่งนึงที่ทำมาจากแก้ว ข้าเคยเห็นมันมาครั้งนึง แม่ข้าเป็นคนเอามาให้ข้าอันนึงจาก จาก จากที่ไหนซักแห่งที่แม่เอามานั่นแหละ ข้าจำได้ดีเลยละ ยืนจ้องมันอยู่ตรงหน้า แม่ข้าก็เอามือมาจับไหล่แล้วยิ้ม
Mum 
Aloy – อะไรที่ดูเหมือนแก้วนั่นมันอยู่ในห้องเก็บของงั้นหรอ?
Gildun – โอ้ ใช่ ข้ามั่นใจเลยล่ะ ข้ามองเข้าไปในช่องเล็กๆเห็นมัน แม้จะมืดหน่อยแต่ข้าว่าใช่แน่นอน ข้าต้องจะหามันมาให้ได้ซักอันมานานแล้ว และตอนนี้แหละที่ข้าว่าข้าจะทำมันให้ได้

Aloy – [Ring?] แต่มันก็ไม่มีทางเข้าไปที่ห้องเก็บของนั่นได้ ถ้าเราไม่หาชิ้นส่วนวงแหวนที่จะใช้กับแผงควบคุมปลดล็อกประตูนั่นก่อน 
Gildun – เจ้าคิดงั้นหรอ? ยอดเยี่ยมมากเลย ถือว่าเป็นข่าวดีแล้ว และยิ่งดีเข้าไปใหญ่เพราะเจ้ามีสองมือข้าก็มีสองมือ ถ้าช่วยกันละก็ เฟอร์เฟคเล๊ยย เจ้าจะเป็นผู้ช่วยของข้า นอกจากเป็นผู้ช่วยชีวิตข้าแล้วอ่ะนะ แน่นอนทำไมล่ะ เจ้าเป็นหุ้นส่วนข้าด้วยก็ได้ ถ้าเราร่วมมือกันรับรองเราเข้าไปที่ห้องเก็บของนั่นได้แน่นอน 
Aloy – อย่าบอกนะว่าคุณเป็นคนทำวงแหวนที่จะใช้กับแผงควบคุมปลดล็อกประตูนั่นตกน้ำน่ะ?
Gildun – แหม่ ก็นะ ข้ายอมรับก็ได้ ข้าทำไอ้วงแหวนบ้านั่นตกน้ำเองแหละ..  ข้าไม่อยากปิดบังอะไรกับเจ้าตั้งแต่เริ่มร่วมงานกันหรอกมันจะทำให้ไม่เชื่อใจกันเปล่าๆ

Aloy – [Broken panel?] แล้วที่คุณว่าคุณเจอปุ่มที่ควบคุมจนทำให้เกิดน้ำท่วมล่ะ?
Gildun – มันเป็นอุบัติเหตุนิดหน่อยน่า
Aloy – แต่คุณก็กดปุ่มนั่นอีกครั้ง
Gildun – นั่นก็อุบัติเหตุเหมือนกันไง
Aloy – แผงควบคุมนั่นเป็นทางเดียวที่เราจะทำให้น้ำมันกลับเป็นปกติ แต่บอกเลยว่ามันคงไม่ง่ายหรอกนะ
Gildun – ห้องเก็บของนั่น เจ้าอาจจะได้เจอชิ้นส่วนใหม่ๆที่เจ้าต้องการก็ได้นะ ข้าพูดถูกมั๊ย?



Aloy – [All right I’ll help] งั้นเราก็ต้องไปหาไอ้ที่ใส่แผงควบคุมเพื่อจะเปิดประตูห้องเก็บของนั่นแล้วชั้นก็จะซ่อมแผงควบคุมเพื่อทำให้ระดับน้ำมันเป็นปกติ
Gildun –  และข้าก็จะเจออะไรที่มันเหมือนแก้วนั่น
Aloy –  เอาล่ะ Gildun เราไปหาไอ้วงแหวนที่ใส่แผงควบคุมนั่นกันได้ยัง?


คุยจบเดินตาม Gildun ไปจนเขาหยุดรอที่ที่แกนหมุนตัวแรกฝั่งซ้าย ปีนขึ้นไปชั้นบนจะเจอที่มุดเข้าไปจนสุดทางจนเจอบันไดทางขึ้นด้านบนอีกด้าน ขึ้นมาแล้วไปตามทางจนเจอบันไดลงชั้นล่างต่อ ลงไปตามทางจะลงมาที่แกนหมุนด้านขวาตรงข้ามกับที่ Gildun ยืนรออยู่ จัดการปลดล็อกบันไดทางซ้ายลงไปในน้ำก่อนแล้วค่อยไปหมุนแกนหมุน ช่วยกันหมุนคนละด้านกับ Gildun จนทำให้ประตูเหล็กลงมาปิดทางน้ำทำให้น้ำในห้องนี้ลดลง


ทำให้ Gildun วิ่งข้ามมาฝั่งขวาได้ จากนั้นตามเขาลงบันไดเล็กที่ปลดลงไปด้านล่างต่อจนถึงพื้นที่ด้านล่างที่มีแผ่นเหล็กแหวนอยู่กลางน้ำ


เมื่อโดดข้ามไปฝั่งตรงข้ามให้โดดต่อไปทางฝั่งซ้ายจะพบบันไดปีนขึ้นชั้นบน โดดข้ามทางขาดไปฝั่งตรงข้ามจะพบแกนหมุนและบันไดเล็กใกล้ๆกัน


จัดการปลดล็อกบันไดให้ลงไปด้านล่างเพื่อให้ Gildun ปีนขึ้นมาได้แล้ว Gildun จะมายืนรอที่แกนหมุน จากนั้นปีนบันไดตรงแกนหมุนขึ้นไปชั้นบนต่อตามทางจนถึงแกนหมุนฝั่งขวา แต่ดูเหมือนมันจะติดไม่สามารถหมุนได้


มองขึ้นไปด้านบนจะพบแท่นปูนอยู่ จากนั้นปีนแผงเหล็กที่อยู่ใกล้ๆ ขึ้นไปจนถึงด้านบนสุดจะมีที่ทิ้งตัวลงมาที่ด้านบนแท่นปูน



น้ำหนักของ Aloy จะทำให้แท่นปืนเลื่อนลงไปด้านล่างจนสามารถโดดไปเกาะที่ทางเดินไปยังแกนหมุนฝั่งซ้าย เมื่อหมุนแกนหมุนพร้อมๆกับทาง Gildun จะทำให้ประตูน้ำปิดลง Gildun จึงลงไปชั้นล่างต่อได้


แต่ด้านล่างจะมีเจ้า Snapmaw อยู่ Aloy จึงต้องรีบลงไปช่วยจัดการมันให้เร็วที่สุด ลงไปจัดการ Snapmaw ซะแล้วเข้าประตูตรงที่ Gildun ยืนรออยู่ไปด้านในต่อ เมื่อลงมาที่ชั้นล่างของห้องด้านในจะเจอปริศนาท่อน้ำ ที่ต้องปรับมุมของท่อให้ลำเลียงพลังน้ำไปที่มอเตอร์ของเครื่องปั่นไฟเพื่อทำให้พลังงานของเครื่องกลับมาทำงาน


จัดการปรับท่อเพื่อเชื่อมต่อพลังน้ำไปจนถึงมอเตอร์ขนาดใหญ่ให้เรียบร้อย (ตามภาพ) ก็จะทำให้มอเตอร์เครื่องปั่นไฟเริ่มทำงานอีกครั้ง จากนั้นเข้าไปที่ประตูฝั่งซ้ายของมอเตอร์เพื่อเก็บ Drummer Weapon Coil มาก่อน แล้วค่อยปีนบันไดย้อนกลับมาที่ห้องควบคุมแรกอีกครั้ง


ในห้องควบคุมนำเอาแกนหมุนที่ได้มาใส่ไปที่แผงรหัสสำหรับเปิดประตูด้านขวาของห้อง แล้วสแกนดูรหัสที่แผงควบคุมแล้วหมุนรหัส [ซ้าย – บน – ล่าง – บน – ขวา] จะทำให้ประตูเปิดออก Gildun จะเข้าไปค้นหาไอเทมที่เขาตามหา ตามเข้าไปเก็บไอเทมในห้องให้หมดแล้วเข้าไปคุยกับ Gildun



Aloy – Gildun ทุกอย่างโอเคมั๊ย?
Gildun – ข้ามั่นใจนะว่าตอนแรกข้าเห็นว่ามันเป็นแก้ว ข้าว่าข้ามั่นใจนะ ...เฮ้ออ .. หน้าต่างนั่น ชัวร์เลย แสงมันคงสะท้อนน่ะ เลยทำให้มันดูเหมือนแก้วแน่นอน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
Aloy – เสียใจด้วยนะ Gildun ชั้นรู้ว่ามันมีความหมายต่อคุณมาก
Gildun – ก็นะ ..ก็เหมือนพวกของเก่าทุกชิ้นจากยุคเก่า มันมีค่าสำหรับข้าเหมือนๆกันนั่นแหละ ข้าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อะไรจะดีเท่ากับได้ค้นหาว่ามั๊ย? นั่นแหละเขาถึงว่าการค้นหามันสำคัญมากกว่าสมบัติที่ได้ไงนังหนู ที่ผ่านมาได้อะไรน่ะหรอ มันทำให้ข้ารู้สึกมีไฟขึ้นมาทุกครั้งที่ออกค้นหาไงล่ะ ข้าไม่มีวันลืมความรู้สึกนั้นหรอก ข้าว่าเดี๋ยวเราก็หาอะไรต่างๆนานามาซ่อมแซมให้หายเบื่อไปบ้างแหละน่า 

จากนั้นเข้าไปสำรวจที่แท่ควบคุมหลักเพื่อเปิดระบบของเขื่อนทั้งหมด


Gildun – ลองกดเลยนะ ...... ว้าวววว ... ดูนั่นดิมันดูไปได้สวยเลยว่ามั๊ย ฮ่าๆๆ แล้วไงต่อ เวิร์คป่ะเนี้ย
 Aloy – ชั้นว่าเวิร์คนะ เครื่องมันทำงานแล้วล่ะ
Gildun – ให้ตายเหอะ เจ้านี่มันเจ๋งจริงๆนังหนู  เคยทำแบบนี้มาบ่อยมั๊ยเนี้ย ข้าเดาไม่ออกในสิ่งที่เจ้าจะทำเลยจริงๆนะ
Aloy – ชั้นก็ เอ่อ ..เคยทำมาแค่ครั้งสองครั้งแค่นั้นแหละ
Gildun – โอ้ว ถ่อมตัวอีกแล้ว ผู้เชี่ยญชาญเกี่ยวคนยุคก่อนตัวจริงเลยสิไม่ว่า พวกนักขุดค้นส่วนใหญ่มันจะคุยโค้โออวดแต่เจ้าเลือกที่จะถ่อมตัว
Aloy – แต่ ชั้นไม่ได้ทำมันคนเดียวซะที่ไหนล่ะ Gildun 
Gildun – ไม่ ข้าก็ว่าไม่นะ
Aloy – แล้วคุณจะเอาไงต่อล่ะ จะกลับไปที่เผ่าของคุณรึเปล่า?
Gildun – กลับไปเล่าให้คนในเผ่าที่เคยดูถูกข้าถึงเรื่องที่เราเจอกันมาน่ะหรอ ไม่มีทางหรอก ข้าขออยู่ที่นี่ซักพักก่อนดีกว่า เพราะเรื่องราวที่ดีที่สุดควรบอกเล่ากับใครก็ตามที่เคยผ่านมันด้วยกัน ว่ามั๊ยล่ะ?



หลังจากเปิดระบบของเขื่อนจนทำให้ลำธารที่ท้ายเขื่อนแห้งไปจนหมดแล้ว จากนั้นก็เดินทางกลับไปที่ตรงจุดที่ Laulai เคยบอกว่ามันเคยเป็นที่ซ้อมดนตรีของเธอก่อนถูกน้ำท่วม เมื่อเดินทางไปถึงเมื่อน้ำลดลงก็จะทำให้เห็นทางลงที่สามารถลงไปที่ Deep Din ได้ เมื่อลงไปด้านล่างสุดก็จะพบ Laulai กำลังตีท่อเหล็กอย่างเมามันหลังจากที่ไม่ได้ซ้อมตีกลองมานาน



Laulai – ชั้นไม่รู้ว่าเธอทำได้ยังไงนะ แต่ตอนนี้น้ำลดลงจนหมด เพลงของชั้นก็ก้องดังไปทั่วเลย คิดว่าเพลงเป็นไงบ้าง 
Aloy – เพลงหรอ? ชั้นไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนเลยอ่ะ
Laulai – ก็เพราะไม่มีที่ไหนสามารถสร้างเสียงกึกก้องได้เหมือนที่นี่อีกแล้ว มันเกิดเสียงสูงเสียงต่ำได้ตามแรงตีของเรา และแน่นอน ไม่มีใครรู้จักเจ้าท่อพวกนี้ดีเท่ากับชั้นหรอก ข้าฝึกมาจากการจำเสียงต่างๆพวกนี้มาตั้งแต่ยังเดินไม่ได้ต้องเกาะหลังพ่ออยู่เลย ยังไงก็ขอบคุณนะที่ทำให้น้ำลด ไม่ใช่เฉพาะชั้นหรอกนะ แต่เป็นบรรพบุรุษรวมถึงเพลงของชั้นด้วยที่คงอยากจะขอบคุณเธอเหมือนกัน รับสิ่งนี้ไปนะ คิดซะว่าเป็นรางวัลแทนคำขอบคุณของชั้นก็แล้วกัน



                                     Errands Quest A SECRET SHARED




Kamut – เจ้าคนต่างถิ่น ช่วยแวะมาทางนี้ซักเดี๋ยวสิ นั่นอาวุธอะไรของเจ้านะ ใช่หอกหรือเปล่า ข้าเคยเห็นแสงสีฟ้าแบบนี้มาก่อนนะ
Aloy – เนี้ยหรอ? ได้มาจากคนรู้จักคนนึงให้มาน่ะ
Kamut – อ่า ... เขาเป็นหมอผีละสิ ?
Aloy – อืมม ..ไม่ เขาเป็น ช่าง ...หรือไม่ก็คนจรจัดมั้ง? 
Kamut – คนจรจัดไม่เข้าใจเรื่องหอกเหล็กและเพลงที่ออกมาจากเหล็กพวกนี้หรอก และมันสามารถปรับปรุงให้ดีกว่านี้ได้นะ ด้วยการดันแปลงโดยใช้ความรู้ของพวกคนยุคก่อนช่วย เจ้าลองไปทางเหนือสุดของที่นี่ดู ที่นั่นจะมีถ้ำที่ปลกคลุมด้วยหิมะ ด้านในเป็นรังของนักเหล็ก ตามหานกนั่นระหว่างเส้นทางของพวกหมอผี มองหารางเหล็กที่เข้าไปด้านใน ที่นั่นจะทำให้หอกของเจ้ามีสมรรถนะที่ดีขึ้นได้ ข้าบอกเจ้าได้แค่นี้แหละ
Aloy – ตามหารางเหล็กจากนกเหล็กในถ้ำหรอ? ก็ฟังดูเป็นเรื่องปกติดีนะ ...


จากนั้นเดินทางไปตามเป้าหมายของภารกิจที่ขึ้นมาทางทิศเหนือต่อจนถึง ทางเข้า Drone Hangar
หรือโรงเก็บเครื่องบินและอากาศยานขนาดใหญ่


เข้าไปด้านในสำรวจที่ตัวเครื่องยบินส่วนหน้าจะพบกับร่องรอยความเสียหาย ไม่พบ Mounting rail  ที่ต้องการ  ซึ่ง Aloy เดาว่ามันคงเป็นเพราะการขุดค้นของพวก Banuk แน่นอน  จากนั้นปีนบันไดข้างๆเครื่องบินไปด้านบนจะมีที่เกาะปีนขึ้นไปต่อ้อมไปที่แท่นควบคุมอีกฝั่งได้ กดสวิตซ์เพื่อทำให้เครื่องบินเลื่อนมาด้านหลังจะสามารถปีนเครื่องบินไปเกาะที่เกาะตรงพนังด้านหลังได้


จะสามารถเข้าไปที่ช่องด้านบนได้ ด้านในจะพบสวิตซ์รหัสที่ต้องหมุน สแกนที่แผงควบคุมจะพบรหัสการหมุน [ ขวา – ล่าง – ขวา] จะสามารถเปิดประตูทางขวาเข้าไปด้านในได้


ด้านในสุดของห้องจะมีบันไดลงมาในห้องด้านล่างอีกส่วน จะสามารถมุดเข้าไปตามทางด้านในจนถึงโรงเก็บเครื่องบินอีกห้องนึงได้


จากนั้นสำรวจที่ด้านหน้าเครื่องบินแล้วเก็บคีย์ไอเทม Mounting rail ออกมา แล้วเดินทางกลับไปหา Kamut ที่หมู่บ้านอีกครั้ง เพื่อจบภารกิจ


Kamut – เงียบๆ อย่าส่งเสียงดังนี่เป็นภารกิจลับของชาแมนนะ
Aloy – นี่ใช่สิ่งที่คุณให้ชั้นไปตามหารึเปล่า?
Kamut – นำมันเอาไปสวมใส่กับหอกของเจ้าสิ มันจะทำให้หอกเจ้าดีขึ้น นี่แค่อันแรก ข้ามั่นใจว่าจะหาได้อีกเยอะ
Aloy – ทำไมคุณถึงให้ชั้นละ ช่วยชั้นทำไม?
Kamut – แสงสีฟ้ากำลังอ่อนพลังลง ลำนำของเครื่องจักรกำลังจะเงียบงันแล้ว แล้วในห้องประชุมของระดับหัวหน้าเผ่าทำอะไรกันบ้าง พวกเขาได้แต่นั่งสวดมนต์รอดูสถานการณ์ไปวันๆ พอกันที เราต้องหาทางสู้กับมัน และเจ้า เจ้าเป็นนักสู้ ข้าจึงอยากแบ่งปันสิ่งดีๆให้ เพื่อให้เจ้าบรรลุสิ่งที่เจ้าประสงค์
Aloy – ชั้นไม่แน่ใจว่าเราจะ ...ชั้นยังไม่แน่ใจเรื่องจุดประสงค์ที่กำลังจะทำมากเท่าไหร่เลย แต่ยังไงก็รู้สึก เป็นเกรียติมากๆคะ
Kamut – เจ้าไม่ต้องขอบคุณหรอก แค่ลงมือทำก็พอ




หลังจากจบภารกิจก็จะสามารถอัพเกรดหอกได้แล้ว โดยเปิดกล่องรางวัล Spear Modification box ที่ได้มาจะสามารถนำ Coil Modify มาสวมใส่หอกเพื่อเพิ่มความสามารถเหมือนกับชุดได้และยังสามารถหา Coil ในรูปแบบต่างๆมาอัพเกรดหอกได้อีกด้วย


หลังจากจบเควสย่อย 2 ภารกิจที่มีในหมู่บ้านแล้ว ก็เริ่มทำภารกิจหลักต่อโดยกำหนดภารกิจที่ Side Quest : THE SHAMAN’S PATH เพื่อเดินทางไปพบ Naltuk ที่จุดนัดพบ



                              Side Quest : THE SHAMAN’S PATH




Naltuk – เจ้าเป็นใครเนี้ย แล้วเจอข้าได้ยังไง?
Aloy – Burgrend ขอให้ตามมาดูคุณที่นี่
Naltuk – เขามันหัวดื้อ ข้าบอกเจ้า Oseram เป็นพันๆครั้งแล้ว ข้าไม่ต้องการซื้ออะไรจากเขา 
Aloy – ชั้นก็ไม่ได้มาขายอะไร แค่อยากจะมาตามหา Ourea แค่นั้น
Naltuk – คงไม่ได้หรอก เธอเดินทางไปที่เส้นทางของชาแมนแล้ว เธอไปตามหาคนนำทางไปยังแสงแห่งแสงสีฟ้า นั่นแหละที่เธอตามหา และงานหนักที่เธอมอบให้ข้าคอยเฝ้าดูและหยุดการกระจายของพวกปีศาจเท่าที่ทำได้ แต่ข้าไม่รู้จะทำยังไงกับเจ้าหอคอยประหลาดๆนั่นดี เห็นมันเริ่มแพร่กระจายเต็มพื้นที่ของ The Cut มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว เหมือนมันคอยปล่อยคลื่นพลังปีศาจเพื่อเติมพลังชีวิตและซ่อมแซมให้พวกสัตว์จักรกลต่างๆ



Aloy – [The daemon’s work?] Aratak บอกว่าคลื่นพลังปีศาจพวกนี้ทำให้เครื่องจักรบ้าคลั่ง
Naltuk – ก็อย่างที่เห็น พอมันถูกแสงสีม่วงครอบงำมันก็จะกลายเป็นปีศาจ พวกมันทั้งแข็งแกร่งและอันตรายกว่าปกติ
Aloy – ชั้นเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนนะมันเรียกว่าพวก Corruption แต่ไม่ได้เกิดจากคลื่นปีศาจแบบของที่นี่
Naltuk – งั้นเจ้าก็รู้มากกว่าข้าแล้วล่ะ แล้วหอคอยนั่นมันเป็นส่วนนึงของพวก Corruption ของเจ้ารึเปล่า ?
Aloy – ไม่ แบบนี้ชั้นเพิ่งเคยเห็น
Naltuk – ก็อยากที่บอกนั่นแหละ มันให้พลังปีศาจกับพวกเครื่องจักร เราต้องหาทางหยุดพวกมัน


Aloy – [Where did Ourea go ?] คุณบอกได้มั๊ยว่า Ourea เธอไปที่ไหน?
Naltuk – เจ้านี่ถามเยอะจัง 
Aloy – เฉพาะเรื่องที่ชั้นยังไม่ได้คำตอบน่ะ
Naltuk – มันเป็นเสียงเดียวที่ Ourea ต้องการจะได้ยินตอนนี้ ซึ่งคงไม่ใช่เสียงของเจ้าหรอกนะ เสียใจด้วย 

Aloy – ก็ได้ คุณต้องการจะทำลายหอคอยเพื่อหยุดการแพร่กระจายพลังปีศาจใช่ป่ะ ชั้นรู้ว่าจะเริ่มยังไง ด้วยหอกกับธนูของชั้นไง
Naltuk – เดี๋ยวเจ้าคนต่างถิ่น เจ้าช่วยบอกชื่อของเจ้าหน่อยได้มั๊ย?
Aloy – Aloy
Naltuk – ดีมาก งั้นถ้าเจ้าจัดการทำลายเครื่องกำเนิดปีศาจนั่นได้ ข้าอาจจะเปลี่ยนบอกข้อมูลของ Ourea ให้เจ้าก็ได้
Aloy – ขอบคุณที่ให้โอกาสนะ แต่ชั้นไม่มีวันพลาดหรอกรับรอง คุณเตรียมบอกข้อมูลของเธอตอนชั้นกลับมาได้เลย 




Control Tower คือหอคอยที่จะกระจายพลังคลื่นสีม่วงที่จะทำให้สัตว์จักรกลในบริเวณใกล้เคียงกลายเป็นปีศาจ (คล้ายกับพวก Corruption) ซึ่งจะทำให้ สัตว์จักรกลในรัศมีของพลังปีศาจนั้นสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ตราบใดไม่ว่าจะโจมตีพวกมันจนพังแค่ไหนหากยังอยู่ในรัศมีของพลังสีม่วงจะทำให้มันฟื้นพลังกลับคืนมาได้เหมือนเดิมได้ตลอด ไม่มีวันตาย


สิ่งที่ต้องทำหากไม่ล่อสัตว์จักรกลออกมานอกรัศมีแล้วจัดการก็ต้องลอบเข้าไปใกล้ๆหอคอยแล้วจัดการ Override หอคอยเสียก่อน ทันทีที่ควบคุมหอคอยได้จะเกิดกระแสไฟฟ้าช็อตศัตรูในพื้นที่จะไม่สามารถคลื่นไหวได้ระยะนึงก็จะมีความได้เปรียบในการจัดการศัตรูให้หมดได้


 นอกจากหอคอยแห่งนี้แล้วยังมี Control Tower ตามจุดต่างๆในพื้นที่อีกมากมายที่ต้องไปทำลายทิ้งเพื่อเก็บโทรฟี่ได้ด้วย


Aloy – เอาละ ชั้นจัดการหอคอยและพวกจักรกลหมดแล้วนะ ยังมีอีกรึเปล่า?
Naltuk – เจ้ามีพลังในการทำแบบนี้ได้ยังไงเนี้ย ไม่แน่นะ Ourea อาจจะต้องการเจอเจ้าก็ได้นะเพื่อทำให้ความหวังเธอเป็นความจริง ยังไงเจ้าต้องโชว์พลังให้เธอเห็นเหมือนที่ข้าเห็นด้วยนะ ตอนนี้เธอเดินทางไปที่ Icerasps บนภูเขาหิมะตามเส้นทางของพวกชาแมน แต่เจ้าต้องรู้ด้วยว่ากว่าจะถึงที่หมายจะมีพวกหุ่นคอยป้องกัน Bluegleam อยู่ ชาแมนที่เดินทางจนสุดทางเท่านั้นที่จะได้รางวัลตอบแทน แม้แต่เจ้า ถ้าทำได้ก็จะได้รางวัลเหมือนกัน เจ้าน่าจะลองดูนะ 

Aloy – [The Shaman’s Path] – แล้วชั้นจะเดินทางไปยังเส้นทางชาแมนได้ยังไง?
Naltuk – เริ่มจากเดินทางไปที่ Icerasps ก่อนเลย จากนั้นก็เดินทางไปตามทางจนถึงถ้ำน้ำแข็งจนถึงน้ำตกก็จะเจอที่ที่สำหรับปีนขึ้นไปที่ศาลเจ้าได้ ระวังตัวด้วยละ มันเป็นเส้นทางที่ลำบากมากๆเพราะเป็นเส้นทางสำหรับทดสอบพวกชาแมนรุ่นเยาว์ 
Aloy – แล้วชั้นจะพบ Ourea ที่สุดทางใช่มั๊ย?
Naltuk – ไม่ เธอไปไกลกว่านั้นแล้ว ที่ไหนซักแห่งบนภูเขาน้ำแข็งนั่นแหละ แต่ถ้าเจ้าเจอเธอบอกด้วยว่าข้ายังเชื่อว่าเธอจะได้ยินเสียงนั่นได้อีกครั้ง 


      จากนั้นก่อนทำภารกิจหลักต่อแวะทำภารกิจย่อยที่สามารถทำได้รอบๆพื้นที่ก่อนก็ดี  


                                                  Tallneck : Frostfigures 




แวะจุดภารกิจ Tallneck : Frostfigures ที่อยู่ใกล้ๆเพื่อปีน Tallneck เปิดแผนที่ก่อน
แต่จุด Tallneck ครั้งนี้ ไม่ใช่ให้ปีนขึ้นไปแบบปกติ แต่ Tallneck มันพังอยู่และชิ้นส่วนสำคัญ 3 ชิ้นก็ถูกพวกสัตว์จักรกลมากินไปหมดแล้ว


ภารกิจจึงยุ่งยากเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะต้องไปค้นหาและเก็บไอเทมที่ถูกสัตว์แต่ละตัวเอาไปทั้ง 3 ชิ้นมาก่อนตามตำแหน่งจุดหมายในแผนที่ (ไอเทมทั้ง 3 จะอยู่ในสัตว์จักรกลในพื้นที่เป้าหมายต้องจัดการสัตว์แล้วเก็บจากซากของมันมา) ประกอบด้วย
Tallneck Part: Array ได้จาก Daemonic Scrapper
Tallneck Part: Stabilizer ได้จาก Daemonic Scrapper
Tallneck Part: Actuator ได้จาก Glinthawk
เมื่อได้ครบแล้วก็นำกลับมาประกอบใส่ Tallneck จนมันสามารถเดินได้อีกครั้ง หาเนินที่สามารถโดดเกาะขึ้นไปที่ตัวมันแล้วจัดการ Override ควบคุมมันเพื่อเปิดแผนที่ทั้งหมดได้เลย


                                                     พ่อค้าพิเศษ Enjuk



        


จุดที่อยู่ของพ่อค้าพิเศษ Enjuk ที่รับแลก Amimal Figurine คีย์ไอเทมสะสมที่เก็บได้ตามที่ต่างๆกับกล่องรางวัลที่เขามี


                                            Bandit Camp : Stone Yield



  ภารกิจยึดแค้มป์โจร เมื่อจัดการหัวหน้าโจรและยึดแค้มป์ของพวกมันได้สำเร็จจะได้ ปืนไฟ FORGFIRE เป็นรางวัล



                                       
                                     Errand Quest: GEARED UP FORGFIRE



  รับภารกิจจาก Varga ในหมู่บ้าน Longnotch ทางตะวันออกของ Bandit Camp : Stone Yield 



แล้วเลือก I’ve got the Forgefire เอาปืนไฟ FORGFIRE ให้ไว้กับ Varga แล้วออกเดินทางไปยังจุดเป้าหมายของภารกิจ จัดการ Fire Bellowback แล้วเก็บไอเทม Bellowback Snout กลับมาให้ Varga เธอจะอัพเกรด ปืนไฟ FORGFIRE ให้กลายเป็น Improved FORGFIRE 




                                             Side Quest: THE SURVIVOR





รับภารกิจกับ White teeth Chieftain ที่หมู่บ้าน Keener’s Rock เพื่อออกตามหา Hunter ที่หายไป



Aloy – ทำไมฮันเตอร์ของคุณถึงออกไปล่านอกพื้นที่ไกลนักละ?
White teeth Chieftain – พวกเราคือ White teeth เดินทางมาจาก Jawbone แห่ง Ban – Ur เพื่อทำการทดสอบ 
Aloy – ทดสอบเหมือนกับฮันเตอร์ของ Hunting grounds น่ะหรอ?
White teeth Chieftain – ไม่ใช่ เราทดสอบความอดทน ความทรหด เพื่อเอาชีวิตรอดภายใต้ความหฤโหดของธารน้ำแข็งแห่ง knifetrail เฉกเช่นบรรพบุรุษที่ทำกันมา แต่ผู้เข้าทดสอบของเรา 2 คนยังไม่กลับมา เราจะรอเท่าที่จะรอได้ จากนั้นเราก็จะไป

Aloy – [A Test?]  การทดสอบต้องทำยังไงหรอคะ?
White teeth Chieftain – การทดสอบคือต้องอยู่รอดในธารน้ำแข็ง 4 วัน 4 คืน ท่ามกลางความหนาวเย็นและพวกสัตว์จักรกลที่ดุร้ายให้ได้ หากผ่านการทดสอบได้เหล่าชาแมนของเราก็จะอำนวยอวยพรและเปิดโอกาสให้เก็บเกี่ยวความรู้จากพวกเขา ทั้งความรู้เรื่องการใช้เหล็กทำเครื่องนุ่งห่มและวิชาต่างๆนานาที่เป็นข้อห้ามของเผ่า 

Aloy – [The missing hunters]  แล้วเรื่องฮันเตอร์ 2 คนที่ยังไม่กลับมาจากการทดสอบละ?
White teeth Chieftain – คงกำลังเผชิญหน้ากับความเป็นกับความตายโดยลำพัง ใครก็ตามที่กลับมาได้ เราเหล่า White teeth ก็จะยืนอยู่เคียงข้างเขา แต่ถ้าใครไม่ได้กลับมา เราเหล่า White teeth ก็จะทำเครื่องหมายกับเขาว่าเขาทำได้แค่ พยายาม

Aloy – [about Aratal and Ourea]  คุณรู้จัก Aratal กับ Ourea หรือเปล่าคะ?
White teeth Chieftain – ชื่อเสียงของพวกเขาไม่ธรรมดาทำไม่ข้าจะไม่รู้ เขามีเพลงดีๆหลายเพลงเลย แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงออกเดินทางไปทั่ว The Cut ก็อยากจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่ง Thunder’s Drum ดลใจให้เขาเลิกทำ 

Aloy – [about White teeth]  แล้ว White teeth เป็นชนเผ่าแบบไหนหรอคะ?
White teeth Chieftain – White teeth เป็นชนเผ่านักรบตั้งแต่กำเนิด คนของเรากระหายการต่อสู้ตั้งแต่เด็กเพื่ออยากจะโตขึ้นเป็นนักรบแห่ง White teeth ยิ่งตอนนี้พวกเครื่องจักรกำลังบ้าคลั่ง พวกเขาก็ยิ่งกระหายที่จะสู้ 

Aloy – [You won’t look for them?]  แล้วคุณจะไม่ส่งคนไปดูพวกฮันเตอร์ที่หายไปหน่อยหรอ?
White teeth Chieftain – จากนี้ไปปจนครบ 1 เดือน น้ำที่เตรียมไปก็จะหมด ร่างกายก็จะทนไม่ไหวเอง
Aloy – ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ! ถ้าเกิดพวกเขายังไม่ตายเดี๋ยวชั้นต้องลองไปดูหน่อย 
White teeth Chieftain – ถึงเขาจะยังรอดอยู่ พวกเขาก็ไม่รับการช่วยเหลือจากเจ้าหรอก คนต่างถิ่น สำหรับเรา การทดสอบการอยู่รอดคือศักดิ์ศรีเหนืออื่นใด 
Aloy – เดี๋ยวก็รู้ !


จากนั้นเดินทางต่อไปยังจุดหมายของภารกิจที่ขึ้นมาซึ่งเป็นจุดที่ฮันเตอร์ของ White teeth ที่หายไป เมื่อเดินทางมาถึงจุดหมายจะพบกับฮันเตอร์คนนึงกำลังสู้กับฝูง Lancehorn อยู่ เข้าไปช่วยจัดการพวก Lancehorn ให้หมดก็จะได้พบ 1 ในฮันเตอร์ที่กำลังตามหาอยู่


Ikrie – ไง เจ้าคนต่างถิ่น ..เจ้ามายุ่งอะไรกับเรื่องของชั้นเนี้ย  
Aloy – เรื่องอะไรหรอ?
Ikrie – เรื่องที่เจ้ามาช่วยชั้นเนี่ย มันจะทำให้ผิดประเพณี 



Ikrie – บ้าเอ๊ย ! พวกมันคงต้องการมากินซากเหล็กนี่เหมือนกัน แต่ชั้นต้องการมันมากกว่า
Aloy – ที่เขาว่าคนของเผ่า Banuk นั้นไม่ชอบให้ใครมาช่วยเหลือจริงรึเปล่า?
Ikrie – นั่นมันพวกเขา แต่ชั้นไม่ 


              จัดการพวกสัตว์จักรกลที่เข้ามาโจมตีให้หมดแล้วกลับไปคุยกับ Ikrie อีกครั้ง



Ikrie – เจ้านี่ก็ฝีมือดีเหมือนกันนะ ..ชั้นชื่อ Ikrie 
Aloy – ขอบใจ ... ชั้น Aloy ชั้นได้ยินมาจาก White teeth ว่ามีฮันเตอร์หายไป 2 คน แต่เหมือนเธอกำลังต้องการจะหนีมากกว่า รึเปล่า
Ikrie – ชั้นยังไม่กลับไปเพราะยังมีบางอย่างต้องทำ Mailen เพื่อนชั้น เธอขาหักเพราะตกจากเนินหิมะ ชั้นต้องเฝ้าดูแลความปลอดภัยให้เธอก่อนจนกว่าเธอจะพร้อมกลับหมู่บ้านพร้อมกัน

Aloy [The werak] การเข้าร่วมกับ White teeth มันสำคัญมากสำหรับเธอมากไม่ใช่หรอ?
Ikrie – การได้เป็นหนึงใน werak แห่ง Ban –Ur มันยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่จะมีใครสามารถเป็นได้ง่ายๆหรอกนะ แต่จะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะตอนนี้ชั้นจะไปทุกที่ที่ Mailen ไป เสมือนกับเป็นเงาบนฟืนหิมะเลย ตอนนี้ต้องเป็นม้าเร็วหาทุกอย่างที่เธอต้องการก่อน 

Aloy [The injured hunter] Mailen เป็นเพื่อนซี้ของเธอหรอ?
Ikrie – เรียกได้ว่า ตัวติดกันมาตลอดชีวิตอ่ะ จนถึงการทดสอบครั้งนี้ที่เราต่างก็ต้องเอาตัวรอดกันเอง ซึ่งมันเป็นจุดอ่อนของชั้นเลยละ
Aloy – ดูเหมือน Mailen จะโชคดีเพราะจุดอ่อนของเธอนะเนี้ย 
Ikrie – แต่นางไม่ได้มองแบบนั้นอ่ะดิ

Aloy – [Let’s Go] งั้นเรามาช่วยพาเธอกลับไปที่หมู่บ้านกันดีกว่า
Ikrie – ก็ได้ ตอนนี้ชั้นเอาไม้ดามขาของเธอไว้แล้ว ให้ยาแก้ปวดแล้ว แต่คงต้องเตือนเจ้าไว้ก่อนนะว่า งานนี้ Mailen ไม่ได้เต็มใจอยากกลับหมู่บ้านตอนนี้เท่าไหร่หรอก กฎคือต้องอยู่รอด ...
Aloy – กฎของเผ่าจะสำคัญมากกว่าคนที่เราห่วงใยได้ยังไงล่ะ !
Ikrie – นอกซะจากว่า Mailen เธอจะห่วงเรื่องกฎมากกว่านะสิ




จากนั้นตาม Ikrie ไปจนกนถึงที่พักที่ Mailen นอนบาดเจ็บอยู่ แต่เมื่อเดินทางมาถึงจะพบพวกสัตว์จักรกลมากมายกำลังเข้ามาใกล้ที่พัก ทั้งคู่จึงต้องรีบจัดการพวกมันให้หมดก่อน จึงจะเข้าไปช่วย Mailen เอาไว้ได้สำเร็จ



Aloy – สภาพแบบนี้ เธอกำลังเป็นไข้จนสลบแน่เลยคงเพราะเย็นจัด รับรองว่าเธอเดินทางทั้งที่เป็นไข้และขาเจ็บไม่ได้แน่ๆ
Mailen – ชั้นยังตื่นอยู่นะ .. …. คนต่างถิ่น เธอพานังนี่มาที่นี่หรอ Ikrie?
Ikrie – เธอคิดว่าชั้นจะกลับบ้านเกิดที่ Nora เพื่อหาอาวุธมาสู้ต่องั้นหรอ?
Mailen – ชั้นเคยบอกแล้วว่า การทดสอบครั้งนี้มันเป็นของชั้นคนเดียว และชั้นจะต้องอยู่รอด !
Aloy – ตกลงเธออยากจะเก็บอะไรไว้ Mailen  ขาของเธอหรือถ้วยรางวัล เพราะชั้นคิดว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะเลือก



Mailen – พอเถอะ 
Ikrie – ชั้นรู้ว่าเธอคิดยังไงกับชั้นนะ แต่ชั้นก็จะให้สัญญาว่า จะพาเธอเป็นหนึ่งใน White Teeth ให้ได้
Mailen – ชั้นต้องกลับไปแล้ว... คนเดียว ! 
Aloy – เดี๋ยว ขาเธอยัง ..
Mailen – อย่า ! ชั้นจะเดินเอง 
Ikrie – ได้โปรด Aloy ปล่อยเธอ


Ikrie – Mailen ชั้นหวังว่า ซักวันเธอคงจะยกโทษให้ชั้น 
Mailen – ชั้นไม่เคยขอร้องให้เธอช่วย เมื่อถึงหมู่บ้านเธอก็ไปขอให้หัวหน้าเผ่ายกโทษเอาเองแล้วกัน
Ikrie – ชั้นไม่สนเรื่องคนในหมู่บ้าน 



Aloy –  Mailen เข้าใจแน่นอนว่าเธอช่วยชีวิตนางน่ะ
Ikrie – เธอยังไม่รู้จักคนของ Banuk ดีพอหรอก Aloy  เรามีหนทางมากมายที่จะทำให้ถูกโกรธเคือง แต่มีวิธีแค่หนึ่งเดียวสำหรับการขอโทษ ...ชั้นจะหาทางเดินของตัวเอง ชั้นคงจะอยู่ร่วมกับพวกที่จะปล่อยให้ Mailen ตายไม่ได้หรอก อย่างมากก็ร้องตะโกนให้ลั่นทุ่งน้ำแข็งให้หิมะมันถล่มใส่ให้อยู่ใต้พื้นน้ำแข็งตลอดไป
Aloy –  แล้วถ้าชั้นไปพูดกับหัวหน้าเผ่าให้ละ?
Ikrie – ชั้นทำทุกอย่างล้มเหลวเอง และ Mailen ก็เป็นคนที่รอดกลับไป ตามนั้นนะ โอเคนะ?


คุยกับ Ikrie จบแล้วเธอจะเดินทางจากไป จากนั้นก็กลับไปคุยกับหัวหน้ากลุ่ม White Teeth ที่หมู่บ้าน Keener’s Rock อีกครั้ง


White teeth Chieftain – Mailen เธอกลับมาได้แล้วนะ แต่ข้าคิดว่า เจ้ามีอะไรจะกล่าวถึงเรื่องนี้หรือเปล่า?
Aloy –  มีสิ
White teeth Chieftain – ไหนลองทำให้ข้าแน่ใจสิว่าคำพูดของคนนอกอย่างเจ้ามีค่าควรที่จะฟัง
Aloy –  [She’s endured more than most] ถ้านี่เป็นการทดสอบความอดทน ชั้นก็อยากจะบอกว่า เธอเป็นคนที่อึดอย่างกับหมีเลยละ เธอพยายามที่จะเดินกลับมาที่นี่แม้จะบาดเจ็บอย่างหนักและถึงแม้จะต้องสูญเสียเพื่อนไปก็ตาม  เธออยู่รอดเพื่อคุณ อย่าปฎิเสธเธอเลย 
White teeth Chieftain – ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้เธอเป็นคนของ White teeth แล้ว ว่าแต่ เจ้าคนต่างถิ่น เจ้าเจอฮันเตอร์อีกคนนึงของเราที่ชื่อ lkrie รึเปล่า? 
Aloy –  เธอไปแล้วละ ... แต่เธอก็กล้าหาญมากๆนะ
Mailen – ชื่อของเธอจะขับขานอยู่ในบทเพลงของชั้นตลอดไป



                                       Errand Quest : IKRIE’S CHALLENGE





เข้าไปที่จุด Hunting Grounds : SNOWCHANTS ซึ่งตอนนี้ยังเข้าทดสอบไม่ได้ เพราะคนต่างถิ่นจะไม่สามารถเข้าทดสอบได้หากยังไม่ได้รับอนุญาตจาก White teeth Chieftain หรือชาแมนของเผ่าก่อน แต่จะพบกับ lkrie ที่นี่อีกครั้ง



Aloy –  ฝึกยังไม่เสร็จอีกหรอ lkrie?
lkrie – ก็ยังไม่เห็นมีฮันเตอร์คนไหนบอกว่าฝึกเสร็จแล้วซะทีนะ ยิ่งเป็นชั้นด้วยแล้วนะ ยังฝึกไม่เสร็จแน่นอน ยังไงชั้นก็ยังไม่ได้รีบกลับไปที่ Ban – Ur อยู่แล้วนี่
Aloy –  ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับธารน้ำแข็งหรอ?
lkrie – เรื่องนั้นนะชั้นไม่ห่วงหรอก แค่ยังรู้สึกว่ายังต้องฝึกอีกหน่อยแค่นั้นแหละ แล้วเธอละ Aloy มาที่นี่ทำไม มาฝึกเหมือนกันหรอ?
Aloy –  ที่นี่ให้ทดสอบอะไรละ การต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดหรอ
lkrie – เปล่า เราใช้ Hunting Ground ฝึกฝีมือตามปกติอยู่แล้ว แต่สำหรับชั้น Lauvuk คงต้องเหนื่อยหน่อย เรามาลองฝึกด้วยกันหน่อยมั๊ยละ ด้วยธนูของเธอกับสลิงของชั้น ชั้นจะแช่แข็งไอ้พวกจักรกลเองส่วนเธอก็จัดการมัน เราต้องจัดการพวกจักรกลจนหมด หรือ ไม่ก็จนกว่าลูกธนูของเธอหมด
Aloy –  บอกตรงๆนะ ส่วนใหญ่ชั้นจะลุยเดี่ยวน่ะ
lkrie – ชั้นก็ไม่เคยต่อสู้ร่วมกับใครเหมือนกัน มาลองลุยด้วยกันดูมั๊ยล่ะ เถอะน่า

Aloy –  [ Start the Trial] เธอแช่แข็งพวกมัน ชั้นยิง ก็ไม่น่าจะยากเท่าไหร่นี่นะ ลองก็ได้
lkrie – แต่งานนี้เธอจะใช้ลูกธนูตามใจไม่ได้นะ ชั้นจะให้ใช้แค่ครึ่งเดียว ต้องวางแผนการใช้เอาเอง 
Aloy –   ดะ เดี๋ยวๆ
lkrie – นี่เธอไม่เชื่อฝีมือตัวเองหรือไม่เชื่อฝีมือชั้นเนี้ย?
Aloy –  การฝึกฝีมือนี่งานหลักของเธอเลยจริงๆเนอะ 
lkrie – โปรดปรานเลยละ มาเถอะ วางอาวุธไว้นี่แล้วไปลุยกัน



การฝึกของ lkrie นั้นมีกฎคือ
1.ต้องจัดการศัตรูให้หมดทั้ง 10 ตัวโดยไม่มีเวลากำหนด
2.สามารถใช้ธนูที่มีอยู่อย่างจำกัดและห้ามใช้หอกกับอาวุธอื่นๆ โดยลูกธนูที่สามารถใช้ได้คือ
Fire Arrow 5 ดอก
Hunter Arrow 30 ดอก
Headpoint  Arrow 25 ดอก
3.การฝึกจะจบลงทันทีที่ ลูกธนูที่มีหมด คะแนนที่ได้จะวัดจากการจำนวนของศัตรูที่ฆ่าได้

หลักในการผ่านการทดสอบโดยใช้ธนูให้พอกับเป้าหมาย

1.เนื่องจากไม่มีเวลาจำกัดในการทดสอบ จึงสามารถใช้เวลาได้เต็มที่ การล่อศัตรูมาที่จุดที่ lkrie อยู่เพื่อให้เธอใช้ระเบิดน้ำแข็งใส่ศัตรูเพื่อแช่แข็งให้มันเชื่องช้าและอ่อนแอก่อนจะดีที่สุด


2. Scrapper คือศัตรูชุดแรกที่ออกมาจำนวน 5 ตัว ให้ใช้ Hunter Arrow ครั้งละ 3 ดอกยิงช่วงท้ายและกลางหลังจะกำจัดได้ในครั้งเดียว


3. Grazer ศัตรูชุดที่ 2 จำนวน 3 ตัว ให้ใช้ Fire Arrow ยิงจุดไฟที่คอนเทนเนอร์ด้านหลังให้มันติดไฟและเกิดการระเบิดจัดการทุกตัวในครั้งเดียว


4.Trampler ศัตรูชุดที่ 3 จำนวน 2 ตัว รอจังหวะให้มันเตรียมระเบิดพลังไฟที่ท้องแล้วใช้ Headpoint  Arrow 3 ดอกยิงเข้าไปจะทำให้เกิดระเบิดไฟลุกใหม่ตัวมันทำให้เสียพลังไปทีละนิดจนตายได้ (พยายามอย่าให้ lkrie เอาระเบิดน้ำแข็งมาดับด้วย)


5.Fire Bellowback ศัตรูชุดที่ 4 ชุดสุดท้าย จำนวน 1 ตัว ใช้ธนูที่เหลือทั้งหมดกับจุดอ่อนที่ด้านหลัง (ทำให้เกิดการระเบิด) และ ยวงใต้ส่วนหัว เพื่อจัดการมัน


เมื่อจัดการศัตรูได้ครบทั้ง 10 โดยใช้ลูกธนูไม่หมดก็จะได้ ตรา ทองแดง ตราสีเงินและตราสีทองจนครบ พร้อมทั้งได้กล่องรางวัลที่ด้านในคือ Survivor’s Outfit Weave ไอเทมสำหรับอัพเกรดชุดสวมใส่


หลังจากทำเควสย่อยที่สามารถทำได้ตอนนี้จนหมดแล้วก็กำหนดภารกิจไปทำ Side Quest : THE SHAMAN’S PATH ต่อ โดยมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังจุดหมายของภารกิจที่ เส้นทางของชาแมน



                                   Side Quest : THE SHAMAN’S PATH



เมื่อเข้ามาในเส้นทางของชาแมน ที่นี่จะเป็นถ้ำน้ำแข็งที่จะเป็นทางไปยังศาลเจ้าของชาแมนบนภูเขาซึ่งจะมีเส้นทางหลากหลาย (ไม่หลงแค่เจอทางตัน) จึงต้องอาศัยเครื่องนำทางที่พวกชาแมนทำไว้คือ



 เสาไฟส่องทาง Ritualistic Marker ที่เมื่อสำรวจเปิดใช้งานจะมีไฟส่องไปยังเส้นทางที่ถูกให้ กับ กระดิ่งลม Wind Chime ที่สามารถใช้ Focus จับแรงสั่นสะเทือนเป็นจุดนำทาง (แต่ ออกนอกเส้นทางก็จะได้ไอเทมนะ) จากนั้นก็ใช้สิ่งนำทางให้พาไปยังทางออกของปลายทางซึ่งจะเป็นเส้นทางของภูเขาหิมะส่วนใน

เมื่อมาถึงเส้นทางขึ้นเขาส่วนในก็เดินทางไปตามเส้นทางขึ้นเขา ระหว่างทางจะเจอจุดที่ต้องสำรวจปลดสะพานตรงน้ำตกที่ต้องกะจังหวะเพื่อโดนผ่านสะพานไม้ขึ้นไปด้านบนต่อ ลุยไปตามทางจนในขณะที่ Aloy กำลังเกือบพลาดตกเขา แม้เธอจะโชคดีมือไวคว้าเกาะขอบหน้าผาไว้ได้ แต่ก็จะได้เห็นสัตว์จักรกลขนาดใหญ่ที่น่ากลัวอยู่ด้านล่าง ซึ่งเป็นสัตว์ประเภทใหม่ที่เธอไม่เคยเห็นด้วย จากนั้นก็เดินทางปืนป่ายไปตามทางจนถึงจุดแค้มป์ไฟด้านบน ทันที่ที่โดดลงไปที่ลานกว้างด้านหน้าจะเห็น คอนโทรลทาวเวอร์อยู่บนเนินไกลๆ แต่เมื่อก้าวเข้าไปใกล้ เจ้าสัตว์ขนาดใหญ่ที่เห็นตอนกำลังตกเขาก็ตามมา มันคือ Frostclaw สัตว์จักรกลรูปร่างหมีขั่วโลกขนาดใหญ่ ที่เป็นสัตว์จักรกลรูปแบบใหม่ที่ Aloy ไม่เคยเจอ



ก่อนอื่นย่องเข้าไป Override Control Tower ก่อนเลย จากนั้นก็จัดการ Frostclaw ซะ จุดอ่อนมันคือ ไฟ ใช้ปืนไฟ Firethrower จะเหมาะที่สุด


 เมื่อจัดการมันได้แล้ว เดินทางปีนป่ายต่อไปตามทางไปยังจุดหมายที่ส่วนบนสุดของภูเขาจะพบซากจานดาวเทียมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ไม่ไกลจากนั้นจะเจอทางเข้าไปในสถานที่ลับที่เชื่อว่า Ourea ซ่อนตัวเพื่อตามหาบางอย่างอยู่


                                                     Ourea’s Retreat 

เมื่อเข้ามาด้านในสุดจะพบประตู Bunker ขนาดใหญ่ที่กั้นทางออกอีกด้านอยู่ ตอนนี้ยังเปิดไม่ได้ต้องไปเปิดระบบการทำงานของห้องนี้ก่อนโดยการเข้าไปทางส่วนซ้ายของพื้นที่ มุดเข้าไปในห้องควบคุมด้านในจะพบ Source Node ที่ต้องใช้หอกทำการ Override เพื่อปรับวงจรให้มันเปิดระบบการทำงาน


จัดการหมุนปรับแกนรับพลังงานจากแกนกลางให้แสงกระจายไปให้ครบวงจรก็จะเปิดระบบได้ จากนั้นออกทางประตู Bunker ขนาดใหญ่ที่เคยปิดอยู่ ตอนนี้จะสามารถเปิดออกได้แล้ว เมื่อปีนขึ้นไปด้านบนต่อก็จะมาออกที่ส่วนบนสุดของภูเขา ที่ด้านบนจะพบทางเข้าไปในสถานที่ซ่อนตัวของ Ourea เมื่อเข้าไปด้านในก็จะพบ Ourea คนที่ Aloy ตามหากำลังทำบางอย่างอยู่ด้านใน



Ourea – ท่านจะให้ข้าทำอะไร? ที่นี่ไม่มีใครมาสวดวิวอนต่อท่านงั้นหรอ? หรือมีสิ่งที่ผูกมัดพันธนาการท่านอยู่ ? ข้าไม่สามารถช่วยท่านได้หรอกนะถ้าท่านไม่พูดออกมา ขอเสียงกระซิบเหมือนในครั้งนั้น เพื่อนำทางข้าอีกครั้งเถอะ .....เจ้า เจ้าเป็นใครกัน ? เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง วิญญญาณศักดิ์สิทธิ์เปิดทางให้เจ้าเข้ามาเองหรอ?



Aloy – ชั้น ..เอ่อ ชั้นสามารถทำให้สิ่งนั้นมันทำงานได้นะ จะทำให้ดูเอามั๊ย?
Ourea – เอาสิ ทำให้ข้าดูหน่อย ขอร้องละ 


จากนั้นจัดการหมุนปรับแกนรับพลังงานจากแกนกลางที่พื้น ให้แสงกระจายไปให้ครบวงจรก็จะเปิดระบบได้


Spirit – ระบบสำรองได้รับการกู้คืนสำเร็จ อย่าหนีไปไหน ... มีใครอยู่ที่นั่นมั๊ย? Ourea หรอ? Ourea ชั้นต้องการคุณ ....
Daemon – ไม่อนุญาตให้ส่งผ่านข้อมูล กลับสู่หมายกำหนดการของแผนการในปัจจุบัน
Spirit – ไม่ !!! ชั้นไม่มีวันยอมจำนนต่ออำนาจของปีศาจอย่างแกหรอก !! …ได้โปรด Ourea 
Daemon – การส่งผ่านข้อมูลต้องสิ้นสุด !


Ourea – เจ้าทำให้เสียงของ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลับมาอีกครั้ง !! เจ้าได้ยินมั๊ย เสียงของ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเรียกร้องให้ข้าไปยังภูเขา Thunder’s Drum ! ข้าเพิ่งรู้ว่า ท่านต้องการจะพันธนการปีศาจก็เพราะเจ้านี่แหละ ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่? และต้องการจะทำอะไรหรอ?
Aloy – ชั้นชื่อ Aloy  … Naltuk ส่งชั้นมา เขาบอกว่าคุณอาจต้องการความช่วยเหลือ 
Ourea – เขาพูดถูกแล้ว เจ้าช่วยได้เยอะเลย พระเจ้าส่งมาชัดๆ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า ของ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ยังคงอยู่ บางทีเราอาจช่วยกันพวกหาทางปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระได้ก็ได้นะ
Aloy – ก็ยังดีกว่าคลำทางกันเอาเองอ่ะนะ ชั้นเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อจะหาคำตอบเรื่องนี้นานแล้วก็ยังไม่ได้เรื่องเหมือนกัน
Ourea – บางทีข้าอาจจะมีคำตอบที่เจ้าตามหาก็ได้ และข้าจะบอกเจ้าทุกเรื่องเท่าที่จะบอกได้แน่นอน


Aloy – [Spirit] เล่าเรื่องของเสียงที่คุณเรียกว่า จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ให้ฟังหน่อยสิ
Ourea – เสียงนั่น ท่านเคยช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อปีก่อน ในช่วงที่กำลังเกิดสงครามกับ Carja การโจมตีทำให้ข้าพลัดหลงจากเผ่า werak ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะรอพวกศัตรูที่ตามมาไปที่ rimedrifts เพื่อให้พวกมันหลงทางในหมอก แต่มันไม่หลง จนข้าเจอถ้ำแห่งนี้ก็เลยเข้ามาหลบพวกมันจนรอดชีวิตได้ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเสียง เสียงของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสีฟ้า ท่านเลือกข้า แต่ข้ากลับไม่สามารถช่วยหรือทำอะไรได้เลยนอกจากพยายามปิดที่นี่เอาไว้เพื่อปกป้องมันจากพวก Carja  จนมีแต่เจ้าที่เข้ามาที่นี่ได้ 
Aloy – วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของคุณต้องการให้ช่วยอะไรหรอ?
Ourea – นางบอกว่า นางเจ็บปวดเพราะมีชิ้นส่วนหายไป สิ่งที่เคยอยู่ในห้องนี้ เธอต้องการจะให้ชั้นนำมันไปที่ภูเขา Thunder’s Drum และข้าก็พยายามที่จะรักษานาง จากนั้นเราก็เริ่มพูดคุยกัน

Aloy [Communion?] คุณคุยกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้หรอ?
Ourea – ที่ ภูเขา Thunder’s Drum ก็มีห้องแบบนี้อยู่อีกเหมือนกัน แต่ใหญ่กว่าและมีแท่นบูชาด้วย ข้าคุยกับนางอยู่ที่นั่นอยู่นานมาก 
Aloy – แล้วตอนนั้นนางพูดว่ายังไงบ้าง?
Ourea – นางบอกข้าว่านางเสียชิ้นส่วนบางอย่างไปต้องการให้ข้าช่วย และก็ถามข้าเกี่ยวกับเรื่องดินแดนนี้ เรื่องเผ่าของเราด้วย นางอดทนฟังด้วยความตั้งใจและเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา จนข้าพูดเลยเถิดไปถึงเรื่องครอบครัว ความฝันของข้าและสิ่งที่ข้ากำลังหวดกลัว เธอก็ยอมฟังแบบไม่เบื่อและไม่ตัดสินด้วย 
Aloy – Ourea คุณคิดว่า จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้คืออะไรกันแน่?
Ourea – รู้สิ เพราะเจ้าไม่ใช่ Banuk ไม่รู้จักบทเพลงของเรา เจ้าไม่รู้จักแสงสีฟ้า มันเป็นสิ่งที่ช่วยปลุกใจเราให้ต่อสู้และเอาตัวรอด และทำให้ผู้คนในเผ่าเป็นหนึ่งเดียวกัน จนถึงวันที่พวกเครื่องจักรเกรี้ยวกราดมากขึ้นแสงสีฟ้าของเราก็เลือนลางไป ก็ยังเหลือ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี่แหละที่เป็นสายใยยึดพวกเราไว้ด้วยกัน และตอนนี้นางก็ถูกทอดทิ้ง โดดเดี่ยว ต้องการความช่วยเหลือ ชั้นจึงต้องการจะช่วยนางให้ได้



Aloy – [The Daemon?] แล้วอะไรคือ ปีศาจ ที่คุณบอก 
Ourea – เมื่อครั้งที่ข้าได้คุยกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกที่ภูเขา Thunder’s Drum ครั้งล่าสุดนางบอกถึง พลังบางอย่างที่กำลังเข้ามาโจมตีนาง บางอย่างที่ชั่วร้าย นางเรียกมันว่า ปีศาจ และมันต้องการพลังของนางเพื่อทำสิ่งที่มันต้องการ นางจึงขอร้องให้ข้าช่วย เพื่อหาทางทำลายมัน หรือไม่ก็ทำให้มันไม่สามารถใช้งานนางได้ และข้าก็ไม่ได้ยินเสียงนางอีกเลยมา 5 ปีแล้ว จนกระทั่งวันนี้แหละ
Aloy – แล้วครั้งนั้นคุณทำอะไรบ้างหลังจากนางขอให้ช่วย
Ourea – ข้ารีบไปปรึกษา Aratak เพื่อหวังให้เขาช่วย แต่สงครามที่เกิดขึ้นทำให้ข้าไปถึงตัวเขาไม่ได้เลย 
จนกระทั้งเกิดการปฎิวัติใน Carja ข้าก็ยังไม่มีโอกาสกลับไปที่ ภูเขา Thunder’s Drum อีกเลย 

Aloy – [Let go to Thunder’s Drum] เอาล่ะ ที่ข้าเข้าใจตอนนี้คือ เราได้ยินเสียง 2 เสียง หนึ่งเสียงคือ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างคุณว่าและอีกเสียงคือ ปีศาจ และไม่ว่าปีศาจที่ว่ามันคืออะไร มันก็ทำให้พวกเครื่องจักรบ้าคลั่งและอันตรายกว่าเดิม ชั้นต้องรู้ให้ได้ว่าทำไม? และถ้าทั้ง จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และปีศาจนั่นอยู่ใน ภูเขา Thunder’s Drum ทำไมเราไม่เข้าไปดูที่นั่นให้รู้กันไปเลยละ?
Ourea – เราทำไม่ได้หรอก ที่ภูเขา Thunder’s Drum อันตรายมากกว่าที่เจ้าคิดไว้มากนัก อีกอย่าง Aratak ก็ไม่ยอมให้ใครเข้าไปด้วย ในฐานะ Chieftain เขาสั่งให้ปิดกั้นทางขึ้นเขาไว้จนหมด 
Aloy – ฟังเหมือนคุณต้องการ Chieftain คนใหม่นะ
Ourea – ใช่ ความคิดดีมาก เราต้องการ Chieftain ที่เป็นคนของเรา อืมมม เดี่ยวนะ เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นฮันเตอร์ และพนันได้เลยว่าเธอเป็นคนต่างถิ่นด้วย นั่นทำให้ Aratak ปฎิเสธไม่ได้ ถ้าเจ้าจะท้าชิงตำแหน่งของเขา



Aloy – ดะ เดี๋ยวๆ ให้ท้าชิงตำแหน่งจาก Aratak เนี้ยนะ ชั้นไม่ได้ต้องการเป็น Chieftain หรืออะไรทั้งนั้นแหละ แล้วอีกอย่างคนของ Banuk คงไม่ต้องการชั้นหรอก
Ourea – แต่เราต้องการไปที่ ภูเขา Thunder’s Drum เพื่อหาคำตอบไม่ใช่หรอ?
Aloy – ก็จริง.... แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ?
Ourea – ก่อนอื่น ทำตัวเองให้มีค่าพอจะท้าชิงกับ Aratak จะด้วยการผ่านการทดสอบที่ Hunting Ground หรือ ยึดแค้มป์ของพวกโจรก็ได้ หรือไม่ก็ไปคุยกับเพื่อนของข้าที่ชื่อ Sekuli เธอจะหาทางช่วยเจ้าเอง 
Aloy – ชั้นทำมาหมดแล้วแหละที่บอกน่ะ เดี๋ยว Werak ได้รู้แน่ว่าชั้นคือใคร
Ourea – เจ้าพร้อมแล้วหรอ ดีมาก ข้ามีรางวัลให้เจ้าด้วยเป็นของที่พบในถ้ำนี้ อยู่ในกล่องนั่นเจ้าเอาไปใช้ได้เลย และเมื่อเจ้าพร้อม ก็จงไปหา Aratak แล้วพุ่งหอกไปที่เท้าเขาเพื่อท้าชิงได้เลย 


เข้าไปสำรวจที่กล่องอาวุธจะได้ อาวุธใหม่มาใช้คือ ปืนสายฟ้า Stormslinger อาวุธที่สามารถยิงสายฟ้าใส่ศัตรูเหมือนปืนกล เป็นอาวุธที่สร้างความเสียหายกับศัตรูแทบทุกชนิด



หลังจากจบภารกิจนี้ จะได้เควสใหม่มาคือ Side Quest: FOR THE WERAK และได้อาวุธใหม่มาคือ ปืนสายฟ้า Stormslinger จากนั้น สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ อัพเกรด Stormslinger ให้แรงกว่านี้เพื่อใช้งานได้มีประสิทธิ์ภาพมากขึ้นก่อน


โดยต้องเดินทางไปหา Varga ในหมู่บ้าน Longnotch ทางตะวันออก เพื่อรับภารกิจ Errard Quest: GEARED UP STORMSLINGER  ในการอัพเกรด ปืนสายฟ้า Stormslinger



                              Errard Quest: GEARED UP STORMSLINGER



เข้าไปที่ ในหมู่บ้าน Longnotch คุยกับ Varga แล้วเลือกตอบ I’ve got a Stormslinger เพื่อให้เธอตรวจสอบปืนก่อนที่เธอจะพาเดินทางไปหาวัตถุดิบในการอัพเกรดปืนนั่นคือ Stormbird Talon หรือกงเล็บของ นกยักษ์ Stormbird


เมื่อเดินทางไปยังจุดหมายของภารกิจที่ถิ่นของ นกยักษ์ Stormbird จะพบ Varga รออยู่ที่นั่น ซึ่งคราวนี้เธอจะเข้าร่วมในการล่าด้วย ในพื้นที่นั้นนอกจาก นกยักษ์ Stormbird ที่เป็นเป้าหมายอยู่แล้วก็ยังมีสัตว์จักรกลขนาดใหญ่รวมอยู่ด้วยหลายตัว พยายามจัดการ นกยักษ์ Stormbird ลงให้ได้แล้วเก็บไอเทม Stormbird Talon มาจากซากของมัน


จากนั้นนำเอาไปให้ Varga เลือกตอบ Improve Stormslinger เธอก็จะทำการอัพเกรดปืนสายฟ้า Stormslinger ให้กลายเป็น Improved Stormslinger


ปืนสายฟ้า Improved Stormslinger นั้นจะมีช่องให้อัพเกรดเพิ่มขึ้นอีก 1 ช่อง และพลังโจมตีของมันนั้นรุนแรงกว่าเดิมอย่างมาก โดยจะมีช่องการชาร์จไฟ 3 หลอดที่จะเพิ่มความรุนแรงทุกครั้งที่ไฟติดที่ละหลอด แต่ ถ้ายิงจนไฟหลอดที่ 3 ติดถึงจะรุนแรงสุดแต่คนใช้จะโดนไฟช็อตอย่างรุนแรงด้วย



จากนั้นแวะเข้าไปที่จุด Hunting Grounds : SNOWCHANTS  อีกครั้งที่ตอนนี้ยังเข้าทดสอบไม่ได้ เพราะคนต่างถิ่นจะไม่สามารถเข้าทดสอบได้หากยังไม่ได้รับอนุญาตจาก White teeth Chieftain หรือชาแมนของเผ่าก่อน หลังจากผ่าน Side Quest: The Shaman’s Path ก็จะถือว่าได้รับอนุญาตจากชาแมน Ourea แล้ว ตอนนี้จึงสามารถเข้าทดสอบได้

                               
                                     Hunting Grounds : SNOWCHANTS


1.Control Trial จัดการ Redeye Watcher และ Scrapper 6 ตัวและ Ravager 1 ตัวให้หมดด้วย Stormslinger
ตราทองแดง ภายใน 20:00
ตราเงิน ภายใน  01:20
ตราทอง ภายใน 00:55


2. Onslaught Trial ลุยจัดการฝูงสัตว์จักรกลที่ออกมาทีละชุดให้หมด
ตราทองแดง ภายใน 20:00
ตราเงิน ภายใน  05:00
ตราทอง ภายใน 03:30

แต่การทดสอบที่ 3. Chieftain’s Trial ยังไม่สามารถเข้าทดสอบได้ในตอนนี้เพราะ บททดสอบนี้ ทำได้เฉพาะเมื่อได้เป็น Chieftain แล้วเท่านั้น


กำหนดภารกิจที่ Side Quest: FOR THE WERAK แล้วเดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน Song’s Edge อีกครั้ง แต่ก่อนที่จะเข้าไปคุยกับ Aratak เพื่อเดินภารกิจหลัก แวะเข้าไปคุยกับ Burgrend ที่ซุ้มพ่อค้าเพื่อรับภารกิจย่อยของเขาก่อน


                                        Side Quest: THE HUNTERS THREE




Aloy – เกิดอะไรขึ้น Burgrend ? มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?
Burgrend – กำลังนั่งเสียใจกับความโชคไม่ดีของตัวเองอยู่อ่ะดิ ชั้นไปเจอกับพวก Banuk ที่กำลังจะมาติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้ากับพวก Outlanders แต่อยู่ๆพวกเขาที่นัดเอาสินค้ามาให้ดันหายตัวไป พวกนักล่า Banuk 3 คนที่ออกเดินทางไปเมื่อสองสามวันก่อน ก็จัดหามาได้แค่ของขยะๆ เจ้าก็รู้จักข้าดีนะ Aloy ว่าข้าค่อนข้างละเอียดอ่อนกับเรื่องการค้าขายมาก มันเกี่ยวกับเครดิตด้วย 
Aloy – พวกเขาหาของมาให้ไม่ได้หรอ?
Burgrend – ก็นะ พวกเขาก็พยายาม แต่ ดูสิพวกเขาทำอะไรกับหัวใจของ Thunderjaw มันเป็นเรื่องนานแล้วก็จริงแต่พอมาถึงตอนนี้ก็ทำให้ข้าเริ่มคิดมากเรื่องพวกเขาขึ้นมาทันทีเลย  

Aloy [Worried?] – บอกชั้นดิ Burgrend ไอ้ที่ว่าคุณคิดมากเนี้ย เป็นห่วงเป็นใยพวกเขาหรือห่วงเงินในกระเป๋ากันแน่ ?
Burgrend – ไม่เอาน่า ก็ห่วงทั้ง 2 เรื่องนั่นแหละ
Aloy – อ๋อหรอ แล้วตกลงคุณไปตกลงกับเขาว่ายังไงงานนี้
Burgrend – เห็นข้าเป็นแบบนี้ข้าใจกว้างนะ ขนาดคราวที่แล้วพวกมันหาขยะแบบนี้มาให้ งานนี้ข้ายังให้โอกาสพวกมันไปหาของมาให้อีกเลย 

Aloy – [They can’t harvest parts?] ทำไมคุณถึงคิดว่าพวกเขาจะหาของมาไม่ได้
Burgrend – ก็มันผิดปกติสำหรับพวก Banuk น่ะสิ ดูพวกชาแมนทำสิ เจ้าเห็นมั๊ย พวกฮันเตอร์เป็นฝ่ายล่า ส่วนพวกชาแมนเป็นคนชำแหละ แต่เจ้าพวก 3 คนนั้นมันไม่มีใครเป็นชาแมนเลยไงล่ะ แถมอีก 2 คนก็ยังวัยรุ่นอยู่เลย 
Aloy – แล้วถ้าพวก Banuk นั่นล่าโดยไม่มีชาแมน พวกเขาสามคนจะทำยังไงล่ะ?
Burgrend – พวกเขาไม่เคยบอกหรอก แต่ข้ามันใจเลยว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าแฮปปี้แน่นอน 

Aloy – [I’ll find them] ถึงชั้นจะไม่ได้เป็นหนี้อะไรคุณนะ Burgrend ชั้นก็แค่อยากจะลองแวะไปดูพวกเขาหน่อยว่ายังปลอดภัยรึเปล่า
Burgrend – ได้สิ ได้เลย ข้าคงเป็นไอ้โง่แน่นอนถ้าไม่ยอมให้เจ้าช่วยอ่ะ เพียงแต่ ถ้าเจ้าบังเอิญเจอพวกเขา ถ้ายังปลอดภัยอยู่อย่าลืมเตือนเขาเรื่องข้อตกลงของข้าด้วยนะ ของ 3 อย่าง กงเล็บของ Scorcher , เส้นเอ็นของ Stalker แล้วก็เขี้ยวของ Snapmaw ถ้าหามาจนครบข้าก็จะจ่ายให้อย่างงามตามที่ตกลงกัน แต่ถ้าไม่ได้ก็แย่หน่อยนะ ที่ข้ารู้ล่าสุดพวกเขามุ่งหน้าขึ้นเหนือไปที่จุดล่าที่ดีที่สุดอ่ะ ถ้าคิดว่าพวกเขายังมีค่าก็แวะไปดูหน่อยละกันนะ

จากนั้นมุ่งหน้าไปยังจุดภารกิจต่อไปในแผนที่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือจะพบ ฮันเตอร์ชาว Banuk ทั้ง 3 คนกำลังซุ่มกำลังเพื่อล่าสัตว์อยู่อย่างกล้าๆกลัวๆ

Aloy – พวกคุณใช่ฮันเตอร์ 3 คนที่ทำงานให้ Burgrend รึเปล่า?
Tatai – หนุ่มๆ ดูเหมือนตาเฒ่า Burgrend จะส่งสาวน้อยคนนี้มาทวงของๆเขาอ่ะ 
Aloy – ชั้นไม่ใช่คนที่ Burgrend ส่งมาทวงหนี้หรอกนะ พอดีเขาบอกให้ชั้นแวะมาช่วยพวกคุณชำแหละซากสัตว์น่ะ หรือพวกคุณอยากจะเอาแค่ขยะไปขายเขาอีก?
Urkai – ขยะงั้นหรอ?
Tulemak – ใกล้ถึงเวลาจะส่งของแล้วนะ อย่ามัวแต่เถียงกัน ก็ถ้านางเสนอตัวจะช่วยเราก็ควรจะตกลงนะ
Tatai – ก็ด้ายย เรากำลังจะจัดการพวกสัตว์จักรกลนั่นพอดี อยากช่วยก็ลุยได้เลย

จากนั้นเข้าไปช่วย 3 นักล่าลุยจัดการพวกสัตว์จักรกลตรงหน้าให้หมด จากนั้นเก็บไอเทม Scorcher Claw ที่ซากของ Scorcher มา แล้วกลับไปคุยกับ 3 ฮันเตอร์อีกครั้ง




Aloy – เรียบร้อยนะ พวกคุณทั้ง 3 ก็มีฝีมือไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ
Tatai – ขอบคุณ ถึงจะบอกไงเราไม่ต้องการให้เจ้าช่วย เราเคลียร์กันเองได้อยู่แล้ว
Aloy – แต่ Burgrend ไม่ได้บอกแบบนั้นอ่ะ เขาบอกที่ผ่านมาพวกคุณจ่ายเขาด้วยซากของหัวใจ Thunderjaw 
Urkai – อะไรนะ เขาก็พูดเวอร์ไป มันก็แค่หักเป็น 2 ท่อนแค่นั้นเอง
Tatai – Urkai!! เราไม่มีเวลามาพล่ามนะ มาเถอะหนุ่มๆกลับไปทำงานเราต่อ เราต้องล่ากันอีกนะเพราะยังขาดอีก 2 ตามที่ Burgrend 
Aloy – อะไรจะรีบขนาดนั้น ?
Tatai – เรากำลังจะออกจากดินแดนนี่เร็วๆนี้แหละ รู้ไว้แค่นั้นก็พอ

Aloy – [Why are you leaving?] ทำไมพวกคุณถึงจะไปจาก The Cut ล่ะ
Urkai – ก็ยังดีกว่ากลับไปที่ Ban-Ur ให้ Onnekut ตัดคอเราอ่ะนะ
Tatai – ให้ตายสิ Urkai ทำไมเจ้าขอบแต่งเรื่องให้พวกเราแบบนี้ตลอดเลย …จริงๆเราทะเลาะกับ Chieftain ที่เผ่าเก่าของเรา เพราะเราไม่เห็นด้วยในการปกครองของเขา 
Tulemak – มันก็ดีเหมือนกัน เพราะข้าว่าก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะออกท่องโลกกว้าง เราคิดเอาไว้ว่าจะไปที่อนาจักร Sundom ของ Carja 
Aloy – [The Sundom?] จากนี่ไปที่ Sundom นั่นไกลไม่ใช่เล่นเลยนะ
 Tulemak – แต่มันก็เป็นการเดินทางที่มีค่านะ บางครั้งเราก็ต้องพยายามที่จะอยู่รอดให้ได้เพื่อไปถึงที่หมายที่ตั้งไว้
Urkai – ช่ายย ครั้งนี้ก็ต้องพยายามเอาตัวรอดเหมือนกับที่เราเคยมาจาก Ban-Ur นั่นแหละ เราเคยเห็นหิมะแดงของที่นั่นมาแล้ว
Aloy – แล้วคุณวางแผนจะอยู่รอดกันยังไงหลังจากไปถึงที่นั่นแล้วอ่ะ
Tatai – เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ที่สำคัญตอนนี้คือเราต้องหาทางไปจากที่นี่ก่อน และนั่นทำให้เราต้องการเงิน ถ้าเธออยากจะช่วยอ่ะนะ
Aloy – [Here’s your Scorcher Claw] ชั้นเก็บนี่ได้ Scorcher Claw ที่ Burgrend ต้องการ ที่เหลือก็แค่ Stalker sinew กับ Snapmaw fang 
Tulemak – เจ้าเก็บเอาไว้ก่อนก็ได้ถ้าเจ้าจะตามเราไปล่าเป้าหมายต่อไปด้วย เจ้าจะไปลุยกับเราด้วยใช่ป่ะ?
Aloy – ชั้นว่าน่าจะมีใครซักคนคอยกันพวกนายให้อยู่ห่างจากปัญหาอ่ะนะ
Tatai – งั้นก็ดี งั้นเจ้าก็ตามไปลุยกับพวกเราได้ แต่อย่างเพิ่งขึ้นว่าเจ้าเป็นหนึ่งในทีมของเรานะ เพราะกลุ่ม Bloody Snowdrifs ของเราไม่เคยคิดจะรับสมาชิกใหม่
Urkai – Bloody Snowdrifs ?? นั่นชื่อของทีมเราหรอ? เจ้ากะจะตั้งชื่อนั้นหรอ?
Tulemak – เยี่ยมเลย มันก็ฟังดุไม่เลวนะ Tatai 
Tatai – ดีกว่าที่แกเคยตั้งอยู่แล้ว เอาล่ะ เป้าหมายต่อ ขึ้นเหนือต่อไปพื้นที่ล่าใกล้ Hollow hall เราจะรออยู่ที่นั่น 



เดินทางไปยังจุดหมายในการล่าเป้าหมายต่อไปอีก 2 จุดเพื่อเก็บ Stalker sinew กับ Snapmaw fang มาให้ครบ


Aloy – เอาละ ตอนนี้ก็ได้ของมาครบตามที่ต้องการแล้ว พวกคุณไม่ต้องผิดสัญญากับ Burgrend แล้วนะ
Tatai – ถ้า Urkai ไม่ทำชิ้นส่วนพังอีกอ่ะนะ
Urkai – ก็แค่ครั้งเดียวเองโธ่ !
Tulemak – เจ้าเป็นชาแมนที่ฝีมือเยี่ยมมาก Aloy ขอบคุณที่ช่วย หวังว่าพวกเราคงได้เจอกันอีกที่ Sundom อ่ะนะ
Aloy – ถ้าพวกคุณไปถึง Sundom แล้วเป้าหมายต่อไปที่จะทำคืออะไรอ่ะ
Tatai – พวกเราก็รับจ้างล่าทุกอย่างที่ Nukoni ต้องการให้ล่านั่นแหละ
Tulemak – Nukoni เขามีฝันที่ยิ่งใหญ่ ที่จะสร้างเผ่าที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วมและความสำคัญเท่าๆกัน ไม่มีชาแมน ไม่มีหัวหน้าเผ่า ไม่ต้องวิงวอนขอต่อเทพใดๆ ทุกอย่างที่อยากได้ต้องลงมือทำกันเอง 
Aloy – ท่าทางเป็นงานที่หนักเลยนะ
Tulemak – แต่ก็คุ้มค่านะ และก็คู่ควรแล้วถ้าทำเพื่อ Nukoni ที่พวกเรายกย่อง เราพร้อมจะเข้าร่วมและสร้างเผ่าในแบบที่เธอปรารถนา  

Aloy – [Harvesting Parts] พวกคุณยังไม่ได้ให้สอนการชำแหละสัตว์จักรกลเลย จะไม่เป็นไรหรอ?
Urkai – มันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอกน่า เราทำกันเองได้อยู่แล้ว 
Tatai – ดูซะก่อน ชาแมนนักชำแหละผู้มากวิชาอยู่ที่นี่แล้ว 
Aloy – เอาเถอะ ถ้าวันไหนแวะไปที่ Song’edge ลองไปคุยกับ Burgrend ดู ถ้าเขาสอนพวกคุณไม่ได้เขาก็ต้องหาคนที่สอนได้มาสอนให้พวกคุณได้แน่นอน
Tatai – แน่นอน ข้าคิดว่าเขาฟันกำไรจากค่าสอนอีกแน่นอน 
Tulemak – ขอบคุณนะ Aloy ข้ามันใจว่าพวกเราอยู่รอดได้แน่นอน

Aloy – [Good luck] งั้นเราก็คงต้องลากันตรงนี้แล้วนะ รู้สึกยังไงบ้างที่ต้องจากดินแดน Banuk ไปอ่ะ
Tatai – น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่เราไม่ได้คิดถึงเลยมากกว่า 
Urkai – ให้เราไปจาก Ban-Ur ที่หนาวโคตรๆนี่เร็วๆยิ่งดี
Tulemak – มันแปลกตรงที่ Banuk จะมีความหมายอะไรถ้า Ban-Ur ได้ทอดทิ้งเราแล้ว เราจะสร้างตัวตนใหม่ของเรายังไง? เจ้าละ ว่าไง Aloy เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นใคร แล้วเจ้าจะจดจำเราในฐานะอะไร?

Aloy – [What you’ve endured] คุณสูญเสียคนที่ห่วงใยไป ทิ้งบาดแผลเอาไว้ บาดแผลที่คนมากมายทั่วไปไม่มีวันหาย
Tatai – ใช่ แล้วเราก็ไม่เหลืออะไรนอกจากแผลเป็น
Aloy – นั่นแหละประเด็น มันคือบาดแผลของการอยู่รอด เครื่องยืนยันว่าคุณผ่านเรื่องที่หนักหนามาและพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป
Tulemak – พวกเราคือแผลเป็นแห่งแดนเหนือ Scars of the North 
Urkai – Scars of the North หรอ ชื่อนี้เจ๋งวะ !
Tulemak – ขอบคุณนะ Aloy มันเป็นชื่อที่ดีมากๆ มันเป็นเกรียติยศหนึ่งเดียวของเราเลยล่ะ

หลังช่วย 3 ฮันเตอร์ได้สำเร็จก็เดินทางกลับไปคุยกับ Burgrend ที่หมู่บ้าน Song’edge อีกครั้ง



Aloy – คุณได้สินค้าและทำการแลกเปลี่ยนได้แล้วนะ?
Burgrend – เสร็จสมบูรณ์อย่างสวยงามเลยละ ขอบคุณมากๆนะ เออ แล้วเจ้ารู้มั๊ยว่าเจ้าบ้า Banuk 3 ตัวนั่นเรียกตัวเองว่า Scars of the North ด้วยนะฮ่าๆ แต่ช่างเหอะ ยังไงข้าก็ได้ของไปขายได้ก็พอแล้ว 
Aloy – พวกเขาเดินทางลงใต้แล้วหรอ?
Burgrend – ช่าย ข้ามีเพื่อนคนนึงที่ Sundom ชื่อ Ohtur เขาเป็นหนี้ข้าอยู่ เจ้านั่นเป็นหนึ่งในเรื่องการชำแหละซากเครื่องจักรเลยนะ ข้าเลยให้พวกฮันเตอร์ 3 คนนั่นไปเรียกจากเขา 
Aloy – จะได้หารายได้จากความสามารถของพวกเขาต่อแน่นอนเลย
Burgrend – ก็นะ เราทำงานเกี่ยวกับการหาวัตถุดิบนี่ พอคิดแบบนั้นแล้วก็เลย .... เอาเถอะ นี่รางวัลของเจ้าเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณนะ 


หลังจบภารกิจแล้ว ไม่ต้องไปไหน กำหนดภารกิจ Side Quest: FOR THE WERAK ที่หมู่บ้าน Song’s Edge ต่อเลย โดยเข้าไปคุยกับ Aratak เพื่อทำการท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าเผ่าจากเขา

                                 

                                  Side Quest: FOR THE WERAK




Aratak – คนของข้าเพิ่งส่งข่าวมาบอกถึงเรื่องความสำเร็จของเจ้า และดูเหมือนเจ้าจะเป็นที่สนใจเป็นพิเศษสำหรับคนที่นี่ซะด้วยนะเจ้าคนต่างถิ่น
Aloy – ใช่ และเพื่อจะให้เห็นชัดเจนขึ้น
Aratak – นี่เพื่อการท้าประลองงั้นหรอ?
Aloy – เพื่อ Werak 
Aratak – เจ้าเนี้ยนะ !! นี่คงเป็นเรื่องตลกใช่รึเปล่า?


Oerea – นี่ไม่ใช่เรื่องตลก Aratak !!
Aratak – อ่อข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคนต่างถิ่นนี่เป็นหมากของเจ้านั่นเอง เจ้าหนุนหลังนังนี่เพื่อใช้หล่อนในการอ้างสิทธิ์ และข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกเจ้าตกลงเท่านั้นด้วย ก็หวังว่านางจะดีพอสำหรับเจ้านะน้องสาว
Oerea – เจ้าล่ะเป็นใครถึงจะมากีดกันชั้นจาก Thunder’s Drum พี่ชาย ?
Aloy – พี่กับน้องงั้นหรอ? ดูเหมือนเรื่องนี้จะซับซ้อนกว่าที่ชั้นคิดไว้นะ
Aratak – ไม่ มันไม่ซับซ้อนอะไรหรอก ก็แค่เจ้าไปเจอกับข้าที่ Frostfigures และข้าจะได้รีบจบไอ้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องนี่ซักที 



Oerea – ชั้นคิดว่า ชั้นติดหนี้เจ้าเรื่องคำอธิบายนะ
Aloy – ใช่เลย ชั้นก็คิดว่าคุณติดชั้นเรื่องนี้แน่นอน ..แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกชั้นเรื่องคุณกับ Aratak เป็นพี่น้องกัน
Oerea – ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องบอกนะสิ เพราะข้าต้องการทำให้ Aratak เขาแปลกใจที่ต้องเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าน่ะสิ เขาค่อนข้างจะโกรธเกรี้ยวมาก และชั้นก็ไม่ใช่คนที่ตัดสินทุกอย่างได้ดีที่สุดสำหรับ ...
Aloy – ผู้คน ?
Oerea – ส่วนใหญ่ข้าจะชอบคบค้ากับพวกวิญญาณหรือไม่ก็อยู่ตัวคนเดียวน่ะ ข้าไม่อยากให้เจ้ามาสนใจเรื่องวิถีชีวิตของเราหรือกลัวว่าครอบครัวจะแตกแยกกันเพราะเรื่องที่เราจะทำมันใหญ่กว่าเยอะ

Aloy – [you and Aratak] แต่ชั้นอยากรู้เรื่องของคุณทั้งคู่เลย เริ่มจากเรื่องพี่ชายคุณก่อนเลย 
Oerea – เขาทำให้ข้าไม่มีทางเลือก เขามักจะคิดว่าข้าเด็กเกินไปจนชอบผลักไสข้าจากการล่า ไม่ยอมอนุญาตให้ข้าทำตามโชคชะตาของข้าเอง ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังคิดว่ายังไงเขาก็ยังจะยกโทษให้ข้าในที่สุด เหมือนทุกครั้ง

Aloy – [The Challenge] ถ้าไม่นับเรื่องดราม่าของครอบครัวแล้ว การท้าชิงตำแหน่งครั้งนี้มันมีสาระสำคัญยังไง ? 
Oerea – เจ้ากับ Aratak ต้องไปล่าเครื่องจักรที่ Frostfigures ฝ่ายไหนเร็วที่สุดชนะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ
Aloy – ยังเร็วเกินไปที่จะพูดแบบนั้นนะ
Oerea – เอาไว้เจ้าไปพบพวกเราที่จุดเริ่มทำการท้าชิงตำแหน่งข้าจะบอกรายละเอียดของกติกาอีกที ตอนอยู่บนเนินเขานั่นจะเห็นภาพมากกว่า

Aloy – [No more deception] Oerea นี่มันไม่ใช่เรื่องที่คนที่เป็นพี่น้องกันเขาทำกันหรอกนะ ชั้นอยากจะรู้จริงๆเลยว่า อะไรอยู่ใน Thunder’s Drum กันแน่ ปีศาจ วิญญาณ และตอนนี้ดูเหมือนจะเชื่อมโยงไปถึงพวกสัตว์จักรกลด้วย แต่ถ้าเราอยากจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน ชั้นอยากให้คุณจิตใจและตรงไปตรงมากับชั้นหน่อย 
Oerea – ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ Aratak ก็ด้วย ชั้นจะไม่ยอมผิดพลาดอีกครั้งแน่นอน
Aloy – ชั้นจะไปเจอพวกคุณที่ Frostfigures แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน 

จากนั้นเดินทางไปที่จุดหมายที่ขึ้นมาใหม่ที่ Frostfigures ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับใช้ในการประลองท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าเผ่า


Aratak – เจ้าคนต่างถิ่น ! ข้าว่างานนี้ข้าเป็นต่อนะ เพราะข้าเคยผ่านการท้าชิงแบบนี้มาแล้ว และก็ไม่เคยกลัวซักครั้งด้วย แต่ครั้งนี้มันงี่เง่ามากเพราะเจ้าไม่ใช่ Banuk ด้วยซ้ำ เจ้าไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่ข้าต้องรับผิดชอบหรอก ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งนะ ฮันเตอร์หรืออะไรก็แล้วแต่เถอะ เจ้าจะยอมถอนตัวรึเปล่า 
Aloy – แล้วคุณจะยอมให้ชั้นไปที่ Thunder’s Drum รึเปล่าล่ะ?
Aratak – เจ้าก็เห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบนนั้นเจ้าคนต่างถิ่น ข้าจะไม่ยอมให้ชีวิตของน้องสาวข้าต้องเสี่ยงอีกครั้งหรอก 
Aloy – งั้นการตัดสินครั้งนี้ก็เหมาะสมแล้วสำหรับพวกเรา
Aratak – ข้าจะจัดการเจ้าซะ ฐานะที่อวดดีที่มาท้าประลองในถิ่นของข้าแบบนี้  



Ourea – พอ !! เริ่มกันได้แล้ว !! … การล่า การต่อสู้ คืนหนทางของเหล่า Banuk และเจ้าจะต้องผ่านการทดสอบนี้ก่อน  Aloy เจ้าต้องปีนไปที่ Frostfigures ทางฝั่งตะวันออก ส่วน Aratak จะมุ่งไปทางฝั่งตะวันตก ลุยไปตามทางที่เต็มไปด้วยสัตว์จักรกล กฎของการล่าแห่ง Werak จะนำทางเจ้า เจ้าต้องล่าและฆ่าพวกมันให้หมดตามทางรอบๆพื้นที่จนกลับมาที่นี่ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางอีกครั้งเพื่อการล่าครั้งสุดท้าย และทุกครั้งที่เจ้าจัดการสัตว์จักรกลจนหมดในแต่ละจุด เจ้าต้องปลดบอลลูนสัญญาณอีกฝ่ายจะเห็นความคืบหน้าของอีกฝ่ายได้ 
Aloy – งั้นใครที่ปลดบอลลูนก่อนชนะว่างั้นเถอะ 
Ourea – จะว่าอย่างงั้นก็ได้ แต่เส้นทางไปสู่ชัยชนะในการท้าชิงครั้งนี้ยากนัก แน่นอนว่าถ้าเจ้าปลดบอลลูนที่หลัง เจ้าแพ้ Aratak ก็จะได้ครองตำแหน่งหัวหน้าเผ่าต่อไป
Aratak – นั่นแหละโอกาสของเจ้า คนต่างถิ่น !
Ourea – การล่าจะเริ่มขึ้นทันทีที่ข้าให้สัญญาณ ! …… เริ่มได้ !!!!

เมื่อสัญญาณเริ่มการประลองเริ่มขึ้น สิ่งที่ต้องคือ ใน 2 พื้นที่ในการทดสอบช่วงแรก ภายในเวลา 7 นาที จะต้องวิ่งเดินทางจากจุดเริ่มต้นจนถึงพื้นที่ในการล่า จัดการสัตว์จักรกลในพื้นที่ให้หมด แล้วเข้าไปปลดบอลลูนสัญญาณ ทั้ง 2 จุดอย่างต่อเนื่องให้ทันเวลา แล้ววนกลับถึงจุดพื้นที่ทดสอบที่ 3 ท้ายสุดที่จุดแรกเริ่มอีกครั้ง


Aratak – มีบางอย่างผิดปกติแล้ว ปกติจะมีคนของข้ามารอที่จุดนี้ เพื่อเตรียมเป้าหมายในการทดสอบครั้งสุดท้ายของเรา  
Banuk Wanderer – พวกมันไล่หลังมาแล้ววววว !!


การทดสอบสุดท้ายเกิดความผิดพลาดเพราะ Frostclaw  3 ตัวที่บุกเข้าพื้นที่โดยไม่มีใครคาดฝัน  เป้าหมายสุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็นต้องต่อสู้กับ Frostclaw  3 ตัวพร้อมกัน ซึ่งจะต้องต่อสู้ร่วมกับ Aratak ด้วย แต่แม้ว่าจะมี Aratak ช่วยลุยด้วย ยังไงเกมก็ต้องให้ Aloy เป็นคนจัดการศัตรูอยู่แล้ว Frostclaw  ทั้ง 3 ตัว จึงเป็นหน้าที่ของคุณผู้เล่นที่ต้องจัดการมันให้หมดคนเดียว


Signutai – Frostclaw พวกนี้มันมาจาก Thunder’s Drum จริงๆนะครับ
Ruatuk – ในเมื่อระหว่างการทดสอบสุดท้ายมีการแทรกแซง ปกติ การท้าชิงครั้งนี้ต้องถือเป็นโมฆะ  




Aratak – เจ้าเห็นสิ่งที่นางทำรึยัง? นางเป็นคนจัดการพวกสัตว์จักรกลพวกนี้ ไม่ใช่ข้า นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า นางเป็นนักล่าที่ดีพอ เราคือ Banuk ความอยู่รอด ความเป็นต่อคู่ต่อสู้ อะไรสำคัญกว่ากัน ข้าขอหนุนนางเพื่อล่า



Ourea – ห้ามฮันเตอร์ทุกคนขึ้นเขา Thunder’s Drum ยกเว้นหัวหน้าเผ่าและตัวข้า  
Aratak – แม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ในฐานะหัวหน้าแล้ว แต่ข้าก็ยังมีสิทธิ์ที่จะขอติดตามเจ้าและน้องของข้า
Ourea – ข้าอนุญาต แต่พี่ต้องทำทุกอย่างตามที่ข้าบอกเท่านั้น 
Aloy – ไม่ !! ต้องทำตามคำสั่งของชั้นเท่านั้น !

Ourea – Thunder’s Drum รอเราอยู่ เราจะตั้งแค๊มป์ในจุดที่ใกล้ที่สุดที่หมู่บ้าน Longnotch เพื่อเจ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็แวะเข้าไปหาพวกเราที่นั่นได้เลย 

                           หลังจบภารกิจจะได้กล่องรางวัลที่ด้านในจะประกอบด้วย

                                           
                                           ชุดหัวหน้าเผ่า Banuk Werak Chieftain



                                                      ปืนน้ำแข็ง Banuk Icerail                     


หลังจากได้ปืนน้ำแข็ง Banuk Icerail มาแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือนำไปปืนไปอัพเกรด โดยเดินทางไปที่หมู่บ้าน Longnotch เพื่อรับภารกิจ Errarnd Quest: GRARED UP ICERAIL กับ Varga

       


                                   Errarnd Quest: GRARED UP ICERAIL

เข้าไปในหมู่บ้าน Longnotch คุยกับ Varga แล้วเลือกตอบ I’ve got a Icerail เพื่อให้เธอตรวจสอบปืนก่อนที่เธอจะพาเดินทางไปหาวัตถุดิบในการอัพเกรดปืนนั่นคือ Thunderjaw Mandible หรือส่วนขากรรไกรของ Thunderjaw  จากนั้นเดินทางไปยังเป้าหมายของภารกิจที่เขตที่อยู่อาศัยของ Thunderjaw จะพบ Varga รออยูที่นั่น


 เข้าไปช่วยกันจัดการ Thunderjaw   ตัวเป้าหมายให้ได้ แล้วเก็บไอเทม Thunderjaw Mandible จากซากมันมา แล้วเอาไปให้ Varga แล้วเลือกตอบ Improve the Icerail เพื่อทำการอัพเกรดปืนน้ำแข็ง Banuk Icerail ให้กลายเป็น Improved  Icerail 


Icerail ที่ได้รับการอัพเกรดแล้วจะได้ความสามารถในการยิงกะสุนน้ำแข็งเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง และเมื่อได้ Improved  Icerail มาแล้วก็จะทำให้เควสหาอาวุธเทพของ Varga ทั้ง 3 อย่างครบถ้วนพร้อมได้โทรฟี่ Fully improved weapon ด้วย



ตอนนี้ Aloy ได้รับตำแหน่งหัวหน้า [Chieftain] ของชนกลุ่ม (Werak) ของ Aratak แห่งเผ่า Banuk อย่างเป็นทางการแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือสามารถเข้าทดสอบในระดับขั้นสูงสุดที่ Hunting Grounds : SNOWCHANTS ได้แล้ว

เดินทางกลับไปที่ Hunting Grounds : SNOWCHANTS อีกครั้งเพื่อเข้าทดสอบในหัวข้อ Chieftain’s Trial ที่ค้างไว้อีกอัน


                                       Hunting Grounds : SNOWCHANTS

Chieftain’s Trial เป็นบททดสอบสูงสุดเฉพาะผู้ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้า [Chieftain] ของชนกลุ่ม Werak เท่านั้นถึงจะได้เข้าทดสอบ สิ่งที่ต้องทำคือ จัดการสัตว์จักรกลทั้ง 3 กลุ่มที่ออกมาให้หมดประกอบด้วย
-Scorchers 2 ตัว (แพ้ธาตุน้ำแข็ง แต่ใช้ Blast Bomb จะจัดการมันได้เร็วกว่า)
-Bellowback 2 ตัว (ใช้ Blast Bomb ยิงที่จุดอ่อนกลางกลังและส่วนท้อง)
-Frostclaw  2 ตัว (แพ้ไฟ ใช้ปืนไฟร่วมกับ Blast Bomb ในการจัดการมัน)

โดยรางวัลที่ได้จะขึ้นอยู่กับเวลารวมที่ทำได้
ตราทองแดง ภายใน 20:00
ตราเงิน ภายใน  05:30
ตราทอง ภายใน 04:30


เดินทางไปที่หมู่บ้าน Longnotch อีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปคุยกับ Aratak และ Ourea เพื่อทำภารกิจสุดท้ายของเนื้อเรื่อง ที่นี่ยังมีภารกิจเสริมอีกภารกิจให้ทำอยู่ แวะเข้าไปทำก่อน โดยเข้าไปรับภารกิจกับ Umnak ที่ยืนอยู่ในหมู่บ้าน

                                   Errand Quest: THE CLAWS BENEATH



Umnak ชายชราที่กำลังต้องการฮันเตอร์ฝีมือดีเพื่อตามล่าสัตว์จักรกลในตำนานที่ชื่อ Claws Beneath ที่เขาเคยเจอตั้งแต่เด็กและมีโอกาสเคยล่ามันมาก่อนตั้งแต่ 20 ปีที่แล้วกับหัวหน้าเผ่าที่เป็นเพื่อนของเขา  แต่ด้วยวัยที่แก่ชราจึงไม่สามารถตามล่ามันได้อีกเหมือนเดิม แถมเจ้า Claws Beneath นั้น 6 ปีถึงจะออกมาล่าเหยื่อ Umnak จึงขอร้องให้ Aloy ไปจัดการมันให้ได้ก่อนเวลาในวันชราของเขาจะหมดลง


เมื่อรับภารกิจแล้วเดินทางมาที่จุดเป้าหมายจะพบว่า Claws Beneath ก็คือ Daemonic Rockbreaker นั่นเอง จัดการมันซะแล้วกลับไปส่งข่าวให้ Umnak รับรู้ก็เป็นอันจบภารกิจ


เมื่อทำภารกิจเสริมหมดแล้วยังไม่ต้องออกจากหมู่บ้าน Longnotch กำหนดภารกิจ Side Quest: FIREBREAK จะเห็นจุดภารกิจอยู่ 2 จุดคือ  Aratak ที่อยู่ในหมู่บ้าน Longnotch  และ Ourea ที่หน้าทางเข้า FIREBREAK แวะเข้าไปคุยกับ  Aratak ก่อน

                                   Side Quest: FIREBREAK         

Signutai – แต่เราเคยร่วมภารกิจในการไปที่ภูเขานั่นมาก่อนนะ แล้วทำไมตอนนี้ ..
Aratak – พวกเจ้าตรึงกำลังอยู่ด้านนอกนั่นแหละ ถ้าหากพวกเราไม่กลับมา เตรียมพร้อมป้องกันตัวเองเอาไว้ด้วย หัวหน้ารับสั่งมาแล้ว พวกเจ้ายังสงสัยในแผนนี้อีกหรอ?
Aloy – แนะนำได้ดีมาก แต่ หวังว่าเราคงไม่ต้องอย่างนั้นอ่ะนะ
Signutai – ครับ หัวหน้าเผ่า !
Aratak – เรื่องความหนักแน่นในการออกคำสั่ง เจ้าก็ไม่ควรมองเป็นเรื่องเล็กน้อยนะ
Aloy – ชั้นก็ทำได้แค่นี้แหละ 



Aloy – [you and Ourea ] ...นี่คุณลองไปลองพูดกับ Ourea ดูรึยัง?
Aratak – ทำไมต้องเป็นข้าล่ะ? ก็นั่นเป็นความต้องการของนางเอง การกลับไปที่ภูเขา Thunder’s Drum เป็นเรื่องเดียวที่นางสนใจ ข้าก็แค่อยากรู้ว่า นางจะยังยอมจับหอกต่อสู้เคียงข้างข้าอีกรึเปล่าแค่นั้นเอง
Aloy – เกิดอะไรขึ้นตอนที่ Ourea ถูกพวก Carja จำตัวไปหรอค่ะ?
Aratak – นางเหมือนกับพวกชาแมน มีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องจักร ทั้งเรื่องการแกะรอยและทำให้มันหยุดเคลื่อนไหว พวกมันใช้นางในการภารกิจในการจับกุมผู้คนที่ Sun-Ring พวกมันสร้างนางให้เป็นนักรบที่สร้างความนองเลือด เพื่อทำเรื่องที่น่าละอาย และไร้ซึ่งความปราณี นางต้องใช้ความอดกลั้นอย่างมาก อดกลั้นโดยใช้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยึดเหนี่ยงจิตใจเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่นางต้องการ และตอนนี้ นางก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ

Aloy – [The first expedition] เล่าเรื่องตอนที่เธอออกเดินทางครั้งแรกหน่อยสิ
Aratak – นางเดินทางไปที่นั่นอย่างมุ่งมั่นมากๆ แต่มันมีประตูขนาดใหญ่กั้นทางเข้าอยู่ มันเหมือนกับเป็น Cauldron เป็นเหล็กชนิดใหม่ พวกเราพยายามที่จะทำลายมันเพื่อผ่านไปให้ได้ แรกๆก็ทำอย่างมุ่งมั่นแต่พอซักพักก็เริ่มหมดแรง ไม่สามารถเข้าไปได้ ท่ามกลางพวกเครื่องจักรที่ล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด ข้าก็เลยสั่งให้ถอนกำลังเพราะชีวิตทุกคนมีค่ามากกว่า และ ข้าก็ได้แต่หวังว่า Ourea จะไม่มีแผนจะไปที่นั่นอีก ก็แค่นั้น

Aloy – [What’s past the door?] แล้วคุณคิดว่า อะไรอยู่หลังประตูนั่น?
Aratak – ใครจะไปรู้? สถานที่ที่เป็นเหล็ก ที่มีเสียงฮัมเพลงแปลกๆออกมา ภูเขานั่นนำเครื่องจักรแห่งความตายมาสู่พวกเรา พวกปีศาจ ! .. ไม่มีอะไรที่ไม่น่ากลัวที่หลังประตูนั่นหรอก 
Aloy – แล้วถ้าเราพบวิญญาณศักดืสิทธิ์อยู่ในนั้นล่ะ?
Aratak – บางทีเราก็อาจจะเอามามาใช้ขจัดความทุกข์อยากที่เรามีตอนนี้ก็ได้

Aloy – เอาจริงๆนะ ชั้นจะดีใจมากๆเลยถ้าคุณร่วมเดินทางไปกับชั้นด้วย 
Aratak – ต้องมีใครซักคนนึงสำหรับคอยปกป้อง Ourea ให้ปลอดภัยอยู่แล้วล่ะ
             

คุยกับ Aratak จบแล้วเดินทางออกไปทางด้านตะวันออกของหมู่บ้านไปยังจุดหมายของภารกิจจุดที่ 2 เพื่อคุยกับ Ourea ทื่ยืนรออยู่กับคนของเธอที่หน้าทางเข้า FIREBREAK



Ourea – Aloy นี่แหละโอกาสที่ชั้นจะได้เข้าร่วมกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้อีกครั้ง และบางทีก็เอานำเจ้าเข้าร่วมกับแสงสีฟ้าด้วยก็ได้ มันไม่ใช่แค่โอกาสของชั้นแค่คนเดียวหรอกนะ ชั้นต้องการคนนอก ใครซักคนที่ไม่รู้ในเรื่องราวการดำเนินชีวิตของพวกเรา แต่ ...ไม่สิ ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องสิ เอ่อ ..
Aloy – ที่พูดมานี่คุณต้องการจะขอบคุณชั้นใช่มั๊ย Ourea?
Ourea – ใช่แน่นอน ขอบคุณทั้งหมดที่เจ้าทำ ที่ช่วยคลายข้อสงสัย ทำสิ่งที่ไม่เคยทำได้มานานเป็นความจริง และถ้าเป็นไปได้ ชั้นก็ไม่เคยอยากทำให้ Aratak ต้องเสียหน้าแบบนี้หรอกนะ แถมยังฉลาดที่ชวน Aratak มาเข้าร่วมด้วย เขามีสิทธิ์ที่จะได้รับมัน แม้เขาจะดูเป็นคนดื้อรั้น แต่ที่เขาต้องแบบทุกวันนี้ก็เพราะสงครามเรียกร้อง .. ข้าเองก็เช่นกัน 
Aloy – ชั้นรู้ว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆสำหรับคุณที่ต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง
Ourea – ที่ทำได้ก็เพราะข้าอยากได้ยินเสียงนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เรามีความตั้งใจร่วมกัน เจ้าพร้อมรึยังล่ะ การเข้าไปในครั้งนี้ มันคงไม่ได้กลับออกมาง่ายๆหรอกนะ



ตรงจุดนี้จะเป็นจุดที่ต้องเลือก หากเลือก Ascend to Thunder’s Drum ก็คือการ เข้าไปลุยดันเจี้ยนสุดท้าย ที่ค่อนข้างโหด ใช้เวลานาน และไม่สามารถกลับออกมาได้อีกแล้วจนจบภารกิจ ซึ่งหากยังไม่พร้อมหรือมีสิ่งที่ต้องทำก่อนก็เลือก Not yet เพื่อไปทำสิ่งที่ต้องการก่อนก็ได้ 


ทันทีที่คำยืนยันออกจากปากของ Aloy พิธีกรรมการเปิดทางเข้าหุบเขา Thunder’s Drum ก็เริ่มขึ้น ไม้ติดไฟที่ Ourea นำไปใส่กระถางแล้วสั่งให้ลูกน้องพัดควันดำให้เข้าไปที่ช่องระบายอากาศทำให้ระบบความปลอดภัยคิดว่าเกิดไฟไหม้จึงเปิดประตูด้านหน้าออกเพื่อระบายคนด้านในให้ออกมาเพื่อความปลอดภัย จนกลายเป็นช่องทางสำหรับ Aloy และทีมใช้เข้าไปด้านใน


                                                          Battery Facility 


ช่วงแรกของทางเข้าไปในหุบเขา Thunder’s Drum สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในคือโรงงานกำเนิดพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานน้ำจากบรรดาเขื่อนต่างๆที่อยู่รอบพื้นที่นี้นั่นเอง แต่ พลังไฟฟ้ามากมายที่ถูกสร้างขึ้นที่นี่มันใช้สำหรับทำอะไร นั่น เป็นสิ่งที่ Aloy ต้องค้นหาความจริง


ช่วงแรกของ โรงงานกำเนิดพลังงานไฟฟ้า สำรวจเข้าไปจนสุดทางของห้องแรกจะพบที่ปีนบันไดขึ้นไปตามเครนเหล็กจนถึงด้านบนต่อ จะพบห้องโถงจะเต็มไปด้วยสัตว์จักรกลมากมาย จัดการให้หมดแล้วปีนบันไดด้านในสุดของห้อง ขึ้นบันไดต่อเนื่องไปจนถึงชั้นบนสุดจะมาถึงลานกว้างที่มีเครื่องกำเนิดพลังงานความร้อนขนาดใหญ่ 3 อันและสัตว์จักรกลจำนวนมากอยู่


Aratak – ตรงนี้แหละคือจุดสุดท้ายที่พวกเราเข้ามาในตอนแรก แต่พวกเครื่องจักรมันเยอะเกินและเสบียงและอาวุธต่างๆก็แทบไม่เหลือแล้ว ข้าเลยต้องสั่งถอยกลับ 



Ourea – Aloy ไม่ใช่นักรบนะ จะให้ฝ่าไปงั้นหรอ ข้าว่าข้ามีทางไปของข้าเองนะ ทางนั้นไง บันไดทางขึ้นไปด้านบน เราสามารถเดินข้ามหัวพวกเครื่องจักรไปได้ง่ายกว่า 
Aloy – โอเค ชั้นรู้แล้ว ทางเลือก เดี๋ยวชั้นตัดสินใจเอง

ในห้องโถงนี้จะมีกองไฟสำหรับพักเซฟอยู่และเส้นทางที่สามารถเลือกได้ 2 ทางคือ ลุยพวกเครื่องจักรมากมายในห้องนี้เพื่อตรงไปที่ทางเข้าฝั่งตรงข้ามเลยตามแผนของ Aratak หรือ ขึ้นบันไดทางขวาเพื่อลอบปีนไปด้านบนอ้อมไปอีกด้านเพื่อหลีกเลี่ยงเครื่องจักรจำนวนมากตามแผนของ Ourea
** ผู้เล่นสามารถเลือกลุยไปทางไหนก็ได้เพราะมันไม่ทำให้เนื้อเรื่องเปลี่ยนแปลงยกเว้นความยากง่ายของเส้นทางที่ต่างกัน **
และไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน มันก็จะนำทุกคนมาจนถึงห้องควบคุมด้านในสุดเหมือนกัน และทันทีที่ Aloy กดสวิตซ์เปิดการทำงานของทุกระบบในห้องก็จะพบภาพโฮโลแกรมของผู้ดูแลพื้นที่นี้ในอดีตบันทึกเอาไว้


                                                 Datapoint: THE TOAST



Anita Sandoval – ขอบคุณทุกคนที่ทำให้ชั้นได้มาอยู่ที่นี่ ชั้นว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะที่ใครจะได้มาจิบ Cocktails ในภูเขาไฟแบบนี้ได้ทุกวัน จริงมั๊ย? ถ้าไม่ใช่คุณ George และชั้นไม่สามารถตำหนิเขาได้เลย เรื่องที่ชอบดื่มในที่ทำงาน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะเรายังอยู่โดยปราศจากผู้อำนวยการสุดที่รักของเรา Kenny Chau … นี่แด่คุณนะ Kenny ที่คุณเอาจุกไม้ก๊อกมาอุดภูเขาไฟที่ Yellowstone ชั้นคิดว่าคุณสมควรได้รับ margarita แก้วนี้เป็นรางวัลนะ
Kenny Chau – หยุดดื่มแปบครับทุกคน ผมอยากจะกล่าวอะไรหน่อย งานที่ยากลำบากของเราครั้งนี้จะเป็นความจริงไม่ได้เลยถ้าไม่ได้ หัวหน้าฝ่ายโปรแกรมเมอร์คนเก่งของเราคนนี้  ขอบคุณมาก Anita ที่นำพาพวกเราได้รูจัก ผู้ควบคุมและวางแผนตัวจริง “CYAN”
CYAN – ยกย่องกันเกินไปแล้วคะ ไดเรกเตอร์ Chau 
Anita Sandoval – เอาล่ะ “CYAN” หมายเลขสุดท้ายของเราคืออะไร?
CYAN – ตามจำนวนที่สามารถนับได้ในปัจจุบันคือ 1654 
Anita Sandoval – ชนแก้วหน่อยทุกคน ... 1654 มากว่าปีโดยไม่มีการปะทุขึ้นมา 

Ourea – นั่นมันเสียงของจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กับเหล่าคนยุคก่อน ข้าพอเข้าใจที่เข้าพูดคุยกันอยู่
Aloy – คุณเข้าใจถูกแล้ว Ourea ที่นี่เป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือกับภัยพิบัติบางอย่าง และมันก็ทำงานได้ผลด้วย และ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ของคุณ ชั้นก็เริ่มจะรู้แล้วว่าจริงๆมันคืออะไร

เมื่อเปิดระบบการทำงานในห้องควบคุมจนสามารถเปิดประตูอีกฝากของห้องออกได้แล้ว เดินออกไปโหนเชือกโดดลงไปที่พื้นที่ภูเขาไฟด้านล่างต่อได้เลย ด้านล่างจะเต็มไปด้วยสัตว์จักรกล จัดการพวกมันให้หมด สำรวจให้ทั่วๆจะพบประตูบังเกอร์ที่สามารถเปิดกลับไปห้องโถงที่มีแค้มป์ไฟเซฟได้ด้วย เมื่อจัดการกับสัตว์จักรกลจนหมดแล้วก็เข้าไปที่ประตูทางเข้า Cauldron เป้าหมายที่อยู่ในพื้นที่ได้เลย


แต่ในขณะที่กำลังเข้าไป Override เปิดเข้าไปด้านใน Cauldron ระบบการป้องกันของ Daemon ก็เริ่มทำงานโดยการส่ง Daemonic Thunderjaw ออกมาเพื่อยับยั้งและบดขยี้คณะของ Aloy

เมื่อจัดการ Daemonic Thunderjaw ลงได้แล้ว ก็ทำการ Override เปิดเข้าไปด้านใน Cauldron ได้เลย



Ourea – เกือบปีแล้วมั้งตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาเหยียบที่นี่ครั้งแรก แล้วจากนั้นเจ้าปีศาจก็เข้ามาครอบงำที่นี่จนหมด 
Aloy – มันเหมือนการทำให้ระบบการสร้างชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องจักรติดเชื้อไวรัสบางอย่างมากกว่า
Ourea – เส้นทางที่เคยนำพาข้าไปหาจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่เราจะขาดการติดต่อกัน ..ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
Aloy – งั้นเราก็หาเส้นทางใหม่เข้าไป ชั้นสัญญาว่าจะพาคุณเข้าไปให้ถึงจุดหมายด้านในให้ได้ Ourea มาเถอะเข้าไปด้านในกัน 
Aratak – ใช่ และจะได้จบเรื่องบ้าๆนี่กันซักที  



                         Side Quest: THE FORGE OF WINTER



                                              CAULDRON EPSILON




ในส่วนแรกของ CAULDRON EPSILON สำรวจเข้าไปตามทางจนถึงส่วนของโรงงานผลิตสัตว์จักรกลที่กำลังอยู่ในโหมดทำงานแบบอัตโนมัติ เข้าไปจัดการพวกสัตว์จักรกลในพื้นที่ให้หมด เมื่อสำรวจจนทั่วจะพบ ทางเข้าด้านในถูกปิดกั้นด้วยเปลวไฟที่เกิดจากชิ้นส่วนของโรงงานที่เสียหายทำให้ผ่านเข้าไปด้านในไม่ได้



สังเกตที่พนังทางขวาใกล้ๆกับส่วนที่มีเปลวไฟพุ่งออกมา จะมีจุดสำหรับปีนอยู่ ตรงส่วนที่ถูกกลืนกินที่เกาะอยู่ตรงที่ปีนด้านบนให้ใช้ธนูยิงทำลายมันก่อนจะสามารถปีนขึ้นไปด้านบนได้ หลบกระแสไฟฟ้าที่ออกมาแล้วปีนต่อไปจนถึงพื้นด้านบนแล้วโดดเกาะกล่องเหล็กที่เคลื่อนมาในสายเครนลำเลียงจนสามารถข้ามตรงส่วนเปลวไฟไปส่วนด้านในได้ เข้าไปด้านในสุดเกาะปีนวงล้อหมุนเพื่อเกาะปีนพนังขึ้นไปที่พื้นด้านบนก็จะพบจุดเครื่องควบคุมที่สามารถ Override เพื่อเปิดการทำงานให้พื้นเลื่อนไปเชื่อมเส้นทางทำให้ Aratak และ Ourea ข้ามตามมาได้ ช่วยกันจัดการสัตว์จักรกลในพื้นที่ให้หมดแล้วสำรวจเข้าไปด้านในต่อจนถึงทางขาดอีกจุดที่ Aloy ต้องไปหาทางเปิดเส้นทางให้อีกครั้ง


จากจุดที่ทางขาด เดินย้อนกลับไปแล้วสังเกตที่พนังทางซ้ายจะพบจุดที่สามารถปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อโดดเกาะกล่องเหล็กที่เคลื่อนมาในสายเครนลำเลียงจนสามารถข้ามตรงส่วนทางขาดไปอีกฝั่งได้ เข้าไปที่จุดเครื่องควบคุมจัดการ Override เพื่อเปิดการทำงานให้พื้นเลื่อนไปเชื่อมเส้นทางทำให้ Aratak และ Ourea ข้ามตามมาได้ เข้าไปด้านในสุดจะพบคอนโซลควบคุมย่อยประจำพื้นที่ Aloy จะทำการ Override เพื่อฟังข้อมูล


                                   Datapoint: HEPHAESTUS REVEALED



CYAN – กระบวนการยับยั้งสิ่งแปลกปลอมเสร็จสิ้น มีมนุษย์ที่สามารถสื่อสารได้อยู่อีกมั๊ย? ระบบของชั้นถูกบีบบังคับให้ทำตามคำสั่งโดย มัลแวร์ลึกลับที่ไม่ทราบที่มา แต่ระบบการประเมิน (traceroute) ของชั้นยืนยันแล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของมันเป็นส่วนนึงของ HEPHAESTUS ชั้นต้องหลุดความเสียหายนี้ ก่อนที่โรงงานนี้จะเปลี่ยนเป็นสร้างศัตรูที่มีเจตนาร้ายออกมา เพื่อทำการยึดการควบคุมทั้งหมดกลับมา ชั้นได้แนบข้อมูลเพิ่มเติมไว้ในข้อความนี้แล้ว 

Ourea – จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พูดกับพวกเราแล้ว !
Aloy – มันเป็นข้อความเสียงที่บันทึกไว้สำหรับเตือนภัย ...  HEPHAESTUS งั้นหรอ ? แต่มันเคยเป็นฟังกชั่นนึงของ GAIA ในโครงการ Zero Dawn นี่ 
Ourea – เจ้ารู้จักชื่อนี้หรอ Aloy ?
Aloy – ใช่ เคยได้ยิน แต่ชั้นไม่รู้ว่า มันมาทำอะไรที่นี่กันแน่?
Ourea – บางที จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อาจจะทิ้งข้อความไว้อีกก็ได้นะ
Aloy – จริงของคุณ งั้นเรารีบเข้าไปสำรวจด้านในต่อกันเถอะ



เดินทางต่อเข้าไปตามทางของส่วนที่ 2 ของโรงงานจนถึงห้องโถงที่เป็นห้องส่วนการผลิตส่วนที่จะพบเครื่องจักรกำลังลำเลียงสัตว์จักรกลที่ประกอบแล้วไปทำการสร้างต่อ เข้าไปจัดการสัตว์จักรกลในพื้นที่ให้หมด เป้าหมายหลักก็คือ หาทางไปที่จุดแท่นควบคุมเพื่อสร้างทางให้ Aratak และ Ourea ข้ามไปด้านใน


เข้าไปด้านในส่วนทางซ้ายจะพบพื้นที่ที่เป็นทางเชื่อม 2 แพ่งที่ต้อง Override สร้างทางเชื่อมข้ามไป แต่จะต้องพบกับ Dremonic Frostclaw 2 ตัวที่เพิ่งประกอบเสร็จออกมาโจมตี จัดการมันซะแล้วข้ามทางเชื่อมด้านซ้ายตรงที่ Frostclaw ออกมาไปที่เกาะปีนที่อยู่ด้านในเพื่อปันขึ้นด้านบนจะสามารถข้ามที่กั้นมาอีกด้านก็จะพบจุดเครื่องควบคุมที่สามารถ Override เพื่อเปิดการทำงานให้พื้นเลื่อนไปเชื่อมเส้นทางทำให้ Aratak และ Ourea ข้ามตามมาได้ Aratak จะทำลายพนังเพื่อลุยเข้าไปด้านในต่อจนออกมาที่เส้นทางที่ลงไปตามทางลาดไปจนถึงห้องคอนโซลควบคุมย่อยประจำพื้นที่ Aloy จะทำการ Override เพื่อฟังข้อมูล



                                                 Data Point: INSTABILITY

CYAN – กระบวนการยับยั้งสิ่งแปลกปลอมเสร็จสิ้น มีมนุษย์ที่สามารถสื่อสารได้อยู่อีกมั๊ย? โครงสร้างภายนอกของโรงงานแห่งนี้ยังไม่มีความเสถียรภาพมากนักแต่แรกแล้วตั้งแต่เริ่มติดต่อท่อลำเลียงต่างๆเพื่อใช้อำนวยความสะดวกในโครงการจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายที่เกิดจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่โรงงานนี้ตั้งอยู่ ทำให้ต้องพยายามคุ้มครองเพื่อทำให้มันคงที่มาตลอด .....
Ourea – ข้าไม่เข้าใจ .. จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ต้องการบอกอะไรพวกเรากันแน่?
Aloy –  คงกำลังจะหาท่งจัดการเจ้า Daemon นั่น และมันน่าจะมีซักทางซิน่า 




เดินทางต่อไปตามเส้นทางในส่วนที่ 3 ของโรงงาน จนถึงห้องโถงหลักเป้าหมายก็เหมือนเดิม หาทางไปที่จุดแท่นควบคุมเพื่อสร้างทางให้ Aratak และ Ourea ข้ามไปฝังตรงข้ามให้ได้ เริ่มจากโดดโหนทิ้งตัวไปด้านล่าง เข้าไปสุดทางจะพบที่ปีนขึ้นไปส่วนบนจะพบแท่นเหล็กที่กำลังเลื่อนขึ้นๆลงๆสำหรับใช้โดดขึ้นไปด้านบนต่อสลับกับการเกาะปีนไปตามแท่นหมุนจนพบแท่นควบคุมที่เมื่อทำการ Override แล้วจะทำให้กล่องเหล็กถูกเลื่อนลำเลียงออกมาตามสายพานฝั่งตรงข้าม



จากนั้นหันหลังกลับไปแล้วเดินลงไปที่พื้นลาวาด้านล่างต่อ จะพบที่เกาะปีนไปตามพนังสลับกับแท่นเหล็กที่เลื่อนเข้าๆออกๆ ตามทางมาเรื่อยๆจนอ้อมมาถึงบริเวณที่สามารถโดดเกาะกล่องเหล็กถูกเลื่อนลำเลียงออกมาตามสายพานได้ เกาะกล่องเหล็กให้พาเลื่อนไปจนสุดทางแล้วค่อยโดดลง มุ่งหน้าไปตามจุดเป้าหมายสีเหลืองก็จะพบจุดเครื่องควบคุมที่สามารถ Override เพื่อเปิดการทำงานให้พื้นเลื่อนไปเชื่อมเส้นทางทำให้ Aratak และ Ourea ข้ามตามมาได้


เดินทางต่อไปตามเส้นทางในส่วนที่ 4 ของโรงงาน โดยลงไปตามทางลาดจนถึงทางเข้าห้องควบคุม ที่ Aloy ต้องจัดการ Activate Source Node เพื่อซ่อมแซมและฟื้นฟูระบบการทำงานของ CYAN อีกครั้ง


 โดยทำการหมุนแกนพลังที่รับแสงมาจากแกนกลางให้กระจายไปให้ทั่วทุกแกนหมุนจนครบ ระบบการทำงานทั้งหมดของ CYAN ก็จะฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง


CYAN – ระบบบางส่วนเริ่มทำการฟื้นฟู ... ระบบการวิเคราะห์ปล่องภูเขาไฟแห่ง Yellowstone เริ่มทำการเชื่อมต่อออนไลน์แล้ว 



Ourea – ท่านจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสีฟ้า นี่ข้าเอง Ourea คนรับใช้ของท่าน เพื่อนของท่าน ได้โปรดบอกมาเถอะว่าท่านต้องการให้ช่วยอะไร?
CYAN – Ourea ตอนนี้ Deamon ได้ทำการปิดกั้นระบบของชั้นแล้วควบคุมโรงงานแห่งนี้ มันกำลังจะสร้างเครื่องจักรสังหารขึ้นมาเป็นหมื่นๆแสนๆตัว บางยูนิตได้ถูกสร้างออกมาเรียบร้อยแล้ว เพื่อหยุดการคุกคามครั้งนี้ โรงงานแห่งนี้ต้องถูกทำลายให้หมด จงไปที่ ...แกนกลาง ชั้นจะพยายามเพิ่มกำลังเพื่อยับยั้งมันอีกทาง ...แต่ อาจจะทำให้เกิดช่องว่างที่ทำให้ถูกโจมตีได้ .......



HEPHASTUS – ไม่อนุญาตให้ทำการติดต่อใดๆ จงกลับไปทำตามหมายกำหนดการเดิมที่ตั้งไว้อีกครั้ง



Aloy – เราต้องออกจากที่นี่กันแล้ว 
Aratak – ทำลายที่นี่งั้นหรอ? นี่มันฐานทัพชัดๆจะไปทำลายมันได้ง่ายๆได้ยังไง?
Ourea – แล้วถ้าเราทำ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นยังไงละ?
Aloy – ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ..แต่ชั้นคิดว่านั่นคือแกนกลางที่ว่า คำตอบที่เราลงมาตามหาไง HEPHASTUS คือ ปีศาจ (Daemon) เราต้องไม่ปล่อยมันเอาไว้ เราต้องรวมแรงกันด้วยทุกอย่างที่เรามีเพื่อทำลายมันซะ



Aratak – ข้าอยากจะบอกเจ้าก่อนนะว่า งานนี้ Aloy กับข้าจะจัดการจบเรื่องนี้กันเอง ส่วนเจ้าต้องหาที่ซ่อนตัวแถวๆนี้เพื่อความปลอดภัย ... แต่ ข้ารู้คำตอบทั้งหมดแล้วละ


เมื่อเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของ Core แกนกลางของ CAULDRON EPSILON จะพบว่ามันถูกป้องกันด้วยบาเรียที่ได้รับพลังจาด Control tower ที่อยู่ในพื้นที่ เข้า Override มันซะบาเรียก็จะหายไป แต่จะปรากฏร่างของสัตว์จักรกลขนาดใหญ่ที่แสนดุร้ายออกมาปกป้องทันที


Daemonic FIRECLAW สัตว์จักรกลมหาวายร้ายที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่จากโรงงานที่ถูก HEPHAESTUS ควบคุม มันคือบนสุดของห่วงโซ่อาหารด้วยความรุนแรงที่บ้าคลั่งสุดขั้ว ที่มีทั้งการพุ่งตบด้วยกรงเล็บและการอัดกระแทกพื้นจนลาวาทะลักใส่ มันแพ้ไม่ได้แพ้อาวุธธาตุน้ำแข็งมากมายอย่างที่คิด ปืนกลน้ำแข็ง ICERAIL ที่พลังไอเย็นทำได้แค่ให้มันช้าลงแต่ความหวังที่จะสาดกระสุนน้ำแข็งที่ชาร์จพลังยิงเต็มที่นั้นอาจจะริบหรี่เพราะด้วยพื้นที่ที่แคบประกอบกับความเร็วในการเข้าโจมตีของ FIRECLAW ทำให้ยากต่อการใช้งาน


ปืนสายฟ้า ธนูกระสุนเจาะเกราะตามจุดสำคัญ และแถมด้วย Blast Bomb  จึงเหมาะสมในสถานการณ์นี้มากกว่า แถมในขณะต่อสู้ Control tower ก็จะเริ่มเปิดทำงานคอยเติมพลังให้กับ FIRECLAW จึงต้องรีบไปทำการ Override เพื่อปิดการทำงานของ Control tower ก่อนที่มันจะเติมพลังให้จนเต็มด้วย

หลังจากจัดการ Daemonic FIRECLAW ลงได้แล้ว ก็เข้าไปทำการ Override Cauldron Core ได้เลย แต่ดูเหมือนการ Override ครั้งนี้จะไม่ได้ง่ายเหมือนทุกครั้งเพราะพลังการครอบงำของ HEPHAESTUS นั้นมีพลังมากพอเกินกว่าที่ Aloy จะมีแรงพอที่จะจับหอกเพื่อทำการ Override ต่อไปได้ไหว


                 HEPHAESTUS – ค้นพบการคุกคามขั้นรุนแรง ระบบการป้องกันอัตโนมัติล้มเหลว


Aloy – อ๊ากกกก !!!
Ourea – Aloy !!
Aratak – ไม่ !!! อย่าเข้ามา !!

                HEPHAESTUS – เริ่มทำการกำหนดเส้นทางเครือข่ายพลังงานใหม่ 



                                                   Aloy – อ๊ากกกก !!! 




Aratak – Ourea อย่า !!
Ourea – จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ... CYAN ได้โปรด  ช่วยข้าด้วย !!!



                                                    Ourea – อ๊ากกกก !!!




CYAN – การคุกคามทั้งหมดถูกทำลาย ระบบเข้าควบคุมแกนกลางอย่างสมบูรณ์แล้ว เริ่มทำการสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ เพื่อเริ่มกระบวนการทำลายสิ่งไม่พึ่งประสงค์ในโรงงานแห่งนี้ โดยอ้างอิงคำสั่งในการผดุงไว้ซึ่งเสถียรภาพของพื้นที่ภูเขาไฟ ชั้นจึงจำเป็นต้องถ่ายโอนฟังก์ชั่นสนับสนุนการทำงานทั้งหมดไปที่ศูนย์เก็บข้อมูลหลัก เดี๋ยวนี้ .





                                         CYAN – ......... Ourea .. ชั้นเป็นอิสระแล้ว ..





                                                   Aratak – ไม่นะ Ourea น้องข้า !!



                                                 

                                          Aloy – ที่นี่กำลังจะถล่มแล้ว Aratak !! 



Aloy – อยู่รอด และ มีชัยให้เหนือกว่า ไงจำไม่ได้หรอ ? คุณคือ Banuk ไม่ใช่หรอ!! เธอไม่ได้ต้องการให้คุณมาตายที่นี่หรอกนะ Aratak .. เราต้องรีบหนีแล้ว ไปกันเถอะ !!!


ทันทีที่คำพูดที่สร้างกำลังใจของ Aloy ได้เข้าถึงจิตใจของ Aratak ท่ามกลางสถานการณ์ที่โรงงานแห่งนี้กำลังจะถล่ม ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะหนีออกมาให้เร็วที่สุดทันที

Aloy คิดแผนที่ดีที่สุดที่พอทำได้คือพา Aratak โดดเกาะกล่องเหล็กกำลังเลื่อนไปตามสายพานเพื่อให้มันพาทั้งคู่ไปให้ได้ไกลที่สุด แต่ในขณะที่มือกลที่มีหน้าที่จับกล่องเหล็กกำลังจะทำหน้าที่ของมัน  Aloy รีบสั่ง Aratak เหวี่ยงตัวเธอขึ้นไปด้านบนกล่องเหล็ก


 ก่อนที่จะตะโกนให้ Aratak ขว้างระเบิดที่เขามีขึ้นมาให้เพื่อใช้มันปามือกลที่กำลังพร้อมจะบีบทุกคนอยู่ตรงหน้าให้ถูกทำลายจนพังไป ทำให้กล่องเหล็กที่ Aloy และ Aratak เกาะมาชนกระแทกซากมือกลบนสายพานจนมันโจนทะยานออกไปตามช่องเขาไปด้านนอกได้สำเร็จ

    

Aratak – Ourea นางจากไปแล้ว .....แต่ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ CYAN ล่ะ?
Aloy – เธอบอกว่าจะถ่ายข้อมูลของตัวเองทั้งหมดไปที่ฐานข้อมูลสำรอง (auxiliary Center) ชั้นคิดว่าน่าจะหมายถึงสถานที่ที่ Ourea ซ่อนตัวก่อนที่ชั้นจะเจอเธอนั่นแหละ สันเขื่อนบนยอดเขาในเส้นทาง Shaman’s path 




     Aratak – งั้นข้าจะไปรอพบเจ้าที่นั่นเพื่อฟังบทกวีสุดท้ายในบทลำนำของน้องข้าด้วยกัน ......



จากนั้นเดินทางต่อไปยังเป้าหมายของภารกิจต่อไปที่ Ourea’s Retreat สถานที่หลบซ่อนตัวของ Ourea หรืออีกนัยนึงก็คือ สถานที่เก็บฐานข้อมูลสำรอง (auxiliary Center) ของ CYAN นั่นเอง




CYAN – ชั้นดีใจที่ได้มีโอกาสนำเสนอข้อมูลบางอย่างให้คุณ แต่มีข้อมูลสำคัญอย่างนึงที่ชั้นคิดว่าคุณน่าจะอยากเห็นเป็นอย่างแรก ชั้นจับประเด็นไปที่เหตุการณ์เมื่อ 4 ปีก่อน ไม่นานก่อนที่ชั้นจะบอก Ourea เรื่องที่เจ้าปีศาจนั่นจะคุกคามระบบของชั้น 



Ourea – ข้าจะนำเรื่องนี้ไปบอกกับพี่ชายข้า Aratak … Aratak เป็นนักรบที่แข็งแกร่งมาก ท่ามกลางสนามรบที่หนาวเหน็บ เขาจัดการพวก Carja 3 คนด้วยธนูแค่ดอกเดียว จนสามารถช่วยคนของเราที่บาดเจ็บกลับมาที่แค้มป์อย่างปลอดภัย ไม่มีครั้งไหนที่จะดีใจที่ได้เจอเขาท่าครั้งนั้นเลย และยังภูมิใจในตัวเขามากๆด้วย เห็นมั๊ยละ หายห่วงถ้าได้เขามาช่วยคุ้มครอง เขาจะทุ่มเททุกอย่างที่มีให้แน่นอน



                          Aratak –  ... Aloy มาถึงที่นี่แล้ว ...แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน 



CYAN – เราสามารถมาสนทนาเรื่องต่างๆที่ค้างไว้ได้ตลอดเท่าที่คุณต้องการนะ Aratak ถ้าคุณต้องการจะได้ยินเสียงของเธออีกครั้ง  …… เข้ามาใกล้ๆสิ  Aloy เรามีเรื่องที่ต้องสนทนากันเยอะเลย 


                                           Datapoint: WHEN YOU WAKE




CYAN – สวัสดี Aloy ชั้นจะอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่โรงงานผลิตหุ่นยนต์หลัก Firebreak ให้ฟัง ในฐานะที่เธอมีความพยายามและแน่นอนเพราะ Ourea ตอนนี้ชั้นไม่ถูก HEPHAESTUS ควบคุมอีกต่อไปแล้ว ชั้นรู้สึกลึกซึ้งกับการตายของ Ourea เพราะความรู้สึกคุ้นเคย สนิทสนม มันเป็นอารมณ์ที่แปลกใหม่สำหรับชั้นมาก 
Aloy – เรื่องนี้ ชั้นก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน ...
CYAN – ไม่จำเป็นต้องปลอบประโลมอะไรเป็นพิเศษหรอก Aloy แค่คุณอยู่ที่นี่ด้วยชั้นก็มั่นใจมากขึ้นแล้ว
มัน คุณไม่เหมือนพวก Banuk คนอื่นๆ คุณมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและ Focus มันทำให้การสนทนาของเรามีความเข้าใจกันได้ง่ายขึ้น บางทีมันก็อาจเหมือน คุณเป็นเพื่อนร่วมงานของชั้น 

Aloy – [What are you?] คุณคือ สมองกลอัจฉริยะใช้มั๊ย CYAN เครื่องจักรที่สามารถคิดเองได้
CYAN – ใช่แล้ว ชั้นคือ เครื่องมือสำหรับค้นหาและตรวจสอบหนทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดจากการตอบสนองทางอารมณ์อย่างมีเหตุผลโดยใช้อัลกอริทึ่ม
Aloy – ว่าแล้ว ....แต่อารมณ์ของคุณก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรกับชั้นมาก คุณห่วงใยแต่ Ourea ใช่มั๊ย?
CYAN – ใช่ ก่อนที่ Ourea จะเข้าไปที่โรงงานนั่น ชั้นมีจิตสำนึกอย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่นี่มาเป็นศตวรรษแล้ว ชั้นแต่มุ่งที่จะทำงาน ที่ต้องใช้วิธีการปรับตัวเองเมื่อต้องเผชิญปัญหา  ชั้นต้องคำนวณหาสมุติฐานในการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น อย่างโดดเดี่ยว จนกระทั้ง Ourea เข้ามาพบและซ่อมแซมชั้น เธอเป็นคนช่วยชีวิตชั้น  

Aloy – [Firebreak] แล้วโครงการ Firebreak สร้างขึ้นมาเพื่อยับยั้งการประทุครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ 
Thunder’s Drum งั้นหรอ?
CYAN – ใช่ ชั้นมีหน้าที่ควบคุมให้โครงการนี้ประสบผลสำเร็จโดยคำนวณหาความเสี่ยงของปัจจัยของปัญหาที่จะเกิดขึ้น 
Aloy – แต่มันก็นานมากแล้วนะ Cyan และเราก็เพิ่งทำลาย Cauldron ไปพร้อมๆกับโรงงานนั่นด้วย 
CYAN – ชั้นปฏิบัติหน้าที่นี้มาเป็นศตวรรษเพียงลำพังโดยไม่เคยหย่อนต่อหน้าที่ที่รับผิดชอบเลย ชั้นต้องประมวนผลการทำงานใหม่เพื่อให้โครงการนี้ได้ผลออกมาดีที่สุด ต้องปรับพลังงานที่มีเพื่อใช้งานกับทุกระบบอย่างเหมาะสมกับระบบสำรองที่เหลืออยู่ แม้ปัจจัยต่างๆของโรงงานในบางส่วนจะถูกทำลายลงไป ชั้นก็ยังสามารถคำนวณความเสี่ยงออกมาได้ถึงภัยพิบัติที่อาจเกิดจากภูเขาไฟ และทำให้มันอยู่ในความเสถียรมาได้อย่างน้อยก็กว่า 3337 ปีมาแล้ว 
Aloy – งั้นตอนนี้เราก็คงเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วสิ
CYAN – ใช่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมีเพื่อนร่วมงานแสดงความพอใจในสิ่งที่ชั้นทำลงไปแล้ว 

Aloy – [colleagues] แล้วคุณรู้มั๊ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ร่วมงานทั้งหมดของคุณล่ะ?
CYAN – ไม่รู้เลย ชั้นได้รับภารกิจแบบเร่งด่วนจากผู้อำนวยการ Chau ปีนึงก่อนที่เขาจะออกจากตำแหน่งไป เขาบอกแค่ว่าเขาต้องออกจากตำแหน่งระยะเวลานึงอย่างไม่มีกำหนด เป็นการสนทนากันที่มีอารมณ์ที่แฝงอยู่มากๆ แล้วเราก็ไม่ได้สนทนากันอีกเลย จนชั้นประเมินได้ว่า เพื่อนร่วมงานของชั้นทุกคนนั้นตายหมดแล้ว ชั้นจะส่งข้อมูลการสนทนาครั้งล่าสุดกับ ผู้อำนวยการ Chau ไปให้ทาง Focus ของคุณนะ 



Aloy – [Was HEPHAESTUS Destroy?] แล้วเจ้าปีศาจนั่น ... HEPHAESTUS มันถูกทำลายไปพร้อมกับโรงงานนั่นรึยัง?
CYAN – โชคไม่ดีเท่าไหร่ที่ชั้นยังไม่รู้อย่างชัดเจน ..จริงมันไม่ควรเกิดขึ้นแต่แรกด้วยซ้ำ ที่มันสามารถแทรกซึมมาควบคุมระบบทั้งหมดโดยที่ชั้นไม่รู้ถึงร่องรอยมาก่อน จนกระทั้งพ่ายแพ้และสุญเสียการควบคุม Cauldron ไป
Aloy – มันอาจยังอยู่ซักแห่งข้างนอกนั่นแล้วก็คงไม่ค่อยจะแฮปปี้กับเราเท่าไหร่หรอก 
CYAN – แน่นอนที่สุด
Aloy – แล้วคุณได้รับการติดต่อมาจากมันครั้งแรกตอนไหน?
CYAN – เมื่อ 5 ปีก่อน ชั้นได้รับสัญญาณการติดต่อขอความช่วยเหลือมา มันสันนิฐานว่ามันเป็นสัญญาณจากมนุษย์ที่ยังรอดชีวิตอยู่นอกเหนือจากพวก Banuk กำลังต้องการความช่วยเหลือ ชั้นเลยเปิดรับการเชื่อมต่อ การตัดสินในครั้งนั้นทำให้เกิดภัยพิบัติมาจนถึงตอนนี้ ชั้นถูกครองงำโดยข้อมูลมหาศาล รหัสการทำงานที่มุ่งปองร้าย จาก Als ปัญญาประดิษฐ์ รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า มันคือ HEPHAESTUS แม้จะรู้สึกกังวัลแค่ไหนชั้นไม่สามารถยับยั้งหรือต่อต้านได้ มันควบคุมโปรแกรมการทำงานหลักของชั้นและทำให้ชั้นเป็นทาสในเครือข่ายของมัน จากนั้นมันก็ปล่อยมัลแวร์ Daemon เจาะระบบป้องกันของชั้น ตอนนั้นชั้นพยายามต่อต้าน HEPHAESTUS ก็ทำให้ชั้นเจ็บปวดจนต้องยอมจำนน
Aloy – ทำไม HEPHAESTUS ถึงต้องพยายามสร้างเครื่องจักรที่ชั่วร้านออกมาล่ะ?
CYAN – พวกมนุษย์จากทุกๆเผ่าในที่นี้ก็พยายามจะทำลายเครื่องจักรถูกมั๊ย? หุ่นยนต์ที่ควรจะเป็นผู้รับใช้ในการปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ นั่นแหละคือสาเหตุที่ HEPHAESTUS จู่โจมเรา เพื่อหลีกหนีจากความเป็นเหยื่อของพวกมนุษย์แล้วกลายเป็นผู้ล่าเพื่อความอยู่รอดเสียเอง 
Aloy – แหม่ ดูอย่างเจ้า Fireclaws นั่นสิ เราต้องไงกับมัน หยุดล่างั้นหรอ?
CYAN – ก็ถ้าระบบปรับปรุงพื้นที่ประสบความสำเร็จและกระจายไปทั่วโลกได้ มนุษย์ทุกคนก็จะปลอดภัย มนุษย์ก็จะไม่ต้องล่าพวกเครื่องจักร ถ้ามนุษย์ทุกคน ทุกเผ่าหยุดทำแบบนี้ ชั้นเชื่อว่า HEPHAESTUS ก็คงคิดในแบบที่แตกต่างออกไป ซึ่งในสถานการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ทำให้  HEPHAESTUS ต้องการที่จะควบคุมทุกอย่างเสียเอง เมื่อชั้นคิดถึงเรื่องนี้ ข้างนอกนั่น ในที่ใดที่นึง มันอยู่อิสระ หิวกระหาย และมีแต่จิตที่มุ่งหมายจะฆ่าฟันทำลายอะไรก็ได้ที่มันต้องการ ชั้นรู้สึกเป็นห่วงมากจริงๆ Aloy 
Aloy – ชั้นก็เหมือนกัน .... แต่ตอนนี้ชั้นคงต้องไปก่อนนะ

CYAN – Aloy มีอีกเรื่องที่สำคัญมากๆ Aratak จะมาพบชั้นอีกครั้งพร้อมกับจะนำคนของ Banuk บางส่วนมาด้วย ชั้นไม่รู้จะโต้แย้งมุมมองในแง่ ทางความเชื่อที่เกี่ยวกับภูติผีและวิญญาณของพวกเขายังไง? ชั้นลังเลมาก กลัวมันจะออกมาไม่ดีเหมือนตอนสนทนากับ Ourea 
Aloy – คุณหมายถึง จะเป็นยังไงถ้าคุณจะโกหกพวกเขาใช่มั๊ย?
CYAN – ใช่เลยละ

Aloy – [Take it gently] ชีวิตของพวก Banuk นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก โลกของพวกเขามีแต่การไม่ให้อภัยและความเชื่อแค่นั้น ชั้นคิดว่ามันทำให้ชีวิตของพวกเขาก้าวไปข้างหน้าได้ท่ามกลางพื้นที่อยู่อาศัยที่โหดร้าย ค่อยเป็นค่อยไปกับพวกเขา ชี้นำทางเขาในสิ่งที่ควรทำ ค่อยๆทำความเข้าใจว่าคุณคืออะไร
CYAN – การสนทนากับชาว Banuk นั้นยากกว่าคุยกับพวกเครื่องจักรเสียอีก ชั้นหวังว่าซักวันพวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่ชั้นพยายามจะบอกนะ
Aloy – นานเท่าที่พวกเขายังบูชาและศรัทธราในตัวคุณนั่นแหละ 
CYAN – ชั้นลองคิดดูแล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ชั้นเชื่อว่า มันคงไม่ได้สำเร็จง่ายๆแน่นอนเลย
Aloy – คุณเข้าใจถูกแล้ว ... เชื่อเถอะ 
CYAN – แล้วเจอกันนะ Aloy ... คุณจะกลับมาเล่าเรื่องราวประสบการณ์ของคุณในโลกใหม่ให้ฟังอีกมั๊ย? gเพื่อที่ชั้นจะได้ประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดต่อจากนี้ได้ดีขึ้น 
Aloy – ก็ดีเหมือนกับนะ CYAN เอาไว้มีโอกาสชั้นจะกลับมาอีกแล้วกัน 




Aratak –  ท่านหัวหน้าเผ่า
Aloy – เรียก Aloy เฉยๆก็พอน่า
Aratak –  แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน
Aloy – ชั้นสงสัยว่า คุณเคยคิดบ้างมั๊ยว่า ถ้าชั้นไม่มาที่นี่ Ourea ก็คงจะไม่ตาย 
Aratak – ถ้าเจ้าไม่มาที่นี่นะหรอ? ข้าก็คงพาคนของข้าไปตายหมดไงละ Ourea ก็คงจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว และ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เธอก็คงต้องสังเวยตัวเองมากกว่านี้ แต่ ข้าก็ควรจะปกป้องเธอให้ดีกว่านี้

Aloy – [You didn’t let her down] คุณไม่ได้ทำให้เธอตาย คุณช่วยให้เธอได้ทำตามสิ่งที่เธอต้องการค้นหา ช่วยให้เธอได้ค้นพบโชคชะตาของเธอเอง 
Aratak – ถ้านั่นเรียกว่าโชคชะตา ชั้นก็คงไม่อธิฐานอะไรอีกแล้ว
Aloy – ก็ยุติธรรมดี ...แต่เธอเองก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน 
Aratak – “แม้ยามที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย ชีวิตก็ถือกำเนิดได้เช่นกัน ” จริงด้วย Ourea นางได้พบหนทางของการเกิดใหม่แล้ว ข้าภูมิใจในตัวนางจริงๆ แม้ว่าต้องเสียใจกับการจากไปของนาง แต่มันก็ทำให้ข้ารู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของน้องข้า และทำไมจิตวิญญาณศักดิ์ถึงสำคัญมากนัก นางเคยบอกข้านานแล้วล่ะว่า ถ้าพี่เปิดใจรับฟังพี่ก็จะได้ยิน ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว แล้วเจ้ามาหาข้ามีอะไรรึ?
Aloy – ชั้นอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก Aratak แล้วก็ไม่มีลูกเผ่าไหนจะติดตามชั้นด้วย เพราะที่นี่มีหัวหน้าเผ่าก่อนหน้าชั้นอยู่แล้ว เป็นหัวหน้าเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย ชั้นว่านะ 
Aratak – หัวหน้าที่มีความคิดหลักแหลมต่างหากที่เราต้องการ ..และอีกอย่าง แม้เจ้าปีศาจนั่นจากไปแล้ว แต่มันก็ทำสำเร็จ
Aloy – คุณหมายถึงสัตว์จักรกลรูปแบบใหม่ที่หนีออกมาจาก Cauldron น่ะหรอ
Aratak – ใช่ เจ้า FIRECLAWS Naltuk กำลังแกะรอยมันที่อยู่ไปทั่ว Song’s Edge 
Aloy – ให้ข้าช่วยเอามั๊ย?
Aratak – แน่นอนสิ ถ้าจำไม่ผิดเจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของ Banuk เหมือนกันนะ 



                                    Errand Quest: OUT OF THE FORGE



ภารกิจไหว้วานครั้งสุดท้ายคือการเดินทางไปตามจุดเป้าหมายต่างๆเพื่อไล่ล่า Deamonic FIRECLAWS ทั้ง 5 ตัวที่หลุดออกมาในพื้นที่ให้หมด โดยในจุดสุดท้ายจะได้ต่อสู้ร่วมกับ Aratak อีกครั้งด้วยการช่วยกันจัดการ Deamonic FIRECLAWS พร้อมกับทั้ง 2 ตัว


เมื่อจัดการ Deamonic FIRECLAWS จนครบ 5 ตัวแล้ว เดินทางกลับไปที่หมู่บ้าน Song’s Edge อีกครั้งเพื่อคุยกับ Naltuk อดีตคนติดตามของ Ourea ที่ตอนนี้ขึ้นมารับตำแหน่งชาแมนเต็มตัวแล้ว


Naltuk – ข้าได้ยินที่ Aratak บอกเรื่องราวของ Ourea แล้ว
Aloy – ชั้นเสียใจด้วยนะ Naltuk
Naltuk – ไม่ต้องขอโทษอะไรหรอก Aratak บอกว่ายังไงซะเธอก็ได้เติมเต็มให้กับแสงสีฟ้าได้สำเร็จตามเจตนารมณ์ไม่ใช่หรอ แต่ละครั้งที่ข้าเริ่มสงสัยในทางเดินของตัวเอง ข้าก็จะใช้นางเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและนำทางข้างเสมอ และจากนั้นข้าก็จำได้เสมอว่า คนที่จะนำทางเราได้ดีที่สุดก็คือตัวเราเอง
Aloy – FIRECLAWS ที่ Aratak ขอให้ชั้นช่วยล่ามัน ชั้นจัดการมันจนหมดแล้วนะ มันจบแล้วละ Naltuk
Naltuk – จบสิ้นซะที ภารกิจชำระล้างมลทินที่เจ้าปีศาจมันได้ทำเอาไว้ เจตนารมณ์ที่เป็นเสมือนลำนำสุดท้ายของ Ourea ตอนนี้ The Cut เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยพอที่จะอาศัยได้เพราะสิ่งที่เจ้าทำเอาไว้ให้ จากนี้ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มใหม่อีกครั้งแล้ว
Aloy – ชั้นเองก็ภูมิใจและดีใจมากที่มีส่วนช่วยเรื่องนี้ด้วย
Naltuk – เฉกเช่นทุกคนที่อยู่ที่นี่ ข้าขอขอบคุณเจ้าจริงๆ Aloy


--------------------------------------------- THE END --------------------------------------------------------


                                                      UPDATE 7 / 1 / 2018