วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2562

Devil May Cry Before the Nightmare novel



Devil May Cry Before the Nightmare คือนวนิยายอย่างเป็นทางการที่เป็นเรื่องราวก่อนเกม Devil May Cry 5 เผยแพร่โดย Kadokawa เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2019

นวนิยายเรื่องนี้เป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นและในปัจจุบันยังไม่มีแผนที่จะประกาศให้แปลเป็นภาษาอื่น ซึ่งหมายความว่าผู้ชมชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่จะได้รับเรื่องราวเบื้องหลังของ Devil May Cry 5


เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ Platinum ผู้แปล / ผู้ดูแล twitter account  DMC5Info จึงทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อแปลเรื่องราวจากนิยายจำนวน 260 มาแปลเป็นภาษาอังกฤษเป็นบทย่อๆจำนวน 33 หน้า 


คุณสามารถเข้าไปอ่านลิงค์ต้นฉบับนิยายแปลภาษาอังกฤษได้ที่
https://docs.google.com/document/d/1jnFEkO38lHjOMt2TC476kAWvTsAwRQW-UhVbpS2trLE/edit

ลิงค์สำหรับโหลดเป็นไฟล์ PDF 
https://drive.google.com/file/d/1sehBInbkahYDqQ3NzV3nyHPKljIdLysp/view?fbclid=IwAR3jCp8tl33ZgQdbivA0aG3LCXYSXPa2Tbp0f37ffM2sAVQNPQgCstQwCjc


Thank Plat from twitter account "DMC5Info"  for the translation
https://twitter.com/DMC5Info

                   Devil may Cry V: Before the Nightmare 

                                                   เรื่องโดยคุณ Bingo Morihashi
                                               ภาพประกอบโดย Tsuyomaru (つよ丸)
                              แปลภาษาอังกฤษโดย Plat จาก twitter account "DMC5Info" 
                                                แปลไทยโดย Decibel per oxide


                                          Prologue Chapter

Nico ได้นัดพบเพื่อเข้ามาพูดคุยกับ Jeffrey Turner นักข่าวจากนิตยสารที่ว่าด้วยเรื่องไสยศาสตร์ที่ชื่อ 'Occult Times' ในบาร์แห่งนึง ถึงเรื่องที่ Nico เคยเขียนคอลัมน์ในนิตยสารนี้เมื่อห้าปีก่อนด้วยนามปากกา Miss Goldstein ในบทความเกี่ยวกับสาเหตุที่ Saviour โจมตีเมือง Fortuna เพื่อแย้งกับบทความของ Jeffrey แถมด่าว่าว่าเขาเขียนเกินจริงมากเกินไป

 เรื่องของเรื่องคือ Jeffrey ค่อนข้างคาใจว่าทำไม Nico ถึงรู้เรื่องราวในครั้งนั้นดีนักทั้งๆที่เมือง Fortuna เป็นเมืองโบราณที่เงียบสงบห่างไกลความเจริญที่น้อยคนจะรู้จัก ทั้งที่ Jeffrey เองก็เป็นนักข่าวสายนี้มานานก็ยังไม่ได้เข้าถึงเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเองเพียงแต่ได้ยินข่าวว่าเมือง  Fortuna ถูกยักษ์สีขาวถล่มเท่านั้น แถมความพยายามที่จะเข้าไปสัมภาษณ์พูดคุยกับคนของลัทธิภาคีแห่งดาบ (The Order of the Sword) ก็ไม่เป็นผลเพราะสมาชิกชั้นผู้น้อยต่างๆก็ถูกระดับผู้นำในภาคีห้ามไม่ให้เหตุการณ์ในครั้งนั้นอย่างเด็ดขาด ไม่ต่างกับ Nico เองก็ถึงกับเอ่ยปากว่า การเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในครั้งนั้นตัวเธอเองก็ทำได้ยากเพราะภายในเมือง Fortuna นั้นเต็มไปด้วยป้ายห้ามคนนอกเข้าในพื้นที่สำคัญเต็มไปหมด ซึ่ง Jeffrey เชื่อว่า ยักษ์สีขาวที่ออกมาถล่มเมืองนั้นเป็นผลจากการประกอบพิธีกรรมนอกรีตที่ผิดพลาด

Jeffrey เองพยายามที่จะสั่งเครื่องดื่มและขนมปังมาเพิ่มเพื่อให้การสนทนานี้ดำเนินต่อไปอีกซักหน่อยแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเพราะ Nico ได้แต่ทำท่าไม่สนใจและไล่เขากลับไปที่ทำงานซะ ก่อนที่เธอจะนำหน้านึงในนิตยสารของ Jeffrey ที่เป็นรูปชายคนนึงที่ถูกปิดบังใบหน้าท่ามกลางซากปรักหักพังของเมือง  Fortuna ว่าเธออยากรู้ว่าเขาเป็นใคร Jeffrey บอกได้แต่เพียงว่า ชายคนนั้นชื่อย่อว่า N เป็นเป็นสายข่าวให้เขา แต่ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรมากมาย Nico บอกว่าชายคนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของลัทธิภาคแห่งดาบ (The Order of the Sword) ซึ่งแม้ว่า Jeffrey จะบอกว่าเขาไม่ได้เจอสายข่าวคนนี้มานานแล้วแต่ Nico ก็ยังคะยั้นคะยอที่จะขอรู้ชื่อเต็มของชายที่ชื่อย่อว่า N ซึ่ง  Jeffrey ที่แม้จะกังวลว่าจะให้บอกดีหรือไม่ แต่เมื่อ Nico ยั่งย้ำหนักแน่นว่ายังไงเธอก็ต้องการจะพบชายที่ชื่อย่อว่า N ให้ได้ Jeffrey ที่ปกติจะจำเชื่อคนไม่ค่อยได้แต่ด้วยข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่และเป็นการทำข่าวนอกประเทศของเขาจึงจำได้อย่างแม่นยำว่า สายข่าวของเขาคนนี้ชื่อ Nero  Nico รีบถามต่อว่า Nero ที่ว่านามสกุลอะไร Jeffrey เองก็ตอบไม่ได้เพราะเขาเองก็ไม่รู้

ก่อนที่  Jeffrey จะถามให้หายคาใจว่าทำไม Nico ถึงอยากไปที่เมือง  Fortuna นัก Nico ตอบอย่างมั่นใจว่า "ชั้นมีเป้าหมายที่สูงกว่านั้น" ก่อนที่จะกระดกเบอร์เบิ้นจนหมดแก้วก่อนจะจากไปพร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม แถมยังทิ้งบทความต้นฉบับที่เธอเคยเขียนให้กับนิตยสาร Occult Times ให้ Jeffrey ไว้ดูต่างหน้า  Jeffrey เองก็อดสงสัยไม่ได้ว่า นามปากกา Miss Goldstein นี้ไม่แน่ใจว่าเขาเคยได้ยินมาจากไหนมาก่อนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เขาเมาเกินกว่าที่จำอะไรๆได้แล้ว



                                           Nero Chapter 1


กล่าวถึง Nero ที่กำลังขมักเขม่นกับการปรับแต่ง Red Queen ให้บิดได้รอบสมดังที่ตั้งใจไปพร้อมๆกับพูดจาติดตลกกับดาบคู่ใจอย่างสนุกว่าสงสัยคงจะกำลังงอลที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแล จนกระทั้ง Julio เด็กกำพร้าที่ Nero และ Kyrie ช่วยกันเลี้ยงดูมาเข้ามาบอกว่ามีผู้หญิงที่ท่าทางแปลกอยู่หน้าบ้าน Nero ก็ได้แต่ถามกวนๆกับไปว่าไอ้ที่ว่าแปลกที่ว่านี่ผู้หญิงคนนั้นเธอมี 3 ตาและไม่จมูกหรือไง Julio รีบบอกว่าไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของเธอหรอกที่ว่าแปลก แต่ที่บอกว่าแปลกก็เพราะผู้หญิงเธอว่าบอกว่ามาตามหา Nero

ในขณะที่ Nero เองก็ยิ่งขยาดกับพวกนักข่าวและนักเขียนนิยายมากมายที่พยายามเข้ามาขอรายละเอียดหลังเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายในเมืองโดยมีภาคีแห่งดาบที่เขาสังกัดอยู่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ Nero ก็ไม่สามารถบอกความจริงกับพวกเขาได้มากนัก Julio อธิบายต่อว่าผู้หญิงที่ว่านั้นผิวคล้ำและใส่แว่นที่ตอนแรกนึกว่า Gloria  Nero รีบถามต่อทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ผมสีขาวรึเปล่า  Julio บอกกลับไปว่า เธอผมดำและหยิก ก่อนที่เสียงของ Nico จะตะโกนไล่หลังมาว่า "ใครบอกยะว่าชั้นผมดำหยิกไอ้เด็กโง่เอ้ย" ก่อนที่ตัวเธอจะมายืนอยู่หน้าโรงรถ แต่ก่อนที่ Julio กำลังจะด่ากลับเหมือนทุกครั้ง Nero ก็รีบตัดบทและบอกให้ Julio ไปหา Kyrie ด้วยสีหน้าที่จริงจังจน  Julio ต้องยอมทำตาม

Nero ถามกับ Nico ว่ามาหาเขามีธุระอะไร? พร้อมกับพยายามซ่อน Devil Bringer ของเขาจากสายตาของเธอไปพลาง แขนปีศาจที่เขาเคยขยะแขยงและเกลียดชังที่ตอนนี้ต้องขอบคุณมันที่ช่วยปกป้องคนที่เขารักมาจนถึงวันนี้ ที่สำคัญแขนนี้มันช่วยแยกแยะคนออกจากปีศาจให้เขาเห็นได้เมื่อมีพวกปีศาจเข้ามาใกล้ แขนนี้ก็จะเกิดปฎิกริยาให้รู้ในทันใด และการที่แขนไม่ตอบสนองใดๆกับ Nico นั่นจึงเป็นเครื่องการรันตีว่า เธอเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาหรือไม่ก็อาจเป็นปีศาจที่ไร้ราคาจนทำให้แขนไม่รู้สึกถึง

Nero ตอบคำถามว่าเธอมาทำไมด้วยคำถามว่า คุณคือ Nero ใช่มั๊ย? ก่อนที่เธอจะควักบุหรี่มาจุดดูดก่อนจะถามคำถามต่อไปท่ามกลางความหงุดหงิดใจของ Nero ที่ทั้งเกลียดการสูบบุหรี่และกลัวว่าจะเกิดประกายไฟจนทำให้น้ำมันที่อยู่ในโรงรถจะติดไฟจนระเบิดเป็นจุล แต่ก็ไม่เท่ากับที่ Nico ตำหนิต่อหน้าว่า Nero ว่าทำไมถึงไปตามใจไอ้เด็กนิสัยเสียคนนั้นจนเกินไปทำให้ Nero โมโหจนต้องพูดออกไปว่า ถ้าไม่ดับบุหรี่ก่อนก็ให้กลับออกไปเลยไม่ต้องมาคุย Nico เองก็ทำตามด้วยการทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วดับด้วยเท้าก่อนจะบอกอย่างเข้าใจว่า "โอเค ไม่สูบก็ได้ แล้วเราน่ะไม่สูบบุหรี่หรอไอ้น้องชาย?" ซึ่งทำให้ Nero คิดในใจว่ายัยนี่ช่างเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกลียดจริงที่ทำเหมือนตัวเองเป็นผู้ใหญ่กว่าทั้งที่ดูแล้วน่าจะอายุเท่ากันหรืออาจจะเด็กกว่าเขาด้วยซ้ำ

Nico ก็ยังไม่เลิกกวนประสาท เธอเดินเข้ามาในโรงรถก่อนที่จะยั่วโมโห Nero ต่อด้วยการทำท่ายกมือทั้งสองข้างขึ้นแบบยอมแพ้ “ดูสิผู้หญิงที่อ่อนแอแบบนี้ก็ยังจะรังแกได้ลงคอ” จนเมื่อ Nico ได้เข้าไปใกล้ตัว Nero จนสังเกตุเห็นแขนปีศาจของเขาเข้าจนได้ มันเป็นสิ่งที่ Nero กลัวว่าจะเกิดขึ้นแต่ Nero กลับไม่สนใจแล้วไปนั่งบนกล่องที่มุมห้องอย่างใจเย็นก่อนจะบอกว่า "ไอ้นั่นมันซับซ้อนใช่มั๊ยล่ะ ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยๆมันก็ช่วยบงบอกถึงตัวตนของนายว่าเป็นใคร" ก่อนที่เธอจะแนะนำตัวว่าเธอชื่อ Nicoletta Goldstein และบอกถึงเหตุผลที่เธอมาตามหา Nero

Nico บอกว่าเธอมาตามหาเอกสารการวิจัยปีศาจของภาคีแห่งดาบ ซึ่งเธอไม่มีทางเลือกที่ต้องมาถามข้อมูลกับ Nero เพราะเป็นสมาชิกภาคีแห่งดาบคนเดียวที่รอดชีวิต จึงมาขอความช่วยเหลือให้ช่วยตามหาเอกสารนั่น ซึ่งในขณะที่คุยกัน Nero ก็สังเกตุว่าในดวงตาของ Nico นั้นดูเหมือนเด็กที่อยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีพิษมีภัยอะไรจึงถามเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่า Nico รู้เรื่องเอกสารการวิจัยปีศาจของภาคีแห่งดาบนี้ได้ยังไงเพราะเป็นการวิจัยลับที่ไม่เคยเปิดเผยให้สาธารณะชนรู้ Nico บอกว่า เธอศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพวกปีศาจตั้งแต่กับพวกนักล่าปีศาจยันยายแก่ที่ชอบเรื่องซุบซิบนินทาข้างทาง และเมื่อ Nico ได้พรั่งพรูความรู้ที่เกี่ยวกับพวกปีศาจและเหล่านักล่าปีศาจออกมาทำให้ Nero เริ่มรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนที่ฉลาดพอที่จะเชื่อมต่อกับพลังปีศาจได้ ไม่เหมือนพวกนักข่าวจากนิตยสารเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างที่เคยเจอมา ถึงสามารถหาตัวเขาจนพบ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ Nero ต้องปฎิเสธไม่ยอมช่วยตามหาเอกสารลับของภาคีแห่งดาบให้ Nico ในทันที

แม้จะถูกปฎิเสธ Nico ก็ยังไม่ยอมไป ก่อนที่จะถามออกไปว่า ตอนนี้ Agnus เป็นยังไงบ้าง? นั่นเป็นคำถามที่ทำให้ Nero ต้องช็อกก่อนจะบอกไปว่า เขาถูกฆ่าตายแล้ว Nico นิ่งเงียบไปซักพักก่อนจะตอบไปว่าเธอเองก็ได้ยินเขาลือว่าอย่างนั้นเหมือนกัน Nero ถามต่อว่า "แล้วเธอไปรู้จักไอ้งี่เง่านั่นได้ยังไง?" ก่อนที่ Nico จะตอบกลับไปว่าไอ้งี่เง่านั่นเป็นพ่อแท้ๆของชั้นเอง คำตอบของ Nico แม้จะทำให้ Nero ยังไม่ปักใจเชื่อแต่ก็ไม่กล้าที่จะถามออกไป ...ใช่ โชคไม่ดีเลยเนอะ .. Nico ตอบปิดท้ายด้วยคำพูดที่แหนบแนมใจตัวเอง ..

Nico รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่คำถามว่า "เธอเป็นลูกเขาหรอเนี่ย?" ของ Nero จะตามมาด้วยการทำทีเข้าไปสนใจดาบ  Red Queen ที่วางอยู่ก่อนที่ Nero จะอณุญาติ หลังจากที่ตรวจสอบดูได้ซักพัก Nico ก็รู้สึกตื่นเต้นถึงการออกแบบของมันจนทำให้เธอพูดอย่างตะกุกตะกักออกไป Nero รีบแย่งดาบจากมือเธอแต่ไม่สำเร็จ Nico ยิ่งรีบตรวจสอบมันอย่างเร็วไวจนรู้ถึงความผิดปกติของมันและเริ่มซ่อมแซมมันทันที Nico เริ่มซ่อมไปบ่นไปในเรื่องที่ Nero ไม่ยอมบำรุงรักษาอาวุธของตัวเองให้ดี ในช่วงนั้น Nero ก็มีเวลาพอในช่วงที่ Nico กำลังซ่อมแซมดาบในการพิจรณา Nico จนเริ่มเห็นว่า เธอคงเป็นลูกสาวของ Agnus จริงๆทั้งเรื่องสีผิวที่คล้ายคลึงกันและความชื่นชอบในการทดลองเหมือนๆกัน

หลังจาก Nico ซ่อมแซมดาบ Red Queen จนสมบูรณ์ภายในไม่กี่นาที "ไหนดูสิลูกชายนายเป็นยังไงบ้าง?" เธอทดสอบมันด้วยการบิดให้แรงสุดจนมันทำให้เธอล้มกระแทกพื้น ก่อนที่ Nico จะลุกขึ้นปัดฝุ่นแล้วยิ้มกันขายหน้าก่อนจะบอกว่า Red Queen ของนายที่มันเกเรมากแต่ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ทันทีที่ดาบ Red Queen ถูกซ่อมแซมจนทำให้ Nero พอใจเขาจึงคิดว่าจะตอบแทน Nico ด้วยเอกสารลับเรื่องการวิจัยปีศาจของภาคีแห่งดาบให้กับเธอ และนั่นทำให้ Nico ฉีกยิ้มจนถึงหู ก่อนจะบอกว่า ต่อจากนี้ให้เรียกเธอว่า Nico ในขณะที่ Nero กับคิดถึงชายคนที่ฆ่าพ่อของเธอ .. Dante


                                         Dante Chapter 1


เรื่องราวของดันเต้เริ่มขึ้นเมื่อเขาเดินทางมาถึงเกาะ Dumary เพื่อพูดคุยกับ Matier ที่ท่าเรือหลังจากที่ดันเต้พยายามนึกชื่อเธออยู่นานจน Matier ยอมรับว่านี่คือสายเลือดแท้ๆเพราะ Sparda ผู้เป็นพ่อก็มักจะลืมชื่อสาวๆที่เขารู้จักไม่ต่างกัน สปาร์ด้าอดีตมือขวาของราชาปีศาจมุนดุสที่ทรยศเผ่าพันธตัวเองเนื่องจากรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อมนุษย์ ก่อนพบอีวาสปาร์ด้าได้เดินทางไปทั่วโลกจนได้พบกับพบกับเธอ Matier ย้อนความทรงจำให้ดันเต้เข้าใจขณะที่เขาแทบจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวพ่อของเขาได้มากนักนอกจากบทเรียนการต่อสู้ในเชิงดาบที่พ่อสอนให้พร้อมกับเวอร์จิลพี่ชาย ไม่รู้ว่าพ่อตัวเองเป็นปีศาจหรือแม้แต่ตำนานใดๆที่พ่อเคยสร้างไว้

Matier บ่นว่าดันเต้นั้นใจร้ายที่ไม่กลับมาช่วยเกาะนี้ยามมีภัยเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ดันเต้ก็ตอบกลับไปว่าเขาคงทำไม่ได้เพราะกำลังติดอยู่ใน หลุมขยะก่อนใหญ่ที่เรียกว่า นรก และการเดินทางไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับนรกก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันง่ายๆ ทำให้ Matier ต้องย้อนถามกลับไปว่า ถ้างั้นคุณกลับขึ้นมาจากนรกได้ยังไง ดันเต้บอกได้ว่า บังเอิญมีรูเปิดอยู่แล้วเขาก็แค่ผ่านมันกลับมา มันอาจเป็นประตูที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับนรกที่อยู่ๆก็ปรากฎขึ้นมา นั่นแหละคือเหตุผลว่าทำให้ต้องมีเหล่าผู้พิทักษ์แห่งเกาะ Dumary เพื่อปกป้อง แต่เขาก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ในคงตอบในคำถามที่ว่าทำไม เมือง Fortuna และเกาะ Dumary ถึงไม่เคยมีปีศาจกล้ามารุกราน

แต่หากตาทฤษฎีที่ดันเต้เข้าใจว่าเมื่อใดที่ปีศาจจะเข้ามาในโลกมนุษย์พวกมันจะฉายภาพจิตสำนึกของพวกมันไปสู่สิ่งมีชีวิตอื่น หากปีศาจต้องการเข้าสิ่งสู่ร่างเนื้อใดๆรูก็จะต้องมีขนาดใหญ่มาก ดันเต้รู้สึกเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีรูที่ว่านั้นใหญ่พอสำหรับให้เขาผ่านพอดิบพอดี จนเมื่อดันเต้เข้ามาที่เมือง Fortuna และได้เห็นประตูนรกที่แท้จริงที่เกิดขึ้นที่นี่เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่า การหลบหนีจากนรกของเขาอาจเกี่ยวพันกับดาบยามาโตะ ดาบที่เป็นของที่ขวัญจากพ่อที่สามารถตัดผ่านขอบเขตพรมแดนโลกมนุษย์และโลกปีศาจได้

Matier บอกต่อว่าที่ผ่านมา Lucia คัดค้านไม่เห็นด้วยมาตลอดกับการเรียกดันเต้กลับมาที่นี่เพราะไม่ครวจะมีเด็กหนุ่มเข้ามาที่นี่ตามกฎ ดันเต้กล่าวติดตลกว่า ไม่เป็นไรหรอกเพราะเขาไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว ซึ่งหากใคร่ครวญตามอายุขัยของเขาที่เกี่ยวข้องกับสปาร์ด้าก็น่าจะสงสัยว่าควรเรียกว่าชายชรามากกว่า แต่ถึงกระนั้น Matier ก็ยังเล่าให้ฟังอีกว่า Lucia เองก็มักจะแวะไปๆมาๆระหว่างเกาะกับที่ร้าน เดวิลเมย์คราย อยู่หลายครั้ง เพื่อดูว่าดันเต้กลับมาจากนรกหรือยัง จนเมื่อรู้ข่าวว่าดันเต้กลับมาแล้วเธอก็ได้แต่ร้องไห้และเข้ามากอดพวกเราด้วยความดีใจ แต่อย่างไรก็ดี หลังจากแวะพูดคุยได้ไม่นานดันเต้ก็ต้องเดินทางต่อทันทีที่ได้รหัสผ่านจาก Matier

นั่นเพราะดันเต้กำลังจริงจังกับงานที่กำลังทำอยู่หาใช่ว่าเพราะไม่ชอบที่ Matier พยายามขอร้องให้เขาแต่งงานกับ Lucia เพื่อชีวิตของเขาเองและเพื่อมอบความทรงจำดีๆให้กับ Lucia ซึ่งดันเต้ก็บอกออกไปว่า "ผมผิดเอง แต่ผมก็มีเหตุผลของผมนะ" ถึงแม้จะถูก Matier บ่นกลับมาว่าสปาร์ด้าพ่อของคุณมีวิธีพูดแก้ตัวที่ดีกว่านี้ "ผมว่าผมดีกว่าพ่อผมเยอะเลยนะ" ดันต้ตอบอย่างมั่นใจ ก่อนที่ Matier จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า ถ้าอย่างงั้นก็เลิกหยาบคายกับลูเซียซะที ดันเต้ที่เริ่มเบื่อกับการบ่นของ Matier ก็พยายามเปลี่ยนเรื่องสนทนาเป็นเรื่องที่ Matier ขอร้องให้เขากลับมาที่เกาะนี้อีกทำไม

Matier จึงถามดันเต้ว่าจำชื่อปีศาจที่เขากำจัดที่เกาะนี้ได้หรือเปล่า ดันเต้จำได้ว่าเขาฆ่าไอ้ที่เหมือนลิงยักษ์  Orangguerra ตัวใหญ่ๆใช่่มั๊ย ทำให้ Matier ต้องย้ำเตือนให้ว่าปีศาจที่เขาฆ่าไปชื่อ Argosax
ทำไงได้ ดันเต้ คงไม่จำเป็นต้องสนใจจำชื่อพวกปีศาจที่เคยพ่ายแพ้เขาไปให้รกสมองนอกจากไอ้ Mundus ที่ทำร้ายแม่ของเขาเพียงตัวเดียว

 Matier บอกกับดันเต้ว่าปีศาจที่ปรากฎตัวขึ้นเป็นมือขวาของ Argosax จนทำให้ดันเต้พอจะนึกถึง Argosax ขึ้นมาได้บ้างแต่เขาก็ไม่ได้สนใจเพราะก็แค่จัดการตัวแรกแล้วก็มีตัวที่สองมาให้จัดการก็แค่นั้นไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นภัยคุกคามอะไรๆ แต่  Matier ก็ย้ำว่า ปีศาจที่เป็นมือขวาของ Argosax ตัวนี้แข็งแกร่งกว่าปีศาจทุกตัวที่เคยเล็ดลอดเข้ามาในโลกมนุษย์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านเลย แล้วมันก็กำลังรวบรวมไพร่พลกองทัพปีศาจที่มีจำนวนมากกว่าครึ่งของนรกเพื่อเตรียมพร้อมที่จะบุกโลกอยู่ เนื่องจากพวกปีศาจที่ว่านั้นมีจำนวนมาก  Matier จึงคิดว่าพวกมันไม่น่าที่จะผ่านรูช่องว่างของมิติออกมายังโลกได้ และ Matier เชื่อว่าที่ปีศาจกลุ่มนี้มาเพราะมีใครซักคนกำลังทำพิธีอัญเชิญพวกมัน

 ดันเต้ถามต่อว่า รู้มั๊ยว่าใครเป็นคนทำพิธีเรียกพวกมันมา ซึ่ง Matier ก็ยังตอบไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน และ Arius ที่เคยทำแบบนั้นก็ตายไปแล้ว ดันเต้ถามถึงชื่อปีศาจที่เป็นมือขวาของ  Argosax ว่ามันชื่ออะไร Matier ก็ได้แต่หัวเราะแล้วบอกไปว่า ถึงบอกไปยังไงพรุ่งนี้คุณต้องลืม ... ปีศาจตนนั้นชื่อ Balrog ปีศาจแห่งไฟที่ดุร้ายตามตำนาน จึงต้องระวังตัวไว้ให้มาก หลังจากได้ยินชื่อเสียงเรียงนามพร้อมคำเตือนจาก Matier ดันเต้ก็ได้แต่ยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินจากไป

                     
                               Nero Chapter 2


บทเริ่มต้นด้วย Nico และ Nero ในห้องใต้ดินของปราสาท Fortuna ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยของ Agnus ที่นี่ทำเอานิโก้มีความสุขอย่างมากที่ได้อยู่กับอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่เธอสามารถสัมผัสได้ทุกอย่างโดยไม่มีใครมาห้าม โดยเฉพาะกระบอกทรงกลมที่ครั้งนึงเคยเป็นที่กักเก็บพวกปีศาจ Nero ถาม Nico ว่าเธอวางแผนจะทำอย่างไรกับเอกสารการวิจัยของ Agnus เพราะเขาเกรงว่า Nico ที่เป็นลูกสาวของ Agnus อาจจะสานต่อการทำงานที่เป็นอันตรายของพ่อเธอต่อไปและนำปีศาจมาสู่โลกอีกครั้ง มือนึงก็เตรียม Blue Rose พร้อมเอาไว้ในมือเพื่อที่เขาอาจจะต้องฆ่าเธอทิ้งหรือเปล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของเธอ แต่คำตอบนั้นยิ่งทำให้ Nero สับสันยิ่งกว่าจนเขาต้องเอานิ้วออกจากไกปืนเมื่อ Nico ตอบกลับมาว่าเธอต้องการเป็น ศิลปิน "เธอต้องการวาดรูปพวกปีศาจงั้นหรอ?" Nero ถามกลับจนทำให้ Nico หัวเราะออกมาก่อนที่จะบอกว่า เธอไม่สนใจภาพวาดหรอกแต่อยากจะเป็นศิลปินในการสร้างอาวุธต่างหาก ซึ่งก็ทำให้ Nero พอจะเข้าใจได้จากที่เธอซ่อม  Red Queen ให้ดีดั่งเดิมได้ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ

Nico ถาม Nero ว่าเคยได้ยินชื่อเสียงของนักสร้างอาวุธที่ชื่อ .45 Calibre หรือเปล่า นั่นแหละย่าของเธอเอง Nero ส่ายหัวไปมาว่าไม่รู้จัก นั่นทำให้ Nico โกรธอย่างหนักจนต้องตะโกนออกมา "นี่นายไม่รู้จักจริงๆหรอ?" จริงๆนายไม่เคยรู้อะไรเลยต่างหากไอ้เด็กน้อยเอ้ย แต่ Nero ก็พยายามจะตอบกลับด้วยความใจเย็นทั้งๆที่กำลังถูกดูถูกว่า เขาต้องใช้เวลาและความสำคัญกับการเลี้ยงดูพวกเด็กกำพร้าที่วันๆต้องรู้จักเรียนรู้ความอดทนอดกลั้นจากการกวนประสาทของเด็กๆจนไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องอะไรเลย แล้วอีกอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของศิลปินที่สร้างอาวุธที่เป็นย่าของ Nico ก็เพราะอาวุธปืนไม่ได้เป็นที่นิยมในเมือง Fortuna ซึ่งแม้แต่การใช้ปืน Blue Rose ของเขาเองก็ยังเคยถูกดูถูกมาตลอดเหมือนกัน "นายมีปืนด้วยหรอฦ?" Nico ถามอย่างสนใจ จน Nero ต้องควักเอาปืน Blue Rose ที่ซ่อนเอาไว้ออกมาให้ดู ขอให้ชั้นดูหน่อยได้มั๊ย? Nico ถามไปพร้อมหยิบปืนของ Nero มาตรวจสอบด้วยความสนใจโดยไม่รอคำตอบ ปืนพกที่มีกระบอกยิงกระสุนสองช่องที่กระสุนทั้งสองนัดมีความหน่วงเวลาทียิงออกมาแทบจะพร้อมกัน นัดแรกเป็นกระสุนเจาะเกราะอีกนัดเป็นกระสุนระเบิด ทำเอา Nero ต้องถึงกับอึ้งที่ Nico สามารถวิเคราะห์ปืนของเขาโดยการเอาดูใกล้ๆแค่นั้นเอง

แล้วนายคิดว่าชั้นเป็นใครห๊ะ? Nico พูดด้วยความย่ามใจก่อนจะบอกว่า การสร้างปืน Blue Rose หากเป็นแค่ขั้นตอนการออกแบบนั้นอาจจะพอทำได้แต่ในวิธีการสร้างมันขึ้นมานั้นยากมาก คนสร้างต้องมีทักษะชั้นสูงซึ่งแม้แต่ชื่อของมันก็เป็นการเล่นสำนวนในภาษาญี่ปุ่น นั่นสะท้อนให้ Nero เห็นว่า Agnus จะต้องบ้าขนาดไหนถึงจะสร้างมันขึ้นมาได้ Nero พูดถึงชีวิตของเขาในอดีตที่ถูกเลี้ยงมาในบ้านที่ถูกสอนให้ซื่อสัตย์และรักความยุติธรรมโดย Credo ที่เป็นทั้งพ่อและพี่ชายในคนเดียวกัน แต่ตอนนี้เขาอยู่กินกับ Kyrie หญิงคนรัก Nico ก็เล่าถึงผลงานที่คุณยายของเธอสร้างขึ้นมานั้นเป็นอะไรที่ง่ายๆแต่งดงามนัก โดยเฉพาะกับปืน 2 กระบอกสุดท้ายที่ย่าเธอทำก่อนตายที่ชื่อ Ebony และ Ivory ที่หมายถึงสีขาวและสีดำบนคีย์บอร์ดของเปียโน แค่ชื่อก็เป็นศิลปะแล้ว แต่ชื่อปืนที่ว่ากลับทำให้ Nero เริ่มสนใจ Nico อธิบายต่อ ว่าปืนคู่นี้สามารถยิงได้อย่างรวดเร็วพร้อมๆกับมีพลังทำลายล้างสูง มันเป็นปืนที่ถูกออกแบบมาจากจิตสำนึกของนักล่าปีศาจ และเธอเชื่อว่าปืนนี้เป็นปืนของนักล่าปีศาจคนนึง ซึ่ง Nico พยายามนึกอยู่นาน จน Nero ต้องตอบแทนออกมาว่า ... Dante

Nico จึงรีบถาม Nero ถึงชายที่เป็นคนใช้ผลงานชิ้นสุดท้ายของย่าของเธอทันทีที่เขาเอ่ยชื่ออกมาเหมือนจะรู้จักดี “อย่าบอกนะว่าเขาเป็นคนห่วยแตกอ่ะ?” .. “ใจเย็นก่อนสิ ผมกำลังจะเล่าให้ฟังอยู่เนี่ย” ..Nero ขอให้เธออดทนในขณะที่เขากำลังเริ่มเล่าถึงว่า ดันเต้สำคัญกับเขาอย่างไร ดันเต้คือคนที่ช่วยชีวิตเขาและผู้คนอีกมากมายตอนเกิดความวุ่นวายขึ้นที่เมือง Fortuna แต่เรื่องที่ว่าดันเต้ฆ่า Agnus ยังไง ตอนนี้ลูกสาว Agnus กำลังยืนอยู่ตรงหน้า "จะให้ชั้นอธิบายมันตอนนี้เนี่ยนะ !" Nero ตะโกนลั่น ในขณะที่ Nico ได้แต่ยกคิ้วของเธอเพื่อบอกประมาณว่า .. เออน่าเล่าออกมาชั้นกำลังรอฟัง 


                               Dante Chapter 2


บทเริ่มต้นขึ้้นหลังจากที่ Dante ดันเต้ได้ฆ่าปีศาจที่ลักษณะคล้ายลิงระหว่างเส้นทางที่กำลังเดินทางไปสู้กับ Balrog ในขณะที่ดันเต้กำลังชื่นชมผลงานอยู่ในใจว่ามันเหมือนจะสะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในผลงานชิ้นเอกของ Nell Goldstein คนที่สร้างปืนคู่นี้ให้ เขาก็ได้ยินสำเนียงฝรั่งเศสดังมาจากข้างหลังว่า "ปืนของคุณยังสุดยอดเหมือนเดิมเลยนะ" ดันเต้ก็หันไปตอบกลับไปว่า "ไม่เจอกันนานเลยนะลูเซีย" ลูเซียแซวว่า เหมือนดันเต้จะดูแก่ขึ้นนะ "คิดไปเองหรือเปล่า ใครจะไปเหมือนเธอล่ะที่ดูไม่เปลี่ยนเลย" ดันเต้ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ลูเซียต้องย้ำในเชิงน้อยใจเพื่อเตือนความทรงจำให้ว่า ลืมแล้วหรอเวลาทำให้เธอชราไม่ได้ จนดันเต้ต้องพูดเพื่อปลอบใจว่ายังมีผู้หญิงอีกมากที่ยอมเสียเงินมากมายเพียงเพื่อให้ตัวเองดูดูอ่อนเยาว์แต่เธอสบายกว่าที่ไม่ต้องทำแบบนั้น แน่นอนว่าดันเต้ก็แอบสังเกตุว่า ความสามารถจากผลของร่างกายที่เป็น artificial demon ของลูเซียนั้นยิ่งเธออยู่นานมันยิ่งตอกย้ำทำให้เธออ้างว้างขึ้นทุกทีผ่านการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ แต่ใครจะรู้ว่ามุขตลกของดันเต้ท่ามกลางบรรยากาศสยองขวัญรอบๆตัวที่เป็นพรสวรรค์ของดันเต้จะทำให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้าของลูเซียขึ้นมาได้ ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามายื่นมือออกมาแตะไหล่ดันเต้เพื่อขอบคุณที่ยังอุตสาห์กลับมา

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับดันเต้เพราะเขาเพิ่งได้ยินจากมาเทียร์ว่าลูเซียไม่ได้อยากให้เขากลับมาที่นี่อีก ลูเซียจึงบอกว่า Balrog นั้นแข็งแกร่งเกินไปที่คนๆเดียวจะรับมือไหว ดังนั้นที่เธอขอบคุณดันเต้ที่มาก็เพราะว่า การที่มีคนมาช่วยจัดการกับ Balrog จะทำให้งานเสร็จเร็วยิ่งขึ้น ดันเต้ก็แค่ยิ้มและคิดในใจว่า  'ชั้นไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ด้วยตัวเอง' เป็นอะไรที่เสแสร้งที่สุดสำหรับลูเซีย แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบไว้เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เธอดูมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ภาพของดันเต้และลูเซียที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อไปต่อสู้กับ Balrog ไม่ว่าในใจทั้งคู่จะคิดอะไรแต่มันก็สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะนานแล้วที่ทั้งคู่ไม่ได้เจอกัน แต่ทั้งคู่ก็ยังพร้อมที่จะเดินไปด้วยกันเสมือนคู่หูเก่าที่เต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกันเหมือนเดิม

ดันเต้และลูเซียเดินทางร่วมกันต่อสู้ไปจนเจอตัวของ Balrog ได้ในที่สุด ในขณะที่  Balrog ที่กำลังแอบจ้องมองทั้งคู่ด้วยความเย็นชา ดันเต้ก็บอกไปว่า ออกมาเถอะไม่ต้องอายหรอกน่า Balrog ก็ตอบว่า ในที่สุดพวกแกก็มาซะที ดันเต้ก็ย้ำอีกทีว่า ถ้ารอพวกเราอยู่ก็ให้รีบออกมาซะที จนในที่สุด Balrog ก็ตอบรับคำเชิญก่อนจะก้าวออกมาทั้งคู่จนพื้นสะเทือยเลื่อนลั่นพสุธา แต่ในระหว่างการสนทนาดันเต้ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยในบริเวณใกล้เคียง จน Balrog กล่าวว่าหลังจากสูญเสีย Argosax ไปเขาก็เริ่มเบื่อ จนมาถึงตอนนี้ตอนที่เขามีพลังใหม่ ดันเต้สังเกตุเห็นอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในกำปั้นของ Balrog ซึ่งแม้จะเห็นแค่แว๊บเดียวเขาก็จำได้ทันทีว่ามันคือเศษชิ้นส่วนของดาบยามาโตะนั่นเอง เศษชิ้นส่วนของดาบยามาโตะที่แตกหักกระจัดกระจายอยู่ในนรกนี่เองที่ Balrog เก็บมาแล้วใช้มันผ่านเข้ามาในโลกมนุษย์ และมันก็ช่วยเฉลยว่า ที่ดันเต้สามารถหนีมาจากนรกจากช่องทางที่ถูกเปิดไว้ก็คือช่องทางที่ Balrog มันใช้เศษชิ้นส่วนของดาบยามาโตะเปิดทิ้งไว้ตอนมันเข้ามาที่โลกมนุษย์จนทำให้ดันเต้เชื่อว่าที่เขาหนีมาได้เพราะความบังเอิญ

ดันเต้เอ่ยถึง ยามาโตะ เสียงดังออกมา ดาบยามาโตะที่เคยใช้เพื่อผนึกปีศาจแต่ตอนนี้มันกำลังเป็นหนทางที่จะช่วยทำให้ปีศาจเข้ามายังโลกมนุษย์ได้ ไม่ต้องจากเมื่อครั้งที่ภาคีแห่งดาบได้รวบรวมชิ้นส่วนของดาบยามาโตะเพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานของตัวเองจนทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายที่เมือง Fortuna ดันเต้ตอบสนองสิ่งเร้าจากสิ่งที่เขารับรู้ด้วยการกุมดาบ Rebellion แน่นเพื่อเตรียมพร้อมในการต่อสู้ทันทีในขณะที่  Balrog ก็แผดเสียงคำรามลั่นเสมือนการรับคำท้า แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ดันเต้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เขาบอกกับลูเซียว่า นี่แหละคืองานของชั้น ก่อนจะโดดเข้าโรมรันเปิดฉากแลกหมัดเข้าใส่ Balrog ในทันที 


                                Nico Chapter 1

เนื่องจากเอกสารการวิจัยของ Agnus ที่ Nico รวบรวมมามีจำนวนมากเกิดจะตรวจสอบไหวภายในวันเดียว Nico จึงจำเป็นต้องพักอยู่ที่บ้านของ Nero ที่เมือง Fortuna ซักพัก และที่นี่ Nico ได้พบกับ Kyrie ภรรยาของ Nero เป็นครั้งแรก Nico ที่เคยคิดว่าความงดงามมีให้เห็นได้เฉพาะกับตอนที่สร้างอาวุธก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อได้เจอความงดงามของ Kyrie แต่ Kyrie กลับมองว่า Nico นั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนแม่ Alyssa ที่ตายตั้งแต่เธอยังเด็กเอามากๆ ..ชั้นเรียกคุณว่า Nico ได้มั๊ย? Kyrie ถามอย่างสุภาพ แต่ Nico กลับตอบอย่างหยาบคายกลับไปว่า อยากจะเรียก Nico หรือ Nicoletta อะไรก็เชิญเลยคะอีดอก! Nero รีบกระทืบเท้าของ Nico ที่อยู่ใต้โต๊ะทันทีก่อนจะตะโกนด้วยความโกรธว่า "อย่ามาพูดคำหยาบต่อหน้า  Kyrie นะ!" Nico รู้ดีว่า Kyrie เป็นแฟนของ Nero แต่ไม่รู้ว่า Kyrie เป็นคนพิเศษสำหรับ Nero ขนาดไหนจึงรีบขอโทษ Kyrie ไปที่ปากเสียไปหน่อย ซึ่งพ่อของเธอเองก็ยังมักจะชอบตำหนิอยู่บ่อยๆแต่เธอไม่จำเอง Nero ฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่มันก็ทำให้ Kyrie ยิ้มออกมาได้ราวกับเธอกำลังดูเด็กน้อยสองคนกำลังทะเลาะกัน และมันก็ทำให้ Nico ที่ไม่ค่อยคุ้นชินกับการอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ผ่อนคลายหายกดดันลงได้ไม่น้อย  

Kyrie เชิญให้ Nico มาทานอาหารร่วมกันก่อนจะลองสอบถามว่า Nico ชอบหรือไม่ชอบทานอะไรให้แน่ใจ Nico ก็ตอบกลับไป "ต่อให้เธอเอายางรถมาทำอาหารชั้นก็จะกินมัน" ทำเอา Kyrie หัวเราะชอบใจ และทันทีที่ Kyrie เดินเข้าไปเตรียมอาหารในครัว Nico ก็บอกกับ Nero ว่า "นางเป็นผู้หญิงที่น่ารักแต่ชั้นว่านางดีเกินไปสำหรับนายวะ" แทนที่จะคิดโต้แย้ง Nero กลับตอบกลับว่า "ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน" Nico พูดถึงเมื่อครั้งที่ Agnus พ่อของเธอทิ้งเธอและแม่ไปเมื่อครั้งที่เธอยังเด็ก ทำใหเธอมีความรู้สึกที่สับสนเมื่อคิดถึงพ่อของเธอมาตลอด คิดไปก็พลางจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบไป Nero รีบห้ามทันทีเพราะไม่อยากให้สูบบุหรี่ในบ้าน ทำให้ Nico ต้องขอร้องขอสูบในโรงรถก็ยังดีเพราะถ้าเธอไม่สามารถทำงานอะไรได้เลยถ้าขาดบุหรี่ ในโรงรถเด็กๆคงไม่มีทางเข้ามาเห็นและเธอก็ไม่อยากจะออกสูบข้างนอกจนถูกขับไล่เพราะเป็นคนนอกที่ลอบเข้ามาแม้ที่นี่จะเป็นเมืองบ้านเกิดของพ่อเธอก็ตาม แต่ไม่ว่ายังไง Nero ก็ยังสั่งให้เธอออกไปสูบบุหรี่ข้างนอกอยู่ดี  

Nero บอกกับ Nico ว่าหากขาดเหลืออะไรในเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆก็ขอให้บอกมาได้เลยจะได้หามาให้ แม้ Nico จะไม่ได้พยักหน้าหรือส่ายหน้าคัดค้านแต่ Nero ก็ดูออกมามันคือการตอบรับโดยปริยาย Nico บอกแค่ว่า " ไม่เป็นไร เราต่างก็เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ บวกลบ แล้วก็ได้ทั้งคู่ ชั้นสร้างอาวุธชั้นเลิศให้นาย ส่วนนายก็เอาไปใช้จัดการปีศาจ แค่นี้เรากือว่าเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกันแล้ว แต่ Nero ก็อดที่จะถามไม่ได้ว่า มันจะดีแล้วหรอที่ Nico จะมาร่วมงานกับเขาที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการฆ่าพ่อของเธอ แม้แต่ Nico ซึ่งดูเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรก็อาจจะเป็นเรื่องทำใจยากไม่น้อยก็ได้ แต่ Nico ก็ตอบกลับไปว่า ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องในอดีต เธอเองก็ไมได้มีความผูกพันอะไรกับพ่อมากนัก พ่อทิ้งเธอไปตั้งแต่ 2 - 3 ขวบ ตอนนั้นเธอยังจำพ่อไม่ได้ด้วยซ้ำ ก่อนที่ Nico จะขอใช้โทรศัพท์พูดคุยธุระจนสูบบุหรี่หมดมวน Nero ถามขึ้นว่า เธอโทรหาใคร? Nico ตอบว่า โทรหาพ่อน่ะ ชั้นขอให้เขาช่วยส่งเครื่องมือของชั้นมาให้ ... อ่อ ไม่ต้องตกใจ ไม่ใช่  Agnus  ชั้นหมายถึงพ่อคนปัจจุบันของชั้นต่างหาก มีศักดิ์เป็นลุงของชั้นน่ะ หลังจาก Nero ได้ยินคำอธิบายก็ได้แต่อ้าปากกว้างไม่มีคำพูดอะไรออกมา



                                 Lucia Chapter 1

ลูเซียที่กำลังเฝ้าดู Dante และ Balrog เข้าโรมรันต่อสู้กัน Balrog ที่ดูเหมือนกำลังสนุกที่ได้ต่อสู้และไม่ได้แสดงอาการหัวเสียเมื่อดันเต้เอาแต่หลบไปมาเวลาต่อสู้  ในขณะที่กำลังดูดันเต้ต่อสู้ ลูเซียก็พยายามศึกษาทักษะการต่อสู้เอาไว้ให้มากที่สุดเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นโดยที่จะได้ไม่ต้องพึ่งพาดันเต้อีกต่อไปในอนาคต แต่ทุกครั้งที่ดูดันเต้ต่อสู้เธอจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นกระจอกงอกง่อยชมัด บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าความห้าวหาญในการต่อสู้ของดันเต้นั้นมาจากประสบการณ์ของเขาเองหรือเพราะเขามีสายเลือดของสปาร์ด้ากันแน่ ในขณะที่การต่อสู้ระหว่าง Dante และ Balrog ก็เริ่มเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากไฟของ Balrog ทำให้ต้นไม้และบ้านร้างถูกไฟไหม้ไปทั่ว ดันเต้อดถามไม่ได้ว่าเพราะอะไร Balrog ถึงชอบไฟมากนัก ไม่คิดว่ามันเกร่อหรือไงเพราะปีศาจหลายตัวมันก็ใช้กันทั่วไปหมด Balrog บอกว่าไฟของมันนั้นไม่เหมือนใคร ก่อนจะต่อยดันเต้ด้วยหมัดไฟที่ร้อนแรงเพื่อแสดงให้ดู หมัดที่แสนรุนแรงกระแทกใส่พื้นจนฝุ่นฟุ้งไปทั่วทำให้ลูเซียต้องเผลอตัวเรียกชื่อดันเต้ออกมาเพราะความเป็นห่วง แต่เมื่อฝุ่นจางเธอก็เห็นดันเต้ถูกปกป้องด้วยกำแพงที่มองไม่เห็นจากกระบอง 3 ท่อนที่เขาถืออยู่ "ไม่ได้ใช้ท่านี้นานแล้ว พอดีไม่ชอบอะไรที่มันร้อนๆอ่ะ" ดันเต้กล่าวถึงกำแพงน้ำแข็งที่เขาสร้างขึ้น ก่อนที่ Balrog จะโจมตีอีกครั้งด้วยความโกรธแค้น ในขณะที่ดันเต้ก็ใช้ท่าตั้งรับของ Cerberus ที่ไม่ต่างจากหนังบรูซลีพร้อมกับเปล่งประกายความเย็นของ Cerberus ออกมาจนทั่ว Balrog เห็นดังนั้นจึงถามว่า อาวุธนั่น ความสามารถแบบนั้น นั่นมันกระบองสามท่อน Cerberus ใช่มั๊ย? 

ลูเซียจำสิ่งที่มาเทียร์สอนเธอเกี่ยวกับ Devil Arms ได้ดี นางบอกว่ามีสองวิธีที่จะสร้าง Devil Arms ขึ้นมาได้ คือปีศาจเปลี่ยนตัวเองให้เป็นอาวุธที่ร้ายแรงเพื่อใช้ในการตัดสินแพ้ชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือปีศาจจะเปลี่ยนอาวุธที่มีอยู่ให้กลายเป็น Devil Arms โดยใช้สายใยความผูกพันเชื่อมต่อกับอาวุธจนมันแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่ดันเต้ก็พูดกับ Cerberus ว่า ออกมาสิไอ้ลูกหมา ก่อนจะขวา ง Cerberus ที่มีรูปทรงประหลาดๆออกไปใส่ Balrog จนเกิดเสียงดังสนั่นอย่างรุนแรงจนทำให้ Balrog ถูกกับต้องเดินเซ แต่ปรากฎว่าการแกล้งมีอาการโซเซของ Balrog คือเหยื่อล่อให้ดันเตชะล่าใจจนลดการ์ดของเขาลง ก่อนที่ Balrog จะใช้มือขวาที่ถือชิ้นส่วนของยามาโตะอยู่ข้างไปที่ดันเต้ด้วยความรุนแรงไปพร้อมๆกับโดดเข้าไปโจมตีจนบาเรียน้ำแข็งของ Cerberus ต้องแตกระจายไปพร้อมๆกับเศษชิ้นส่วนของยามาโตะจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระจายไปทั่ว ทันทีที่ Cerberus ถูกทำลายไปดันเต้ก็รีบชักดาบ Rebellion ออกมา เมื่อ Balrog เห็น ดาบ Rebellion จึงถามว่า แกเป็นบุตรแห่งสปาร์ด้าใช่หรือไม่? ดันเต้ตอบกลับ "แล้วถ้าเป็นแกจะทำะไรอ่ะ" Balrog บอกว่า เขาเคยได้ยินข่าวลือว่าบุตรแห่งสปาร์ด้าคือคนที่กำจัด Mundus มาแล้ว Argosax ประเด็ดคือ  Balrog เริ่มคิดว่าตอนนี้เขามีทางเลือก 2 ทางคือ สู้จนตายกับยอมแพ้ แต่ Balrog ก็เข้าใจถึงเรื่องความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งกับความอ่อนแอดีพอ เขาจึงตัดสินใจที่จะยอมแพ้และยอมให้ดันเต้เป็นผู้ชนะ แต่จู่ๆดันเต้ก็ถูกล้อมรอบด้วยพายุหมุนเปลวไฟในทันที

ไม่ต้องตกใจ Balrog บอกกับดันเต้ว่า เขายินดีที่จะให้ดันเต้ใช้พลังของเขาเป็น Devil Arm เพราะรู้สึกว่าได้ประลองกับดันเต้แล้วทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเผื่อมีซักวันอาจจะมีโอกาสได้แก้มืออีกครั้ง พูดจบเปลวไฟที่หมุนรอบตัวด้นเต้ก็หายไปในร่างของดันเต้ "บ้าเอ้ย เห็นแก่ตัวฉิบเป๋งเลย ไม่ถามกันซักคำ"ดันเต้ บ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนที่  Balrog จะเริ่มพูดสร้างความรำคาญกับดันเต้ทันที ดันเต้รีบอกเรื่องข้อตกลงถ้าจะอยู่ร่วมกันว่า เรื่องนึงที่แกจะต้องรับรู้ไว้ หากจะอยู่ร่วมกัน ถ้าแกจะพลามแบบนี้ทั้งวันรับรองชั้นจะทำให้แกเจ็บตัวแน่นอน ลูเซียเองก็ได้แต่ยิ้มเพราะช่วยอะไรไม่ได้ และรู้สึกเหงาเมื่อรู้ว่างานกำลังจบลง เธอคิดว่ามาเทียร์ก็รู้ดีมาตลอดว่าที่เธอบอกว่าไม่ต้องการให้ดันเต้มาที่นี่อีกก็เพราะว่า จิตใจของลูเซียนั้นโหยหาแต่ดันเต้ ลูเซียชอบหาว่ามาเทียร์นั้นเป็นคนที่เจ้ากี้เจ้าการแต่ดันเต้ก็มักจะบอกว่านางเป็นแม่ที่ดีแม้จะไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกันก็ตาม

ก่อนที่ดันเต้จะเรียกชื่อลูเซียออกมาดังๆจนทำให้ใจเธอถึงกับเต้นรัว แต่เมื่อเขาพูดเรื่องเกี่ยวกับชิ้นส่วนของยามาโตที่อยู่กับ Balrog ก็ทำเอาลูเซียรู้สึกผิดหวัง ดันเต้แค่พยายามอธิบายถึงเรื่องที่ว่าพวกปีศาจผ่านเข้ามาในโลกมนุษย์ได้ยังไงเพื่อให้เธอเข้าใจก่อนจะจากไป และกำชับว่าถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกให้โทรหาเขาทันที ลูเซียก็ได้แต่พยักหน้าว่าเข้าใจ แต่ลูเซียก็ตระหนักดีว่าชิ้นส่วนของยามาโตะที่ถูกทำลายไปนั้นสำคัญกับดันเต้ขนาดไหน ลูเซียบอกกับดันเต้ก่อนไปว่า ดันเต้ช่างเป็นคนที่ใจร้ายใจดำนักที่ปล่อยให้เธอสับสนอยู่แบบนี้ "กลับมาเพื่อจากลาเนี่ยนะ มาเทียร์เองก็ไม่สมควรเรียกเขามาเพื่อให้เขาบอกลาชั้นแบบนี้" ส่วนสิ่งที่ดันเต้พอจะพูดกับลูเซียได้ในตอนนี้ก็คือ ..ดูแลตัวเองให้ดีๆ





                              Intermission Chapter

กล่าวถึง Rock Goldstein ที่กำลังพูดคุยโทรศัพท์กับ Nico ที่ร้านขายปืน Rock’s Guns and Ammo ของเขา เรื่องที่ Nico แจ้งว่า เธออาจจะต้องอยู่ที่เมือง Fortuna ซักระยะ Nico ต้องการให้เขาส่งเสื้อผ้า , เครื่องมือ รวมทั้งเอกสารต้นฉบับจากนิตยสาร Folklore Times ที่อยู่ให้นอนมาให้เธอ ไอ้นิตยสารชั้นต่ำนั่นน่ะหรอ? Rock ถามย้ำให้แน่ใจ จน Nico ตอบกลับมาว่า บอกให้ส่งก็ส่งมาเถอะน่า! เสร็จแล้วก็ไปแขวนคอตายซะ Rock ได้ฟังแล้วก็ได้แต่เสยผมที่ลงมาบังที่หน้าจนเผยให้เห็นที่ปิดตาที่อยู่ที่ขวาของเขา ถ้าจะอธิบาย Rock Goldstein ก็คือลูกชายของ Nell Goldstein กับ Roy Martin ผู้มั่งคั่ง ทั้งคู่ไม่เคยแน่ใจในความโรแมนติกของตัวเอง แต่อาจเป็นเพราะ Nell นักสร้างปืนในตำนานกับความต้องการปืนเพื่อใช้ในการล่าสัตว์ที่เป็นงานอดิเรกสุดโปรดของ Roy ถึงทำให้ทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกันได้ก็เป็นได้ Rock แม้จะอยู่ในร้านขายปืนมาตั้งแต่เด็กแต่เขาก็ไม่เคยได้รับอณุญาติให้ใช้ เข้าใกล้ปืนหรือแม้แต่เข้ามาในร้านขายปืนของแม่เลยนับตั้งแต่ที่เข้าแอบมาเล่นปืนที่ Nell กำลังสร้างอยู่จนเกิดอุบัติเหตุปืนลั่นทำให้เขาเสียตาข้างขวาไป จากเหตุการณ์นั้น Roy ก็โทษ Nell ว่าเป็นต้นเหตุทำให้ Rock ต้องตาบอดมาตลอดจนทำให้ทั้งคู่เริ่มห่างเหินกันมากขึ้น จนกระทั่ง Roy ไม่ต้องการจะให้ Nell สร้างปืนอีกต่อไป ซึ่งสำหรับ Nell แล้วการให้เธอหยุดสร้างปืนก็คือโทษประหารดีๆนี่เอง ในคืนนั้น Rock เข้าไปหาแม่เพื่อขอโทษและบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตัวเองมากกว่า มันทำให้ Nell ถึงกับร้องไห้ก่อนที่จะปลอบใจ Rock ว่าเป็นความผิดของเธอมากกว่า จากนั้น Rock ก็หยิบกระดาษที่เขาวาดรูปเหรียญรางวัลให้กับ Nell ในฐานะศิลปินผู้สร้างปืน .45 ที่เจ๋งที่สุดมาให้เธอดู แม้ Rock จะเขียนผิดเป็น ‘.45 ART WARKS’ ทำให้ Nell ถึงกับโอบกอด Rock ร้องไห้ไปพร้อมกับพูดว่า ขอโทษและขอบคุณซ้ำไปซ้ำมา Rock บอกกับ Nell ว่าแม่จ๋าอย่าหยุดสร้างปืนเลยนะผมไม่เป็นไรหรอก ทำให้ Nell ตัดสินใจจะสร้างปืนต่อส่งผลให้ความสัมพันธ์ของ Nell กับ Roy ต้องจบลง Nell แยกตัวออกมาเปิดร้านขายปืนใหม่ของตัวเองโดยใช้ชื่อร้านว่า ‘.45 ART WARKS’ ตามที่ Rock เขียนเป็นเหรียญรางวัลให้เธอตั้งแต่นั้น

ในขณะที่ Rock ต้องการที่จะตามไปอยู่กับแม่ แต่ Roy ผู้เป็นพ่อนั้นไม่ยอม เขาใช้ความมั่งมีและช่องทางกฎหมายจนได้ตัว Rock มาเลี้ยงดู Rock ถูกห้ามไม่ให้เจอแม่ถึงกับต้องยืนร้องให้ที่หน้าต่างดูแม่เดินจากไปพร้อมภาพวาดเหรียญรางวัลในมือของเธอ หลังจากหย่ากับ Nell ไม่นาน Roy ก็แต่งงานใหม่ Rock ก็ไม่สามารถเข้ากับเมียใหม่ของพ่อได้ทำให้เกิดการต่อต้านมาตลอด จน Alyssa ลูกของภรรยาใหม่ของ Roy (ซึ่งก็คือแม่ของ Nico) เกิดมาก็ทำให้ Roy ให้ไปสนใจลูกใหม่มากกว่า ทำให้รอยร้าวระหว่าง Rock และครอบครัวมีมากขึ้นจน Rock ต้องแยกตัวออกมาอยู่เองแล้วได้ทำงานที่บริษัท Uroboros ในแผนกพัฒนาอาวุธ แม้ Rock จะพยายามค้นหาจนเจอที่อยู่ใหม่ของ Nell แม่ของเขาแต่ด้วยความเข้มงวดของบริษัทที่เขาทำงานทำให้เขาไม่สามารถลางานเพื่อปลีกตัวไปหาแม่ได้เลย จากแค่ 1 วันกลายเป็น 1 เดือนจนถึง 1 ปี สุดท้ายก็พบว่า Nell แม่ของเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่วันที่รับรู้ว่าแม่เสีย Rock ก็เลิกใช้นามสกุลของพ่อเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของแม่ทันที Rock Goldstein ลาออกจากบริษัท Uroboros ไปเปิดร้านขายปืนเล็กๆตั้งชื่อว่า Rock’s Guns and Ammo เพื่อสืบทอดมรดกต่อจาก Nell Goldstein แม่ของเขา ในขณะที่พ่อของ Rock โกรธมากที่เขาลาออกจากงานที่ Uroboros เพราะเขาอุตสาห์ช่วยให้ได้งานนั่น แต่ Rock ก็บอกไปว่าเขาภูมิใจที่ได้เป็นลูกชายของ Nell Goldstein มากกว่า 

ตัดมาที่ Rock ในปัจจุบันขณะกำลังพยายามหากุญแจห้องของ Nico เพื่อเข้าไปเอาของใช้ส่วนตัวไปส่งให้ตามที่ Nico สั่งก็บังเอิญเหลือบไปเห็นผลงานต่างๆที่เขาทำเสียมากมายที่ถูกวางไว้อย่างเรี่ยราด มันสะท้อนให้เห็นว่า Rock ที่ต้องการผู้สืบทอดการเป็นสุดยอดช่างทำอาวุธจากแม่กลับมีความสามารถไม่ได้ครึ่งของแม่ด้วยซ้ำ ทำให้ Rock เองก็แอบสงสัยว่าถ้าที่ผ่านมาเขาได้รับการฝึกฝนจากแม่ของเขาบ้างฝีมือจะพัฒนาไปได้ถึงขั้นไหนกันนะ Rock อดคิดถึงสมัยก่อนตอนที่ได้เล่นสนุกกับแม่ตอนกลางคืน Nell แม่ของ Rock มักชอบพูดตลกว่า "แม่คิดว่าหนูเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งนะ ถ้าไม่ได้เป็นเด็กติดแม่ที่ละเมอเรียก มามี้ มามี้ ตอนหลับทุกคืน” 

ในอดีต หลังจากที่ Rock ออกมาเริ่มทำร้านขายปืนของตัวเองไม่นาน Roy พ่อของเขากับภรรยาใหม่ก็เสียชีวิตลง Rock คิดว่าอาจฆ่าตัวตายจากการลงทุนที่ล้มเหลวจนมีหนี้สินจำนวนมาก คฤหาสน์รวมถึงทรัพย์สินต่างๆก็ถูกยึดจนหมด ทำให้ Alyssa น้องสาวของ Rock ที่เกิดจากเมียใหม่พ่อนั้นไม่มีเงินเหลือติดตัว แม้ว่าธุรกิจของ Rock ก็อาจจะไม่ได้เลิศหรูมากนัก แต่เขาก็ทนเห็นน้องสาวคนละแม่ต้องลำบากไร้ที่อยู่ Rock จึงตัดสินใจพา Alyssa มาอยู่ที่ร้านด้วย

หลังจากที่ Alyssa ได้งานที่บริษัท Uroboros ทั้งคู่ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้นด้วยรายได้ของ Alyssa และรายได้จากร้านขายปืนของ Rock ที่มีลูกค้ามาอุดหนุนมากขึ้นเนื่องด้วยทักษะการพัฒนาของเขา จนอยู่มาวันหนึ่ง Alyssa ก็ถาม Rock อย่างกล้าๆกลัวๆว่าจะโอเคมั๊ยถ้าเธอจะพาใครคนนึงมาเที่ยวบ้าน Rock ถามว่า ใคร? Alyssa ก็ได้แต่หน้าแดง จน Rock บอกว่า แฟนหรอ?เจอกันที่ไหนล่ะ?” Alyssa บอกว่าเขาเป็นพนักงานบริษัท Rock ถามต่อว่าเขาทำงานอะไร อย่าบอกชั้นนะว่าเขาเป็นนักวิจัยอ่ะ ยิ่งถ้าเป็นนักวิจัยของ Uroboros ล่ะมีแต่พวกหลุดโลกทั้งนั้นเลย  Alyssa กลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ก่อนจะบอกว่า ใช่ เขาเป็นนักวิจัยที่ Uroboros เขาชื่อ Agnus นั่นยิ่งทำให้ Rock ไม่เข้าใจว่าทำไม Alyssa เห็นเจ้า Agnus คนนี้แล้วบอกว่าน่ารักเพราะ Rock เองก็เคยทำงานที่นั่นและเคยเห็น Agnus อยู่บ่อยๆ Agnus เป็นนักวิจัยที่ไม่เหมือนคนอื่นเพราะร่างกายที่ดูกำยำแข็งแรง ซึ่ง Rock เองก็เคยเข้าไปแกล้งทักเขาว่า ไง แว่นจิ๋วข้างเดียวของนายเจ๋งดีนะ Agnus ก็ตอบมาว่า ขอบใจ นี่ชั้นทำเองเลยนะ Rock ก็ได้แต่คำในใจว่า Agnus ไม่รู้เข้าใจว่าเขากำลังพูดเสียดสี

หลังจาก Alyssa คบหากับ Agnus ได้ซักพักเธอก็เริ่มตั้งครรภ์และเธอลาออกจากงานที่ Uroboros มันทำให้ Rock รู้สึกว่าเป็นสองปีที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตที่ได้เห็น Nicoletta ลูกตัวน้อยของ Alyssa โตวันโตคืน และได้กินอาหารอร่อยๆฝีมือของ Alyssa ด้วย ...แต่หลังจากนั้น 2 ปี Agnus ที่เป็นหนึ่งในสมาชิกภาคีแห่งดาบ (The Order of the Sword ) ก็บอกกับ Alyssa ว่าเขาจำเป็นต้องกลับไปที่เมือง Fortuna เนื่องจากถูกท่านประมุขของภาคีเรียกไปใช้งาน Alyssa ถามว่าทำไมเธอถึงตามไปอยู่ที่เมือง Fortuna ด้วยไม่ได้ Agnus บอกว่ามีเพียงผู้ศรัทธาเท่านั้นที่สามารถอยู่ที่นั่นได้ Alyssa ก็บอกว่าเธอเองก็อาจสามารถเป็นผู้เชื่อในลัทธินั้นได้เหมือนกันหากอธิบายให้เธอเข้าใจ แต่ Agnus บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้เพราะเธอไม่มีทางเข้าใจความเชื่อของพวกเขา และไม่กี่วันต่อมา Agnus ก็หายตัวไป ..และไม่กลับมาอีกเลย

Alyssa วางแผนที่จะติดตาม Agnus ไปยัง Fortuna แต่เธอกลับล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลเสียก่อน ผลการวินิจฉัยออกมาว่าเธอเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่เธอยังคงมีความพยายามที่จะเดินทางไปที่ Fortuna เสมอ จนไม่กี่ปีต่อมา Alyssa ก็เสียชีวิต  หลังจากการตายของ Alyssa Rock ก็ได้รับเลี้ยง Nico อย่างถูกกฎหมายและเลี้ยงดูเธออย่างดีจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แม้ Rock จะไม่ได้ตั้งใจให้เธอเป็นนักสร้างอาวุธตามอย่างเขา แต่ Nico กลับมีความสนใจในศาสตร์ในการสร้างอาวุธด้วยตัวเอง จนวันนึง Nico ก็ได้เห็นรูปของ Nell Goldstein ถือปืน Ebony และ Ivory ที่เธอสร้างเอาไว้ให้ดันเต้แล้วส่งมาให้ Rock ดูเหมือนหลายเดือนก่อน "ว้าวววว นี่มันอะไรเนี่ย มันสุดยอดมากเลย เธอคนนี้เป็นใครหรอ?" Nico ถึงกับอุทานเสียงหลังหลังจากเห็นปืนสองกระบอกในรูป Rock บอกว่า อ๋อ นั่นแม่ของชั้นเองแหละ ..แม่คุณหรอ งั้นเธอก็เป็นย่าของชั้นอะสิ มันสุดยอดอ่ะ" Nico กล่าวอย่างภาคภูมิใจ เมื่อรู้ในภายหลังว่า Nell Goldstein นักสร้างอาวุธในตำนานคือย่าของเธอ

Rock พูดถึงปืนคู่ Ebony และ Ivory ว่าแม่ทำขึ้นเพื่อให้กับชายที่ชื่อ ดันเต้ แต่หน้าแปลกตรงที่ข้างๆปืนดันสลักชื่อ ‘Tony Redgrave’ แต่ดันเต้เคยบอกว่ามันเป็นชื่อที่เขาบอกกับแม่ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกถ้าใครจะมาให้ทำปืนให้ซักกระบอก เขาอาจเอาไปใช้ฆ่าคนก็ได้ แต่กับดันเต้มันไม่ใช่หรอกเพราะปืนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ทำลายปีศาจ ตอนนั้นดันเต้ยังบอกให้ Rock ช่วยสลักคำว่า .45 ART WARKS’ ไปบนกระบอกปืนเพิ่มด้วย จากนั้นดันเต้ก็ตะโกนว่า มามี๊ !! ดังลั่นเลย เขาบอกว่า จริงๆเขาเองก็อยากจะแก้คำผิดให้ถูกต้องแต่ก็ไม่ต้องการให้คนอื่นมาสัมผัสปืนเก่าระดับมาสเตอร์พีซของแม่ และหากจะต้องแก้คำผิดจริงๆ คนแก้ก็ควรจะต้องเป็นคุณไม่ใช่หรอ Rock Goldstein ...Rock เล่าความหลังทั้งน้ำตา "ปืนที่สวยงามแบบนี้ไม่ควรมีคำที่เขียนผิดถูกเขียนอยู่บนมัน" หลังจาก Rock แก้ไขข้อผิดพลาดของปืนจนเรียบร้อย เขาก็ไม่ได้เจอดันเต้อีกเลย

Rock จัดการส่งสิ่งของที่ Nico ต้องการไปให้ที่เมือง Fortuna แม้ Nico จะไม่ได้บอกเหตุผลอะไรแต่เขาก็รู้ดีว่ายังไง Nico ก็ไม่ได้คิดที่จะย้ายไปอยู่ที่เมืองนั่นเพราะ Agnus แน่นอน ก่อนออกเดินทางไป Nico บอกกับ Rock ว่าเธอยอมแพ้ในการที่จะเป็นช่างสร้างปืนแล้วเพราะคิดว่าไม่มีวันจะทำได้ดีเหมือน Nell ได้ นั่นทำให้ Rock เแปลกใจไม่น้อยก่อนที่เขาจะถามว่า แล้วต่อไปเธอจะทำอะไร Nico ตอบว่า ยังไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นอาวุธแบบไหนเพราะมันยังไม่เสร็จ รู้อย่างเดียวว่ามันต้องเป็นอะไรที่เป็นศิลปะแน่นอน Rock นั้นมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องกับ Alyssa แต่ Nico ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆกับ Nell เลย แต่เธอก็เรียกแทนตัว Nell ว่า ย่า เสมอ ผิดกับ Rock ที่เลี้ยงเธอมา เวลา Nico คุยกับ Rock เธอกลับไม่เคยเรียกเขาว่าพ่อเลย ก่อนที่ Nico จะออกเดินทาง Rock บอกกับเธอว่า จงทำให้ดีที่สุด และชั้นรู้ดีว่าเธอเก่งกว่าแม่ของชั้นแน่นอน เขารู้ว่าวันนึง Nico จะต้องประสบความสำเร็จในการสร้าง แขนกล อะไรนั่นแน่นอน และเมื่อถึงวันนั้นเขาก็จะพูดได้ว่า "นั่นแหละลูกสาวชั้นเองที่เป็นคนทำ" เป็นความนึกคิดที่ทำให้ Rock ถึงกับยิ้มออกมา



                             Nico Chapter 2

บทเริ่มต้นที่โรงรถในบ้านของ Nero ที่เมือง Fortuna ในขณะที่ Nico กำลังติดตั้งป้ายนีออน Devil may cry ที่ดันเต้เคยให้มาไว้ที่รถตู้เพื่อเริ่มธุรกิจล่าปีศาจอย่างที่ดันเต้เคยแนะนำไว้ แม้ Nico จะบอกว่าชื่อ ปีศ่าจอาจต้องร้องไห้ มันฟังดูตลกก็ตาม Nico แนะนำว่ามันน่าจะเติม S ด้วยเพราะตอนนี้มีเธอมาทำงานร่วมด้วย Nero บอกเขาก็คิดถึงเรื่องนี้ แต่มันฟังดูไม่ค่อยดี ถึงตอนนี้ Nico ก็อาศัยอยู่ที่เมือง Fortuna ครบ 1 ปีพอดี 

แนวคิดในการทำรถ Devil May Cry van ขึ้นมาก็คือ ปกติแล้ว Kyrie และ Nero ไม่ได้มีเงินจำนวนมากและในเมือง Fortuna ก็ไม่มีงานเข้ามามากนัก และถึงจะมีงานเข้ามา  Kyrie ก็มักจะขอให้ Nero ปฏิเสธการรับเงินจากชาวบ้านซึ่งยากจนอยู่แล้ว รายได้ของ Nero จึงมักจะเป็น เนื้อสัตว์ ผักและรของใช้เล็กๆน้อยๆมากกว่า แม้แต่  Kyrie ก็ยังสวมเสื้อผ้าชุดเดียวตลอด แต่เธอก็ยังอุตสาห์ทำเสื้อผ้าให้กับ Nero และแจกให้พวกเด็กกำพร้าไว้ใช้ ด้วยรถตู้นี้จะทำให้ Nero สามารถออกไปหางานนอกเมืองได้ก็จะเป็นหนทางที่ทำให้ได้เงินมาจุนเจือครอบครัวมากขึ้นด้วย แต่เนื่องจาก Nero ไม่มีเงินพอที่จะซ่อมแซมรถตู้เก่าที่เพิ่งซื้อมา จะหวังเพิ่ง Nico เธอเองก็ไม่ได้ทำอาวุธขายมาซักพักเพราะมัวมาอยู่ที่นี่จึงขาดรายได้ไม่ต่างกัน ทั้งคู่จึงต้องช่วยกันซ่อมแซมรถตู้แบบตามมีตามเกิดเพื่อใช้งานไปพลางๆก่อน จนเมื่อ Kyrie ตะโกนเรียกทุกคนให้มากินข้าวเย็น Nero จึงบอกให้ Nico เข้าไปกินข้าวก่อนส่วนเขาจะทำที่เหลือต่อให้เสร็จเอง

Nico ร่วมทานอาหารเย็นร่วมกับ Kyrie และเด็กกำพร้าอีกสามคน: Julio, Kyle และ Carlo สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในฟอร์จูน่าไม่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ดังนั้นง Kyrie และ Nero จึงต้องดูแลเด็กกำพร้าเท่าที่จะทำได้ไปก่อนในตอนนี้ ในขณะกินข้าว Nico ถึงกับเอ่ยชมอาหารที่ Kyrie ว่าอร่อยแบบที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนเลย จนเธอแปลกใจที่คนอย่าง Nero ไปหาเทพธิดาแบบนี้มาทำเมียได้ยังไง ในขณะที่  Kyrie เริ่มแปลกใจว่าทำไม Nero มัวแต่ทำอะไรถึงไม่มากินข้าวซะที Kyrie วาง Carlo เด็กกำพร้าที่อายุน้อยที่สุดไว้บนตักของ Nico ก่อนที่จะเดินไปตาม Nero Kyrie ตะโกนนำไปก่อนในขณะที่ยังเดินไปไม่ถึงว่า มากินข้าวได้แล้วเดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด แต่เสียงของ Nero ที่ตะโกนมาจากโรงรถว่า ไม่ให้ออกมา ทำให้  Kyrie ถึงกับยืนตะลึงเพราะมันสื่อถึงสัญญาณอันตราย ในขณะที่เสียง Nero ร้องลั่นมาจากโรงรถ Nico รีบฝาก Carlo ไว้กับ Julio ก่อนที่จะวิ่งตามไปดูทันที 

ภาพในโรงรถที่เต็มไปด้วยเลือดทำให้ Nico ถึงกับเสียวสันหลังในขณะที่  Kyrie ก็กรีดร้องเรียกหา Nero จน Nico พบตัว Nero แต่สังเกตุว่าแขนขวาของเขาขาดไป Nero ตะโกนลั่น ชั้นแค่ทิ้งนายไว้แปบเดียวเองนะ แต่ Nero ที่มักจะด่าตอบโต้กลับก็ได้แต่นิ่งเงียบเอาแต่จ้องมาที่เธอด้วยสายตาที่ดูว่างเปล่า Nico บอก Kyrie ให้รีบไปตามหมอ และคิดว่าคนที่ทำแบบนี้อาจจะยังอยู่แถวๆนี้ Nico จึวดึงบลูโรสมาจาก Nero เพื่อใช้ปกป้องทุกคน ในขณะเดียวกัน Nico ก็ดึงลวดจากกล่องเครื่องมือมาพันรอบแขนของ Nero เพื่อพยายามห้ามเลือด ปากก็ตะโกนขู่ไปพลางว่าถ้ารู้ว่าใครทำรับรองเธอจะยิงให้กระโหลกแตกเหมือนวอลนัทแน่ๆ Nico อดคิดไม่ได้ว่าใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้ มันเป็นไปได้หรอที่มนุษย์ธรรมดาจะตัดแขนคนอื่นออกอย่างง่ายดายและรวดเร็วแบบนี้ ใครกันที่เข้ามาตัดแขน Nero อย่างรวดเร็วแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่คิดจะฆ่า Nero ด้วยซ้ำ เรื่องทั้งหมด Nico ยังคิดไม่ตกเลย

ทันใดนั้น Nico ก็นึกออกว่าได้อ่านเกี่ยวกับดาบ Yamato ในเอกสารการวิจัยของ Agnus ที่ A gnus พ่อของเธอเป็นคนกู้คืนชิ้นส่วนของ Yamato ที่เจอบนชายฝั่งที่ชานเมือง Fortuna ขึ้นมาใหม่ เธอจำได้ว่าเคยพูดถึงยามาโตะกับ Nero และ Nero บอกเธอว่ามันเป็นดาบของพี่ชายของดันเต้ Nico จึงรีบถาม Nero ว่าตอนนี้ ยามาโตะอยู่ที่ไหนเพราะมันอาจจะมีพลังที่อาจจะเยียวยา Nero ได้ เธอจะค้นคว้าหาทางให้เอง Nero ตอบว่าเธอเอามันไปค้นคว้าไม่ได้หรอก Yamato มันอยู่ในแขนของเขาเอง และมันก็เป็นสิ่งที่อันตรายเกินกว่าที่เธอจะเข้าใกล้มัน Nico ฟังที่ Nero บอกก็ถึงกับอ้าปากค้างทั้งตื่นเต้นตกใจและสงสัยว่ามันดาบมันเข้าไปอยู่ในแขนแบบนั้นได้ยังไง และคนที่เข้ามาตัดแขนของ Nero ไปเพื่อต้องการดาบยามาโตะโดยไม่คิดจะฆ่า Nero อีก Nico ก็ยังไม่เข้าใจ Nico ได้แต่สงสัยไปจนสุดท้ายรถพยาบาลก็มา


                             Morrison Chapter 1

กล่าวมอร์ริสันที่กำลังเดินยนถนนพร้อมช่อดอกเยอบีร่าในมือไปยังบาร์ Bobby’s Cellar ที่ไม่ได้แวะเวียนมาถึง 10 ปีแล้ว ซึ่งปกติเป็นสถานที่ที่มอร์ริสันใช้พบปะผู้คนในการหาข้อมูลในการทำงาน เขาเพิ่งเห็นว่าตอนนี้บาร์ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Grue’s Cellar และมี Tiki และ Nesty ลูกๆของ Grue ที่รอดชีวิตเป็นผู้รับช่วงต่อ และช่อดอกเยอบีร่าที่มอร์ริสันถือมาก็เพิ่มแสดงความยินดีกับพวกเธอ ทั้ง 3 รวมถึง Sally ที่เป็นบาร์เทนเดอร์ในบาร์และคนที่ช่วยกันกับมอร์ริสันในการดูแลลูกๆของ Grue หลังจากเขาเสียชีวิตได้ร่วมวงสนทนากันอย่างอบอุ่นแม้ทุกคนจะผ่านแต่เรื่องเลวร้ายและสูญเสียมาด้วยกันทั้งการตายของ Nell Goldstein และ Jessica ลูกสาวอีกคนของ Grue ขณะโดนปีศาจบุกโจมตีโรงพยาบาล Nesty ถาม Morrison ว่า Tony (Dante) เป็นยังไงบ้างตอนนี้ “ หวังว่าเขาจะตายไปแล้วนะ แต่ถ้ายังไม่ตายชั้นจะเอาลูกซองยัดตูดมันเอง แม้ Tiki พี่สาวของเธอจะพยายามพูดถึงดันเต้ในทางที่ดีว่าเขาก็ส่งเงินดูแลมาให้ตลอดแต่ Nesty ก็ยังรู้สึกว่าดันเต้เป็นลางร้ายเพราะผู้คนที่ Redgrave โทษดันเต้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายจนทำให้มีคนเสียชีวิตมากมายทั้งที่บาร์ Bobby’s Cellar และการสังหารหมู่ที่โรงพยาบาลรวมถึงการตายของ Nell Goldstein ด้วยทั้งๆที่ดันเต้เป็นคนเข้าไปช่วยจัดการกับพวกปีศาจ เรื่องนั้น มอร์ริสัน รู้ดี 

ในขณะที่ทั้งสี่คนกำลังนั่งพูดคุยถึงวันเก่าๆและแสดงความยินดีกับสิ่งดีๆในวันใหม่ชายคนหนึ่งเข้าไปในบาร์ ชายปริศนาที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสัก ใช้ไม้เท้าพยุงร่างกายที่ดูไม่แข็งแรงหน้าซีดและไม่มีชีวิตชีวา ถือหนังสือกะดำกะด่างที่มีตัวอักษร V อยู่บนปก มอร์ริสันพิจารณาดูถึงความเป็นไปได้ที่เขาอาจจะไม่ใช่มนุษย์ มอร์ริสันพยายามอธิบายว่านี่เป็นงานเลี้ยงส่วนตัวแต่ชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักไม่สนใจ เขาถามต่อว่า คุณคือมอร์ริสันใช่มั๊ย? มอร์ริสันพยักหน้าและถามสิ่งที่เขาต้องการ ชายคนนั้นพูดว่า“ผมต้องการพบดันเต้” มอร์ริสันถามว่ามันเป็น 'คำขอแบบพิเศษใช่มั๊ย'  V พยักหน้า มอร์ริสันตกลงที่จะพาเขาไปหาดันเต้ลูกค้ารายนี้อาจกำลังต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับเรื่องปีศาจ ก่อนที่จะขอตัวออกจากวงสนทนากับลูกๆของ Grue เพราะว่ามีธุระที่ต้องไปทำ 

มอร์ริสันและชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักออกจากบาร์ไปพร้อมๆกันก่อนที่มอร์ริสันจะถามว่าเขามีเงินบ้างไหม? เพราะแม้ว่าดันเต้จะทำงานล่าปีศาจแบบไม่ต้องจ่ายเงินก็ตามการแต่ถ้ามีเงินก็จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของดันเต้ที่ไม่ได้เฟื่องฟูอะไรมากมาย  ชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักยื่นมือให้มอร์ริสันดูธนบัตรนับสิบๆใบแม้บางใบจะมีคราบเลือดติดอยู่บ้าง ในขณะเดินทางมอร์ริสันได้ยินเสียงครวญครางของชายคนหนึ่งที่นอนจมกองเลือดอยู่ในตรอกซอกซอย ดูเหมือนว่าเขาถูกโจมตีโดยนกตัวใหญ่ ก่อนที่ชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักจะเหยียดแขนขวาของเขาออกมาเพื่อให้นกตัวนั้นมาเกาะ Morrison ถามว่าเป็นนกของเขาหรอ? และเจ้านกยักษ์ก็ตอบให้เสร็จสรรพว่า ใช่ เขาเป็นนกของชายคนนี้เอง มอร์ริสันสังเกตว่านี่ไม่เหมือนกับคำพูดที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ของนกแก้วนกขุนทองแน่นอนดูเหมือนเจ้นนกนี่มันจะสามารถพูดได้ด้วยตัวเอง 

เจ้านกกล่าวติดตลกกับมอร์ริสันว่า เงินก็คือเงินน่ารับๆไปเหอะ แต่ถ้าอยากได้แบบสะอาดๆเดี๋ยวจะไปแลกที่ธนาคารมาให้ก็ได้ แต่มอร์ริสันไม่ได้สนใจที่จำนวนเงินเพราะเขาสามารถทำเงินได้ไม่น้อยจากการเป็นโบร๊กเกอร์รับงานให้ดันเต้ แต่เขารู้สึกว่าจะต้องมีคนมากมายต้องบาดเจ็บล้มตายอีกถ้ารับเงินนี่ แต่อย่างน้อยในท้ายที่สุดเงินค่าจ้างพวกนี้มันก็เพียงพอที่จะช่วยเหลือเพื่อนๆของเขาที่ต้องใช้ชีวิตอย่างขัดสน ในที่สุดมอร์ริสันก็นำทางชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักกับนกประหลาดที่พูดได้มาถึงหน้าร้าน Devil may cry ของดันเต้ ก่อนที่เขาจะขอตัวไปแวะไปทำธุระซักสองสามที่ก่อน



                                            Lady Chapter  1


มอร์ริสันแวะไปหาเลดี้ในห้องเช่าของเธอ พวกเขาดูการออกอากาศทางโทรทัศน์เกี่ยวกับต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ปรากฏในเมืองพร้อมๆกัน เลดี้เดาว่ามันดูเหมือนสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่มากกว่าจะเป็นต้นไม้ มอร์ริสันบอกเลดี้ว่าถ้าเราเอาชนะ 'บอส' ของพวกปีศาจได้ต้นไม้ก็จะต้องหายไปอย่างแน่นอน แต่เลดี้ไม่เข้าใจว่ามาติดต่อเธอทำไมในเมื่อเรื่องแบบนี้ดันเต้คนเดียวก็น่าจะเอาอยู่ เต็มที่ก็มีทริชมาช่วยก็น่าจะพอแรงแล้ว มอร์ริสันยอมรับออกมาว่างานนี้เขารู้สึกไม่ดีเอามากๆเลยรีบมาติดต่อเลดี้ทั้งที่ปกติจะต้องนัดล่วงหน้าก่อนทุกครั้ง มอร์ริสันยอมรับว่าเขามีความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับงานนี้ เลดี้เชื่อว่าเขาจริงจังเพราะหายากที่เขาจะได้พบกับเธอทันที โดยปกติแล้วจะติดต่อกับคุณคุณจำเป็นต้องกำหนดเวลาและสถานที่นัดประชุมล่วงหน้า 

เลดี้ถามต่อว่าอะไรทำให้มอร์ริสันมั่นใจว่างานนี้อันตรายมาก เจ้าปีศาจนั่นมันประกาศตัวเองว่าเป็นจักรพรรดิปีศาจงั้นหรอ? มอร์ริสันบอกเธอว่าผู้ว่าจ้างงานนี้บอกว่าปีศาจตนนี้มันเป็นจักรพรรดิอสูรที่พยายามจะฟื้นคืนชีพ เลดี้ตอบว่า“ ถึงมันจะเป็นจักรพรรดิปีศาจจริงแล้วก็ไม่ครณามือดันเต้หรอก” เลดี้จำได้ว่าทริชบอกเธอว่ากองทัพปีศาจลูกน้องของ Mundus ฆ่าแม่ของดันเต้และเขาเองก็แทบเกือบจะเอาตัวไม่รอด ยี่สิบปีต่อมาเขาเลยตัดสินใจจะล้างแค้นปีศาจทุกตัวเพื่อแก้แค้นให้แม่ของเขา มอร์ริสันบอกว่าเขารู้ดีว่าดันเต้เก่งแค่ไหนแต่เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน

ในขณะที่เลดี้กำลังจะถามต่อว่ามอร์ริสันจะไปกังวัลเรื่องอะไร จนข่าวใน TV รายงานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่เมือง  Red Grave City ซึ่งเลดี้จำได้ว่ามันถูกเขียนไว้บนกระบอกปืนของดันเต้กับคำว่า Goldstein ทำให้เลดี้เคยถามกับดันเต้ว่า Nell Goldstein เป็นคนสร้างปืนให้เขารึเปล่าเพราะปืนเธอก็มีคำว่า Goldstein แต่ของเธอ Rock Goldstein ลุงของ Nico เป็นคนสร้างให้ ดันเต้เคยถามเลดี้ว่า Rock มีฝีมือมากมั๊ย เลดี้ตอบว่าก็พอตัว แต่เลดี้บอกว่า Nico หลานของ Rock นั้นเก่งกว่าลุงของเธอเยอะเลยจากการที่เธอไปหา Nico จากที่เธอติดต่อมาให้ไปพบ เลดี้บอกพอดันเต้ฟังจบก็คว้าปืน Ebony และ Ivory ออกมาพร้อมกับถามที่อยู่ร้านขายปืนของ Rock กับเธอทันที ที่เล่ามานั่นแหละที่เลดี้เริ่มสังเกตุว่ามันน่าสนใจตรง คำว่า 'Redgrave' ที่อยู่บนปืนของดันเต้และเป็นชื่อเมืองที่กำลังเกิดเรื่องมันจะเชื่อมโยงไปถึงอดีตของดันเต้ด้วยรึเปล่า?


                                 V Chapter 1

V รู้ได้ทันทีว่ามอร์ริสันเป็นโบ๊รกเกอร์หางานที่ยอดเยี่ยมแค่ไหนก็จากการที่เขาสามารถรวมพลดันเต้  เลดี้ และ ทริช ให้มาพร้อมกับเฮลิคอปเตอร์เพื่อใช้ในการพาทุกคนไปยังเมืองเรดเกรฟได้อย่างรวดเร็ว และด้วยการทำงานที่รวดเร็วของ Morrison ทำให้ V, Lady, Trish และ Dante มาอยู่ใต้ต้นไม้ปีศาจภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง นอกจากต้นไม้ที่มีกลิ่นที่น่ารังเกียจจนทำให้ทุกคนรับรู้ได้ทันทีที่มาถึงแล้ว ทุกคนก็ยังได้ยินเสียงคำรามดังออกมาจนพื้นดินก็เริ่มสั่นคลอน V เชื่อว่ามันคือผลพวงจากการที่จักรพรรดิปีศาจกำลังจะฟื้นคืนชีพ แผนแรกเริ่มที่ V คิดเอาไว้คือให้พวกเขาสี่คนโจมตีมันก่อนที่มันจะตื่นขึ้นแต่ดูเหมือนตอนนี้แผนนี้คงดูเหมือนจะเป็นอะไรที่มองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย ก่อนที่ดันเต้บอกให้วีหนีไปเนื่องจากกลัวว่าวีนั้นจะเป็นตัวถ่วง V แสดงออกด้วยความหงุดหงิดและน้อยที่ผ่านมาก็ต้องเจอแต่คำแบบนี้ แต่เขาก็ยอมทำตามที่ Dante พูดและเริ่มที่จะออกจากพื้นที่ไป

Griffon เจ้านกพูดได้รีบบินตามไปด้วยความตกใจที่เห็น V ออกจากพื้นที่ไปจริงๆหรือคิดว่ายังไม่ถึงเวลาเปิดเผยความสามารถที่แท้จริง V ได้แต่นิ่งเงียบแล้วบอก Griffonกลับไปว่า เขาจะไปตามตัวเด็กนั่นมาก่อน Griffon ถามต่อว่า เด็กนั่นหมายถึง Nero น่ะหรอ? อย่าบ้าน่า ผู้ชายคนนั้นขโมยแขนขวาของเขาไปแล้วเขาจะสู้ยังไง V ตอบกลับไปว่า ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย เพราะการที่มีสายเลือดสปาร์ด้ามาร่วมอีกคนก็อาจจะเป็นตัวช่วยที่ทำให้อัตราการต่อรองที่จะชนะจักรพรรดิปีศาจมีเพิ่มขึ้นมาบ้างแม้จะแค่นิดเดียวก็ยังดี เนื่องจาก V นั้นคุ้นเคยกับจักรพรรดิปีศาจตนนี้ดีพอเขาเลยคิดว่าคุ้มที่จะเสี่ยง V รีบออกจากต้นไม้ปีศาจแล้วใช้เฮลิคอปเตอร์มุ่งหน้าไปหา Nero ที่เมือง Fortuna ทันที  ก่อนที่ Griffon จะถาม V กลับด้วยความกังวลว่า "ถ้าเขารู้สึกว่ามันกำลังเสี่ยงล่ะ"  V ก็ได้แต่เงียบไม่ได้ตอบกลับใดๆ 



                                  Trish Chapter 1 

ทริชคือภาพสะท้อนของ Eva ภรรยาของสปาร์ด้าที่ถูก Mundus สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวล่อลูกชาย 2 คนของสปาร์ด้าที่หนีรอดไปได้ หลังจากที่ Mundus ส่งกองทัพปีศาจของมันไปฆ่ายกครัว ในขณะที่อีวาถูกฆ่าตาย ดันเต้และเวอร์จิล 2 ลูกชายก็หนีไป มุนดัสก็ไม่ลดละที่จะตสมไล่ล่าเพื่อให้ทั้งคู่ไม่ต้องเติบโตขึ้นมาแล้วมาตามล้างแค้น Mundus พบ Vergil ก่อนเนื่องจาก Vergil ไม่ได้ปลอมตัวเหมือน Dante เวอร์จิลผู้สืบทอดดาบยามาโตะตั้งแต่อายุยังน้อยสามารถเอาชนะพวก minions ที่ถูกส่งไปฆ่าเขาได้อย่างไม่ยากเย็น ก่อนที่ 10 ปีต่อมา Mundus จะได้เบาะแสของดันเต้ว่าปลอมตัวในชื่อ Tony Redgrave อยู่ที่เมือง Redgrave Mundus ก็ส่งปีศาจไปเพื่อหมายจะหยั่งเชิง ปีศาจที่ถูกส่งไปถูกดันเต้ฆ่าทิ้งอย่างง่ายดายไม่ต่างจากพี่ชาย แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า  Tony Redgrave ก็คือ ดันเต้ ที่เขาตามหา

จากนั้น Mundus ก็สร้างกองปีศาจตนใหม่ขึ้นมาชื่อว่า black knightsโดยใช้ข้อมูลการต่อสู้ของ Sparda, Dante และ Vergil อัศวินเหล่านี้สวมชุดเกราะสีดำเข้มที่ทำโดยนายช่างจากขุมนรกนาม Machiavelli แต่ black knights รุ่นต้นแบบนั้นออกมาไม่สมบูรณ์แบบเพราะข้อมูลของตระกูลสปาร์ด้าที่ใส่ลงไปมันเกิดขีดจำกัดของร่างทดลองจนไม่สามารถทนไหว ทำให้  Mundus รู้ว่าปีศาจเทียมที่เขาสร้างขึ้นแม้ว่าอาจจะทำสำเร็จแต่ก็จะไม่มีวันเอาชนะ Dante และ Vergil ได้แน่นอน 
เขาจึงทำได้เพียงเฝ้าดู 2 พี่น้องที่กำลังเริ่มเข้าห่ำหั่นกันเพราะเจตจำนงค์ที่ต่างกัน  Vergil เดินทางรอบโลกเพื่อศึกษาเกี่ยวกับตราประทับของ Sparda เพื่อต้องการพลังนั้นมาเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่ดันเต้ดูถูกเหยียดหยามต่อความกระสันอยากแข็งแกร่งของ Vergil อย่างมาก

ทำให้ Mundus พุ่งเป้าไปที่ Vergil ซึ่งเป็นประโยชน์มากกว่า และความทนงของ Vergil ก็ทำให้แผนของ Mundus ที่จะยั่วยุจน Vergil ที่มีสภาพไม่เต็มร้อยจากการประลองกับ Dante เพื่อให้เข้าต่อสู้กับเขาจนแพ้พ่ายไปในที่สุด ก่อนที่ Mundus จะนำร่างของ Vergil ไปใช้ในการทำการทดลองจนได้ปีศาจเทียมที่แข็งแกร่งมากกว่าตัวไหนๆที่เขาเคยสร้างมาแล้วตั้งชื่อ Vergil ในคราบ black knight ใหม่ว่า Nelo Angelo ซึ่งได้เครื่องรางของเวอร์จิลเป็นข้อแรกเปลี่ยนที่ทำให้  Nelo Angelo ยอมทำตามคำสั่งของ Mundus ในที่สุด แต่แม้ว่า Mundus จะได้ปีศาจที่คลั่งแค้นที่ที่สมบูรณ์แบบมาแล้ว เขาก็ต้องการที่จะนำดันเต้มาสู่โลกปีศาจแทนที่จะส่ง Nelo Angeloไปฆ่าดันเต้ที่โลกมนุษย์ เพื่อจุดประสงค์นี้ Mundus จึงสร้างปีศาจจำแลงที่ชื่อ ทริช ขึ้นมาในภาพลักษณ์ของแม่ดันเต้เพื่อใช้ประโยชน์จากความรักอันแรงกล้าของดันเต้ที่มีต่อแม่ของเขาเพื่อพาเขาไปที่ติดกับดักที่เกาะ Mallet 

ภาพหวนคำนึงที่ทริชพบกับดันเต้ครั้งแรกก็จางหายไปทันทีเมื่อเธอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในต้นไม้ปีศาจด้วยการหายใจแบบถี่รัวก่อนที่ Lady จะถามว่า เพิ่งรู้สึกตัวรึไง ทริชขอโทษกับความประมาทของตัวเองก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน Lady ถามต่อว่าทริชยังสู้ไหวรึเปล่า ทริชตอบกลับไปว่า "ก็น่าจะไหวนะ" ซึ่งแม้ว่าทั้งคู่จะคิดว่างานนี้เป็นงานง่ายๆ แต่เท่าที่ทั้งคู่พยายามสู้กับ Urizen อยู่นานก็ไม่สามารถทำให้มันขยับตัวออกจากบัลลังก์เลยแม้แต่นิดเดียว ก่อนที่ทริชและเลดี้จะเริ่มโจมตี Urizen ต่อแต่มันก็ยังไร้ประโยชน์เหมือนเดิมเพราะวัตถุที่ลอยอยู่ข้าง ๆ Urizen ปิดกั้นการโจมตีทุกอย่างได้จนหมด 

จนทริชเริ่มวางแผนว่าจะโจมตี Urizen ด้วยดาบสปาร์ด้า แต่ก่อนที่เธอจะทำได้ Urizen ก็ปล่อยคลื่นไปใส่เลดี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของทริช ก่อนที่เธอจะเกร็งพลังที่มือขวาเพื่อเรียกใช้ Artemis อาวุธที่เคยเป็นของดันเต้ออกมาแล้วยิงกระสุนขึ้นฟ้าไปหลายนัดแต่ Urizen ก็ปัดป้องมันเอาไว้ได้จนหมด ทำให้ทริชถึงกับถอดใจบ่นออกไปว่า เป็นไปไม่ได้ พลังอะไรของมันถึงทำได้ขนาดนี้ มันทำใหทริชแปลกใจที่ปกติทุกครั้งที่เธอต่อสู้กับพวกปีศาจเธอก็มักจะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพวกมันมาตลอดบ้างไม่มากก็น้อย แต่ทำไม ปีศาจที่แข็งแกร่งอย่าง Urizen เธอกลับไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยได้ยังไง ทริชเอ่ยถึงชื่อ ดันเต้ ออกมาดังๆ ก่อนจะค่อยๆหมดสติไปพร้อมกับการไตร่ตรองถึงอัตลักษณ์ของ Urizen อย่างคาใจ


                               Nero Chapter 3 

หลังจากถูกชายปริศนาตัดแขนไป Nero ก็ตื่นขึ้นมาหลังจากอยู่ในอาการโคม่าหลายวัน ทันทีที่ตื่นขึ้นมา Nero ก็พบชายท่าทางแปลกที่ตัวเต็มไปด้วยรอยสักที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน  จน Nero ต้องรวบรวมกำลังเพื่อตะโกนเรียก รปภ เข้ามาช่วย แต่ชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักยิ้มให้เขาก่อนที่จะยอมรับว่าเขาเข้ามาทางหน้าต่างโดยไม่ได้รับอณุญาติและบอก Nero ว่าชื่อของเขาคือ V ซึ่งโดยปกติแล้ว Nero จะพึ่งพาแขนปีศาจ Devil Bringer เพื่อบอกว่าคนๆนั้นเป็นปีศาจหรือไม่ แต่ตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่ในแขนขวาที่ถูกตัดขาดพันด้วยผ้าพันแผล Nero ยังคงพยายามอยากรู้สิ่งที่เกิดขึ้้นกับเขาโดยการถาม V ด้วยเสียงอันดังว่า V นั่นเป็นใครและต้องการอะไรจากเขากันแน่

 V ตอบ Nero ว่าเขารู้ว่าปีศาจที่ขโมยแขนของ Nero ไปเป็นปีศาจที่ได้รับพลังของยามาโตะจากการขโมยแขนของ Nero และตอนนี้ดันเต้กำลังกำลังไปเผชิญหน้ากับเขา Nero ถามว่า V รู้เรื่องนี้อย่างไร? V ตอบกลับไปว่า เขากำลังตามล่าปีศาจตัวเดียวกับ Dante และ คนที่ขโมยแขนของ Nero ซึ่ง V บอกว่าเขาไม่สามารถเอาชนะปีศาจนี้ได้เพียงลำพังดังนั้นเขาจึงขอความช่วยเหลือจาก Dante จากนั้น V ก็เชิญ Nero ให้มากับเขาด้วยเพื่อมาร่วมศึกครั้งนี้เพราะ V คิดว่างานนี้ดันเต้คนเดียวน่าจะเอาไม่อยู่ 

นั่นทำให้ Nero อดสงสัยไม่ได้ว่ามันเป็นปีศาจแบบไหนกันที่ดันเต้ไม่สามารถเอาชนะได้ ก่อนที่ Nero จะยื่นแขนที่พันผ้าพันแผลของเขาให้ V ดูก่อนประชดออกมาว่า 'ฉันควรทำอย่างไรดี' ทันใดนั้นรอยสักบนแขนของวีเริ่มก็เริ่มขยับตัวเหมือนกับมีชีวิตก่อนที่จะมีนกประหลาดโผล่ออกมาจากรอยสัก ม้นบอกว่ามันชื่อ Griffon ก่อนที่มันจะเรียก Nero ว่า คนเฉื่อยชาและบอกให้เขารีบออกเดินทางต่อเพราะมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว V เองก็บอกกับ Nero ตรงๆว่าเขาไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถเอาชนะปีศาจที่ขโมยแขนขวาและความความยโสโอหังของ Nero ไปได้หรือเปล่า 

Nero บดฟันของเขาแทนความหมายของการคิดหนัก เขายอมรับว่า V ดูน่าไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ แต่เขาก็ต้องการคืนแขนที่ถูกขโมยไปคืนมา ฉะนั้นการตาม V ไปอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะนำพา Nero ให้ไปถึงตัวปีศาจที่ขโมยแขนเขาไปที่เขาได้ ซึ่งที่ Nero คิด การสู้แบบแขนเดียวไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเพราะที่ผ่านมาเขาก็ต่อสู้ด้วยมือเดียวมาตลอดตอนที่ต้องซ่อนแขนปีศาจ Devil Bringer ไม่ให้ใครเห็น แต่ปัญหาเดียวที่ต้องคิดคือ Kyrie เธอจะอนุญาตให้เขาไปล่าปีศาจในสภาพแบบนี้ได้รึเปล่าเนี่ยสิ แต่ถ้า V รอได้ เขาก็จะต้องขอเวลาในการแอบเข้าไปเอาอาวุธปืน Blue Rose และ Red Queen ในโรงรถโดยที่ไม่ให้ Kyrie และ Nico รู้  Griffon และ V จึงบอก Nero เป็นเสียงเดียวกันว่าให้รีบดำเนินการได้ทันที


                                Dante Chapter 4

บทเริ่มต้นที่ Dante ถาม Urizen ว่า "แกเป็นราชาของกองขยะรึเปล่า" เมื่อตอนที่เข้ามาถึงบัลลังก์ของ Urizen และเริ่มสังเกตเห็นว่าเลดี้และทริชที่กำลังนอนสลบอยู่บนพื้น ทำเอาดันเต้แปลกใจที่ Urizen ทำให้ผู้หญิง 2 คนที่น่ากลัวที่สุดในโลกเป็นแบบนี้ได้ ก่อนที่ Dante จะวัดปืน Ebony และ Ivory เล็งไปที่ Urizen .. Jackpot !! ...  ไอ้ที่ดันเต้เคยมีข้อสงสัยที่จะถาม Urizen เกี่ยวกับความจริงที V เคยบอกก่อนหน้าจะรับงานว่าจริงมั๊ยก็คงต้องจบไปหลังจากเห็นทริชและเลดี้พ่ายแพ้มันแบบไม่เป็นท่า เป็นหลักฐานที่เพียงพอสำหรับดันเต้ว่าไม่ว่ามันจะเป็นใครเขาก็จะไม่มีวันปล่อยให้มันฟื้นคืนชีพแน่นอน จนเมื่อ ในที่สุด Urizen พูดออกมาว่า .. "ดันเต้ ... " ทำให้หลักฐานเพิ่มเติมสำหรับดันเต้ว่านี่คือปีศาจที่ V บอกว่ามันเป็นปีศาจที่เขามีเหตุผลที่ต้องสูงกับมันชัดเจนในตัวของมันเอง 

ดันเต้แสดงความเสียใจกับ Urizen ที่ต้องผิดหวังเพราะเขาจะตายที่นี่ไม่ได้ก่อนจะเปิดฉากกระหน่ำEbony และ Ivory ใส่แบบไม่ยั้งหวังจะส่งมันกลับลงนรกไม่ต้องผุดต้องเกิด แต่ วัตถุทรงคริสตัลประหลาดข้างๆตัวมันก็รับและปัดกระสุนที่เขาโจมตีไปจนหมด ดันเต้ควักดาบ Rebellion แล้วขว้างใส่มันอย่างสุดแรงตามไปวัตถุทรงคริสตัลก็ทำการป้องกันอย่างสมบูรณ์เหมือนเดิมจนทำให้ดันเต้ถึงกับบ่นงึมงัมในใจ ก่อนที่จะบอกกับปีศาจตนนั้นไปว่า "ดูเหมือนนายจะแข็งแกร่งกว่าที่เคยเจอกันครั้งก่อนนะ"  Urizen ตอบสนองคำพูดของดันเต้ด้วยการหัวเราะเบาๆ แผนต่อไปของดันเต้คือต้องใช้ devil triggers เพื่อจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด เขาบอก  Urizen ว่า ให้ไว จะตัดสินกันก็รีบเข้ามาเพราะเขาไม่มีเวลาทั้งวัน งานปาร์ตี้วันเกิดของสาวน้อยคนสำคัญกำลังรออยู่


                               Morrison Chapter 2

กล่าวถึงในช่วงไม่กี่วันนับตั้งแต่ต้นไม้ปีศาจเริ่มปรากฏขึ้น มอร์ริสันกำลังพินิจพิเคราะห์ต้นไม้ที่ผุดขึ้นมาที่จัตุรัสกลางเมือง Red Grave City ท่ามกลางประชาชนที่กำลังถ่ายภาพบ้างก็สวดภาวนา เป็นช่วงเวลา 3 ชั่วโมงแล้วที่ดันเต้ เลดี้ และ ทริช เข้าไปในต้นไม้นั่นตามการจ้างงานของเขากับอีก 30 นาทีที่ V และ Nero ที่เพิ่งตามเข้าไปสมทบ มอร์ริสันคิดมาตลอดว่าชื่อเมือง Redgrave และนามแฝง โทนี่ เรดเกรฟ ของดันเต้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แม้โทนี่จะเต็มไปด้วยชื่อเสียมากกว่าแถมนักล่ารับจ้างคนอื่นก็ไม่ยอมร่วมงานเพราะที่ผ่านมาใครที่ร่วมงานกับโทนี่ล้วนตายห่าหมด แต่ด้วยเหตุผลในความเป็นสายเลือดของสปาร์ด้าที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติของปีศาจต่างหากที่ทำให้มอร์ริสันเชื่อใจในดันเต้ และมอริสันเองก็เป็นคนให้นามแฝงของ Tony Redgrave กับดันเต้เพื่อซ่อนตัวจากการค้นหาจากพวกปีศาจแต่โชคร้ายที่พวกมันตามจนเจอ แต่มองอีกแง่ก็ทำให้การเก็งกำไรจากการจ้างงานของเขาเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าโดยเฉพาะตอนที่ราชาปีศาจเริ่มใช้ต้นไม้ปีศาจโจมตีเมือง Redgrave 

ซึ่งโดยปกติแล้วจากที่เคยร่วมงานกันมาดันเต้สามารถทำงานให้เสร็จภายในไม่กี่นาทีหรือเต็มที่ก็ไม่เกินชั่วโมง แต่ครั้งนี้ดันเต้หายเข้าไปในต้นไม้ปีศาจ 3 ชั่วโมงแล้ว “ เรารู้จักกันมานานแล้วนะ ที่ผ่านมาคุณไม่เคยมีปัญหามากขนาดนี้ คุณจะผ่านมันไปได้เหมือนทุกครั้งหรือเปล่า ดันเต้ ?” มอร์ริสันกล่าวด้วยความกังวล



                              Nero Chapter 4

กล่าวถึง Nero และ V ที่อยู่ในต้นไม้ปีศาจ  Nero มองเห็น Dante ต่อสู้ Urizen จากระยะไกล แต่ยังไง Nero ก็อดคิดไม่ได้ว่าจะให้เขามาที่นี่เพื่ออะไรในเมื่อยังไงดันเต้ก็ต้องเอาอยู่แน่นอน แต่ V บอกเขาว่าอย่าประมาทปีศาจตนนี้ อย่างน้อยมันก็เป็นปีศาจที่ขโมยแขนขวาของ Nero ไปได้จนได้รับพลังอันยิ่งใหญ่มา ก่อนที่ V จะขอตัวเดินทางต่อไปอีกเส้นทางตามแผนของเขาที่ตั้งไว้ ก่อนจะใช้ Shadow ลื่นไถลหายไปในเงามืดทิ้งให้ Nero ยิ่งคาใจว่าไอ้หมอนี่มันเป็นใครและต้องการจะทำอะไรกันแน่ ที่ V ไม่น่าไว้ใจสำหรับ Nero นอกจากชื่อที่เป็นนามแฝงแล้วก็ไอ้การไม่ยอมพูดมากเกินจำเป็นเหมือนกำลังเก็บงำความลับบางอย่างยังไม่รวมความสามารถประหลาดๆของเขาอีก ที่สำคัญคือน้ำเสียง การมอง และรูปร่างหน้าตาของ V ที่ทำให้ Nero คิดว่าเขาอาจมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวเองแล้วทำให้ Nero จำต้องติดตาม V ซักพักเพื่อค้นหาความจริง

Nero คิดเผื่อไว้ว่าหากดันเต้ไม่ชนะไอ้ปีศาจนั่นได้ แม้จะรู้ดีว่าเขาเองก็อาจจะไม่ชนะมันแต่เขาก็จะสู้ให้เต็มที่เพราะไม่สามารถยกโทษให้ปีศาจตนนี้ที่ตัดแขนแถมขโมยยามาโตะไปใช้ในทางชั่วร้าย และ Nero ต้องการที่จะทวงคืนของๆเขาจากมันด้วยตัวของเขาเองมากกว่า Nero ย้อนกลับไปคิดถึงว่าเขาได้ยามาโตะมาได้ยังไง ซึ่งแต่เดิมนั้นเพราะเป็นของที่ดันเต้มาทำภารกิจเพื่อทวงคืนยามาโตะกลับมาจากภาคีแห่งดาบที่จะนำไปใช้ในทางที่ผิด ก่อนที่จะมอบให้กับเขาเมื่อจบภารกิจเหมือนกับให้ขนมเด็กทั้งที่ยามาโตะเป็นดาบที่ทรงพลังนั่นทำให้ Nero ไม่เข้าใจว่าทำไมมาจนถึงวันนี้ การสูญเสียยามาโตะไปในครั้งนี้ทำให้ Nero รู้สึกเหมือนกับทรยศความไว้วางใจของดันเต้ที่มอบดาบยามาโตะให้กับเขา นั่นจึงเป็นแรงกระตุ้นให้ Nero ต้องเดินหน้าต่อไป เขาควัก Red Queen ออกมาบิดๆๆเพื่อเรียกขวัญกำลังใจก่อนจะพุ่งเข้าไปหา Urizen


                                 V Chapter 2

ภารกิจของ V ที่กำลังมุ่งหน้าไปก็เพื่อจัดการกับปีศาจบางตัวเพื่อเคลียร์เส้นทางให้ Nero เดินทางไปถึง Urizen ได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ต้นไม้ปีศาจ Qliphoth ทำหน้าที่เป็นรูขนาดใหญ่เพื่อให้ปีศาจนับไม่ถ้วนบุกขึ้นมาที่โลกมนุษย์ผ่านทางท่อน้ำเลี้ยงที่เต็มไปด้วยเลือดของมนุษย์ที่ต้นไม้ดูดเอาไว้เป็นตัวล่อ แต่แม้ว่า V จะเคลียร์เส้นทางรอไว้ Nero ก็ยังไม่โผล่มาทำให้ทั้ง Griffon และ  Shadow ต่างก็บ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนที่ V จะเปลี่ยนสภาพ Shadow ช่วยให้เขาก้าวข้ามความสามารถที่น้อยนิดในปัจจุบันโดยเปลี่ยนมันเป็นฟอร์มช่วยการเคลื่อนไหวให้รวดเร็วเพื่อไปตามหา Nero จนกระทั้งได้พบ Nero กำลังต่อสู้กับปิศาจ Nero ยืนยันว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร แต่เนื่องจากว่ามีปีศาจจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทำให้ Griffon ตัดสินใจเข้าไปช่วยจัดการพวกมัน Griffon พูดกับ Nero ว่า“ นี่นายยังไม่เข้าใจอีกหรือไงพ่อฮีโร่? เราจะจัดการไอ้พวกนี้เอง” ก่อนที่ Griffon จะตะโกนบอก V เพื่อให้รีบจัดการศัตรให้เร็วที่สุดในจุดที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ นั่นบอกถึงความสามารถที่แท้จริงของ Griffon และ Shadow ที่เป็นเพียงภาพจากจินตนาการไม่ต่างจากภาพจากความฝันที่สามารถสร้างความเสียหายกับพวกปีศาจได้แต่ไม่สามารถทำลายพวกปีศาจด้วยตัวเองได้ จึงเป็นหน้าที่ของ V ที่จะปิดท้ายด้วยการกำจัดปีศาจที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของ  Griffon และ Shadow ให้สูญสลายไป



                                  Nico Chapter 3 


กล่าวถึง Kyrie ที่กำลังรู้สึกกังวลอย่างมากหลังจากได้ยินข่าวว่า Nero หนีออกจากโรงพยาบาลทั้งที่กำลังบาดเจ็บอยู่ เธอถาม Nico ทั้งน้ำตาว่าเธอควรจะทำอะไรดี Nico ก็ได้แต่กอด Kyrie เพื่อปลอบใจและบอกว่าเธอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรอเพราะมั่นใจว่า Nero จะกลับมาอย่างปลอดภัยในไม่ช้า แต่สำหรับ Nico เธอรู้ดีตั้งแต่สังเกตุเห็นแล้วว่า Blue Rose และ Red Queen ที่เก็บอยู่ในโรงรถได้หายไป ก็ทำให้เชื่อได้ว่า Nero กำลังตามไปเอาเรื่องกับใครก็ตามที่ตัดแขนของเขาไปอย่างแน่นอนแม้ว่าเขาจะรู้ทั้งรู้ว่าถ้า Kyrie รู้เขาเธอจะไม่สบายใจที่เขาทำแบบนี้ Nico เข้าใจดีว่าไม่มีทางเลยที่ Kyrie จะมีความสุขกับการ Nero เป็นอยู่ในตอนนี้ แต่เธอยังสงสัยว่า Nero รู้ได้ยังไงว่าใครเป็นตัวการที่ขโมยแขนของเขาไป

จนกระทั้งจูลิโอหนึ่งในเด็กกำพร้าที่ Kyrie ดูแลอยู่เข้าไปหา Nico ในโรงรถเพื่อบอกเธอเรื่องเฮลิคอปเตอร์ที่เขาเห็นเมื่อคืน จูลิโอบอกว่าเขาเห็นมันลงจอดในเขตชานเมืองแล้วไม่นานก็บินออกไป เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยากที่มีเฮลิคอปเตอร์มาลงจอดในเมือง Fortuna จึงทำให้ Nico เชื่อว่า เฮลิคอปเตอร์นั่นต้องเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของ Nero แน่นอน ในขณะที่ Kyrie ก็ยังกังวลกับเรื่องนี้อยู่ตลอดจน Nico ต้องพยายามปลอบใจเธอว่า “ อย่างที่ชั้นพูดเธอไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากรอ ไม่ต้องกังวล Nero เป็นคนแกร่ง เขาไม่มีทางแพ้ใครง่ายๆหรอก” ซึ่ง Kyrie เองก็พยักหน้าเห็นด้วย Nico ย้ำว่า Kyrie ควรจะอยู่ที่นี่เพราะนอกจากเธอจะไม่มีเบาะแสว่าจะเริ่มตามหา Nero จากที่ไหนแล้วเธอยังมีเด็กกำพร้าที่ต้องดูแล 

ก่อนที่ Nico จะบอกกับ Kyrie ว่าเธอคงจะไม่กินอะไรซักพักและอยากให้ช่วยไม่ให้เด็กๆเข้ามาในโรงรถ Kyrie ถามว่าเพราะอะไร? Nico ตอบว่า เธอต้องการจะใช้สมาธิอย่างมากในการออกแบบสิ่งประดิษฐบางอย่าง Nico มีแผนที่จะสร้าง demon-infused artificial arms หรือแขนเทียมที่มีพลังในการฆ่าปีศาจที่ได้จากข้อมูลการวิจัยของ Agnus ให้กับ Nero เพื่อให้เขาใช้สู้กับพวกปีศาจทดแทนแขนที่ขาดไป ในขณะที่ Nico ยืนสูบบุหรี่อยู่นอกโรงรถเพื่อครุ่นคิดก่อนจะเริ่มดำเนินการ พลางก็หวังว่า Nero จะกลับมาอย่างปลอดภัยพร้อมกับพ่นควันออกไปในอากาศก่อนจะเข้าไปดำเนินการสร้างแขนกลในทันที 



                             Morrison Chapter 3

กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงที่ Nero และ V จำต้องหนีออกมาจากต้นไม้ปีศาจแล้ว ทันทีที่ทุกคนพอจำทำใจได้ที่ต้องทิ้งดันเต้เอาไว้ และผลของการพ่ายแพ้ครั้งแรกของดันเต้ที่ มอริสัน ต้องจำต้องรับรู้แม้จะไม่ค่อยจะเชื่อก็ตาม มอริสันถาม V ว่าจะเอาไงต่อไป V บอกกลับไปว่าเขาไม่มีแผนแต่มีสิ่งที่จำเป็นที่ต้องหาให้ได้นั่นคือ พลัง แม้มอริสันจะบอกว่ามันจะหามาได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรอ V ก็บอกได้แค่ว่า เขาไม่มีทางเลือก เพราะเรามีเวลาเหลืออย่างน้อยหนึ่งเดือนโลกก็จะต้องล่มสลายเพราะต้นไม้ปีศาจ มอริสันได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะตะโกนออกไป มันเป็นบ้าอะไรกันวะ! เนื่องจากรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้แถมยังไม่มีใครอาสามาช่วยซะด้วย V ได้แต่บอกว่า อย่าเพิ่งยอมแพ้ เป็นมนุษย์ต้องไปยอมแพ้ นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ Nero ที่นิ่งเงียบมาตลอดก็พูดออกมาว่า อีกหนึ่งเดือนใช่มั๊ยก่อนที่โลกจะล่มสลายน่ะ V บอกเสริมว่า Nero ต้องทำเท่าที่ทำได้เพื่อให้ได้พลังมาให้ได้มากที่สุดเพราะนอกจากดันเต้แล้วตอนนี้ก็เหลือแค่ Nero ที่เป็นความหวังเดียวที่จะเอาชนะ Urizen ก่อนที่ Nero จะขอให้มอริสันไปส่งเขากลับไปที่เมือง Fortuna ก่อนที่กลับมาใหม่ในอีก 1 เดือนข้างหน้า มอริสันนั้นเคารพในความดื้นรันของ Nero ที่แม้จะยังเป็นแค่เด็กหนุ่มแต่ก็อาจจะมีโอกาสได้รับพลังที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองก็ได้ เหมือนกับที่ดันเต้เคยเล่าให้มอริสันฟังเมื่อหลายปีก่อนว่าเขาพบเด็กหนุ่มที่น่าสนใจคนนึงที่เมือง Fortuna เขามีสายเลือดปีศาจเหมือนกันแถมดันเต้ยังชอบความมุทะลุของเด็กคนนี้จนถึงกับส่งต่อป้ายไฟสัญลักษณ์ Devil May Cry ให้กับเขา ส่วน V บอกว่าเขาจะอยู่ที่เมือง Red Grave ต่อเพื่อรวบรวมข้อมูลของศัตรูเท่าที่จะทำได้ Nero บอกว่าอีก 1 เดือนเจอกัน V พยักหน้าก่อนที่จะเดินจากไป 



                              Nico Chapter 4

เมื่อ Nero กลับถึงเมือง Fortuna เขาก็เข้าไปปรึกษากับ Nico เพื่อต้องการแขนเทียมมาใช้งานในทันที Nico บอกว่าเย็นไว้ แขนกลที่เธอคิดค้นขึ้นกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุงอาจต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือนก่อนจะใช้งานได้จริง Nero บอกกลับไปว่าเขารอไม่ได้ เขาต้องการแขนที่ทรงพลังอันใหม่มาใช้ภายใน 1 เดือน Nico รีบบอกกลับไปว่ามันไร้สาระชัดๆ แต่หลังที่ Nero อธิบายเกี่ยวกับเวลาที่เหลืออยู่ของโลกใบนี้ให้ Nico ฟังเธอจึงเข้าใจ Nero รีบถามต่อว่า ตกลงเธอเริ่มสร้างมันรึยัง Nico เลยตะคอกกลับไป มันไม่ใช่การสร้างโมเดลพลาสติดของเล่นนะเว้ย Nero เลยบอกว่าเขาจะขอให้มอริสันมาช่วย แต่ Nico ปฎิเสธและเสียใจที่ไม่สามารถเจอมอริสันตอนนี้ได้เพราะกลัวว่าเขาจะไปบอกดันเต้ว่าเธอทำงานงกๆอยู่ในโรงรถในขณะที่ Nero นั่งสบายอยู่ที่บ้าน

Nero ถามว่าการทำงานเป็นยังไงบ้าง Nico ตอบว่าก็พอมีแนวคิดลอยๆอยู่ในหัวอยู่บ้าง Nero รีบตอบกลับไป นี่เธอทำงานมา 2 คืนติดกันแล้วยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้เห็นอีกหรอ? Nico ฟังแล้วหงุดงหงิดเลยบอกออกไปว่า "มือสมัครเล่นเอ้ย ไม่รู้หรอว่าส่วนสำคัญที่สุดของการทำงานคือตอนวางแผน หรืออยากให้งานมันออกมาแค่ แขนตะขอของโจรสลัดวะ !?" ทำให้ Nero ต้องขอโทษ Nico ไปและยอมรับว่าเริ่มหมดความอดทนเพราะเหลือเวลาอีกไม่มาก Nico ก็บอกว่า เธอเองก็ใจร้อนไม่ต่างกัน เพราะเธอก็อยากเจอดันเต้เร็วๆอยากขอเขาดูปืน Ebony และ Ivory และอยากได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคุณยายของเธอจากเขา ก่อนที่ Nico จะพูดติดตลกว่าเธอจะทำแขนสำหรับกินพาสต้าให้ Nero อีกด้วย Nero ขอโทษอีกครั้งที่ใช้อารมณ์ไปเร่ง Nico และยินดีที่จะรออีกซักพัก Nico ก็บอกกลับไปว่าต้องรอเพราะสมองของเธอไม่สามารถผลิตไอเดียดีๆได้ถ้าเอาชะตากรรมของโลกมาให้เธอแบกเอาไว้

ขณะนั้นเอง Julio ก็รีบวิ่งมาบอกว่าเขาพบปีศาจอยู่ที่ป่า Mitis Nero รีบถามว่ามีใครบาดเจ็บรึเปล่า  Julio บอกว่าไม่เพราะทุกคนหลบอยู่ในบ้านกันหมดแล้ว Nero ตกบ่าชมเชย Julio ที่รีบมาบอกเขา ก่อนที่ Nero จะออกไปที่จุดเกิดเหตุ เขาบอกกับ Nico ว่าอยากจะตามมาด้วยก็ได้นะเผื่อเธออยากจะเห็นปีศาจของที่นี่  Nico บอกว่าตอนนี้เธอกำลังยุ่งมากกับการที่ต้องศึกษาเอกสารของพ่อ แต่การตามไป Nero ต่อสู้กับปีศาจก็อาจเป็นประโยชน์ในการนำมาออกแบบแขนกลก็เป็นได้ Nero แนะนำ Nico ให้รักษาตัวให้ปลอดภัย อย่าไปอยู่ใกล้พวกปีศาจมากนัก Nico ตอบกลับไปว่า ไม่ต้องห่วงเธอไม่ได้สนใจพวกปีศาจมากขนาดนั้น


                                Nero Chapter 6

Nero เดินทางเข้าไปยังป่า Mitis ที่มีคนพบเห็นปีศาจ แต่เขากลับไม่เจอสิ่งผิดปกติอะไรเลย Nico กล่าวติดตลกว่า ส่งสัยชาวเมือง Fortuna กำลังสับสนระหว่างหมีกับปีศาจก็เป็นได้ Nero บอกปกติที่ป่าแห่งนี้เป็นสถานที่ฝึกของคนในภาคีชาวบ้านทั่วไปไม่ค่อยมีใครเข้ามานอกจากเข้ามาตัดไม้ Nero คิดว่าถ้าหากมันจะมีปีศาจจริงๆก็คงจะอยูแถวๆท้ายป่า ขณะที่ Nico ที่เริ่่มจะรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเพราะเพิ่งทำงานแบบไม่ได้นอนต่อกัน 2 คืนรู้สึกว่าอยากกลับไปที่โรงรถแล้ว แต่ Nero ไม่ยอมทิ้งให้เธอกลับไปคนเดียวจึงพา Nico เข้าไปด้านในป่าต่อด้วยกัน 

จนเมื่อทั้งคู่เดินทางจนถึงด้านในป่าที่มีความมืดเริ่มปกคลุมทั้งคู่ก็ถูกลอบโจมตีจากด้านบน โดย Nero ได้ช่วยเตะ Nico ให้พ้นจากอันตราย ก่อนจะเข้าไปสู้กับปีศาจที่เข้ามาโจมตี Nero จัดการ Blitz ตัวแรกลงได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ Nico ยืนดูตัวแข็งทื่อเพราะที่ผ่านมาเธอเห็นแต่คำว่า ปีศาจ ผ่านทางตัวหนังสือของเอกสารวิจัยของพ่อ แต่เธอก็จำข้อมูลได้ว่า Blitz นั้นมันเป็นปีศาจที่มองไม่เห็นและโจมตีจากที่มาของเสียงจากศัตรูเธอจึงเลือกที่จะไม่ส่งเสียงอะไรออกไป Nero พยายามล่อศัตรูเพื่อให้ Nico มีโอกาศหนีไปพลางก่อนจะค่อยๆจัดการเชือดไปทีละตัว แต่ขณะที่หนีไปมา Nico ก็ได่ไอเดียการพัฒนาแขนกลแล้วเขียนมันด้วยตัวอักษรหวัดๆอย่างเร่งรีบลง Memo แล้วให้ Nero ดู "ชั้นนึกออกได้อย่างนึงแล้ว ชั้นมีไอเดียแล้ว" Nico ตะโกนลั่นด้วยความดีใจ "เอาจิงดิ" Nero เริ่มบ่นออกไปเพราะอุตสาห์ยอมเป็นตัวล่อให้ Nico หนี ก่อนที่ Nero จะจัดการพวก Blitz ที่น่ารำคาญจนหมดลงได้สำเร็จ

เมื่อ Nero และ Nico กลับมาถึงบ้าน Nico ก็ได้เก็บชิ้นส่วนของ Blitz กลับมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำงานด้วย ทำให้ Nero กังวลใจว่าแขนกลของเขาจะมีชิ้นส่วนของ Blitz อยู่ด้วย Nico จึงอธิบายให้ฟังว่า ชิ้นส่วนของ Blitz จะไม่แสดงให้เห็นที่แขนกลแต่เธอจะใช้เพียงความสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าของมันมาทำเป็นพลังให้แขนกลเท่านั้น Nero บอกว่าเป็นความคิดที่ดีเพราะเขาจะได้ล่าปีศาจเพื่อเอาชิ้นส่วนมาให้ Nico ใช้สร้างแรงบันดาลใจ Nico ก็พอใจดึงบุหรีออกมาสูบแล้วบอกว่า "รับทราบ" 


                                  V Chapter 3

ในเมืองเรดเกรฟ ตอนนี้ต้นไม้ปีศาจ Qliphoth ยังคงเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆพร้อมๆกับหลุมที่เป็นทางผ่านระหว่างโลกมนุษย์และโลกปีศาจที่ใหญ่ขึ้นตาม Griffon ถาม V ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหรือไม่หากอพยพผู้คนออกจากเมืองเสียก่อนเพราะหากผู้คนและเลือดของพวกเขาที่เป็นอาหารถูกกันออกไปจากจากต้นไม้ปีศาจ Qliphoth ก็จะทำให้มันไม่เติบโตเร็วนัก V ตอบว่าไม่มีใครเชื่อหรอกถ้าเราพยายามเตือนพวกเขาแบบนั้น การอพยพคนอย่างเร่งด่วนก็ต้องขอความเห็นชอบกับทางนักการเมืองท้องถิ่นอีก เรามีเวลาไม่พอหรอก พยายามอย่างดีที่สุดกับสิ่งที่เราสามารถทำได้ก็พอ 

Griffon ถาม V ว่าเขากังวัลเรื่องอะไรอยู่ V ตอบว่า ทันทีที่ต้นไม้ปีศาจเริ่มโจมตีทางการก็จะส่งกองทหารมาที่เมืองเรดเกรฟเพื่อยั้บยั้งเหตุ แต่เราก็รู้ว่ามันไร้ประโยชน์พวกทหารจะกลายเป็นอาหารชั้นเลิศจำนวนมากที่จะทำให้ต้นไม้ปีศาจ Qliphoth เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมากขึ้น Griffon ถาม V ต่อว่าเคิดว่า Nero จะกลับมามั๊ย V ตอบว่า“ เขาจะกลับมา เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆแบบนั้นหรอก” Griffon หัวเราะและพูดว่า“ แล้วเขาจะไปเอาพลังที่จะมาต่อกรกับ Urizen จากใคร” V ตอบกลับเพียงสั้นๆว่า“ ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ”

V ก้มลงมองหนังสือที่ถืออยู่ในมือ มันคือหนังสือบทกวีเก่าของครอบครัวที่สะสมไว้ตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเด็ก มันมีบทกวีบนนึงที่สะดุดตาบทกลอนที่ชื่อ A Poison Tree ของ  William Blake บรรทัดที่ 9-12 กล่าวไว้ว่า 

"และมันก็เติบโตทั้งกลางวันและกลางคืน มันจะเจาะชอนไชจนได้ผลแอปเปิ้ลสุกใส เพื่อให้ศัตรูของข้าก็จะได้เห็นแสงที่เปล่งประกาย และรู้ว่าแสงนั้นมันเป็นของข้าเอง" 

เป็นบทกวีที่เป็นคำทำนายถึงเรื่อง ต้นไม้ปีศาจ Qliphoth ที่ทำให้ระลึกถึงความผิดพลาดของตัวตนเดิมของเขา V ทำหน้าบูดก่อนจะปิดหนังสือไป ก่อนที่เขาจะเริ่มที่จะเดินไป Griffon ถามว่าเขากำลังจะไปไหน V บอกว่าเขาจะไปช่วยพวกมนุษย์จากการถูกต้นไม้ปีศาจ Qliphoth ทำร้าย Griffon รีบตอบกลับไป "ช่วยมนุษย์หรอ? นายเนี่ยนะ? แน่ใจนะว่าหัวนายไม่ได้ไปถูกกระทบกระเทือนมา"

ที่ V เคยบอกว่าเขาจะอยู่ที่ Redgrave เพื่อหาข้อมูลของศัตรูแต่จริงๆแล้ว V โกหกเพราะเขารู้ทุกอย่างมาจนหมดแล้ว เขารู้ว่าทำไมโศกนาฏกรรมถึงเกิดขึ้นในเมืองนี้ เขารู้จักตัวตนของ Urizen เขารู้ทุกอย่างจนถึงจุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด แต่ที่เลือกที่จะอยู่ในเมืองนี้เพราะพยายามที่จะเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้ร่างกายหมดสภาพเร็วเกินไป แต่ถึงกระนั้นเขาก็อยากจะช่วยเหลือผู้คนในเมืองอยู่ดี Griffon รีบบินตามเขาไปแล้วบอกว่า "เฮ้ รอก่อนสิ V นายเอาจริงดิ ช่วยชาวบ้านเนี่ยนะ ตกลงนายจะทำแบบนี้จริงๆใช่มั๊ย นายไม่จำเป็นต้องทำคนเดียวหรอ ชั้นจะช่วยอีกแรงก็แล้วกัน V รู้ดีว่าการที่จะช่วยคนแค่คนสองคนมันไม่สามารถหยุดยั้งการเติบโตของ Qliphoth ได้หรอก แต่ถ้ามันจะช่วยซื้อเวลาได้ 1 - 2 นาทีเขาก็พร้อมที่จะลองทำ วิญญาณของเขาสั่งให้ทำ V ย้ำด้วยน้ำเสียงที่ดังว่า "เขาจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้" เพื่อลดความเสียหายของเมืองให้มากที่สุดก่อนที่ Nero จะกลับมาในอีก 1 เดือน 



                                    Epilogue

ในขณะที่ Nero กำลังเตรียมพร้อมที่จะกลับไปที่เมืองเรดเกรฟอีกครั้ง Kyrie บอกเขาว่าเธอจะอยู่ดูแลของเด็กกำพร้าให้ดีที่สุดเพื่อรอเขากลับมา Nero กล่าวว่า Morrison อาจพาชาวเมืองเรดเกรฟมาลี้ภัยที่เมือง Fortuna ยังไงก็ช่วยให้พวกเขาปลอดภัยด้วย ก่อนที่ Nico จะบี๊บแตรเรียกบอก Nero ให้ไว เพราะต้องเดินทางต่ออีกไกล Nero ตอบกลับอย่างไม่พอใจว่า“เข้าใจแล้วหุบปากได้แล้ว” Nico เข้าไปประจำในช่องคนขับรถตู้และบอก Kyrie ว่าไม่ต้องกังวล Nero จะไม่ตายในขณะที่ใช้ผลงานของ 'ศิลปินจากสวรรค์' แน่นอน แทนที่จะทำการล้อเล่นกันต่อ ทุกคนตัดสินใจว่าตอนนี้ที่ทุกคนต้องทำคือทำตามที่ Nero ได้สัญญาว่าจะพบกับ V คือเดินทางไปที่ Redgrave ให้เร็วที่สุด 

Nico และ Nero ขับรถออกไปด้วยกัน Nero โทษ Nico ตลอดทางในการขับรถแบบแย่ๆของเธอ  แต่ Nico ยืนยันว่าเธอพยายามทำให้รถตู้บ้านี่เชื่องที่สุดแล้ว ก่อนที่ Nico จะก้มดูที่แขนเทียมของ Nero และซองหนังหุ้มแขนอาไหล่ที่เธอออกแบบ เพื่อความจำเป็นในการใช้เปลี่ยนแขนกลขณะใช้งาน เนื่องจากความทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อของมันทำให้แขนกลที่ Nico สร้างขึ้นมีปัญหาเรื่องที่มันแตกหักง่ายซึ่งเป็นผลมาจากการรวบรวมพลังมหาศาลทั้งหมดไว้ในแขนกลที่มีขนาดเล็กๆนั่นเอง

 Nico ถาม Nero ว่าเขาชอบ Devil Breaker ของเธอรึเปล่า Nero ตอบว่า“ Devil Breaker งั้นหรอ?” Nico บอกเขาว่า ใช่ มันเป็นชื่อที่เธอคิดขึ้นมา เหตุผลเพราะมันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการทำลายปีศาจ Nero ตอบว่า“ ไม่ใช่เพราะมันแตกง่ายหรอ?” Nico ทำหน้าไม่พอใจก่อนจะย้ำว่ามันเป็นเพราะพลังมากมายที่อัดอยู่ในสิ่งเล็กๆและเบามากทำให้สามารถพกพาอาไหล่เสริมได้พร้อมกันหลายๆอัน Nero บอกกับ Nico เพื่อไม่ให้เสียงกำลังใจว่า “ เอาน่า คุณทำได้ดีที่สุดแล้ว ผมไม่คิดว่าคุณจะสามารถออกแบบแขนสองแบบที่แตกต่างกันภายในเวลาที่กำหนดด้วยซ้ำ "

แขนกล 2 อันแรกที่ Nico สร้างให้ Nero คือ Overture ที่สร้างหลายวันหลังจาก Nero ต่อสู้กับ Blitz จากนั้นก็สร้าง Gerbera แขนกลที่ได้แรงบันดาลใจจากการที่ Nico เห็นดอกเยอบีร่า ซึ่งอันนี้ Nero ไม่แน่ใจว่าจริงมั๊ยแต่ก็คิดว่าไม่แน่ Nico อาจจะเป็นคนที่ชอบดอกไม้ก็ได้ใครจะไปรู้ Nico กล่าวต่อว่า เธอมีแนวคิดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยสำหรับต่อยอด Devil Breakers ของเธอต่อได้อีกแต่เนื่องจากมีเวลาและทรัพยากรที่จำกัดเธอจึงไม่สามารถจะทำให้ได้ในตอนนี้ Nero บอกว่าเขาสามารถจัดหาวัตถุดิบให้เธอได้ Nico แนะนำว่าถ้าเขานำซากชิ้นส่วนของพวกปีศาจที่ Nero จัดการได้กลับมาให้เธอ แม้กระทั่งเศษเล็กเศษน้อยเธอก็สามารถทำเป็น Devil Breakers แบบใหม่ๆให้ได้ Nero คิดในใจ ใครจะไปรู้ว่าวันนึงเขาจะได้มีโอกาสมาร่วมงานกับลูกสาวของอดีตศัตรูของเขา ทำให้ Nero คิดไปว่าดันเต้จะรู้สึกยังไงถ้ารู้เรื่องนี้เข้า

สำหรับ Nero การต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้อง Dante และไม่เพียงช่วยโลกให้รอดพ้นจากการถูกทำลาย แต่ สำหรับเขาแล้วมันเป็นการต่อสู้แห่งความภาคภูมิ



       ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
                 ติดตามเรื่องราวความเป็นไปต่อได้ใน บทสรุป Devil may Cry V  ได้ที่นี่
                     http://decibelperoxide.blogspot.com/2019/03/devil-may-cry-v.html
      -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------